1. จักรยานคันแรกของพ่อ

..จากนี้นับถอยหลังไปประมาณ 40 กว่าปี อ.คำชะอีถูกกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่สีชมพูมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น และมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมามากมาย

 “จักรยานเก่า สนิมเขรอะ คันนั้นน่ะ..ขายทิ้งแล้วนะ” แม่บอกกับพ่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

           “ขายให้ใคร” พ่อถามพร้อมกับจ้องหน้าแม่

           “พ่อค้าซื้อของเก่า”  แม่ตอบด้วยเสียงร่าเริง

           “ได้มากเท่าไรล่ะ” พ่อถาม

           “ 6 บาท” แม่ตอบพร้อมกับยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกสีชมพูที่ติดอยู่กับฟันบน

 6 บาทในช่วงเวลานั้น ซึ่งไก่ตัวอ้วน ๆ โต ๆ ยังขายได้แค่ตัวละ 5 บาท มะพร้าวห้าวลูกใหญ่ ๆ ลูกละ 25 สตางค์  เนื้อกิโลกรัมละ 5 บาท เงินจำนวน 6 บาทจึงนับว่ามากพอสมควร จักรยานคันเก่านั้น ดิฉันเกิดมาพอจำความได้ก็เห็นมันจอดซุกอยู่ในที่ใดที่หนึ่งของใต้ถุนบ้านเสมอ มันเก่า ชำรุดจนใช้การไม่ได้อีกแล้ว โครงจักรยานเป็นเหล็กกลม ๆ  

 ในตอนนั้น ในบ้านนอกของเรา การมีจักรยานใช้หมายถึงเป็นครอบครัวผู้มีอันจะกิน ส่วนมอเตอร์ไชค์ยังไม่มีให้เห็น  ในยุคนั้นจักรยานตราจระเข้ ดูเหมือนจะเป็นยี่ห้อเดียวที่มีขายในท้องตลาด ทำด้วยเหล็กอย่างดี ทนทาน   พ่อกับแม่มีอาชีพทำการเกษตร หน้าฝนก็ทำนา เสร็จจากนาก็ทำสวนปลูกปอ ปลูกมัน แถมมีลูกมากคลานไต่ตามกันมายั้วเยี้ยไปหมด และก็เข้ากับสโลแกนของทางรัฐบาลที่ว่า “มีลูกมากจะยากจน” (แต่ก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี ครอบครัวไหนมีลูก 10 คนขึ้นไป จะได้รับรางวัลเงินสดกับทางรัฐบาล เพราะอยู่ในช่วงเริ่งการเพิ่มจำนวนประชากร)  และพ่อกับแม่ก็กัดฟันทนลำบากเพราะลูกมากนี่เอง ข้าวแต่ละปีแทบไม่พอกินแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อจักรยาน และคันแรกที่พ่อมีในช่วงเวลานั้น

           “ขายแล้วก็แล้วไป  มันคงซ่อมไมได้แล้วล่ะ” พ่อพูดเหมือนกับเสียดาย แล้วพ่อก็ก้มหน้าเงียบ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ดิฉันยังเด็กมากยังไม่เข้าใจอะไรมากไปกว่าสิ่งที่สายตามองเห็นและมือสัมผัสได้ แต่ก็ชอบฟังเรื่องที่พี่ ๆ เล่า ไม่ว่าจะเรื่องจริงหรือโหกก็ฟังได้ทั้งนั้น

           “จักรยานคนนั้นน่ะ นอกจากพ่อแล้ว ไม่มีใครกล้าขี่หรอก” พี่โนช พี่ชายคนโตพูดกับฉันด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่า เป็นผู้รู้เรื่องอะไร ๆ ต่าง ๆ ดีที่สุด ดิฉันหูผึ่ง คอยฟังเรื่องที่พี่จะเล่าต่อ

           “ใครจะกล้าล่ะ..น่ากลัวจะตาย แค่คิดก็ขนหัวลุกแล้ว” พี่สาวคนโตของฉันที่นั่งอยู่ด้วยกันพูดสอดขึ้นพร้อมกับทำท่ายักไหล่ บรื๋อ..อ ด้วยความกลัว  ฉันหันไปมองหน้าพี่ชายอีกครั้งหนึ่งเพื่อรอฟังเรื่องต่ออีก

