จะเห็นว่าเนื้อหาที่จะพูดไม่ได้สำคัญอะไรเลย แต่ถึงงั้นก็ตามก็อย่าท่องให้มันหน่อมแน้มแบบ My house is big. It is green. I have a dog. I have a cat ไปจนถึง I am เอ๊ย I have a buffolo ก็แล้วกัน ตรงนี้คนมักกลัวกันเยอะ ผมอยากจะบอกว่าเราไม่ได้คาดหวังคนที่พูดเป็นพูดเก่ง เราคาดหวังว่าคุณเตรียมตัวมาอย่างดีและกล้าพูดก็พอแล้ว ที่เหลือเราก็ไปฝึกฝนกันเอาได้ทีหลัง
ผมเชื่อว่ามีสิ่งที่เรียกว่า พรสวรรค์ - talent - gift - born to be หรืออะไรก็แล้วแต่ทำนองนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ผมให้น้ำหนักกับ "พรแสวง" มากกว่า
The "Self" is not somthing ready-made, but something in continuous formation through choice of action - John Dewey (Educator - Philosopher - Psychologist) ผมแปลเองง่ายๆว่า ความเป็น "ตัวของเรา" ไม่ใช่อะไรที่เป็นมาแต่เกิด แต่เป็นสิ่งที่สร้างสมมาได้ด้วยสิ่งที่เราเลือกทำ - นั่นแปลง่ายๆว่า you are what you eat นั่นแหละครับ จะแถๆแปลว่า สวยด้วยมีดหมอ ก็พอถูไถ ถึงจะไม่ตรงความหมายทีเดียวแต่ก็พออนุโลม
The most important thing in communication is to hear what isn't being said - Peter Drucker (Austrian born American management guru) แปลง่ายๆว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในกระบวนการสื่อสารนั้นคือการได้ยินในสิ่งที่ไม่ได้พูด (หรือเขียน - ผมเติมเอง)
นี่ครับอย่างแรกเลยของคุณสมบัติของวิศวกรสนาม พวกเราต้องมี plan B เสมอ พูดง่ายๆคือ แผนสำรอง ถ้าแผนหลักเราไปไม่ถึงดวงดาว เนื่องจากคุณสมบัติเฉพาะของงานเราคือทำงานในที่ห่างไกล ห่างฐานสนับสนุนทั้งเครื่องไม้เครื่องและคำปรึกษา เราจะต้องมี plan B ไว้เป็นนิสัย (บางทีเรียก contingency plan, แผนสำรองฉุกเฉิน, back up plan, แผนกันเหนียว และอีกหลายชื่อ) เครื่องมือสำรองอีกชุดเราต้องเตรียมไป (redundency tools/ equipments) ก็จัดอยู่ในหมวด plan B ด้วย
question word จะออกแนว "จะทำอย่างไร" ถ้าถามในอนาคตเหตุการณ์สมมุติ หรือ "เคยทำอย่างไร" ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
ถ้าชะงักหรือออกๆแนวไม่รู้หรือไม่มี plan B ปล่อยไปตามยถากรรม ผมก็จะโน้ตเล็กๆไว้ที่ CV
Fall back position
อันนี้คล้ายๆกับ Plan B แต่เป็น plan Z มีหลายชื่อเรียกกัน เช่น worst case senario, last resource เป็นต้น คือในกรณีแย่ที่สุดแล้วจะทำไง เช่น สอบที่ไหนไม่ติดเลยก็เรียนม.เปิด คือ ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้วคุณจะทำอย่างไร ทำไมคนทำงานสนามจึงต้องมีคุณสมบัติข้อนี้ครับ ก็เพราะงานของเรา คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล งานเราจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ปัจจัยนอกการควบคุมมากมายไปหมด เราต้องพร้อมที่จะรับเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดได้
ผมเคยเข้าหลักสูตร defensive driving course มีตอนหนึ่งที่ผู้ฝึกสอนสอนว่า ให้มองหาไว้ทุกวินาทีว่า ถ้าจะเกิดชนแบบ head on คือ ประสานงา เราจะหักพวงมาลัยจิ้มหลบไปจุดไหนของถนน ถึงจะเกิดความเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งก็คือ fall back position นี่เอง
ลักษณะคำถามอาจจะดู drama และเร้าอารมณ์ (กวน teen นั่นแหละครับ) สักหน่อย เช่น ถ้าเย็นนี้กลับไป ไฟไหม้บ้าน จะทำไง หรือ hard disk เจ๊ง แฟนทิ้ง ฯลฯ คำถามอะไรที่ดูตลกๆสุดขั้วๆเว่อร์ มักจะเข้าข่ายนี้ครับ
question word จะออกแนว "จะทำอย่างไร" ถ้าถามในอนาคตเหตุการณ์สมมุติ หรือ "เคยทำอย่างไร" ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
ที่สำคัญอย่าลืมความคงเส้นคงวาของตรรกะที่ใช้ด้วย เช่น คุณเคยทำ A ในอดีต เพราะเหตุผล B ถ้าเกิดเหตุการณ์ C ในอนาคตที่คล้ายกับ A คุณจะทำแบบ B ไหม ถ้าไม่ คุณต้องอธิบายให้ได้ว่า A กับ C ต่างกันอย่างไร ที่ยากคือ A กับ C เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นแล้วมีลักษณะคล้ายกัน แต่คุณดันตัดสินใจโดยใช้ตรรกะต่างกัน อันนี้ยาก เพราะคุณต้องอธิบายให้ได้ว่า สภาพแวดล้อมหรือเงื่อนไขรอบด้านมันต่างกัน เช่น ตอนนั้นไม่เรียนต่อเพราะต้องให้น้องเรียนให้จบก่อน แต่อีก 1 ปีถัดมาน้องก็ยังเรียนไม่จบ แต่ทำไมไปเรียนต่อ อะไรแบบนี้น่ะครับ
ปล. ข้อนี้ห้ามไปใช้กับแฟนนะครับ อย่าลืมว่าความรักต้องใช้หัวใจตอบ อย่าไปใช้สมองตอบเด็ดขาดว่า รักเธอชอบเธอเพราะอะไร ถ้าตอบแบบมีตรรกะแบบนั้น คุณจะโดนศอกกลับรับไม่ทัน เช่น รักเธอเพราะเธอมีลักษณะ A (A อาจจะ = น่ารัก มีเสน่ห์ พ่อรวย เอ๊กซ์ อึ่ม สบึ่มปั๊บๆ ฯลฯ อะไรก็ว่าไป) อีก 1/10000 วินาทีถัดมา เธอจะถามคุณทันทีด้วยความเร็วแสงว่า แล้วถ้าชั้นไม่มีลักษณะ A แล้ว ยังจะรักฉันไหม นี่แหละ ตอบไม่ถูกไปต่อไม่เป็นเลย เพราะคุณดันไปให้ตรรกะไว้แล้วว่า ถ้า A=B ดังนั้น C=D เธอก็จะย้อนว่า อ้าว ถ้า A ไม่ = B งั้น C ก็ไม่ = D ด้วยซิ คราวนี้ละซวย
ผมไม่ใช่ปราชญ์เรื่องพวกนี้หรอกนะครับ แต่ที่ใช้ได้ผลเสมอมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่(ปูนนี้)เวลาถูกสาวๆที่คั่วอยู่(ศัพท์สมัยผมแปลว่าจีบ)ถามว่า รัก/ชอบเธอเพราะอะไร ผมจะตอบว่า ไม่มีเหตุผล รักก็คือรัก ชอบก็คือชอบ เหมือนคนเราชอบสีที่ไม่เหมือนกัน ชอบอาหารรสชาติไม่เหมือนกัน ไม่มีตรรกะ ไม่มีผิดไม่มีถูก พูดง่ายๆคือ ไม่ไปสร้าง model ทางคณิตศาสตร์เอาไว้ว่า ถ้า A=B ดังนั้น C=D หรือพูดอีกแบบคือตูไม่มีเหตุผล ดังนั้นตอนจะเลิกจึงง่ายขึ้น เพราะตอนรักมันไม่มีเหตุผล ตอนเลิกก็ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลจริงป่ะ ในเมื่อตอนเริ่มมันไม่มีตรรกะเสียแล้ว ตอนจบมันก็ไม่ต้องมี แต่ถ้าคุณไปบอกในตอนเริ่มว่า ถ้า A=B ดังนั้น C=D คราวนี้คุณเกิดไม่อยากให้ C = D ล่ะ แต่ A มันยัง = B อยู่ ทีนี้จะเลิกยังไง ... ฮ่าๆ (อุ้ย ขอโทษที ออกทะเล อิอิ)
ผมเคยคิดแบบกำปั้นทุบดินว่า "ระดับเงินเดือนสะท้อนคุณค่าของตำแหน่งนั้นในบริษัท" ถ้าคุณค่าของงานตูกับท่าน CEO สำคัญเท่ากัน คือขาดใครไปก็ไม่ได้ งั้นทำไมเงินเดือนตู(คนขับรถ)น้อยกว่า CEO (ว่ะ)