6. เรื่องของเด็กเก็บหอยโข่ง

จากนี้นับถอยหลังไปประมาณ 40 กว่าปี อ.คำชะอีถูกกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่สีชมพูมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น และมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมามากมาย

เข้มกับนิดเป็นทั้งญาติและเพื่อนที่สนิทกัน ทั้งสองชอบไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ อีกทั้งบ้านยังอยู่ใกล้กันอีก เด็กชายเข้มเรียนชั้นประถมปีที่ 3 ส่วนเด็กหญิงนิดเรียนชั้นประถมปีที่ 2  บ่ายของวันที่อากาศร้อนชื้นอบอ้าว จนรู้ถึงความเหนียวเหนอะนะของเหงื่อไคลที่ไหลย้อย   ไม่นานฝนก็เทเม็ดลงบนอาคารเรียนหลังเก่ามุงด้วยสังกะสี

เสียงเม็ดฝนดังโครม ๆ อย่างไม่ปราณีว่าหลังคาจะรับแรงน้ำหนักของเม็ดฝนได้หรือไม่ ตามด้วยเสียงฟ้าผ่าเปรี๊ยงแสบแก้วหู ฟังดูน่ากลัว เด็กนักเรียนตัวน้อย ๆ ตัวสั่นงันงกและต่างพากันมานั่งล้อมที่โต๊ะครูอุดม ครูวัยห้สิบเศษ ๆ ด้วยความกลัว   พอเสียงสายฟ้าฟาดเปรี้ยงมาอีกที เด็กผู้หญิงบางคนร้องไห้จ้า ครูต้องดึงแขนนักเรียนเข้ามานั่งใกล้ ๆ และพูดปลอบโยนให้คลายความกลัว ฝนตกอยู่นานจากนั้นก็เริ่มซาเม็ดและหยุดไป  

ชีวิตของเด็กบ้านอกที่ทำมาหากินอยู่กับท้องไร่ท้องนา ถ้าวันไหนฝนตกหนัก น้ำหลากตามถนนตามสนามหญ้า วันนั้นจะมีกิจกรรมให้ทำ เด็กบางคนก็เตรียมไต้ ไปจับกบ เขียดที่ลงมากินน้ำใหม่ตามหนองน้ำ ตามทุ่งนา วันนี้ก็เช่นกัน ฝนตกนานเกือบสองชั่วโมง นักเรียนบางคนรีบลุยฝนกลับบ้านก่อนที่ระฆังจะรัวสั่นบอกเลิกเสียอีก บางคนก็มีพ่อแม่มารับที่โรงเรียน โดยนำเอาร่ม หรือไม่ก็แผ่นลาสติกกันฝนมาให้ลูกด้วย          

           “นิด..เรารีบกลับกันเถอะ.. น้ำเจิ่งนองอย่างนี้ หอยโข่งออกมาไต่ยั้วเยี้ยเลยแหละ” เข้มวิ่งไปบอกนิดที่ห้องเรียนชั้น ป.2 พอเข้มพูดจบ นิดก็รีบคว้ากระเป๋าผ้าฝ้ายสีตุ่น ๆ  เธอถือทูนไว้ที่หัวมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งถลกกระโปรงขึ้นให้เหนือเข่า และเท้าเปลือยเปล่าของเธอวิ่งลุยน้ำเฉอะแฉะบนถนน ตรงไปที่บ้าน พอถึงบ้านเธอก็รีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า คว้าได้ข้องใบเล็กกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดออกจากบ้าน เข้มยืนรออยู่ก่อนแล้ว  จากนั้นทั้งสองก็รีบวิ่งไปยังทุ่งนา ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้าน

        “มาเร้ว..วิ่งแข่งกันว่าใครจะไปถึงก่อน” เข้มตะโกนขึ้น จากนั้นทั้งสองก็เริ่มต้นวิ่ง วิ่งไปหัวเราะไปเสียงหัวเราะของทั้งดังไปตลอดเส้นทางลงสู่แปลงนา             “ใครไปถึงก่อน เก็บได้มากกว่า” นิดที่กำลังวิ่งแซงเข้มหันมาตะโกน พอไปถึงทุ่งนา เด็กทั้งสองลงเดินลุยน้ำตามแปลงนาตาก็สอดส่ายหาหอยโข่ง เวลาเจอพร้อมกันก็แย่งกันเก็บอย่างสนุกสนาน ทั้งสองเดินเลาะคูนาไปเรื่อย ๆ จากแปลงนี้ไปแปลงนั้น จนเดินไปถึงแปลงที่ลุงใบกำลังเทียมควายไถนาเพื่อเตรียมแปลงต้นกล้า          

            “นี่มาเก็บแถวนี้สิ เยอะแยะเลย” ลุงใบเพื่อนบ้านของเข้มกับนิดซึ่งเป็นเจ้าของที่นาเรียกเด็กๆ ด้วยความเอ็นดู เข้มกับนิดรีบเดินลุยน้ำตรงไปที่บริเวณที่ลุงใบชี้บอก ขณะที่ทั้งเข้มและนิดกำลังก้มเก็บหอยโข่งอย่างสนุกสนานอยู่นั้น  พลันก็ต้องสะดุ้งกับเสียงที่ได้ยิน         

             “ปัง ปัง ปัง.....” เสียงปืนเอ็มสิบหกรัวหลายชุดติดต่อกัน เสียงดังจนแสบแก้วหู หัวกระสุนแหวกว่ายอากาศมาตกลงตรงหน้าเด็ก ๆ เสียงดังป๋อมแป๋ม ป๋อมแป๋ม          

             “หลบเร็ว หลบเร้ว ไปบังคูนาเร้ว” เสียงลุงใบตะโกนบอกเด็ก ๆ ตัวแกเองรีบโยนไถทิ้งแล้วหมอบราบลงตรงพื้นน้ำมือยังคงจับเชือกผูกควายไว้ แกโผล่ครึ่งหัวพอให้หายใจได้ เด็กทั้งสองวิ่งไปหมอบใกล้ ๆ กับคูนาตามคำสั่งของลุงใบ... จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบ ..ลุงใบรีบเก็บไถและจูงควายเข้าบ้านอย่างเร่งรีบ โดยมีนิดกับเข้มเดินเกาะชายเสื้อลุงใบกึ่งวิ่งกึ่งเดินกลับบ้านด้วย เมื่อเด็กทั้งสองกลับถึงบ้าน ต่างก็สั่นงันงกขณะเล่าให้พี่ ๆ ฟัง          

             “มันตกป๋อม ป๋อมตรงหน้าพวกเราเลยนะ” นิดเล่าพร้อมกับหันไปขอเสียงสนับสนุนจากเข้ม          

            “ใช่ บางนัดก็ตกข้าง ๆ  ตกใจ กลัวและไม่รู้จะทำอย่างไร” เข้มเสริมขึ้น             “ใช่ จนได้ยินสียงลุงใบตะโกนบอกนั่นแหละ เข้มจึงฉุดแขนน้องพาวิ่งไปหลบอยู่หลังคูนา” นิดเล่าต่อ ค่ำวันนั้นผู้คนในหมู่บ้านคุ้มเหนือ ต่างก็ได้ยินเสียงปืนรัวดัง ต้นเสียงมาจากตรงทางโค้งบริเวณใกล้ป่าช้าก่อนจะเข้าหมู่บ้าน ซึ่งป่าช้าอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับทุ่งนา มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันในกลุ่ม และไม่มีใครกล้าออกไปตรวจดูที่เกิดเหตุ

ณ ช่วงเวลานั้น ภาพที่ชาวบ้านในหมู่บเห็น แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนมอง คือ ฝุ่นคุ้งตลบไปทั่วหมู่บ้านเมื่อรถเครนหลายสิบคันลากท่อนซุ่งขนาดใหญ่ลำต้นขนาดคน สอง-สามคนโอบ ความยาวยี่สิบกว่าเมตร ออกมาจากป่าใกล้ ๆ หมู่บ้านนั้น ซึ่งมีอยู่แห่งเดียว และเป็นป่าทึบที่มีความอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด  รถลากจะวิ่งไปตามผนนที่ตัดผ่านใจกลางหมู่บ้าน การลากขนทำนานนับเดือน ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน โดยมีนายทุนที่คนในหมู่บ้านไม่มีใครรู้จักมาสัมปทานและมีเจ้าหน้าที่ของรัฐกับพรรคพวกคุมกิจการอยู่ และในวันที่เสียงปืนรัวดังหลายชุดชาวบ้านก็คาดเดากันว่า ขณะที่ชุดดูแลกิจการไม้ขับรถออกมาจากป่าและกำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน..และมือปืนที่ดักซุ่มคอยอยู่บริเวณทางโค้งตรงป่าช้า... เย็นวันนั้น มือปืนพลาดเป้า..

ผ่านไปอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์  ชาวบ้านก็มีเรื่องเล่ากันอีก คราวนี้เรื่องเกิดขึ้นที่ตัวอำเภอ ชาวบ้านพูดกันให้แซ่ดว่า ในที่สุดก็หนีไม่พ้น กรรมใดใครก่อก็ย่อมรับกรรมไป ..เป้าหมายคือนเดียวกันกับครั้งที่แล้ว แต่คราวนี้เสียงปืมเอ็มสิบหกก็ไปรัวดังที่บ้านของหัวหน้าชุดที่คุมกิจการขนไม้..และมือปืนเจอเป้านิ่ง ..เป็นการปิดฉากความร้อนระอุของพื้นที่สีชมพูไปอีกฉากหนึ่ง

เข้มกับนิดได้มีโอกาสเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกตนตอนไปเก็บหอยโข่งให้ตาพูนฟัง  แกอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว แกมีอาชีพจักสานไม้ไผ่ และชอบเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง เข้มกับนิดชอบมานั่งฟังเรื่องที่แกเล่า เรื่องที่เล่าบางเรื่องแกก็แต่งขึ้นเอง และแกจะชอบเวลาแกนั่งสานข้องสานตะกร้าแล้วมีคนมานั่งคุยเป็นเพื่อน          