           “ไม่เล่าหรอกเดี๋ยวแกจะนอนไม่หลับ” พี่ชายจบเรื่องเอาดื้อ ๆ ไม่ยอมพูดต่อ

           “นึกถึงตอนเอามาใหม่ ๆ นะ..เลือดย้อยเป็นทางเลย.. กลิ่นคาวเลือดและ เสียงหมาเห่า” พี่สาวพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบกับพี่ชาย แต่คนที่นั่งฟังอย่างฉันใจกลับเต้นโครม ๆ แทบทะลุหน้าอกออกมา ฟังดูน่ากลัว แต่ก็อยากรู้แต่ทั้งพี่ชายกับพี่สาว ต่างนิ่งเงียบไม่มีใครพูดต่อ

          “แม่ จักรยานเก่านั้นน่ะมันเป็นอะไรเหรอ” ฉันถามแม่ และไม่รู้จะตั้งคำถามอย่างไรให้ตรงกับสิ่งที่ตัวเองอยากรู้

           “ไม่รู้  ไปสนใจทำไมล่ะ” แม่บอกปัดง่าย ๆ และก็เป็นนิสัยของแม่ที่ไม่ค่อยพูดหรือเล่าอะไร ๆ และฉันก็คงไม่กล้าถามพ่อหรอก สาเหตุเพราะพ่อเป็นคนดุ อารมณ์ร้อน จึงพยายามอยู่ห่าง ๆ พ่อเข้าไว้..เรื่องจักรยานก็ยังคงค้างคาใจอยู่อย่างนั้น

 วันเวลาผ่านไปถึงแม้ว่าจะยังไม่มี ทีวีดู  แต่ข่าวสารต่าง ๆ ก็ผ่านมาทางวิทยุ เอเอ็ม และคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพ่อที่เป็นเพื่อนบ้านก็มักมานั่งคุยกันในช่วงกลางคืนหลังจากทานมื้อค่ำเสร็จ บางทีก็มีคุณครูมานั่งคุยด้วย..เด็กอย่างฉันปกติก็จะเข้านอนหัวค่ำ และไม่ได้สนใจว่าผู้ใหญ่เขาคุยกันเรื่องอะไรและจะเลิกวงคุยกันตอนไหน ..แต่มีคืนหนึ่ง บังเอิญฉันตื่นขึ้นมา  ส่วนจะเป็นเวลาเท่าไหร่ ฉันก็ไม่รู้.. ไม่มีนาฬิกาบอกเวลาหรือถึงมีก็คงดูไม่เป็น ..คนในหมู่บ้านฟังเสียงไก่ขันเป็นการบอกโมงยาม.. ฉันลืมตาโพรงและได้ยินเสียงคุยกันดัง..ฉันนิ่งฟัง ได้ยินคำว่าทางการ..รัฐบาล..พรรคคอมมิวนิสต์ ..ติดคุก..   และจากนั้นมาการจับกลุ่มคุยกันก็มีบ่อยขึ้น.. บางครั้งพ่อก็จะออกไปคุยเพื่อนบ้าน เวลาพ่อกลับเข้ามาก็จะมาถ่ายทอดให้แม่ฟัง.. เสียงคุยกันยามดึกสงัดจะได้ยินชัดเจน

 วันต่อมามีลุงคนหนึ่ง เล่นไพ่จนหมดตัว ถึงกับหอบเอาวิทยุธานินทร์เครื่องใหญ่มาจำนำไว้กับพ่อ.. ที่บ้านเราจึงมีวิทยุไว้ฟังข่าวสารต่าง ๆ พ่อจะเปิดฟังเฉพาะช่วงข่าวเท่านั้น และจะเปิดเสียงดังจนได้ยินเผื่อแผ่ไปบ้านหลังอื่นด้วย  ..ดิฉันเริ่มฟังเข้าใจ และพอรู้เรื่อง.. ทุกอย่างรอบตัว..มันดูน่ากลัว..และพ่อก็เริ่มพูดเรื่องราวต่าง ๆ กับแม่บ่อยขึ้น ๆ ช่วงนั้นพ่อเลี้ยงไก่ไว้ที่ทุ่งนา พอเสร็จหน้านาก็ยังไม่ได้ขนเข้าบ้าน เพราะโรคห่ากำลังลง ไก่ตายเกลี้ยงตั้งแต่หัวบ้านจนจรดท้ายบ้าน

           “บุญอย่าไปนอนที่เถียงนานะ..มันอันตราย เดี๋ยวเขาหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์นะ” ครูเทิด ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดมาพูดกับพ่อ

           “ไม่เป็นไรหรอกก็เราไม่ใช่นี่” พ่อตอบเบา ๆ 

           “ได้ข่าวว่าพวกคอมมิวนิสต์ป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ ท้องที่ของเราด้วยนะ..กลัวพวกมันฆ่าเอานะ” ครูเทิดยังคงพูดต่อ พ่อเงียบ..ไม่พูดอะไรต่อ  แต่พ่อก็ยังคงเดินลัดเลาะป่า ขึ้นเขาลงเขาเทียวไปให้อาหารไก่ที่ทุ่งนาซึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณ 5 กม. บางครั้งพ่อก็นอนค้างคืน บางทีก็สองสามวันจึงกลับบ้าน

           “เมื่อคืนเป็นเดือนเพ็ญ..ท้องทุ่งสว่างไสวไปทั่ว..” พ่อพูดกับแม่หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ  “ประมาณ 4 ทุ่ม เสียงไก่ในเหล้า ตื่นส่งเสียงจ๊อกแจ๊ก ปลุกให้พ่อตื่น” พ่อเล่าต่อ ดิฉันยังไม่ง่วงจึงนั่งฟังนิ่ง ๆ อยู่ใกล้ ๆ แม่ พ่อเล่าว่า พอพ่อตื่นก็ก้มมองลอดช่องพื้นเถียงนาดูว่ามีอะไรมาใกล้เหล้าไก่ จากแสงจันทร์ที่สาดส่องสว่าง สไว พ่อมองเห็นเงาทอดยาวของคนกลุ่มหนึ่ง นับจากเงาได้สี่คน ..พ่อนอนนิ่ง เงียบ..แล้วเงานั้นก็เคลื่อนมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าของถึยงนา ..พ่อจึงตัดสินใจกระแอมและทักออกไป..เพราะไม่รู้จะทำอะไรให้ดูดีไปกว่านั้น ทั้งสี่คนขอดื่มน้ำ ..พ่อก็ตักใส่ขันให้ แล้วหนึ่งในนั้นก็ถามว่าพ่อทำอะไร อยู่อย่างไร อยู่คนเดียวไม่กลัวเหรอ ..เป็นการถามทั่ว ๆ ไปมากกว่า แล้วพวกนั้นก็เดินต่อไป

           “ทุกคนสบายปืนกระบอกใหญ่..เห็นบอกว่าจะเดินลัดเขาไปทางตะวันตก” พอพ่อเล่าจบ แม่มีสีหน้าวิตกแต่ไม่พูดว่าอะไร ..

 “ถ้าไม่พูดคุยกับเขาก็จะหาว่าต่อต้าน..ถ้าทางการรู้ว่าพูดคุยกับพวกนั้นก็จะกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์” หัวใจฉันก็เต้นตุบ ๆ ได้ฟังเรื่องนี้ก็ทำให้เกิดความกลัวเพราะมันเหมือนกับว่าคนที่ถือปืนเดินไปไหนมาไหนในยุคนั้นคือนักฆ่า ..วันรุ่งขึ้น พ่อกับแม่หาบข้องใหญ่คนละสองใบออกเดินทางแต่เช้าเพื่อขนไก่ทั้งหมดเข้าบ้าน   

          ข่าวคราวต่าง ๆ จากวิทยุ และชาวบ้านที่ทำไร่ทำสวนก็พูดกันทุกวี่ทุกวัน ถึงเรื่องคอมมิวนิสต์ ..และยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่ชาวบ้านชอบพูดกัน พ่อก็มักจะเล่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาให้แม่และลูก ๆ ฟังหลังทานมื้อค่ำเสร็จ..ในบรรดาพี่น้องร่วมท้องทั้งหมดที่ฉันมีอยู่  ..แน่นอนว่าน้องตัวเล็ก ๆ จะเข้านอนแต่หัวค่ำ พี่ๆ ที่โตหน่อยก็มีโน่นมีนี่ต้องทำ..ทำการบ้านมั่งหรือไม่ก็หาทางหลบหน้าพ่อแม่ไปเสียทางอื่น..มีดิฉันคนเดียวที่ชอบนั่งฟังเรื่องที่พ่อเล่า..แต่ห้ามถาม แม่ก็เช่นกัน  พวกเรามีหน้าที่ฟังอย่างเดียว

           “เขียนโน้ตสั้น ๆ ทิ้งไว้ที่ศพว่า ‘ไม่ได้อยากทำร้ายครู.. แต่จำเป็นต้องทำ’” พ่อพูดประโยคนี้ ทำเอาหูของฉันผึ่ง ใจเต้นตุบ ๆ ด้วยความกลัว ด้วยได้ยินคำว่า ‘ศพ’ จนต้องเบียดเข้าชิดติดแม่ ..จากนั้นมาดิฉันก็เริ่มจับใจความเรื่องที่พ่อเล่า..บางเรื่องก็เล่าซ้ำบ่อย ๆ บางเรื่องก็เล่าเป็นตอน ๆ ไปทีละนิด  จนดิฉันสามารถจับเค้าเรื่องได้ทุกเรื่องว่าตอนนี้กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่..ชื่อใคร เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร..และนำมาประติดประต่อ แต่เรื่องที่ดิฉันสนใจมากที่สุดคือ เรื่อง ‘จักรยานคันแรกของพ่อ’ 

           จักรยานคันนั้น เป็นของครูผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งสอนอยู่ในหมู่บ้านในหุบเขา ห่างจากบ้านคำชะอีไปประมาณ 7 กม. บ่ายแก่ ๆ วันหนึ่งมีคนเข้ามาส่งข่าวที่หมู่บ้านว่า ครูคนนั้นถูกฆ่าตาย ..พ่อซึ่งเป็นญาติกับภรรยาของครูคนนั้นจึงนำทีมชายฉกรรก์ในหมู่บ้านและญาติมีทั้งหมด 11 คนด้วยกัน ..เรื่องนี้ให้เจ้าหน้าที่หรือทางราชการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้ ..นั่นหมายถึงอาจนำความเลวร้ายมาให้..ต้องทำในลักษณะวิถีชาวบ้านจริง ๆ เร่งรีบเอาวัวเทียมเกวียนเพื่อไปรับศพกลับมา..และตระเตรียไต้กระบองสำหรับส่องทางด้วย คนที่มาแจ้งข่าวไม่ได้บอกรายละเอียดว่าโดนฆ่าตายยังไง..บอกแต่ว่าบนเส้นทางกลับบ้าน ..เส้นทางที่ใช้คมนาคมในตอนนั้นเป็นถนนฝุ่นแคบ ๆ คดเคี้ยวสองข้างทางปกคลุมด้วยกิ่งก้านของต้นไม้ ทำให้มองดูเหมืออุโมงค์พอที่เกวียนจะลอดผ่านไปได้ มีแสงแดดเล็ดลอดลงมาพอรำไร  พ่อเล่าว่า พอคณะเข้าไปใกล้..กลิ่นคาวเลือดก็ลอยคละคลุ้งมาเข้าจมูกอย่างแรง จนทำให้ผู้ที่ร่วมเดินทางบางคนรีบปิดจมูก  บางคนถ่มน้ำลายออกมา บางคนทำท่าจะอาเจียน ..และยิ่งเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ.. ทุกคนก็ถึงกับช๊อค.. ตัวแข็งทื่อกับภาพที่เห็น..ร่างสูงใหญ่สวมชุดสีกากีที่ไร้ศีรษะของนอนคว่ำจมกองเลือดอยู่กลางถนนทางเดินที่เป็นดินปนทราย รถจักรยานจอดอยู่ข้าง ๆ และบนตะแกรงท้ายรถจักรยาน ศรีษะของครูวางตั้งอยู่ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ตาเบิกกว้างจนลูกตาถลนนออกนอกเบ้าตา  เลือดไหลย้อยเป็นสายผ่านตะแกรง..ลงล้อและแผ่เป็นวงแดงฉานบนดินใต้วงล้อ..มีโน้ตข้อความสั้น ๆ เขียนด้วยลายมือขยุกขยิกวางอยู่บนศพ ..พ่อเอามือซ้อนอุอ้มร่างไร้วิญญาณของครูขึ้นใส่เกวียนโดยมีทีมงานคอยช่วย จากนั้นจึงเดินตรงไปที่ศีรษะ เอามือปิดเปลือกตาลงก่อนที่จะใช้สองมือประคองด้วยความเคารพแล้วนำไปวางต่อกับร่างยาวเหยียดบนเกวียน จากนั้นห่อพันด้วยผ้าที่เตรียมไป..ทุกอย่างทำอย่างเร่งรีบ เพราะทั้ง ไม่แน่ใจเรื่องความปลอดภัและในตอนนั้นพระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้าการเดินทางด้วยเท้าต้องใช้เวลามากพอสมควร จึงต้องรีบออกจากนั่นให้เร็วที่สุด พ่อเป็นคนจูงจักรยานเดินตามหลังเกวียน เป็นการคอยระวังหลังให้ด้วย พ่อเล่าว่า เวลาผ่านหมู่บ้านแถว ๆ นั้น (ซึ่งมีอยู่ 2 หมู่บ้าน และมีไม่กี่หลังคาเรือน) หมาเห่าหอนรับกันเป็นทอด ๆ ตลอดเส้นทาง มีชาวบ้านบางคนมายืนมองดูดูอยู่ข้างทาง บางคนก็แอบเอามือป้ายน้ำตาที่ไหลเอ่อเงียบๆ กว่าจะเดินทางถึงหมู่บ้านก็เป็นเวลาสองทุ่ม

    “จักรยานเลือดย้อยเป็นทาง..หมาก็ตามมาเห่าถึงบ้าน” พี่ชายพูดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

           “ตื่นเช้าขึ้นมา เห็นจักรยานจอดอยู่ มีเลือดเกรอะกรัง..ตกใจกลัว” พี่สาวพูดเสริมขึ้น “แล้วพ่อก็ใช้ผงซักฟอกกับกาบมะพร้าวล้างคราบเลือดออก..แล้วพ่อก็ขัดขี่และใช้ขี่ไปสวนไปนาจนมันชำรุด..พ่อคนเดียวเท่านั้นที่ใช้มัน ..มองเห็นมันจอดอยู่ยังนึกกลัวเลย”

 จักรยานคันนั้น ..เจ้าของบ้านไม่ต้องการมันอีกแล้ว เพราะมันเปรอะเปื้อนความน่าสยดสยอง ถ้ามีคนจะเอาไปใช้เขายินดียกให้..แต่ถ้าไม่มีใครเอา เขาจะเผาไปพร้อม ๆ กับศพ..        

    --------------------------------------------------------

 และอีกคำถามที่ค้างคาใจดิฉันก็คือ..ทำไมถึงฆ่าครู...พอโตขึ้น ก็เริ่มฟังเรื่องเล่าที่อยู่รอบ ๆ ตัว..ได้คำตอบว่า ..เพราะทางการมองเห็นว่า ชาวบ้านจะเชื่อครู จึงเอาครูไปอบรมและแต่งตั้งให้เป็นอาสาสมัคร ติดอาวุธให้กับครู ..จึงกลายเป็นปฏิปักษ์ต่ออีกฝ่ายในทันที  




Create Date : 26 มีนาคม 2555
Last Update : 1 เมษายน 2555 21:25:57 น.
Counter : 546 Pageviews.

1 comments
  


ทำไม... คนเราต้องฆ่ากันด้วยนะ???


แวะมาอ่านจ้า ^__^
โดย: กานต์กัลรวีส์ วันที่: 26 มีนาคม 2555 เวลา:10:52:37 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety