images by free.in.th images by free.in.th
Group Blog
 
All blogs
 
นิยายหญิงรักหญิงในดวงใจฉัน : รักเดียวในดวงใจ

ฉันมีนักเขียนที่ชื่นชอบอยู่คนหนึ่ง เธอชื่อ 'ใต้เงาพระจันทร์' ฉันชอบตัวหนังสือของเธอมาก

นิยายของเธอเคยลงในบอร์ด //www.emotionway.com หรือเปล่าไม่แน่ใจ

หรือว่าจะเป็นกระดานปิงฟ้าก็จำไม่ได้แล้ว

ฉันชอบเรื่องนี้มาก 'รักเดียวในดวงใจ' ค่ะ ฉันอ่านแล้วตกหลุมรัก 'บุตรดา' ในเรื่องจังเลย ผู้หญิงอย่างนี้กระมัง คือผู้หญิงในแบบที่ฉันอยากสัมผัส อยากใกล้ชิด หรืออาจอยากจะรักด้วย

น่าเสียดายว่า เรื่องนี้หาอ่านไม่ได้อีกแล้ว ฉันพยายามค้นเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหาพบ เพราะมันนานหลายปีเต็มที

ขออนุญาตที่จะลงส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องนี้ เพื่อบอกให้คนเขียนทราบว่า มีคนรักชอบในตัวหนังสือของคุณมาก
และอยากอ่านมันอีก

ถ้าคุณใต้เงาพระจันทร์ผ่านมาพบ ขออนุญาตนะคะ ฉันไม่ได้มีเจตนาจะอะไรทั้งสิ้น นอกจากขอเก็บความทรงจำของเรื่องนี้เอาไว้ อ่านเพื่อรัก... อีกครั้งหนึ่งค่ะ

และหากคุณจะนำมาโพสท์ที่ไหนอีกครั้ง ชวนฉันไปอ่านด้วยก็จะขอบคุณมาก

เชิญอ่านส่วนหนึ่งของเรื่องรักเดียวในดวงใจ ด้านล่างนี้ค่ะ
สำหรับคนที่จะลอกไป ขออนุญาตอย่ากระทำค่ะ เพราะถือเป็นการละเมิดผู้เขียน แม้ไม่มีตำรวจไปจับคุณ แต่ขอความกรุณาให้เกียรติเจ้าของบทประพันธ์ด้วยค่ะ

ส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องนี้ค่ะ ,

............เสียงหอบกระเส่าครวญครางด้วยความรู้สึกสุขสมแผ่วลงไป ผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นๆก่อนหน้านี้ เขายังไม่ยอมพลิกตัวลงจากร่างของฉันโดยเร็วนัก หากกอดรัดเนิ่นนาน สองสามนาทีต่อจากนั้นใบหน้าของเขาเปียกฉ่ำด้วยน้ำตา

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ร้องไห้ทำไม” ฉันถามด้วยความแปลกใจเพราะไม่เคยเจอใครที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างนี้หลังการร่วมรัก มั่นใจว่าเขาน่าจะมีความสุข

“เปล่า” เขาชอบพูดคำนี้ก่อนเสมอ แต่ก็มักจะมีคำอธิบายตามมาทุกครั้ง “ผมแค่มีความสุขอย่างที่อธิบายให้ใครฟังไม่ถูก คุณไม่เหมือนใครและผมไม่เคยเจอใครอย่างคุณมาก่อน” เขาตอบ พลางเช็ดน้ำตาให้แห้ง ยิ้มอวดลักยิ้ม “น่าอายที่ร้องไห้ให้ใครเห็น แต่ผมอยากจะคิดว่าคนอ่อนโยนอย่างคุณคงไม่มองว่าผมทำอะไรตลก ประหลาด”

“คุณร้องไห้อย่างนี้ทุกครั้งหรือเปล่า เวลามีความสัมพันธ์กับใคร” ฉันถามต่อ ยังคงเป็นความน่าฉงนสนเท่ห์สำหรับฉันในตัวเขา เกือบลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนฉันก็เคยเป็นแบบนี้เวลาอยู่กับใครคนหนึ่ง แค่กอดร่างเล็กๆ นั่นน้ำตามาจากไหนไม่รู้ เอ่อท้นจนมองทุกอย่างพร่าเลือน

“กับคนอื่นผมไม่เคยเป็นแบบนี้ อาจอ่อนไหวแต่ไม่ได้เป็นกับทุกคน” เขาตอบ ด้วยแววตาจริงจัง เขาดูเหมือนหนุ่มน้อยมากกว่าชายหนุ่มวัยต้นสามสิบ ฉันเผลอมองเขาอย่างไม่อาจละสายตา “บางที คนอื่นที่ผมเจอไม่อ่อนโยนเหมือนคุณ คุณทำให้ผมรู้สึกว่าการมาพบกันของเรามีอะไรมากกว่าการเจอกันของคนขี้เหงาสองคน”

“หมายถึง เราอาจสานต่อความสัมพันธ์ให้ยั่งยืน ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันตลอดไปอย่างนั้นนะหรือ” ฉันถามเขาอย่างขมขื่นอยู่ในใจ ขณะแสร้งเอ่ยออกมาอย่างจะให้ตลกเพื่อกลบเกลื่อนว่า “หมายถึง เราอาจมีอะไรกันมากกว่านี้ เร่าร้อนและถึงอกถึงใจกว่าใครในโลกจะเคยทำหรือไง” ฉันพลิกตัวอ้อยอิ่งอยู่บนเตียง

“คุณชอบพูดเล่น เราทำอย่างนั้นกันแล้ว หรือถึงจะไม่ได้ถึงอกถึงใจที่สุดอย่างที่ใครบางคนในโลกเคยทำ แต่เราก็มีความสุขด้วยกันไม่ใช่เหรอ” เขากล่าวด้วยท่าทางจริงจัง ดวงตาฉาบรอยยิ้มสดใส ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อไปอีก แต่ฉันไม่คิดอยากรับรู้ในตอนนี้ ความขมขื่นวาบขึ้นมาในใจ ทำไมคนที่พูดเรื่องนี้ตอนนี้ถึงไม่ใช่คนรักของฉัน

“คนที่พูดอย่างนี้ ไม่น่าจะเป็นคุณ” ฉันเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

ดวงตาของเขาส่งประกายฉงน ความผิดหวังฉายวาบ ฉันไม่น่าทำร้ายเขา ฉันไม่อยากทำร้ายใครแต่เขาไม่ควรข้ามเส้น ไม่ควรก้าวล่วงอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความรู้สึกของฉัน

ฉันพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียง เดินไปควานหาน้ำดื่มจากในตู้เย็น สะบัดศีรษะคลายความเมื่อยขบ เก็บสีหน้า

“คุณมีคนรักอยู่แล้ว” น้ำเสียงเขาเป็นปกติ เอ่ยสิ่งที่คาดรู้ออกมา ไม่ทิ้งร่องรอยผิดหวังใดๆ “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับความรักหรือคนรักของคุณ”

“อย่าอยากรู้เลย ไม่งั้นเราอาจจะไม่ได้พบกันอีก” ฉันกระตุกวูบในใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว มันส่งความหมายว่าคนพูดพร้อมจะจากไปในทันที หากคนฟังยังคิดจะคะยั้นคะยอ

ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้กับเขา แม้เราจะพบกันมาหลายครั้งและคุ้นเคยกันพอสมควร ร่องรอยในใจของฉันมันลึกขนาดนั้น กับเวลาเพียงไม่นานที่ได้เจอคนคนนี้ เขาฝันไปหรือยังไงที่คิดว่าฉันจะลืมมันได้

“ผมยังอยากพบคุณอีก เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่ยังอยากเล่า ก็ไม่เป็นไร” เขาพูดอย่างนึกรู้และเข้าใจในเหตุผลที่ฉันมี พลางหัวเราะเบาๆ “คุณเป็นคนแปลก บางครั้งเหมือนต้องการใครสักคนเคียงข้าง แต่ในบางครั้ง คุณกลับเตรียมพร้อมจะจากไปได้ทุกเวลา” เขานอนตะแคงหันมาหาตั้งท่าคุยจริงจัง “จะมีใครสักคนไหมที่ทำให้คุณนึกอยากหยุดทุกสิ่ง และวางทุกอย่างไว้บนอุ้งมือเขา” เขาพูดต่อโดยไม่รอฟังว่าฉันจะตอบว่ายังไง “คุณไม่คิดอยากเดินไปข้างหน้าโดยมีใครสักคนอยู่เคียงข้างบ้างหรือ”

“คุณพูดได้น่าสนใจ ว่าแต่ว่า ยังไม่คิดจะกลับหรือไง พอดี นึกอยากทำงานขึ้นมากระทันหันน่ะ” ฉันเอ่ยถามเป็นเชิงไล่เสียดื้อๆ อย่างไม่คิดต่อปากต่อคำกับสิ่งที่เขาเพิ่งเอ่ย “มะรืนนี้คุณว่างหรือเปล่า อยากไปเที่ยวต่างจังหวัดไหม จะไปหาเรื่องสักหน่อย" เขาชะงักพร้อมแววตาส่งประกายฉงน ฉันจ้องตอบเขาแล้วยิ้มกว้างแกมหัวเราะเบาๆ ด้วยประกายตาวิบวับยั่วล้อ “ไปหาที่เขียนหนังสือ” เขาดูซื่อใสอย่างหนุ่มน้อย

“อ๋อ” เขาลากเสียงยาวอย่างนึกเข้าใจขึ้นมา มองฉันไม่วางตา “เอาสิ ผมไปอยู่เป็นเพื่อนคุณ ไปคอยกันท่าคนอื่นก็ยังดี” ท้ายประโยคพูดเสียงเบาก่อนหลบตาเหมือนไม่อยากให้ฉันได้ยิน

“มีคนอื่นที่ไหน ถ้าคุณไปก็มีเราแค่สองคนเท่านั้นเอง” ฉันตอบเขาอย่างไม่ใส่ใจ พลางก้าวเท้าเข้าสู่ห้องน้ำ หันกลับมาพูดเย้ายั่ว “เอ หรือไปหาเพื่อนใหม่เอาข้างหน้าดี” “ไม่ต้องหรอก ไปสองคนน่ะดีแล้ว” เขารีบพูดโดยไวอย่างกลัวฉันจะเปลี่ยนใจ “ขออาบน้ำด้วยคน” ใบหน้าและแววตาเขาเปล่งประกายระยิบระยับ ทั้งเป็นสุขและซุกซน

“ฮื้อ ยังไม่เบื่อหรือไงนะ” ฉันทำอิดออด แต่แล้วก็ปล่อยให้เขาก้าวเข้ามาเบียดชิดกันในห้องน้ำแต่โดยดี

เราออกจากกรุงเทพฯตอนสามทุ่ม เครื่องปรับอากาศภายในรถทำงานได้ดีเยี่ยมจนต้องหาเสื้อแจ็คเก็ตมาสวมทับเมื่อล่วงเข้าสู่เช้าวันใหม่แถวๆ ชุมพร กันย์ขับรถเร็วในบางช่วงเมื่อถนนว่างโล่ง หากระมัดระวังเมื่อรถคันอื่นผ่านเข้ามาใช้ทางร่วมกับเรา ถึงครึ่งทาง ฉันเปลี่ยนมาเป็นคนขับบ้างเพื่อให้เขาได้พักผ่อนเนื่องจากหนทางค่อนข้างไกลแม้เขายืนยันจะขับเองตลอดทาง แม้ในบางอารมณ์จะอยากให้ใครสักคนใส่ใจ แต่ฉันชินกับการทำอะไรด้วยตัวเอง อยากรู้เหมือนกันตอนอายุมากๆ สังขารไม่เหมือนตอนนี้จะมีใครคิดอยากมาดูแลฉันหรือเปล่า ไม่ค่อยอยากคิดจะอยู่จนแก่ อยู่คนเดียวไปจนอายุปูนนั้นเป็นเรื่องน่าวิตก ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความเหงาและการต้องมีชีวิตอยู่อย่างว่างเปล่า โดยที่สภาพร่างกายไม่เอื้อให้ทำอะไรได้อีก

เรามาถึงที่หมายเกือบ ๙โมงเช้า แดดยังไม่แผดแสงจ้าอย่างที่จะทำให้แสบผิว ถึงบางเวลาฉันจะรักแสงแดด แต่ก็ไม่กระโจนเข้าใส่เหมือนเมื่อยังเด็ก แสงแดดเดี๋ยวนี้ ไม่ปราณีผิวหนังบางๆ ของคนเหมือนเมื่อก่อน โลกร้อนขึ้น

เราชวนกันเดินรับลมยามเช้าที่ชายหาด หากเจอร้านน่านั่งสักที่ก็จะปักหลักทานอาหารเช้ากันที่นั่น ฉันไม่ได้ตื่นมาทานอาหารเช้าตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จะด้วยเป็นคนนอนดึกตื่นสายเอง หรือไม่ก็ลืมไปแล้วว่าอาจทำตามสมัยนิยม

ชายหาดสวย อากาศกำลังเย็นสบายออกชื้นๆ เมื่อคืนฝนคงตก ทั้งที่ตอนเปลี่ยนมาขับแทนเขา ฉันไม่ได้เจอฝนสักหยด อาจตกมาตั้งแต่หัวค่ำ แต่สถานที่ที่อยู่ใกล้ทะเลอย่างนี้ ความชื้นคงมากเกินกว่าผืนทรายจะทันเช็ดเนื้อเช็ดตัวได้สนิท รับการมาเยือนของอาคันตุกะต่างถิ่น ท้องฟ้ายังขาวแผ่นเมฆสีขุ่นเหมือนผ้าเช็ดตัวผืนเก่าเปียกหมาด

คนเดินข้างๆ คว้ามือฉันไปจับให้เดินเคียงกัน ฉันปล่อยไปอย่างนั้น ในใจกลับหวนคิดถึงผู้หญิงตัวเล็กที่เคยเดินข้างกันในอากัปกิริยาเดียว หากต่างสถานที่ แม้เวลาจะผ่านไป ฉันก็ยังคิดถึงและแปลบในใจเสมอ เมื่อต้องเผชิญความจริงเพียงลำพังว่า บัดนี้ ไม่มีเธอคนนั้นแล้ว

“คุณทำโรแมนติก” ฉันพยายามดึงความสนใจมาสู่คนข้างๆ กระนั้นน้ำเสียงที่พูดกับเขาก็ยังเรียบจนตัวเองรู้สึกได้ แล้วคนข้างๆ จะสัมผัสความเรียบเฉยนั้นไหมหนอ
“คิดว่าคุณกำลังปล่อยอารมณ์ตามสบาย เลยถือโอกาส” เขาพูด พร้อมส่งยิ้มกว้างให้อย่างอารมณ์ดี
“กล้าจังนะ ไม่กลัวใครจะมองแล้วนินทาเอาเหรอ”
“ทำไมต้องสนใจ” เขาตอบสั้นๆ ไม่มีความกังวลในน้ำเสียง ติดจะร่าเริงเสียด้วยซ้ำ “อยู่กับคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ คุณต่างหากที่ผมต้องแคร์ ไม่ใช่คนพวกนั้น”
คนรักของฉันไม่เคยเอ่ยสิ่งที่เขากำลังพูดทั้งที่ฉันปรารถนาเป็นที่สุด มีคนรอบข้างมากมายที่ต้องแคร์สายตาและคำพูดยกเว้นฉันทำไมฉันไม่เจอเขาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าที่ฉันจะรักจะผูกพันคนคนหนึ่งอย่างสุดหัวใจ ฉันอาจรักเขาได้ไม่ยาก

กันย์เป็นคนที่ฉันไม่อยากเชื่อว่าจะได้พบ กล้าที่จะเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาแม้อาจคาดเดาได้โดยไม่ต้องบอกว่าฉันมีใครคนหนึ่งเก็บลึกเร้นอยู่ในใจ ดูเขามีความสุขที่ได้ใส่ใจใครสักคน ความสัมพันธ์ที่เริ่มจากความเป็นเพื่อน ทำให้ฉันยินดีจะเข้าใจสิ่งที่เขากำลังทำ

มื้อเช้าของเราจบลงอย่างรวดเร็ว “วันนี้เราไปเกาะนางยวนกันก่อนนะ หวังว่างานของคุณคงไม่รีบมาก” เขาเอ่ยชวนกระตือรือร้น น้ำเสียงร่าเริง “ก็ไม่ได้รีบขนาดนั้นหรอก…” ฉันตอบแล้วชะงักไป เสียงโทรศัพท์ดัง มีคนโทรเข้ามือถือ คนที่ฉันไม่ได้นึกฝันว่าจะโทรมา

“บุตร…ตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ” เสียงปลายสายอ่อนใส น้ำเสียงเว้าวอนแม้ไม่ได้งอนง้อ แต่ใครเล่าได้ยินเสียงนั้นจะตอบกลับห้วนๆ ได้ หันมามองคนตรงหน้าอย่างเกรงใจ เขาพยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปยกกล้องถ่ายรูปที่ถือติดมือมา กวาดไปยังทิวทัศน์รอบข้าง ฉันมองตามอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี นอกจากตอบกลับคนที่รอฟังอยู่

“ฝัน....เอ่อ ตอนนี้อยู่สมุย” น้ำเสียงฉันอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว คนของหัวใจโทรมา เธอโทรมาแล้วหลังจากที่เงียบหายไป นานแล้ว นานพอจะทำให้ฉันได้พบใครคนอื่น คนที่ฉันมองตามแผ่นหลังอยู่ตอนนี้ “ฝัน สบายดีใช่ไหม ไม่ได้คุยกันตั้งนาน” เหมือนแค่คนรู้จักทักทายกัน ทั้งที่ฉันอยากเอ่ยถามเธออย่างคนสนิท อย่างคนที่เป็นที่รัก ที่วันเวลาไม่อาจทำให้ตัวตนของเราเปลี่ยนไป

“ฝัน….คิดถึง” ฉันยืนงงกับกับคำพูดนั้น วันหนึ่ง เหมือนฝันเดินไปจากชีวิตฉัน อีกวันหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาบอกว่าคิดถึง เหมือนเคย เธอยังคงทำให้ฉันสับสนด้วยคาดไม่ถึงได้อยู่เสมอ ถ้อยคำน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยคำคิดถึงนั่นยังมีอิทธิพลเหนือจิตใจ ฉันรีบเตือนตัวเองให้นึกถึงนเวลาที่ต้องเสียใจอยู่คนเดียว

“ขอบคุณที่คิดถึง เอ่อ…ฝันมีธุระอะไรหรือเปล่า” ถามห้วนๆ สั้นๆ แล้วตัวเองก็แปลบในใจ ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ต้องถามเธอด้วยประโยคอย่างคนแปลกหน้าจะใช้ต่อกัน เหมือนเพิ่งรู้จักเมื่อวันวาน เธอเงียบไปชั่วขณะ ฉันอธิบายต่อสั้นๆ “รอเรือไปเกาะนางยวนอยู่น่ะ”

“ท่าทางบุตรจะยุ่ง ไปเที่ยวหรือทำงานคะ” ถ้าเป็นเธอที่มาด้วย มาอยู่ข้างๆ กัน ได้อยู่ด้วยกันอย่างที่โลกนี้มีเราเพียงสองคน

“ก็ ทั้งสองอย่าง” ไม่รู้จะอธิบายอะไรอีก กลายเป็นระมัดระวังที่จะเผยความเป็นไปของตัวเองให้เหมือนฝันรู้ กลัวตัวเองจะใจอ่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงเร่งเร้าให้เหมือนฝันมาหา ออดพร่ำคำหวานใส่โทรศัพท์ ยามนั้นเวลาที่จะอยู่ด้วยกันตามลำพังในที่ห่างไกลสายตาคนรู้จักเป็นสิ่งมีค่าเหลือเกิน

“บุตร…” จู่ๆ น้ำเสียงเธอก็กลายเป็นสั่นเครือ “ฝันคิดถึงบุตรนะ อยากขอโทษ อยากอธิบาย…..”

'ลืมอะไรไปหรือเปล่า' ฉันแค่นเสียงถามตัวเองในใจ ‘เหมือนฝันแต่งงานแล้วนะ’ ความคิดเวียนวนที่ว่าคนปลายสายมีเจ้าของแล้ว กวนตะกอนอารมณ์ที่เก็บกดเอาไว้ลึกล้ำให้ขุ่นจนคลั่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “โทรมาหาเราอย่างนี้ สามีฝันไม่ว่าอะไรเหรอ” น้ำเสียงประชดประชันและสรรพนามที่ใช้เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว

“บุตร!” น้ำเสียงเครือสั่นส่งสำเนียงตัดพ้อ ได้ยินอย่างนั้น ใจฉันพลอยปั่นป่วนรวนรอนตามไปด้วย

“ไม่มีใครจะว่าอะไรฝันได้อีกแล้ว ไม่ได้มาขอให้บุตรยกโทษให้ แค่อยากให้เราคุยกันได้เหมือนเดิม” เสียงเหมือนฝันสั่นเครือ อู้อี้จนฟังแทบไม่รู้เรื่อง น้ำตาคงนองสองแก้ม ใจเธอกำลังสลายอยู่หรือเปล่า จะรู้ไหมหนอว่าได้ยินเสียงคนที่รักเป็นอย่างนั้น ใจก็แทบจะขาดตามไปด้วย

“ฝันไม่ให้บุตรตั้งตัวเลยนะเนี่ย” น้ำเสียงฉันส่งสำเนียงเย้ยหยันประชดประชันอยู่ในนั้นเต็มที่ “จู่ๆ วันหนึ่งก็โทรมา หลังจากที่หายไปนานแสนนาน ไปแต่งงาน ไม่ติดต่อ ไม่สนใจ แค่ความเป็นเพื่อนก็ดูเหมือนฝันจะเรียกคืนกลับไปหมด ทิ้งคนคนหนึ่งให้อยู่ลำพังในโลกที่ทั้งมืดมน เดียวดาย อ้างว้างจนความตายกับความเป็นไม่แตกต่าง นรกคงหน้าตาอย่างนั้นเองล่ะมั้ง ไม่ต้องตายจริงๆ ก็พอมองเห็นว่ามันเป็นยังไง” ฉันปลดปล่อยความเจ็บปวดในใจออกมาอย่างไม่พักหายใจ

“โธ่ บุตร ฝันผิดเอง” เสียงเหมือนฝันเครือ บ่งบอกความสะเทือนใจข้างใน “ที่โทรมาก็แค่หวังว่าบุตรจะยังยินดีเป็นเพื่อนกับฝันอยู่ ใครคนหนึ่งเคยบอกฝันให้มีหวังอยู่เสมอ แม้ความหวังนั้นจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม และนี่ฝันก็โทรมาด้วยความหวังที่มีอยู่น้อยนิด” เสียงเหมือนฝันอู้อี้ อดีตคนรักเป็นผู้หญิงร่าเริง เข้มแข็ง แม้เธอจะเคยร้องไห้กับฉันบ้างแต่ไม่ชอบน้ำตาและความเศร้า ในขณะที่ฉันช่างเหงาและมีหัวใจหม่นเศร้าจนเคยชิน เพิ่งรู้ตัวว่าความเหงากลับมาเยี่ยมเยียนก็เมื่อเหมือนฝันจากไป

“ฝัน…” ฉันไม่รู้จะเอ่ยถ้อยคำใดเป็นการปลอบใจได้อีก นอกจากนิ่งฟังที่เหมือนฝันพูด หากไม่อึดอัดใจเกินทนเหมือนฝันจะไม่ระบายความรู้สึกอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเหมือนฝันกันแน่นะ

“คุณ…” กันย์เดินกลับมา “ขอโทษนะ ไม่อยากขัดจังหวะ แต่เรือจะออกแล้วล่ะ” สีหน้าเขาเฉยเสียจนฉันไม่อาจเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่ หัวสมองฉันพลันว่างเปล่า มึนงง เมื่อมองเห็นคนคนตรงหน้า

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ที่ฉันคุยกับเหมือนฝัน เหมือนโลกหยุดหมุน แต่มันคงนานจนเขาต้องมาตาม

“บุตรคงต้องไปแล้วล่ะ ฝัน เรือรออยู่” ฉันพูดตัดบทเหมือนคนละเมอ ในใจเริ่มไม่เป็นสุขเพราะอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ ขณะที่ละล้าละลังกับคนที่เดินมาตาม

“จ้ะ ไปเถอะ คนของบุตรคงรอนานแล้ว” เสียงเบาอ่อนเรียบเจือแววโหยไห้บอกความท้อแท้ของผู้หญิงตัวเล็กปลายสาย ทำใจฉันไหวยวบ อ่อนลงแทบละลาย มองเห็นไหล่เล็กจะไหวโยนด้วยแรงสะอื้น เหมือนฝันจะซบซับน้ำตากับไหล่ใคร สามีของเหมือนฝันล่ะ ไปไหนแล้ว

“ฝัน ไว้บุตรโทรกลับ เบอร์นี้ใช่ไหม” ฉันถามอย่างพะว้าพะวัง ไม่ทันมีคำอธิบายให้ความเข้าใจของเหมือนฝันกับคำว่า ‘คนของบุตร’

“ฮื่อ” เธอตอบเสียงอู้อี้ “เที่ยวให้สนุก…เผื่อ…ให้สนุกก็แล้วกัน” ดูเธอไม่มั่นใจว่าควรจะรวมตัวเองให้เป็นคนใกลักับฉันพอที่จะให้เที่ยวเผื่อหรือไม่

ฉันยิ้มออกมาได้ทั้งที่เพิ่งจะขมวดคิ้วทำเสียงดุใส่คนของอดีต “จะเที่ยวเผื่อฝัน จะเที่ยวให้สนุก ให้ฝันได้สนุกไปด้วยแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันตรงนี้” ฉันอยากซับน้ำตาเธอ แม้เราจะอยู่ไกลกันในตอนนี้ แค่คำที่พูดหวังจะให้เธอสบายใจขึ้น อยากให้เธอมั่นใจว่าฉันจะโทรกลับไปหาเธอแน่นอน

“จะรอโทรศัพท์บุตรนะจ้ะ” คนดีของฉันยังใช้คำพูดจ๊ะจ๋าเหมือนที่เราเคยใช้เวลาพูดกัน คำพูดที่ฉันไม่ใช้กับใครอื่นนอกจากคนในครอบครัว เหมือนฝันทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองก็อ่อนโยนเป็น

เรือแล่นเข้าเทียบท่า เขายื่นมือมารับ ฉุดให้ขึ้นจากเรืออีกครั้ง ไม่ยอมปล่อยแม้เมื่อเดินหารถโดยสารเพื่อไปยังอีกหาดหนึ่ง

“ปล่อยได้แล้วมั้งคุณ เดินไม่สะดวกเลย” ฉันชักรู้สึกอึดอัดกับการเอาอกเอาใจ

“ผมถือของให้” เขาทำไม่รู้ไม่ชี้ ดึงสัมภาระฉันไปถือเสียเองหากมือก็ยังกุมมือฉันให้เดินไปด้วยกัน ฉันแกล้งถอนหายใจให้กันย์ได้ยิน

แรกเขาตั้งใจจะออกไปดำน้ำแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ “กลัวแดด” แกล้งพูดล้อเลียนฉันเสียอย่างนั้นเอง ครั้งก่อนที่มา แสงแดดก็แรงอย่างนี้ แผดจ้าอย่างกับจะทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสุกได้ ครั้งนั้นเหมือนฝันเดินย่องเป็นนกกระยางท่าทางน่าหัวเราะอยู่บนผืนทราย ฉันมองว่าน่าดูเสียเหลือเกินด้วยช่วงขาเพรียวยาวสมส่วนใต้กางเกงขาสั้นสีชมพูสด ผ้าบาติคผืนใหญ่บังเราสองคนจากสายตาคนรอบข้างเมื่อเหมือนฝันล้มลงให้ได้ประคอง แก้มนุ่มๆ อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก กลิ่นหอมหวานและความรู้สึกที่เต็มหัวใจยังลอยวน ราวกับเพิ่งได้จรดจมูกลงบนแก้มนวลไปเมื่อวาน เจ้าตัวหน้าบึ้งและไม่ยอมพูดกับฉันไปหลายชั่วโมง

“อยากชวนคุณอาบแดดประชันกับบาร์บีคิวฝรั่ง” เสียงเขาชวนคุยดังอยู่ข้างหู ฉันปรายตามองฝรั่งที่นอนอาบแดดเป็นแถวในชุดว่ายน้ำหลากสี มองดูเหมือนบาร์บีคิว สีแดงนั่นก็มะเขือเทศ สีเขียวเป็นพริกหวาน ส่วนสีเหลืองก็สับปะรด แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“เชิญคุณตามสบาย ฉันกลัวเป็นมะเร็ง” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง ไม่อยากจ้องตอบสายตาเขา แสงแดดสะท้อนผิวน้ำจ้าเกินไป เออ ถ้าไม่คิดจะอยู่จนแก่ตาย จะกลัวทำไมกับมะเร็งผิวหนัง ฉันเลิกคิดจะอยู่จนแก่ตายตอนที่ไม่มีเหมือนฝันอีกแล้ว ถูกทิ้งไปโดยไม่ทันตั้งตัว มันสับสน เคว้งคว้าง โลกทั้งโลกหมุนเร็วจี๋ มึนงงจนคิดอะไรไม่ออกเมื่อรู้แน่แล้วว่า คนที่รัก ไม่รัก ไม่ห่วงฉันอีกต่อไป น้ำตาไหลไม่ยอมหยุด หากเป็นเลือด ร่างกายคงไม่เหลืออะไรแล้ว ด้วยว่าไหลหลั่งจนกายเหือดแห้ง

แต่แล้ววันนี้ฉันก็ยังยืนอยู่ตรงนี้กับใครอีกคน ไม่ยักตายลงไปจริงๆ

เราพากันเดินทอดน่องบนหาดทรายที่เชื่อมต่อสามเกาะเล็กๆ ให้เดินถึงกันได้ กันย์ชูกล้องที่คล้องคอเอาไว้ ทำท่าชวนขึ้นไปยังจุดชมวิวเพื่อถ่ายภาพของหาดและเกาะทั้งสามในมุมสูง ระหว่างทางเดินขึ้น ฝนที่ตกทำให้พื้นดินแฉะเดินลำบาก เขาหยุดคอยส่งมือให้ฉันเกาะเป็นพักๆ แต่ฉันปฏิเสธเพราะยังพยุงตัวเอาไว้ได้ด้วยกิ่งไม้ข้างทาง แอบเห็นแววเอือมระอาในสายตาเขา “คนเก่ง” ว่าคนอื่นได้คงสาแก่ใจสินั่น ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินยิ้มนำทางโดยทิ้งระยะไม่ห่าง พลางเก็บภาพตามทางขึ้น

ฉันมองตามแผ่นหลังสูงๆ ที่เดินนำหน้าขึ้นไป ในใจหม่นหมองลงทุกทีนับแต่ได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงตัวเล็กที่กำหัวใจฉันเอาไว้ไม่เคยปล่อย มาบัดนี้ เธอคิดจะกลับมารัดรึงให้มันแหลกลงต่อหน้าอีกหรืออย่างไร ดูราวกับฉันจะรู้ตัวดี ว่าไม่อาจขัดขืนเหมือนฝันได้อีกตามเคย อย่างที่ไม่เคยทำได้ แล้วก็นึกเห็นใจคนตรงหน้า เขาไม่ผิดอะไรสักนิด แต่เป็นฉันที่ยังเลิกรักเหมือนฝันไม่ได้ นานแค่ไหนแล้วที่จากกัน ดูเอาเถอะ เวลาไม่ช่วยฉันให้ลืมความรักของเราได้ง่ายอย่างที่คิด

กี่ปีแล้วนะที่ได้รู้จัก ได้รัก ได้ใกล้ชิดคนที่น่าปรารถนาที่สุดในโลก คนที่ดูเหมือนเกิดมาเพื่อให้ฉันได้รัก คนที่ฉันวาดหวังไว้ว่าเราจะใช้ชีวิตด้วยกัน ความฝันเรียบง่ายเหมือนใครๆ ทั้งโลก เพียงแต่ว่า…

ผู้หญิงตัวเล็ก ปลายผมไล่เลื้อยอยู่ที่ต้นคอขาวผ่อง เร้าอารมณ์ให้เตลิดเปิดเปิงยามซุกซบลงหาไออุ่น จมูกเชิดรั้นบอกความดื้อดึงเอาแต่ใจ เธอเอาแต่ใจให้ฉันต้องตามใจอยู่เสมอ แปลกที่ไม่เป็นกับคนอื่น ก็คงเพราะรู้ว่าฉันรักมากอย่างนั้น เราต่างมีกันและกัน นานเสียจนนึกไม่ออกว่าหากไม่มีอีกคน ชีวิตจะดำเนินไปได้อย่างไร

ทางบ้านของเหมือนฝันระแคะระคายในความสัมพันธ์ของเรา ไม่ได้กีดกันอย่างชัดเจนแต่ก็ปฏิบัติต่อฉันต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ของลูกสาวคนเล็ก ไม่สนิทสนม ไม่เคยถามถึงอย่างเป็นกันเอง และเหมือนฝันก็ไม่เคยเอ่ยถึงให้ฉันรู้ว่าที่บ้านเธอกล่าวถึงฉันว่าอย่างไร เหมือนฝันฉลาดและมีความคิดเป็นของตัวเอง ใครก็ไม่อาจชักนำได้แม้แต่ที่บ้านของเธอเอง

การแต่งงานจะเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าเหมือนฝันไม่ยินยอม หากเธอยืนยันในคำปฏิเสธ ที่บ้านก็บังคับไม่ได้ นั่นทำให้ฉันตรอมตรม สิ้นหวัง เหมือนฝันเลือกที่จะมีใครอีกคนเพียงเพราะเขาเป็นผู้ชาย เป็นคนที่แต่งงานด้วยได้โดยไม่ต้องคอยหวั่นเกรงคำดิฉินนินทาจากผู้คนในสังคม ความรักล้ำลึกสุดใจของผู้หญิงคนหนึ่งไม่อาจเทียบได้กับการได้แต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง เพียงเพื่อจะได้ไม่แตกต่างจากคนอื่นในโลก

“อ้าว ยังไม่อาบน้ำหรือคุณ” กันย์กลับเข้ามาจากระเบียง หน้าตาแดงก่ำ

“อืม” ฉันส่งเสียงบอกให้รู้ว่าได้ยินที่เขาพูด ในขณะที่ยังง่วนกับการพิมพ์ตัวหนังสือตรงหน้า ควันบุหรี่อ้อยอิ่งจากที่เขี่ยบุหรี่เพิ่งจางลง

“คุณนี่สมาธิเยี่ยมยอด” ลมหายใจของเขากรุ่นแอลกอฮอล์เมื่อชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ก่อนถือโอกาสจรดจมูกลงที่แก้มของฉัน

“คุณก็ไม่แพ้ฉันหรอก ใจจดใจจ่อ ไม่ละไม่เว้นแม้แต่คนที่กำลังทำงานยุ่งอยู่” ฉันพูดเหมือนเอ็ดหากน้ำเสียงไม่จริงจัง กระนั้นยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองเขาอยู่ดี ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เพิ่งรู้ตัวว่ามัวแต่พิมพ์อะไรไปเรื่อย จนลืมดื่มน้ำที่รินเอามาวางไว้ให้

“คุณ พระจันทร์สวยนะ มาดูด้วยกันตรงนี้ดีกว่า” เสียงเขาดังมาจากระเบียงอีกครั้ง ฉันลุกออกไปหา ด้วยนึกเรื่องเขียนต่อไม่ออก งานที่ทำแม้จะไม่ต้องสังกัดสำนักพิมพ์ไหน ไม่ต้องเข้าสำนักงานเป็นเวลาเหมือนคนอื่นๆ หากการเขียนก็ดึงเอาพลังงานไปเกือบหมดตัวทุกครั้ง

พระจันทร์ดวงกลมโต ส่องแสงนวลเยือกเย็น ให้ความรู้สึกของผู้หญิงสง่า งดงาม ทว่าแสนเศร้าคนหนึ่ง

“เหมือนคุณ” เสียงเขาดังขึ้น หลังจากฉันเอนกายลงนอนเคียง “พระจันทร์น่ะ เหมือนคุณ”

“ไม่หรอก พระจันทร์สวยเกินไป เศร้าเกินไป” ฉันตอบเสียงหม่น คิดอะไรบางอย่าง

“เอ่อ เดี๋ยวมานะคะ กันย์ ฉันจะลงไปที่ล็อบบี้สักหน่อย คุณอยากได้อะไรไหม” ฉันลุกขึ้นพรวดพราดเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

เขาทำหน้าฉงนเล็กน้อย หากไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจาก “ตามสบาย คุณ เอาโทรศัพท์ไปด้วยนะ เผื่อโดนฉุด จะได้ไปช่วยทัน” แล้วก็เบือนสายตากลับไปมองพระจันทร์ตามเดิม ฉันไม่อาจรู้ได้แล้วว่าเขารู้ “อะไร” ที่ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ทันทีเดี๋ยวนั้นหรือไม่

“จะรีบกลับมาค่ะ ไม่นานหรอก” พูดเหมือนให้สัญญาทั้งที่เขาไม่ได้ร้องขอ อย่างน้อย มาด้วยกัน ฉันควรต้องแคร์ความรู้สึกของกันย์บ้าง “……” คิดอยากพูดอะไรต่อ เพื่อทำให้เขาสบายใจ หันรีหันขวาง ไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า จนรำคาญตัวเอง คว้าโทรศัพท์มือถือเดินไปเปิดประตูแล้วก้าวออกไปโดยไม่หันมามองคนที่นอนอยู่ตรงระเบียง
………………………………………………….

ฉันกดเบอร์โทรศัพท์ที่รับเมื่อตอนสาย สัญญาณบอกว่าโทรศัพท์ติดแล้ว หากไม่มีใครรับ ฉันวางหู คิดชั่งใจระหว่างการโทรกลับไปอีกครั้ง กับการหาอะไรดื่มเย็นๆ ก่อนกลับไปที่ห้อง ห้องที่มีกันย์รออยู่

โทรศัพท์ดังขึ้น เบอร์ที่ฉันเพิ่งเรียกไป “ฮัลโหล บุตรเหรอคะ” เสียงเหมือนฝันดังขึ้นมา น้ำเสียงเร่งร้อนปนโล่งใจหรืออะไรคล้ายๆ กัน

“ฝัน…….บุตรเอง” ความรู้สึกอะไรกันหนาที่พุ่งเข้าสู่หัวใจในตอนนั้น เหมือนฉันกำลังเดินทางกลับบ้าน ทั้งปลอดโปร่งโล่งใจ ปลอดภัยและอบอุ่น เมื่อได้ยินเสียงของคนที่อยู่ในหัวใจฉันมานาน

“…..คิดถึง คิดถึงมาก” น้ำเสียงเล็กๆ กลั้นสะอื้น หลังจากที่เงียบไปชั่วอึดใจ

ขนทั่วกายลุกชัน สังหรณ์ว่ามีเกิดอะไรขึ้นกับเหมือนฝัน น้ำเสียงสั่นเครือเหมือนเด็กหลงทางมองหาใครสักคนเป็นที่พึ่ง

“พ่อกับแม่…………” น้ำเสียงเล็กๆ นั่นยิ่งสั่นสะท้าน มองเห็นภาพเหมือนฝันยกมือปิดปากกลั้นสะอื้น “…….ไม่อยู่แล้ว” ฉันตัวชา ใจหายไปกับข่าวการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้น

กันย์เลี้ยวรถเข้าที่จอดของอาคารที่พัก หลังกลับจากไปส่งบุตรดาที่วัดและหาเรื่องเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกจนเย็น รู้ตัวว่านิ่งและเงียบไป นับตั้งแต่เธอกลับจาก “ออกไปข้างนอก” และบอกด้วยท่าทีที่เกรงใจเหลือเกินว่ามี “ธุระด่วน”ต้องกลับกรุงเทพฯ ดวงตาเอ่ยคำขอโทษที่ทำให้วันพักร้อนของเขาสั้นกว่าที่ควร

ข่าวร้ายของคนใกล้ใจที่แม้จะเป็น “อดีต” หากความสำคัญของคนคนนั้นคงมากเหลือเกิน บุตรดาคงร้อนใจเพราะต้องรอเรือเช้าวันรุ่งขึ้น ดูเหมือนเธอแทบไม่ได้หลับ

ไม่ต่างกัน เขาเองก็ใช่จะข่มตาลงได้ง่าย เธอนอนหันหลัง คลี่ม่านบางๆ กันเขาออกจากโลกส่วนตัวของเธอ เขาลังเลที่จะวางมือบนต้นแขนของคนที่นอนหันหลังให้ รู้สึกเหมือนกำลังร้องขอบางสิ่งบางอย่างที่คนให้ไม่เต็มใจ

ผู้หญิงลึกลับชวนค้นหาคนนี้ มีอะไรให้เขาติดใจนักหนา เพียงอารมณ์หม่นเศร้าที่เขาสัมผัสได้ เหมือนๆ กับที่รู้ตัวเองว่ามีเหมือนกันอย่างนั้นหรือ คนเหงาสองคนมาพบกัน ไม่สิ มีอะไรมากกว่านั้น หากเพียงแค่เหงา ไม่จำเป็นต้องหยุดอยู่ที่เธอ

เหมือนเป็นข้อตกลงนับตั้งแต่รู้จักกันที่จะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย เขาพบเธอในงานแต่งงานของเพื่อนสนิทสมัยมัธยม โดนขอร้องให้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ขณะที่เธอมาในฐานะเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเจ้าสาว ด้วยความมั่นใจในตัวเองสูง แต่งกายในชุดสีเข้มแปลกตา ทะมัดทะแมง คล่องแคล่ว ต่างจากเพื่อนผู้หญิงกลุ่มใหญ่ซึ่งเดินเข้ามาพร้อมกัน ล้วนกรุยกรายอยู่ในอาภรณ์ยาวลากพื้น กริยาที่แม้จะร่าเริงยามพูดคุย หากเมื่อมีโอกาสได้เข้าใกล้ จึงสะดุดในความหม่นเศร้าของดวงตาคู่โต เธอพบเจออะไรนักหนา จึงสะท้อนความรู้สึกนั้นออกมารุนแรงจนสัมผัสได้

ตอนนี้เขารู้แล้ว

ความรู้สึกแสนหวานที่เก็บงำลึกซึ้งต่ออดีต “คนของหัวใจ” นั่นสินะ คือต้นเหตุของดวงตาแสนเศร้าของผู้หญิงที่มีอะไรข้างในมากมายนัก

ผู้หญิงที่เขากล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้าใกล้ ด้วยไม่แน่ใจใน “ความเป็นเธอ” ไม่มีจริตมากอย่างผู้หญิงทั่วไป พูดจาตรงๆ เปิดเผย ท่าทางห้าวๆ ของเธอนั่นเองที่ทำให้เขาไม่กล้าโทรติดต่อหลังจากได้เบอร์มาจากเพื่อน ต้องรวบรวมความกล้าอยู่พักใหญ่ก่อนตัดสินใจ

เธอทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาได้บ้างด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรและคำตอบรับทานอาหารเย็นด้วยกันคืนวันศุกร์ แม้มีอาการลังเลอยู่บ้าง

จากวันนั้น เขาหาโอกาสพบเธอบ่อยๆ และยิ่งชอบพออัธยาศัยเธอมากขึ้นทุกทีๆ กระนั้น มีม่านบางๆ ที่เขารู้สึกสัมผัสได้เสมอ คิดไปว่า เป็นเพราะเธอยังรู้จักเขาไม่นานพอ

วันนี้เขารู้แล้ว

ใครสักคนที่เขาค้นหา มีอดีตลึกล้ำเกินจะเข้าถึงหากเธอไม่เปิดใจ คำบอกเล่าสั้นๆ ว่าต้องไปช่วยงาน “เพื่อน” ที่วัดคงไม่ได้ทำให้เขาต้องรู้สึกหนักอึ้ง หากเป็นโทรศัพท์ถึงเธอตอนสายวานนี้ ความร้อนรนในตาคู่นั้นและท่าทางครุ่นคิดนั่นต่างหาก ทำให้เขานิ่งเป็นรูปปั้นมาตลอดทาง เธอเองก็ไม่แตกต่าง สองคนในรถเหมือนโกรธกัน

ใจหนึ่งอยากภาวนาไม่ให้ลมพัดหวน แต่อีกใจกลับอยากเห็นประกายสดใสในดวงตาคู่นั้น

เขาควรทำอย่างไรดี ปล่อยเธอไปหรือสนับสนุนให้เธอคืนดีกับคนรักเก่าหรืออย่างไร

ไม่อยากเป็นคนดีขนาดนั้น ไม่อยากให้ตัวเองต้องเป็นคนที่เสียใจ อยากเห็นแก่ตัว

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขารับด้วยความแปลกใจปนยินดี บุตรดาโทรมา

“คุณ วันนี้ต้องขอโทษด้วย ที่ทำให้หมดสนุก แถมต้องเหนื่อยขับรถมาส่ง” น้ำเสียงอ่อนเนือยดังขึ้น

“ผมโอเคนะ” เขาตอบเธอสั้นๆ

“ฉัน….กำลังจะกลับ จะแวะไปขอกาแฟดื่มสักถ้วยนะคะ” เธอพูดเนิบช้าอย่างอยากจะหยั่งอารมณ์คนปลายสาย

“ดึกแล้วนะคุณ” น้ำเสียงของเขากลับแจ่มใสจนตัวเองรู้สึก

“มีเสื้อผ้าให้ฉันเปลี่ยนสักชุดไหมคะ” เสียงเธอยั่วล้ออย่างอารมณ์ดี

“ผมไปรับไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันไปเอง คุณต้มกาแฟรอแล้วกันนะคะ แล้วพบกัน”

แล้วพบกัน แล้วพบกัน เขารู้สึกชื่นบานขึ้นมาเดี๋ยวนั้น กระวีกระวาดเตรียมกาแฟ เปิดตู้หาเทียนหอมที่เธอเคยซื้อมาทิ้งไว้ จุดรอ

……………………………………………………….

“ฉันคงเป็นคนเห็นแก่ตัว” เธอเอ่ยออกมา ยามนั้นเราอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ฝนที่ตกข้างนอกทำให้อากาศในห้องเย็นกว่าที่เคย แสงเทียนวับแวมในห้อง ส่องให้วงหน้าของเธอดูแปลกไปจากที่เคยเห็น

ผมมองไม่เห็นประกายใดๆ จากดวงตาคู่สวย

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น” ถามอย่างอยากรู้รายละเอียดมากกว่าแค่พูดเอาใจ

“มีใครคนหนึ่งอยู่ในใจ และมีคุณอยู่ข้างๆ โดยที่ตัวเองไม่อยากตัดสินใจอะไรสักอย่าง” เธอเอ่ยเหมือนกวีกำลังร่ายกลอน น้ำเสียงคล้ายพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะตั้งใจให้ผมได้ยิน

“คุณมีความสุขกับการมีผมอยู่ข้างๆ หรือเปล่าล่ะ ตรงนั้น…..ที่สำคัญสำหรับผม” ผมหลอกตัวเองด้วยการเล่นบทผู้ชายแสนดีหรือเปล่า

บุตรดาเงียบ ไม่ได้พูดอะไรต่อ หากพลิกกายป่ายแขนโอบรอบตัวผม อากาศหนาวกับคนของใจอยู่ใกล้กัน นึกอยากให้เวลาหยุดลงชั่วคราว เพียงเท่านี้ผมไม่ปรารถนาอะไรอีกในโลก

ผู้หญิงชวนค้นหา ผู้หญิงที่ผมอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการเรียนรู้ตัวตนของเธอ

อะไรสักอย่างที่ปั่นป่วนข้างใน บังคับให้ผมแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากเธอ กอดรัดเธอแน่นขึ้น…..เนิ่นนาน…..

ฉันไปช่วยเหมือนฝันเรื่องงานศพอีกหลังจากวันนั้น โทรบอกข่าวเพื่อนๆ ที่ยังติดต่อได้ คนมาร่วมงานมีไม่มากนัก นอกจากเพื่อนบ้าน คนรู้จักของพ่อแม่เหมือนฝันและเพื่อนสมัยเรียนของเรา ไม่มีแม้เงาของคนที่เหมือนฝันแต่งงานด้วย ดวงตาที่เคยสุกใสเป็นประกายของเหมือนฝันทอแสงหม่น ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องจัดงานศพของทั้งพ่อและแม่เพียงลำพัง โดยไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน

อากัปกิริยายามต้อนรับคนที่มาร่วมงานคล้ายหุ่นยนต์ แววตาจับจ้องอยู่ที่รูปถ่ายหน้าศพ บางครั้งนั่งนิ่งจนคล้ายรูปปั้น ดวงตาแห้งผากว่างโหวงไร้ชีวิตชีวานั้นน่าสงสารจับใจ ทำให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนเหมือนฝันที่บ้าน เพื่อนคนอื่นๆ ขอโทษขอโพยที่มาอยู่เป็นเพื่อนด้วยไม่ได้ เนื่องจากมีภาระการงานที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้น

กลับมาจากวัด ฉันมักเดินเล่นรอบบ้าน เรือนไม้สองชั้นหลังเล็กๆ ของผู้สูงวัยทั้งสองร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้นและไม้อย่างอื่นซึ่งฉันไม่รู้จักชื่อ มีกระทั่งผักสวนครัวในแปลงยกร่องขนาดไม่ใหญ่นักหลังบ้าน ห่างออกไปเพียงสองร้อยเมตรเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ดีที่บ้านถมดินยกพื้นสูงหนีน้ำท่วมขังจึงไม่มีปัญหายามน้ำขึ้นลง ฉันหลงรักเรือนไทยริมน้ำหลังนี้ตั้งแต่มีโอกาสได้มาที่บ้านเหมือนฝันครั้งแรก แล้วความรักที่มีต่อผู้หญิงตัวเล็กกับบ้านหลังนี้ก็ตรึงอยู่ในหัวใจฉันตลอดมา หากความประทับใจนั้นก็เป็นได้เพียงความฝันว่างโหวง ไม่อาจจับต้องสัมผัส

พิธีเผาศพเพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อตอนเย็น เหมือนฝันกลับมานั่งหมดแรงบนโซฟารับแขกเมื่อถึงบ้าน ฉันเดินไปรินน้ำเย็นใส่แก้วมาให้ มือเรียวบางที่เคยสัมผัสเมื่อนานมาแล้วยื่นมารับไปพร้อมกล่าวขอบคุณเบาๆ
“แล้วนี่ฝันจะกลับญี่ปุ่นเมื่อไหร่” ฉันถาม

ดวงตาเศร้าๆ ทอแสงอ่อน “ฝันคงไม่กลับไปญี่ปุ่นอีก” พูดพลางฉุดมือฉันให้นั่งลงข้างๆ กัน “นั่งก่อนค่ะ บุตร ฝันมีเรื่องอยากคุย” นิ้วมือเรียวยาวที่เคยทำให้ปั่นป่วนยามยกขึ้นจรดจมูกยังคงทำให้หวิวไหวได้เหมือนเคย

ฉันทรุดตัวนั่งลงง่ายๆ อย่างนั้นเอง ทั้งที่กลัวใจตัวเองเหลือเกินที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดกับคนตัวเล็กบอบบาง ใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ห่างจากฉันเพียงโน้มตัวนิดก็จรดจมูกลงบนแก้มนวลนั่นได้แล้ว

เธอมองสบตาฉันแล้วเอ่ยคำ “ตอนที่ตัดสินใจแต่งงานกับยัคคุง ฝันแค่อยากไปให้พ้นๆ กับปัญหาที่ประเดประดังเข้ามา ไม่อยากแตกต่างจากคนทั่วไป แต่งงานมีครอบครัวอย่างที่ใครๆ เขาเป็นกัน ไม่ต้องมีใครคอยมองแปลกๆ ซุบซิบนินทายามคล้อยหลัง ที่สำคัญ เรื่องของเราไม่มีวันเป็นไปได้ ‘ในตอนนั้น’ ฝันเป็นห่วงความรู้สึกของพ่อกับแม่ คิดว่ามันผิดและทำยังไงก็สลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปไม่ได้ ฝันไม่อยากทำให้ท่านต้องเสียใจ”

ฉันนิ่งฟังคำอธิบาย ความเป็นลูกที่ดีของเหมือนฝันทำให้ฉันเสียน้ำตามาแล้วหลายครั้ง หลายครั้งอยากโกรธตัวเอง อยากเห็นแก่ตัว อยากทำเป็นไม่เข้าใจ ไม่อยากยอมรับอะไรได้ง่ายๆ อย่างนี้ แต่ที่สุด ฉันก็ทำดื้อแพ่งอย่างนั้นไม่ได้ ฉันอาจจะรักเหมือนฝันมาก แต่มันคงเทียบไม่ได้กับความรักที่พ่อแม่เหมือนฝันมี

“ชีวิตของฝันย่อมเป็นของฝัน บุตรไม่เคยคิดที่จะก้าวก่ายการตัดสินใจของฝัน” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เหมือนฝันมองหน้าฉันก่อนพูดต่อ “นั่นยิ่งทำให้ฝันรู้สึกแย่กับผลที่ออกมา บุตรยอมรับฝันได้เสมอ แต่ฝันไม่เคยทำอะไรให้ได้อย่างนั้นเลย แล้วยังทำตัวร้ายกาจไม่ติดต่อมาเลย” เหมือนฝันนั่งนิ่งไปชั่วขณะก่อนเอ่ย “ฝันอยากขอโทษ”

เหมือนฝันโผเข้ากอดฉันแน่นอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว “บุตร………..” ความรู้สึกหนึ่งซึ่งห่างหายไปนานแล่นปราดเข้าสู่หัวใจ ไออุ่นจากแขนเล็กๆ ที่โอบรอบคอและร่างกายที่แนบสนิทละลายความเฉยชาที่ฉันสร้างไว้แน่นหนาจนหมดสิ้น ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่หรือที่ฉันโหยหามานานนับปี ผู้หญิงที่เป็นที่รัก รักอย่างสุดหัวใจ คนเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้กลับ ‘บ้าน’ ทุกครั้งยามอยู่ในอ้อมแขนเธอ ฉันกอดตอบเธออย่างที่หัวใจร่ำร้องมานาน

“ยัคคุงเป็นเกย์ และเขาก็เห็นแก่ตัวพอที่จะหลอกให้ฝันแต่งงานด้วย” น้ำเสียงนั้นไม่ได้ขื่นขมแต่ประการใด หากแค่นเสียงอู้อี้ออกมาคล้ายประชดประชันอะไรบางอย่าง แขนทั้งสองข้างของฉันที่โอบรอบเอวเล็กบอกให้รู้ว่าเธอผอมลงไปกว่าเดิม

“แล้วพ่อแม่ฝันรู้เรื่องนี้บ้างหรือเปล่า” ฉันถาม ขณะที่เหมือนฝันไม่พูดไม่จาอะไร นอกจากกอดฉันแน่นกว่าเดิม

“คงไม่รู้ล่ะสิ อย่างฝันคงไม่เล่าเรื่องไม่สบายใจให้พ่อแม่ฟังอีกตามเคย” ฉันคาดเดา อดลูบเรือนผมยาวแค่บ่าของเธอไม่ได้ บางครั้งเธอเป็นเหมือนน้องน้อยให้ทั้งรัก ทั้งเอ็นดู

“ฝันไม่ได้พูดให้ฟัง ท่านก็ถามเหมือนกันแต่พอเห็นว่าฝันไม่พูดจริงๆ ท่านก็เลยว่าถ้าลำบากใจก็กลับมาอยู่เมืองไทย กลับมาอยู่บ้านเรา” เธอพูดเหมือนอยู่ในภวังค์ก่อนเอนศีรษะซบลงที่ไหล่ “บุตรคะ”

“ว่าไงคะ คนดี” ฉันจรดริมฝีปากลงบนศีรษะของเธออย่างแสนรัก

“ไม่มีอีกแล้วนะคะ ความเป็นไปไม่ได้ระหว่างเรา”

ฉันมองใบหน้าที่คุ้นเคยมาแสนนาน ก่อนทาบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเหมือนฝันเบาๆ ใบหน้าของกันย์โผล่เข้ามาในห้วงคำนึงชั่วขณะ จากนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเหมือนฝันเบียดกายแนบชิด ร้องขอไออุ่นและสัมผัสปลอบโยน

.....................................


Create Date : 14 สิงหาคม 2550
Last Update : 14 สิงหาคม 2550 23:03:59 น. 4 comments
Counter : 8116 Pageviews.

 
ว่าแต่ดวงดาวดอกไม้ ตอนต่อไปนี่อ่านที่ไหนอะคะ


โดย: เชอรี่ (cherydnk ) วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:16:30:37 น.  

 
คุณเชอรรี่คะ

ไปอ่านที่ //www.vilunda.com
และคลิกที่ กระดานปิงฟ้า นะคะ
ฉันแปะไว้ 9 ตอนแล้วล่ะค่ะ

หากเข้าไม่ได้ ขอให้มาบอกฉันอีกที
จะแปะต่อในนี้ด้วยค่ะ


โดย: bewae1001 วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:18:39:53 น.  

 
ขอบคุณค๊าา อ่านตอนสิบเรียบร้อย
ทีนี่ก็ต้องรอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อ
ดีค่ะ มีเรื่องต้องรอ แต่ยังไงอย่านาน
นักนะคะ คิดถึง


โดย: เ่ชอรี่ (cherydnk ) วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:11:06:50 น.  

 
ว่าง ๆ จะแวะไปอ่านค่ะ ไม่รู้ผ่านมาสามปี ลิงค์จะยังอยู่ไหมน้า


โดย: aenew วันที่: 11 กันยายน 2552 เวลา:23:52:45 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

bewae1001
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




***************
// อย่ารอให้ป่วยก่อนแล้วจึงคิดนะคะ

นวภัทร ( บี )
นักเขียนอิสระ และ ที่ปรึกษาแผนประกันชีวิตและการเงิน
โทรศัพท์มือถือ 089-1459977

ความรู้อื่นๆ :
ผ่านการอบรม basic skilsl in counselling psychology กับอาจารย์พงศ์ปกรณ์ พิชิตฉัตรธนา @ ชมรมจิตวิทยาสมาธิ

ขอฝากเว็บไซต์ของอาจารย์พงศ์ปกรณ์ค่ะ http://www.medihealing.com

EMail ของผู้เขียน : Mybusy2004@yahoo.com
Facebook ของผู้เขียน : Parawee Nasaree

สำนักพิมพ์สะพานจัดพิมพ์นิยายหญิงรักหญิงของฉัน ( ดวงดาวดอกไม้ 2 เล่มจบ และนิยายขนาดสั้น ดอกไม้กับดอกไม้ ( ปกหนังสือด้านบน ) สั่งซื้อได้ที่นี่ค่ะ คลิกเลย!!

จำนวนบล็อก ณ ขณะนี้ 1147 บล็อกค่ะ
เริ่มเขียน 6 กันยายน 2548 บล็อกเก่าๆค้นได้จากกรุ๊ปบล็อกผู้หญิงสีรุ้งปี 53 นะคะ

ยินดีแบ่งปันความรู้และสิ่งที่มีประโยชน์ผ่านข้อเขียนในบล็อกนี้ และหากต้องการนำไปใช้ต่อหรือลงเผยแพร่้ในที่ใดก็ตาม กรุณาแจ้งก่อนนำไปใช้ที่ email ด้านบน ขอบคุณค่ะ





Parawee Nasaree

Create Your Badge

New Comments
Friends' blogs
[Add bewae1001's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.