         “ตาก็ได้ยินเขาเล่าให้ฟังเหมือนกัน” แกเงียบก้มมองลายสานในมือก่อนจะพูดต่อ “ และนี่ก็เป็นรายที่ 4 และก็เป็นรายสุดท้ายของการดับชีวิตเพ็ฒชฆาตโดยฝีมือของทางการ” ตาพูนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ         

         “ทำไมถึงมั่นใจว่าทางการเป็นคนทำล่ะครับ” เข้มถามขึ้น ตาพูนเม้มปากสนิท ทำหน้าครุ่นคิดเหมือนพยายามดึงเอาภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ลึกในก้นบึ้งของความทรงจำออกมา นี่คือเรื่องเล่าของตาพูน        

          “เป็นเวลานับ 10 กว่าปีมาแล้วที่ท้องที่อำเภอของเราเดือดลุกเป็นไฟมาตลอด.. มันเริ่มต้นมาจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยถือกำเนิดขึ้น และมีการปลุกระดมมวลชนเพื่อหาแนวร่วม ทางฝ่ายรัฐบาลก็พยายามต่อต้านและกวาดร้าง  บังเอิญพื้นที่อำเภอของเราอยู่ติดแนวภูเขาที่ทอดยาวผ่านหลายจังหวัด เป็นที่หลบซ่อนของผู้ไม่หวังดีต่อประเทศไทย แต่ปัญหาที่สำคัญก็คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนที่ดำเนินนโยบายผิดพลาด อย่างเช่น การประกาศว่าใครที่ขึ้นภูเขา ไม่ว่าจะขึ้นไปทำไร่ทำสวนจะถูกตั้งข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์หมด และต้องฆ่าให้หมด และก็ไดลงมือฆ่ากันไปหลายรายแล้ว จึงทำให้ญาติพี่น้องของผู้ถูกฆ่าไม่พอใจ จึงลุกฮือขึ้นต่อต้าน และผู้มีอำนาจของทางการเองก็มีลูกน้องหรือมือเพ็ฒชฆาตที่ต่อมากลายเป็นนักเลงโตที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทั้งหมดอยู่ 4 คนด้วยกัน ที่ใครๆ ได้ยินชื่อก็ต้องหดหัวเอาไว้ก่อน..ปล้น..จี้..ฆ่า คืองานที่พวกเขาถนัด พวกเขาจะเที่ยวออกปล้นรีดไถชาวบ้าน แล้วตั้งข้อกล่าวหาว่าพวกนั้นเป็นพวกคอมมิวนิสต์ เพื่อที่จะได้ปิดปาก  หรือไม่ก็ป้ายความผิดว่าเป็นการกระทำพวกคอมมิวนิสต์ ชาวบ้านที่โดนกลั่นแกล้งไม่มีสิทธิ์ร้องเรียน เพราะคนกลุ่มนี้เป็นลูกน้องนายอำเภอ..จึงเป็นการสร้างกระแสความขัดแย้งและก่อศัตรูขึ้นมามาย เมื่อเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นจะลุกลามไปทั่วทางการก็ส่งสายลับออกมา..แต่บางรายก็ถูกทางเจ้าหน้าที่ฆ่า..ด้วยเหตุผลอันใดก็ยากจะเข้าใจได้  และในที่สุดทางการก็เริ่มเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ  มีการโยกย้ายสับเปลี่ยนผู้นำระดับอำเภอบ่อย ๆ และหลังจากค่ายทหารถูกโจมตีจนแตกกระจุย ..เหตุการณ์นั้นเลวร้ายที่สุดเท่าที่เกิดขึ้นในแผ่นดินตรงนี้.. หลังจากนั้นแนวนโยบายของทางรัฐก็เปลี่ยนไป และเริ่มจะมองไปที่ต้นตอที่ก่อให้เกิดความแตกแยก..และยรรดานักเลงโตทั้งสี่คนก็เริ่มถูกสอยลงทีละราย ๆ จนหมด จะเห็นว่าลักษณะและวิธีการจัดการเหมือนกัน คือ ใช้ปืนเอ็มสิบหก และไม่มีการสืบพยาน .. เสือใบตายที่ไร่นาของคนเอง  ..เสือกล้าตายใกล้วัดป่ากำลังจะเดินทางกลับบ้านตอนค่ำมืดตรงทางแยกหลังภูเขา  เสือโดด ตายระหว่างขี่รถมอเตอร์ไชค์กลับบ้านบนเส้นทางที่กำลังจะขึ้นภู  และล่าสุดก็ตายที่บ้านของตนเอง  ..ขอให้ลูกหลานจงเรียนรู้จากอดีต เพื่อวันหน้าที่ดีกว่า..”  ตาพูนจบเรื่องเล่าจากพื้นที่สีชมพูเอาไว้แค่นี้Smiley  




Create Date : 01 เมษายน 2555
Last Update : 1 เมษายน 2555 22:02:56 น.
Counter : 1199 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety