|
American Vacation: 2 วัน 3 รัฐ ตอนที่ 1
ขอคั่นเล่าเรื่องในส่วนของการใช้ชีวิตต่างแดน ด้วยการเดินทางพิเศษ American Vacation: 3 รัฐ 3 วัน .....เพราะพอดีในช่วงที่ผ่านมาได้มีโอกาสเดินทางไปหลายที่ เลยอยากจะมาเล่าสู่กันฟัง แล้วเดี๋ยวจะกลับไปเขียน Journey in America ต่อ
อธิบายคร่าวๆ ถึงการเดินทางไปเที่ยวในครั้งนี้ เริ่มต้นจาก Los Angeles, California ไปพักที่ Las Vegas, Neveda จากนั้นต่อไปยัง Grand Canyon, Arizona แล้วกลับมา Los Angeles เพื่อเดินทางต่อไปยัง San Diego ครับ ทั้งหมดนี้ก็ใช้เวลา 3 วัน ระยะทางก็ร่วมๆ พันกิโลได้
Day 1
ไม่ได้ตื่นเช้ามานานมาก วันนี้ผมต้องตื่นตี 5 ครึ่ง ซึ่งถือว่าเช้ามากในรอบปี เก็บเสื้อผ้าแล้วก็ขับรถไปรับชาวคณะของผม รวมผมก็มีกัน 5 คน .....จาก Las Angeles ผมก็ขับรถ ซึ่งเป็นรถเช่า ตรงไปยัง Las Vegas โดยใช้เส้นทางสาย 15 เป็นหลัก
Las Vegas เป็นเมืองที่อยู่ในรัฐ Nevada ซึ่งไม่ห่างจาก L.A. เท่าไหร่ จึงทำให้คนที่ California นิยมขับรถไปเที่ยวกันมาก ระยะทางก็อยู่ราวๆ 300 กว่าไมล์ หรือ 400 กว่ากิโลได้ เส้นทางก็จะผ่านทุ่งหญ้าทะเลทราย เทือกเขาหิน อะไรต่างๆ ซึ่งแห้งแล้งพอสมควร แต่ทุกๆ 50 กิโลก็จะมีเมืองตั้งอยู่ และก็มีปั๊มน้ำมัน ร้านค้าให้ซื้อของ หรือเดินยืดเส้นยืดสายได้บ้าง .....ผมไม่แวะหรอก 555 เสียเวลา..... แต่พอดีชาวคณะปวดห้องน้ำ เลยต้องจอดแวะแป็บนึง
ขับรถไปก็สงสัยว่าคนแถวนี้เขาเคยไปทะเลกันบ้างไหม เพราะรู้สึกว่ามันห่างจากฝั่งทะเลมาก พูดถึงหอยเขาจะรู้จักรึเปล่าก็ไม่รู้..... แล้ววันๆ นึงนี่เขาทำอะไรกัน นึกถึงต่างจังหวัดบ้านเรามันก็ยังดูชุ่มชื้นกว่า ขับรถไปก็เห็นบ้านคนประปราย แต่ช่วงระหว่างเมืองมันไม่มีอะไรเลย มีแต่ทุ่งหญ้าสวันนา ต้นไม้พุ่มๆ แห้งแล้งไร้ซึ่งสีสัน ไม่รู้เขาทำอาชีพอะไรกันวันๆ.....ต่างจากแอลเอที่จากมาอย่างกับคนละดาวเคราะห์ .... ถ้ารถเสียแถวนี้ทำยังไงฟระ อย่าคิดดีกว่า ว่าแล้วก็ขับต่อไป
ถนนสายนี้จำกัดความเร็วที่ 75 ไมล์ต่อชั่วโมง ก็ราว 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เลยขับได้เท่านี้ เพราะเขาเอาจริง ถ้าโชคไม่ดีเจอพี่ตำรวจยิงเรดาร์มาก็จบเห่ จากเดิมที่จะหารแต่ค่ารถ ก็อาจจะต้องหารค่าใบสั่งด้วย คนอื่นๆ ที่อยู่เฉยๆ แล้วต้องมารับผิดชอบการกระทำของเราคนเดียว ถึงจะเอาแต่นอนกันก็เถอะ แต่เอาใจเขาใส่ใจเราแล้วก็คิดว่าช้าแต่ชัวร์แล้วกัน
ที่คิดไว้ตอนแรกคือ จะแวะเขื่อน Hoover ก่อน..... เขื่อนนี้ตั้งอยู่ใกล้ Las Vegas เรียกว่าใครมาเวกัส ก็ต้องแวะเขื่อนนี้ Hoover Dam เป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าเลี้ยงเมือง Las Vegas เคยเป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลกหรืออะไรซักอย่าง
ขับรถมา 4 ชั่วโมงได้มั๊ง รวมหลงนิดหน่อย เพราะช่วงนี้ที่ Las Vegas มีการปรับปรุงก่อสร้างทางกันให้วุ่น พวกป้ายบอกทางอะไรต่างๆ ก็เลยมีบ้างไม่มีบ้าง ผมก็ต้องวนหาอยู่นานกว่าจะเจอเส้นทางที่ถูกต้อง ไปถึงเขื่อน Hoover ก็เที่ยงพอดี สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือความร้อน อุณหภูมิ เฉียดๆ 45 ได้ แดดแรงสุดๆ แต่ยังดีที่เขื่อนมันยังมีลมพัดอยู่บ้าง ที่จอดรถทำได้อย่างสวยงาม เหมือนที่จอดรถห้างเอ็มโพเรียม ..... วันที่ผมไปวันอังคารมันก็ไม่วุ่นวายเท่าไหร่ ก็ได้เดินดูวิวได้อย่างสะดวกพอสมควร เคยมาครั้งก่อนแต่เป็นตอนกลางคืนไม่ค่อยเห็นอะไร มาคราวนี้ล่อซะเที่ยงตรงเลย เลยได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสิ่งก่อสร้างสิ่งนี้ มนุษย์ตัวเล็กๆ นี่ทำอะไรได้หลายอย่างจริงๆ บางอย่างก็เกินคาด อย่างเขื่อนนี่เป็นต้น
สิ่งที่ผมชอบอย่างหนึ่งของเขื่อนนี้ คือมันเป็นจุดเชื่อมระหว่างรัฐ Nevada กับรัฐ Arizona คือเราจอดรถที่ฝั่ง Nevada แต่พอเราเดินไปบนสันเขื่อนจนสุดอีกด้าน มันจะกลายเป็นอีกรัฐ เลยรู้สึกเท่ๆ เมื่อคุณยืนอยู่ตรงเส้นแบ่งเขตแล้วกระโดดข้ามไปมา เหมือนคุณข้ามรัฐไปมาในเวลา 0.12 วินาที และที่เท่ไปกว่านั้น คือ 2 รัฐนี้อยู่คนละเขตเวลากัน ผมมาถึงเขื่อนในเวลาเที่ยง แต่พอเดินข้ามไปอีกด้านของเขื่อน มันกลายเป็นบ่ายโมงซะงั้น เพราะฉะนั้นหากคุณต้องการเดินทางข้ามเวลา คุณก็แค่มายืนตรงกลางๆ เขื่อนแล้ววิ่งไปมา คุณก็จะย้อนเวลาไปมาได้ อย่างง่ายๆ 555
เสร็จกิจจากเขื่อนเราก็เดินทางกลับเข้าไปยังตัวเมืองลาส เวกัส ไปยังถนน South Las Vegas หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อ the Strip แล้วไว้ผมจะมาเขียนต่อคราวหน้าแล้วกันครับ
Create Date : 31 พฤษภาคม 2548 | | |
Last Update : 30 มิถุนายน 2548 23:49:44 น. |
Counter : 860 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Journey in America: Chapter 4 The Bus
ในเขตลอสแองเจลิส ถ้าคุณไม่อยู่ในดาวทาวน์ คุณก็จะประสบปัญหาในการเดินทางแน่นอน เพราะอะไรต่อมิอะไรมันอยู่ไกลแสนไกลเหลือเกิน การเดินทางของคนส่วนใหญ่จึงต้องมีรถส่วนตัว ซึ่งตรงนี้ญาติผมได้บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ผมจึงเตรียมเงินมาจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อรถ แต่ขั้นตอนก่อนนั้น คือทำใบขับขี่ ซึ่งผมจะเล่าในรายละเอียดต่อไป
ในช่วงแรกนั้น ผมก็ต้องอาศัยรถเมล์ไปเรียน รถเมล์ที่นี่จะแบ่งตามเขต แต่ละเขตจะมีบริษัทรถเมล์ของตัวเอง โดยจะมีรถเมล์สายยาวที่วิ่งเข้าไปถึงในเมือง L.A. เรียกว่า MTA ซึ่งเข้าถึงในทุกๆ เขต (หมายถึงออกมารับคนที่เมืองรอบนอก แล้วขับมุ่งกลับไปในดาวทาว์น).... เพราะฉะนั้นถึงคุณจะนั่งรถเมล์ไกลแค่ไหน คุณก็สามารถวางแผนการเดินทางของคุณได้ไม่ยาก เพราะนอกจากหนังสือที่ระบุเวลาที่รถจอดแต่ละป้ายที่แจกฟรีบนรถแต่ละสายแล้ว เรายังสามารถเข้าไปดูข้อมูลการเดินทางในอินเตอร์เนตได้อีกด้วย ผมเองในช่วงแรก อย่างที่บอกคือยังไม่มีเนตที่บ้าน จึงอาศัยหนังสือตารางเวลารถ และคำบอกเล่าของเพื่อนที่อยู่ที่นี่
การไปโรงเรียนภาษาของผมในแต่ละวันก็จะเริ่มตั้งแต่ 6 โมง ที่ผมจะต้องตื่นมาทำอะไรต่อมิอะไรให้เสร็จ และไปยืนรอรถเมล์ที่จะมาจอดป้ายหน้าบ้าน ในเวลา 7.05 น. ซึ่งมาตรงมากๆ + - ไม่เกิน 3 นาที ถ้าเราไปไม่ทันคันถัดไปก็จะมาในอีกครึ่ง ชม. แต่ผมคงรอไม่ได้ เพราะผมต้องไปต่อรถเมล์อีกคัน ที่จะมาจอดที่ป้ายที่ผมต้องไปรอในเวลา 7.45 น. ซึ่งถ้าพลาดคันนี้ก็คือไปสาย โรงเรียนผมเข้า 9 โมงครึ่ง ซึ่งหมายความว่า ผมต้องนั่งรถเมล์คันที่ผมต้องขึ้นต่อร่วมๆ 2 ชั่วโมง ซึ่งก็นานอักโข เพียงแต่ว่ามันก็ไม่ต้องเบียดเสียดอย่างเมืองไทย มีที่นั่งเหลือเฟือ แถมแอร์เย็นเจี๊ยบ ดังนั้นผมก็ได้อาศัยมานอนต่อบนรถนี่เอง
เกี่ยวกับค่าโดยสาร อัตราปกติก็คือ 1 ดอลลาร์ ซึ่งสามารถขอตั๋วต่อรถ เพื่อไปต่อได้อีก 1 สาย เรียกว่า transfer ticket แต่ราคานี้ก็จะเปลี่ยนไปตามบริษัทรถตามเขตเมืองต่าง แต่ก็ถือว่าไม่แพงมากสำหรับคนทั่วไปที่อาศัยรถประจำทาง การจ่ายเงินก็ง่าย คล้ายๆ microbus สมัยก่อน คือเอาเหรียญเทลงในกล่อง หรือถ้าจะใช้ธนบัตรก็ได้ เพียงแต่ต้องเตรียมให้พอดี เพราะพนักงานบนรถจะไม่ทอนเงินให้.....เวลาคุณจะลงก็ลักษณะเดียวกับการกดกริ่งแบบเมืองไทย เพียงแต่มันไม่ใช่กริ่ง แต่เป็นสายสลิงที่โยงอยู่ที่ขอบหน้าต่างรถ พอคุณจะลงก็ดึงสายสลิงนั่น มันก็จะมีเสียงตุ๊ง แล้วคนขับก็จะทราบว่าจะมีคนลง แล้วเวลาเขาจอดให้ลงนี่สุดๆ แล้ว คือขับไปแนบทางเท้าซะจนล้อแทบจะสี ต่างกับของคนไทยที่ต้องลงกลางสี่แยก นี่ยังไม่พูดถึงระบบอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่นที่เก็บจักรยานหน้ารถ และระบบการขนถ่ายคนพิการขึ้นลงนะครับ
การเดินทางบนรถเมล์ที่นี่ ผมก็ได้ฝึกภาษาไปด้วยในตัว.....เพราะชาวอเมริกันนี่ชอบชวนคุย ไม่เข้าใจว่าจะนั่งเฉยๆ กันไม่ได้หรืออย่างไร แต่ก็ดี ทำให้ผมได้ งูๆ ปลาๆไปวันๆ เพื่อฝึกภาษา การเดินทางร่วม 2 ชั่วโมงไป กลับของผมแต่ละวัน จึงไม่เปล่าประโยชน์แต่อย่างใด
ย้อนกลับไปถึงเรื่องความตรงต่อเวลาของรถเมล์..... การที่ผมต้องนั่ง 2 ต่อ มันก็ทำให้ผมเกิดปัญหา เพราะในขากลับบ้าน รถเมล์คันแรก จะมาถึงเวลเดียวกับรถเมล์ที่ผมต้องนั่งต่อพอดี ซึ่งถ้าคันใดล่าช้า หรือมาเร็วไป นั่นหมายความว่าผมต้องรออีก 1 ชม. เพื่อรอรอบต่อไป ก็ได้อย่างเสียอย่าง ที่ว่าได้ก็คือตรงป้ายรถนั้น มีตลาด (ลักษณะคล้ายๆ บิ๊กซี) อยู่พอดี ทำให้ผมไปเดินฆ่าเวลาได้ ซึ่งนี่ก็คือข้อเสีย เพราะบางทีก็เดินเพลิน กลับมาไม่ทันคันต่อไปอยู่ดี 555 จำได้ว่ามีอยู่วันนึง ต้องรอถึง 3 ชม.เพราะมัวเดินเล่นอยู่ในตลาดนั่นเอง กว่าจะถึงบ้านก็มืดค่ำ
อยากให้รถเมล์ไทยเป็นแบบนี้บ้าง แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างทำให้ผมคิดว่า อีก 100 ปี ก็คงทำไม่ได้ แต่การห้อยโหนบนรถเมล์ไทยก็เป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งไปแล้ว กลับเมืองไทยคราวก่อน ผมอยากโหนรถเมล์มากถึงขนาดเลือกคันแน่นๆ ขึ้นเลย จะได้คิดถึงบรรยากาศเก่า 555 เชื่อว่านักท่องเที่ยวต่างชาติก็คงทึ่งเหมือนกัน ..... แต่อย่างไรก็ตามความปลอดภัยก็ต้องมาก่อน ผมเห็นคนโดนรถเมล์ทับตาย หรือตกลงมาตายบ่อยมาก เห็นแล้วก็น่าสลดใจ และหวังว่าอย่างน้อยถ้าจะต้องเบียดกัน ก็ขอให้เบียดกันอย่างปลอดภัยบ้างก็ดี...ค่าโดยสารก็ขึ้นเอาๆ เซ็งจิตครับ..
ผมนั่งรถเมล์อยู่ประมาณเกือบปี ก่อนที่จะได้ซื้อรถคันแรกในชีวิต แต่ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องรถ ในคราวต่อไปผมก็จะขอเล่าถึงบรรยากาศของโรงเรียนภาษาของผมก่อนครับ....
Create Date : 15 พฤษภาคม 2548 | | |
Last Update : 15 พฤษภาคม 2548 11:20:42 น. |
Counter : 303 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Journey in America: Chapter 3 Indian American
.....คนที่มีส่วนสำคัญให้ทางบ้านผมยัดผมใส่เครื่องมาที่อเมริกา ก็คือญาติของผม .....ญาติคนนี้เป็นพี่ที่เลี้ยงดูผมมาในอดีต ต่อมาชีวิตก็ผันผวน ได้มาทำงานที่อเมริกาด้วยวีซ่าถาวร และแต่งงานกับชาวอเมริกัน เพิ่งจะมีลูกคนแรกเมื่อต้นปีนี้เอง
ญาติผมนี่ก็อาศัยอยู่บนเขาที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อของเขตนี้ ในหน้าหนาวก็จะมีหิมะ สามารถเล่นสกีได้ ซึ่งมีน้อยที่ที่จะมีหิมะในแอลเอ มีทะเลสาบที่ใหญ่มากอยู่บนเขาด้วย คนก็เอาเจ็ตสกีเอาเรือไปเล่นกันอย่างคึกคัก ผมได้มีโอกาสขึ้นไปพักในสุดสัปดาห์แรกของผม สวยจริงๆ บ้านทุกบ้านทำจากไม้ และอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ถนนหนทางก็สะดวกสบายแต่ไม่ถึงกับไฮเทคอย่างในเมืองใหญ่ เป็นเหมือนชุมชนต่างจังหวัด ที่ต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นหมื่นเป็นแสนต่อปี ตัวดาวทาวน์เองก็มีขนาดเล็กๆ บ้านเรือนร้านค้าแต่งด้วยดอกไม้และกระเบื้องสีสวยงาม ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง (เพราะรู้สึกว่าเข้าร้านไหนเขาก็จะรู้จักญาติผมกันหมด) รู้สึกได้เหมือนมาพักผ่อนอย่างเต็มที่เพื่อเตรียมความพร้อมในการผจญชีวิตในสัปดาห์ที่สอง สัปดาห์ที่ต้องจริงจังเสียที
โอเคทีนี้จะขอเล่าความพิเศษของญาติผม (หมายถึงชาวอเมริกันที่พี่เลี้ยงของผมแต่งงานด้วย) คือเขาไม่ใช่คริสเตียน ไม่ใช่คาทอลิก และไม่ใช่ชาวพุทธ แต่เขานับถือ สปิริตที่อยู่ในธรรมชาติ แบบเดียวกับชาวอินเดียแดง หรืออเมริกันอินเดียนนับถือกัน..... ซึ่งในส่วนของพิธีกรรมนั้นผมก็ได้มีโอกาสไปเข้าร่วมอยู่บ้าง และก็รู้สึกว่าเป็นพิธีการที่ ขลัง และดูศักดิ์สิทธิ์ทีเดียว .....สถานที่ที่ทำพิธี เป็นชุมชนอนุรักษ์ที่มีชาวอเมริกันเชื้อสายแมกซิกัน ซึ่งนับถือแบบที่ผมว่าพักอยู่ โดยเขาก็อยู่อย่างสมถะมากคือ ไม่มีน้ำประปา และไฟฟ้า บ้านที่อยู่ก็เป็นลักษณธะโมเบิลโฮม แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน หัวหน้าชุมชนอยู่ที่นั่นมาหลาย 10 ปีแล้วพร้อมครอบครัว เป็นคนจิตใจดีคล้ายคนต่างจังหวัดบ้านเรา (ในความคิดผม คนต่างจังหวัดในประเทศไทยมีจิตใจดีกว่าคนในเมือง ซึ่งในความเป็นจริง ปัจจุบันทุกที่ก็คงมีทั้งคนดีและไม่ดี อยู่ที่เราจะไปเจอใครเมื่อไหร่)..... ผมก็ได้ขึ้นไปอยู่ในคืนวันเสาร์แรกในอเมริกา เป็นอเมริกาที่ไม่มีไฟ ไม่มีน้ำ อากาศตอนกลางคืนก็หนาวสุดขีด 8-9 องศา (ซึ่งถ้าเป็นตอนนี้ (หมายถึง ณ วันที่เขียนบลอกนี้) ผมไม่กลัวเท่าไหร่ .....แต่ตอนนั้นเพิ่งมาจากประเทศที่ร้อนตับแตก เลยไม่ชิน) อันนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ที่ผมขำมากๆ เลยคือการได้มาใช้ห้องน้ำที่นี่ .....สำหรับผมในอาทิตย์แรก อะไรๆ ก็เหมือนจะเป็นภาพติดตาสำหรับประเทศนี้ไปซะทั้งหมด แล้วก็ดันต้องมาใช้ห้องน้ำที่นี่ ซึ่งเป็นส้วมหลุม ..... ภูมิใจเล็กๆ ที่หลายๆคนที่มาสัมผัสประเทศอภิมหาอำนาจอย่างอเมริกา มัวแต่เดินชอปปิ้ง เยี่ยมอนุสรณ์สถานต่างๆ เที่ยวดิสนีย์ ฯลฯ แต่ผมได้ใช้ส้วมหลุม เมด อิน ยูเอส เอ .....ซึ่งมันแตกต่างจากส้วมหลุมของไทยที่ทำอย่างง่ายๆ ซึ่งผมกำลังจะบอกว่ายังไง (เพราะฉะนั้นถ้าคุณทานข้าวอยู่ ผมว่าอย่าอ่านต่อเลย)
.....หากคุณเคยเห็นส้วมหลุมในประเทศไทย มันก็จะเป็นส้วมอย่างง่ายๆ ขุดบ่อลงไป ทำขอบ เอาไม้พาดที่ปากบ่อสำหรับนั่ง เวลาใช้ก็นั่งยองๆ เหมือนส้วมซึมทั่วไป แต่ที่นี่ไม่ใช่ .....เพราะหลังจากเมื่อไหร่ไม่ทราบที่มนุษย์โลกไม่สามารถนั่งยองๆ เข้าส้วม ได้อีก ประเทศพัฒนาแล้วจึงประดิษฐ์ส้วมนั่งขึ้น ดังนั้นประเทศอเมริกาและคนอเมริกัน ไม่รู้จักส้วมนั่งยองๆ หรอกครับ ไม่ว่าส้วมเกรดไหน ก็ต้องนั่งแบบเก้าอี้ ส้วมหลุมก็เช่นกัน .....เขาจะสร้างแท่นขึ้นมา และเจาะรูแล้วเอาขอบรองนั่งชักโครกที่มากับฝาปิด แบบที่เราเห็นเขาขายๆ กัน มาติด..... อารมณ์เหมือนห้องน้ำสาธารณะธรรมดาๆ นี่เลย เพียงแต่เมื่อคุณเปิดฝาชักโครกขึ้น คุณจะพบกับความแตกต่างอย่างสุดขั้ว จากกลิ่นและพลังงานต่างๆ ที่ดันตัวขึ้นมา..... 555 สุดยอดครับ ผมได้ทดลองแล้ว ดีที่เขามีกระดาษทิชชูเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ก็ถือเป็นสิ่งแปลกๆ ที่ผมพบในประเทศเจริญอย่างที่นี่ ซึ่งก็ต้องขอบคุณญาติของผมด้วยที่พาผมมาพบสิ่งนี้.....(ซึ่งหลังจากนี้ผมก็มีโอกาสไปพบส้วมแบบนี้อีกที่หนึ่ง ซึ่งจะพูดถึงในโอกาสถัดไป)
.....กลับมาเรื่องพิธีกรรม อมเริกันอินเดียน นับถือธรรมชาติครับ ที่เรียกว่า motherearth พวกเขาถือว่าพวกเขาเกิดจากธรรมชาติโดยมีวิญญาณของสัตว์ต่างๆ และต้นไม้ใบหญ้าอยู่รอบๆ คอยปกป้อง ทุกๆปีก็จะมีพิธีขอบคุณวิญญาณเหล่านั้น เป็นพิธีใหญ่ทำกันปีละไม่กี่ครั้ง ซึ่งผมไม่มีโอกาสเห็นพิธีนี้ แต่ที่ผมจะพูดถึงคือพิธีเล็กๆ ที่จัดกันทุกอาทิตย์ และสามารถให้คนนอกเข้าร่วมได้ด้วย..... สถานที่ก็ต้องขับรถจากบ้านญาติผมไปประมาณ 3 ชั่วโมง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เรียกว่า Mahutason (ไม่แน่ใจว่าสะกดถูกไหม) อยู่เกือบถึงเขตชายแดนรัฐ California กับ Nevada ไปทางเหนือของ Palm Spring ครับ
.....พิธีที่ว่านี้จัดขึ้นในกระโจมที่จุคนได้ซัก 20 คน โดยให้คนที่สนใจเข้ามานั่งล้อมวง โดยมีประธานจะเป็นผู้ดำเนินพิธี..... ด้านนอกจะมีการเผาหินแร่ให้ร้อน และนำมาวางไว้ตรงกลางภายในกระโจม ประธานเขาก็จะตักน้ำราดลงไปบนหิน เพื่อให้เกิดไอน้ำ โดยที่เขาจะเอาเมล็ดสมุนไพรโรยลงไปด้วย กลิ่นหอมมากครับ .....ต่อไปเขาก็จะปิดกระโจมแล้วร้องเพลงของพวกเขา ซึ่งผมฟังไม่ออก แต่ก็เพราะดี .....อุณหภูมิในกระโจมร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะไอน้ำที่ไม่มีทางระบายออก ร้อนมากครับ เกิน 45 องศาแน่ๆ ผู้ชายส่วนใหญ่ที่เข้าพิธีเขาจะไม่ใส่เสื้ออยู่แล้วเพราะรู้ ส่วนผู้หญิงนี่จะไม่ใส่ก็กระไรอยู่ ร้องเพลงนึงจบก็ร้องเพลงอื่นต่อ ประมาณ 15 นาที ก็จะหยุด และเปิดกระโจมเพื่อระบายความร้อน ตัวเบาเลยครับ เพราะเสียเหงื่อไปเยอะ แต่ก็รู้สึกสบายตัวเหมือนอบซาวน่า ผมเองก็นึกว่าเสร็จแล้ว 55 ยังครับ เขาบอกว่าต้องทำแบบนี้ 4 ครั้ง เพื่อบูชาทั้ง 4 ทิศ..... โอเคเลย ระหว่างที่เปิดกระโจมนี้ เขาก็จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกล่าวถึงใครและอะไรที่เขานึกถึงอยู่ ทั้งความดีและความชั่วที่พวกเขาได้คิดและทำ หรือว่าการทำพิธีครั้งนี้เขาอยากจะอุทิศให้ใคร พอกล่าวแล้วประธานก็จะขอให้ทุกคนร่วมพิธีต่อเพื่อคนที่สมาชิกคนนั้นๆ ได้กล่าวถึง รวมถึงร่วมขอบคุณธรรมชาติด้วย .....รอบที่ 2 ผมก็ไม่เท่าไหร่ เขาถามว่าร้อนมั๊ย ไหวมั๊ย..... ผมก็บอก Bangkok ก็แบบนี้แหละ 555 เขาก็บอกดี งั้นต่อเลย .....รอบ 3 เล็บผมแดงไปหมดเลยเพราะความร้อน ต้องทำตัวแนบกับพื้นดินในกระโจมเพราะมันค่อนข้างจะเย็น.....กว่าจะครบ 4 รอบผมแทบคลาน.....จากนั้นทุกคนก็ออกมาเข้าแถมจับมือ หรือกอดกันเพื่อขอบคุณกันและกัน และร่วมทานอาหารเย็นที่สมาชิกแต่ละคนจัดมา..... ก็เป็นพิธีกรรมที่ดูไม่งมงาย ไม่สลับซับซ้อน เข้าใจและสื่อความหมายของวัตถุประสงค์ได้ง่าย และยังมีประโยชน์ (เหมือนอบสมุนไพร) อีกด้วย..... ความเชื่อของเขาที่ว่าทุกชีวิตเกิดมาจากผืนแผ่นดิน และเป็นหนี้บุญคุณธรรมชาติ ทำให้พวกเขารักธรรมชาติ และคอยปกป้องดูแลภูเขาต้นไม้รอบๆ ตัวเขา ถึงพิธีกรรมแบบนี้มันจะต้องมีเงินทองมาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ตามสมัยทุนนิยมอย่างทุกวันนี้ แต่ประโยชน์ต่อสังคมที่ได้จากกิจกรรมแบบชาวบ้านๆ เช่นพิธีกรรมในชุมชนนี้ ก็ยังมีมากกว่าการทำบุญการกุศล หรือการให้เงินเป็นล้านๆ เพื่อเชิดชูสิ่งที่ตนเคารพบูชา และอวดอ้างตนเพื่อผลประโยชน์ทางโลกเป็นไหนๆ ..... สีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส, ความเป็นกันเอง และการถ่ายทอดเรื่องราวจากรุ่นสู่รุ่น หรือจากชุมชนต่อผู้มาเยือน ทำให้ผมคิดว่าฟังชั่นของการทำอะไรก็ตามเพื่อความสุขมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย เพียงแต่ความสุขแบบนี้ในยุคของพวกเรา มันแลกมาได้ง่ายๆ ด้วยเงิน ถ้าคุณมีเงินคุณก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้อย่างง่ายๆ ....คนจึงเคยตัวและหลงใหลไปกับการซื้อความสุขอย่างทุกวันนี้ ซึ่งก็รวมทั้งผมด้วย
ความสุขจากทั้งสองแบบ (จากเงินทอง และการทำพิธีกรรมอย่างง่ายๆ) มันก็สุขเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน..... ก็ตามแต่ใครจะสะดวกแบบไหนครับ นี่ก็เป็นสิ่งดีๆ ที่น่าพูดถึง จากการที่มีญาติที่มีความเชื่อที่แตกต่าง และได้นำผมไปหาแนวคิดใหม่ๆ ไปพบสถานที่แปลกๆ และความสนุกจากการได้เรียนรู้สิ่งที่เกิดมาก็ไม่คิดว่าจะได้ไปเจอครับ
Create Date : 13 พฤษภาคม 2548 | | |
Last Update : 13 พฤษภาคม 2548 18:36:56 น. |
Counter : 343 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Journey in America: Chapter 2 Day 1
...หน้าสนามบิน LAX (เป็นชื่อเรียกของสนามบินนานาชาติ ของลอส แองเจลิส) สิ่งแรกที่ผมพบว่าประเทศไทยไม่มีคือปุ่มกดข้ามถนน (ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไปห้องน้ำ และแอบคิดว่า คนอเมริกันอาจจะใช้ส้วมไม่เหมือนบ้านเรา ซึ่งพอไปดูก็พบว่าเหมือนกัน ก็แล้วไป) กลับมาที่ปุ่มข้ามถนน จะข้ามถนนต้องกดปุ่ม เมื่อสัญญาณไฟคนข้ามสว่างขึ้น จึงข้ามได้ ซึ่งก็ทำให้ปัญหาความวุ่นวายระหว่างคนกับรถบนถนนลดลง (อันที่จริงก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคน และบทลงโทษที่เข้มงวดด้วย ถ้าเอาไปใช้ในประเทศอื่นก็อาจจะไม่ได้ผล) อีกอย่างที่พบ และยอมรับเลยว่าไม่เคยเห็นกับตาชัดๆ คือรถพวงมาลัยซ้าย สัมผัสแรกก็รู้สึกแปลกพอสมควรที่เราต้องมานั่งเฉยๆ ที่ด้านขวาของรถ ยิ่งไปกว่านั้น อะไรต่างๆ ดูกลับซ้ายกลับขวาไปหมด ทำเอาผมสับสนไม่น้อยในช่วงแรก เช่นจะข้ามถนนก็มองผิดด้านเป็นต้น
เจ้าของบ้านมีลูกสาวคนหนึ่ง (อายุ 9 ขวบในขณะนั้น อย่าคิดมาก) ซึ่งเป็นคนไทยที่เกิดที่นี่ ซึ่งแน่นอนว่าพูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๋อกว่าภาษาไทย ผมจึงมีโอกาสเรียนรู้โดยการพูดกับน้องเขา ซึ่งทำให้แม้ว่าผมจะอยู่บ้านคนไทย แต่ผมก็ได้ใช้ภาษาพอสมควร วันที่ผมไปถึงเขาก็มาด้วยกัน และบอกกับผมว่า ผมต้องไปรายงานตัวที่โรงเรียนภาษาก่อน เพราะวันที่ผมมานั้นเอกสารก็แทบจะถึงกำหนดรายงานแล้ว จากสนามบิน ผมเลยตรงดิ่งไปโรงเรียน โดยยังไม่ทันเห็นบ้านตัวเองเลย
ที่โรงเรียน เจ้าหน้าที่เป็นคนจีน แต่พูดอังกฤษ พอทราบว่าผมเพิ่งลงจากเครื่องเขาก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี และให้ผมสอบวัดระดับทันที.... สอบวัดระดับ จริงๆ ผมก็ไม่ซีเรียสหรอกกับการสอบอะไรแบบนี้ แต่นี่ผมเพิ่งนั่งเครื่องบินมา 20 ชั่วโมง และมารายงานตัวโดยที่ยังไม่ได้พักเลยซักนิดจะให้ผมสอบ ผมจะเอาสมองส่วนไหนไปคิดล่ะน่ะ จำได้ว่าผมเบลอมากๆ จะหลับให้ได้ แต่ก็ต้องทนสอบไป ซึ่งก็ปรากฏว่าได้เลเวลที่ไม่สูงนัก แต่ก็โอเคต้องทำใจ ...ที่โรงเรียน ผมมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีเด็กต่างชาติมากมาย ทั้ง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และพวกยุโรป ซึ่งผมดูไม่ออกหรอกว่า ไหนโครแอต ไหนเบลเจี้ยน เอาวะ อาทิตย์หน้าผมคงได้มาเจอพวกเขาล่ะ
หลังจากจ่ายค่าเรียนอะไรเรียบร้อยผมก็ได้กลับบ้านเสียที บ้านที่ผมพักภายในก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านเมืองไทยเท่าไหร่ แต่บรรยากาศภายนอกมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ทุกบ้านไม่มีรั้ว และปลูกหญ้าปลูกดอกไม้สวยงามมาก ซึ่งมาทราบภายหลังว่า กฎหมายของเมืองบางเมืองบังคับให้ผู้อยู่อาศัยจัดระเบียบหน้าบ้านให้สวยงาม หากหน้าบ้านไม่สวยและทำให้บรรยากาศของชุมชนไม่ดี เจ้าของบ้านอาจจะถูกปรับได้ แต่หากเจ้าของบ้านไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายดูแลได้ ทางเจ้าหน้าที่เขาก็จะมาช่วยจัดการเบื้องต้นให้ในราคาถูก ซึ่งผมว่ามันก็ดี และนี่จึงทำให้หน้าบ้านผมน่าอยู่มากๆ ญาติของผมมารออยู่ที่บ้านแล้ว และพาไปซื้อข้าวของที่จำเป็น เช่นยาสีฟัน สบู่อะไรพวกนั้น ซึ่งก็พบว่าของทุกอย่างมันแสนจะแพงจริงๆ (เมื่อเทียบกับเงินของเรา) แต่นี่ผมก็ทำใจไว้แล้ว และก็คิดว่าคงต้องประหยัดในช่วงเวลาที่เรายังไม่มีรายได้จากอเมริกา
เจ้าของบ้านกรุณาผมโดยการยกทีวี เตียงที่มีเครื่องทำความร้อน และโต๊ะตู้ต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในห้องให้ผมได้ใช้ ทำให้ผมไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ ผมนำโน๊ตบุ๊กคิดคัวไปด้วยเครื่องหนึ่ง ซึ่งในช่วงแรกก็ยังไม่มีอินเตอร์เนตใช้ อ่อ...ลืมบอกไปว่านอกจากลูกสาวเจ้าของบ้านแล้ว ยังมีหลานชายอีกคน ซึ่งอายุอ่อนกว่าผม 2 3 ปี ซึ่งคนนี้เป็นคนที่เก่งเรื่องคอมพิวเตอร์เป็นอันมาก เขาก็แนะนำว่าเมื่อมีคนมาอยู่กันหลายๆ คนเราน่าจะติด DSL หรืออินเตอร์เนตความเร็วสูง และแชร์เงินค่าบริการกัน ซึ่งผมก็โอเค...จากนั้น สองสามเดือนผมถึงมีอินเตอร์เนตใช้
คืนวันแรกในที่นอนใหม่ของหลายๆคน อาจจะพบว่านอนไม่หลับ แต่ผมหลับสนิท เหนื่อยจากการเดินทางและยังมีอะไรอีกมากให้เราต้องคิด วันแรกในอเมริกาก็พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาก็จะเป็นเช้าแรกที่จะไม่เห็นมาบุญครองแล้ว (บ้านที่เมืองไทยอยู่แถวสยาม) และจะไม่เห็นไปอีกนาน แต่จะได้เห็นอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ที่คงจะทำให้ตื่นเต้นไม่น้อย กับการเดินทางครั้งนี้ ...
Create Date : 12 พฤษภาคม 2548 | | |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2548 14:10:45 น. |
Counter : 307 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|