In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 
ฉันจะกลับมาเพื่อเธอ

ผู้เขียนเรื่องนี้มีอาชีพเป็นนักสืบเชลยศักดิ์และมีความชำนาญพิเศษในการติดตามหาตัวบุคคลที่สูญหาย เรื่องนี้เป็นหนึ่งในประสบการณ์จากการประกอบอาชีพซึ่งเจ้าตัวประทับใจเป็นพิเศษ ประโยชน์ใดซึ่งเกิดกับท่านผู้อ่านขอยกให้เป็นกุศลแก่ผู้เขียนและผู้เป็นเจ้าของ เรื่องในชีวิตจริง หากผิดพลาดบกพร่องผู้แปลขอรับผิดแต่ผู้เดียวเมื่ออ่านจบแล้วท่านคงจะ
เข้าใจได้เอ งว่า เพราะเหตุใดผู้เขียนจึงเกริ่นเรื่องไว้ว่า
“บางครั้งคนเราจะเห็นความจริงได้ต่อเมื่อความรักทำให้ตาบอด”

ผมเคยแกะรอยหาคนมาแล้วทุกชนิดเพราะนั่นคืออาชีพของผม คนที่ผมเคยตามล่าตัวมีตั้งแต่ทายาทกองมรดกที่สาบสูญร่องรอย สามีที่หนีภรรยา ไปจนถึงลูกหนี้ที่หนีหน้าเจ้าหนี้อย่างไรก็ตามมีอยู่ไม่กี่รายเท่านั้นที่จบลงอย่างคาดไม่ถึงเหมือนกับรายนี้ เหตุการณ์เริ่มต้นด้วยจดหมายจากชายคนหนึ่งมาถึงผม ผมจะเรียกเขาว่า จอห์น สไควร์

เรียนคุณโกลด์เฟเดอร์ที่นับถือ ผมแต่งงานกับ มิวเรี่ยล ฟูลเล่อร์ เมื่อปี 1957 เธอเป็นแม่ม่ายซึ่งสามีเสียชีวิตในสงครามเกาหลีเมื่อสี่ปีก่อนหน้านี้ เธอมีลูกกับสามีเดิมคนหนึ่งเป็นลูกสาว อายุในตอนนั้นได้แปดขวบชื่อคลอเดีย เมื่อขาดสามีเธอลำบากมาก ไม่สามารถจะเลี้ยงดูลูกได้ตลอดรอดฝั่ง จึงจำเป็นต้องส่งคลอเดียเข้าไว้สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งหนึ่งอยู่ที่เมืองยูติก้า รัฐนิวยอร์ค และได้เซ็นใบยินยอมยกคลอเดียให้เป็นบุตรบุญธรรมได้หากมีผู้ต้องการอุปการะ ในขณะนี้เธอขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิงกับคลอเดีย และรู้สึกเสียใจมากที่ไม่ได้ข่าวคราวเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของเธอ ผมได้พยายามช่วยเธอติดตามหาตัวคลอเดีย แต่เราหาร่องรอยคลอเดียไม่พบเลย....

คุณสไควร์เล่าต่อไปในจดหมายว่า ภรรยาของเขาได้หลั่งน้ำตาสั่งเสียลูกก่อนจะจากกันไว้ว่า “แม่ไปไม่นานหรอกลูกรัก แล้วแม่จะกลับมารับหนู” เขาบรรยายลักษณะของคลอเดียไว้ว่าผมบลอนด์ตาสีฟ้าและส่อแววว่ามีพรสวรรค์ทางดนตรี รายงานเป็นระยะๆจากสถานสงเคราะห์แสดงว่ามีผู้สังเกตเห็นความสามารถทางด้านนี้ของเธอเช่นกัน และเธอกำลังได้รับการฝึกหัดด้านการขับร้อง อย่างไรก็ด การรายงานนี้ก็ยุติลงอีกหนึ่งปีให้หลังเมื่อมีผู้รับคลอเดียไปอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม

ขณะที่เขาเขียนจดหมายนี้มาปรึกษานั้น เวลาผ่านไปได้สิบสองปีแล้ว เมื่อผมไปพบกับคุณสไควร์ ผมประทับใจในท่าทางความเป็นคนมีความจริงใจของเขา เขาบอกผมว่าภรรยาของเขาไม่ต้องการจะไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของคลอเดียแต่อย่างใด เธอต้องการเพียงแต่อยากทราบสารทุกข์สุกดิบของคลอเดียเท่านั้น และถ้าเป็นไปได้ ก็ต้องการพบกันกับคลอเดียอีกสักครั้งหนึ่ง คุณสไควร์บอกผมว่า “ผมทราบดีว่าอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากสำหรับการนี้ แต่ผมต้องการให้คุณหาตัวคลอเดียให้พบให้ได้ไม่ว่าด้วยวิถีทางใด ผมรักภรรยาของผมมากต้องการช่วยให้เธอมีความสุข ผมทนดูเธอทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว”

การจะปฏิเสธคนแบบนี้ไม่ใช่ของง่าย ผมเตือนเขาว่า การที่บิดามารดาโดยสายเลือดจะสืบหาเด็กที่ได้รับอนุญาตจากศาลยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของใครไปแล้วนั้นเป็นเรื่องซึ่งยากมากๆ องค์กรสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่มีชื่อเสียงดีนั้น ไม่มีที่ไหนเขายอมเปิดเผยชื่อของบิดามารดาบุญธรรมหรือสถานะของเด็กให้คนอื่นทราบ แม้แต่เอกสารในศาล ในเรื่องการเป็นบุตรบุญธรรมนี้ก็เป็นหลักฐานปกปิด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมก็ลองเสี่ยงไปติดต่อที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าในเมืองยูติก้า
เจ้าหน้าที่ที่นั่นทำในสิ่งที่ถูกตามที่ผมคาดไว้ นั่นคือปฏิเสธไม่ยอมตอบคำถามใดๆทั้งสิ้น
แต่ก็ยังเผลอขยายร่องรอยให้ผมพอสืบเสาะได้ออกมาจนได้ ผมได้รับคำบอกเล่าว่า“คลอเดียสบายดี เท่าที่ทราบตอนนี้มีงานทำแล้วเป็นหลักฐาน” ข้อมูลที่พาดพิงถึงการงานนี้ชวนให้ผมเดาเอาว่าคลอเดียอาจจะเป็นนักร้องอาชีพก็ได้ ผมจึงไปติดต่อกับสหภาพแรงงานนักร้องนักแสดงขอให้เขาตรวจสอบทะเบียนประวัติสมาชิก ว่า มีสมาชิกที่มีลักษณะต่อไปนี้หรือไม่กล่าวคือเป็นนักร้องหญิงชื่อต้นว่าคลอเดีย อายุประมาณยี่สิบเอ็ดปีผมบลอนด์และตาสีฟ้า ผลการตรวจสอบมีผู้อยู่ในข่ายนี้สามคน

คนแรกร้องเพลงอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองแอ้ตแลนต้า
คนที่สองร้องเพลงอยู่กับวงดนตรีเร่ที่รัฐโคโลราโด้
ทั้งสองคนเมื่อติดตามตัวพบไม่ใช่คลอเดียที่ผมต้องการ
คนที่สามมีชื่อและนามสกุลว่า คลอเดีย แบลร์
ร้องเพลงอยู่ในไนท์คลับเล็กๆแห่งหนึ่งในเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย

ผมบันทึกข้อความสั้นๆไปถึงเธอแจ้งว่าผมกำลังสืบเสาะหาข้อมูลบางอย่างให้ลูกความ ขออนุญาตเข้าพบเพื่อไต่ถามอะไรบางอย่างกับเธอที่ไนท์คลับที่เธอทำงานอยู่ คืนวันรุ่งขึ้น ผมไปที่ไนท์คลับแห่งนั้นทันเวลาดูการแสดงรอบแรกพอดี เมื่อม่านเวทีเปิดออกเผยให้เห็น คลอเดีย แบลร์ ผมรู้สึกชอบเธอทันที เธอเป็นเด็กสาวร่างระหง หน้าตาจิ้มลิ้ม น้ำเสียงไพเราะและลีลาในการแสดงไม่มีที่ติ คนดูอื่นๆก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกับผม เพราะทุกคนปรบมือให้เธออย่างเต็มใจและยาวนานเมื่อการแสดงยุติ ผมเดินอ้อมไปหลังเวทีหลังจากจบการแสดงและไปที่ห้องพักของเธอ เธอกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาถักนิตติ้งอยู่ในเก้าอี้โซฟาตัวหนึ่ง เมื่อผมกล่าวแนะนำตัว เธอก็ยังไม่เงยหน้าขึ้น เพียงแต่เอ่ยว่า “ยินดีที่ได้พบคุณค่ะ คุณโกลด์เฟเดอร์ ฉันทราบเรื่องจดหมายคุณจากผู้จัดการแล้ว ขออภัยที่ฉันอ่านเองไม่ได้ คุณคงไม่ทราบมาก่อนว่าฉันตาบอด!!”

ผมยืนตะลึงอยู่นาน เมื่อได้สติจึงรีบกล่าวขอโทษขอโพย
“ผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่มารบกวนคุณ ผมไม่ทราบมาก่อนเลยครับ คุณแบลร์ ว่า คุณมีสายตาพิการ”
“มีคนไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ค่ะ” เธอตอบ
“พอฉันร้องเพลงจบเขาจะปิดม่านก่อนจะมีคนออกมาจูงฉันเดินลงจากเวที”
“พอจะมีทางเยียวยาอะไรได้หรือเปล่าครับ?” ผมถาม
“ไม่มีทางหรอกค่ะ ฉันทำใจได้แล้วว่าคงต้องตาบอดไปตลอดชาตินี้ ว่าแต่คุณมีธุระอะไรกับดิฉัน?”
ถึงตอนนี้ ผมเริ่มจะรู้สึกว่าอาจจะหาตัวคนผิดอีกตามเคย แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็เล่าเรื่องภารกิจของผมให้เธอฟังตั้งแต่ต้น เธอนั่งฟังเงียบๆ แต่มีสีหน้าเครียดและเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผมเล่าจบ เธอก็เอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้วค่ะ ฉันนี่แหละคือเด็กผู้หญิงคนนั้นที่คุณกำลังตามหาตัวอยู่ แม่ฉันทิ้งฉันไป เอาฉันไปยกให้คนอื่นตอนที่ฉันอายุได้แปดขวบ เพราะเขารู้ว่าฉันกำลังจะตาบอด”

เห็นได้ชัดว่า คลอเดียมีความรู้สึกที่ขมขื่นฝังใจอยู่ลึกซึ้งมาก เธอไม่รู้ว่าแม่จริงๆ อยู่ที่ไหนและไม่ต้องการที่จะรู้ด้วย เธอเอ่ยถึงบิดามารดาบุญธรรมคือครอบครัวแบลร์ ด้วยความรักใคร่ เธอพักอยู่กับครอบครัวนี้ในละแวกใกล้ๆที่ทำงานนี่เอง เมื่อผมชวนเธอ ไปพบกับแม่ของเธอ เธอก็ปฏิเสธเด็ดขาดอย่างไม่มีเยื่อไย

เมื่อผมกลับไปแจ้งข่าวให้ จอห์น สไควร์ ทราบถึงเรื่องความพิการและความโกรธเคืองของคลอเดีย เขาเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวว่า “ผมต้องขออภัยอย่างมาก แต่ผมจำเป็นต้องขอร้องคุณให้ยอมลำบากกลับไปหาหนทางเกลี้ยกล่อมให้คลอเดียเปลี่ยน
ใจให้ได้ ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีใดก็ตาม”
“มันอาจเป็นไปไม่ได้ก็ได้นะครับ” ผมตอบ
“ผมขอถามตรงๆนะครับ ภรรยาคุณรู้เรื่องหรือไม่ว่าคลอเดียกำลังจะตาบอด ตอนที่ส่งเธอเข้าสถานสงเคราะห์”
จอห์น สไควร์ ลังเลอยู่นานก่อนจะตอบว่า “ความจริงอาจมีได้หลายหน้า ผมขอร้องให้คุณกรุณาอย่ายอมแพ้ง่ายๆ ก็แล้วกัน”
ผมบอกเขาว่าผมจะไปหาบิดามารดาบุญธรรมของคลอเดียพยายามให้เขาช่วยพูดสนับสนุนให้
เย็นวันนั้น เมื่อแน่ใจว่าคลอเดียไปทำงานแล้ว ผมก็ไปที่บ้านของครอบครัวแบลร์
เมื่อพบหน้ากัน ผมก็ตระหนักถึงความเป็นผู้มีเมตตาธรรมอันสูงส่งของทั้งสองท่าน
แต่เมื่อผมอธิบายเรื่องราวให้ฟังและขอให้ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมคลอเดียคุณนายแบลร์ดูท่าทางจะฉุนมาก เธอเอ่ยว่า
“ฉันไม่เห็นมีเหตุผลอะไรเลยที่คลอเดียจะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับแม่ของเธอ”
คุณแบลร์พูดเสริมขึ้น “เราอยากให้คุณทราบไว้ว่า เราไม่เคยสั่งสอนให้คลอเดียเกลียดแม่ที่แท้จริงของเธอ ถ้าหากเธอยังรู้สึกโกรธเคืองอยู่ ก็คงสืบเนื่องมาจาก
ความรู้สึกของเธอเองในตอนที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในสถานสงเคราะห์นั่นแหละ”
“คุณควรจะได้เห็นเธอในตอนนั้น” คุณนายแบลร์โพล่งออกมา
“เราไปที่สถานสงเคราะห์นั่นตั้งใจจะขอเด็กแบเบาะมาเลี้ยงสักคน แต่แล้วเราก็ได้พบกับคลอเดีย อายุเก้าขวบแล้วไม่มีพ่อไม่มีแม่ ตาก็กำลังจะบอด เราสงสารเธอมากและรับเธอไว้ และไม่เสียใจเลยที่รับเธอมาเป็นลูก”
“จริงๆด้วย” คุณแบลร์เสริมขึ้น
“ต่อให้เป็นลูกในไส้เราก็คงรักคลอเดียได้ไม่มากไปกว่านี้”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขัดขึ้นอย่างสุภาพ .... คุณก็คงเข้าใจสินะ ว่าแม่ของเธอเองจะรู้สึกอย่างไร?”

เราพูดกันอยู่ร่วมชั่วโมง
ผมชี้แจงให้เขาเห็นว่าความรู้สึกขมขื่นของคลอเดียที่หมักหมมไว้อาจส่งผลเสียต่อชีวิตของเธอเอง การพยายามจะคลี่คลายปัญหานี้จะไม่ดีกว่าหรือ? ผมต้องใช้ความสามารถในการหว่านล้อมทั้งหมดที่ผมมีอยู่
ในที่สุดทั้งสองคนก็เหลือบมองหน้ากันและคุณนายแบลร์ก็กล่าวช้าๆว่า
“เอาละ เราจะพูดกับคลอเดียให้ คุณโทรศัพท์มาหาเธอที่นี่ตอนบ่ายพรุ่งนี้
แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นกับเธอคนเดียว”
เมื่อผมโทรศัพท์มาพูดกับคลอเดียตามนัดเธอระเบิดโทสะเกือบจะทันทีที่รับโทรศัพท์
“ฉันถูกยกให้คนอื่น ถูกทอดทิ้ง” เธอโพล่งออกมา
“แม่ฉันทิ้งฉันไปในขณะที่ฉันกำลังลำบากและต้องการความดูแลมากที่สุด เขาทิ้งฉันไปเพราะไม่อยากให้ลูกตาบอดมาเป็นภาระกับตัวเขา คุณคิดว่าฉันควรจะยกโทษให้เขาอย่างนั้นหรือ?”
“อย่างน้อย คุณก็ควรรับฟังเรื่องจากทัศนะของเธอบ้าง” ผมพูดได้แค่นั้น
เธอเงียบไปนานในที่สุดก็ตอบว่า”ก็ได้ฉันจะยอมไปพบกับเขาเพื่อเห็นกับพ่อแม่บุญธรรมของ ฉันซึ่งฉันเคารพรักมาก แต่ถึงอย่างไรไม่มีอะไรในโลกนี้มาเปลี่ยนความรู้สึก ที่ฉันเกลียดเขาได้หรอก ไม่มีจริงๆ”

ผมโทรศัพท์ไปหาจอห์น สไควร์ เขาบอกว่าเขาและภรรยาจะขึ้นเครื่องบินมาลอสแอนเจลิส
ในคืนนั้นเลย
เขากล่าวว่า “ผมคิดว่าถ้าคลอเดียได้พบกับแม่ของเธอตามลำพังในตอนแรกจะเป็นการดีที่สุด ผมจะเช่าห้องโรงแรมสองห้องติดกันแล้วโทรศัพท์บอกคุณในตอนเช้า”

บ่ายวันรุ่งขึ้น ผมพาคลอเดียไปที่โรงแรม
ผมพอจะรู้สึกได้ถึงความว้าวุ่นในใจของเธอในขณะที่ผมจูงเธอเดินมุ่งหน้าไปยังห้อง
ที่นัดหมาย เมื่อเราไปถึงหน้าห้องของ คุณนายสไควร์ คลอเดียเอามือกุมแขนผมแน่น
“ฉันไม่อยากอยู่กับเขาตามลำพัง”เธอพูด
“คุณช่วยเป็นเพื่อนจูงฉันเข้าไปด้วย ฉันจะทักทายเขาสักสองสามคำ ฉันคิดว่าแค่นั้นก็คงพอแล้ว”
ผมเคาะประตูก่อนจะเปิดประตูเข้าไปผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟาตัวใหญ่ มีตาสีฟ้า และหากเส้นผมไม่มีสีดอกเลาแซมแล้ว ผมอาจคิดว่าเป็นพี่สาวของคลอเดียก็ได้
ผมรู้สึกว่ามือของคลอเดียที่เกาะแขนผมอยู่สั่นเทา เธอพูดเบาๆ
“สวัสดีค่ะ”
“หลายปีแล้ว หลายปีเหลือเกิน” คุณนายสไควร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“มีหลายอย่างที่แม่นึกไว้ว่าอยากบอกกับลูก แต่ตอนนี้มันนึกอะไรไม่ออกเลย เสียงของลูกยังคงเหมือนในคืนวันนั้นที่....”
“ได้โปรดเถอะค่ะ” คลอเดียพูด
“มาใกล้ๆ แม่หน่อยซี” คุณนายสไควร์พูดต่อไป “ขอแม่ดูลูกให้ถนัดหน่อย”
ผมจูงคลอเดียเข้าไปหาแม่ของเธอซึ่งลุกขึ้นยืนเมื่อเราเข้าไปใกล้พร้อมกับยื่นแขน
สองข้างออกมาข้างหน้า แต่แทนที่จะเข้าสวมกอดลูกสาวอย่างที่ผมคาด เธอกลับยื่นมือไปแตะที่ไหล่ของคลอเดียแล้วก็เลื่อนมาแตะที่ใบหน้าพร้อมกับลูบคลำ ด้วยนิ้วมือซึ่งคล่องแคล่ว ในที่สุดเธอก็พึมพำออกมา
“แม่ดีใจจริงๆ ลูกแม่โตแล้ว สวยเหลือเกิน”
มือของคลอเดียค่อยๆยกขึ้นจนสัมผัสกับแม่ของเธอ “หมายความว่า คุณ..คุณ..ไม่..”
“..ไม่เห็น” แม่ของเธอต่อให้ “แม่เองก็ตาบอด แต่ไม่ว่าอย่างไร แม่ก็จำลูกได้เสมอ”
“โอ้!” คลอเดียอุทานพร้อมกับร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ “หนูไม่รู้เลย ไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมแม่ถึงไม่กลับมา ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมแม่ถึงต้องยกหนูให้คนอื่น แต่ไม่มีใครบอกให้หนูรู้เรื่องนี้เลย”

ผมเดินไปที่ห้องติดกัน ชายร่างสูงกำลังยืนหันหน้าเข้าหาหน้าต่างมองออกไปข้างนอก
เขาหันกลับมามองผม ผมสังเกตเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขา
“ทุกอย่างเรียบร้อยครับ คุณสไควร์” ผมบอกเขา
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
ทำไมคุณสไควร์ถึงไม่บอกให้ผมทราบว่าภรรยาของเขาตาบอด? เขาตอบว่า
“ภรรยาผมเกรงว่าคุณอาจบอกกับคลอเดีย เธอทนไม่ได้ที่คลอเดียจะมาหาเธอเพียงเพราะความสงสาร”
คลอเดียยังคงอยู่กับครอบครัวแบลร์
แต่ทุกวันนี้เธอและแม่ของเธอต่างก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความรัก ความรักซึ่งเป็นเหตุให้ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังจะตาบอดต้องสละลูกซึ่งก็เริ่มแสด งอาการโรคทางกรรมพันธุ์ชนิดเดียวกัน ลูกผู้ซึ่งต้องการความช่วยเหลือ และความปกป้อง ยิ่งกว่าที่แม่ซึ่งเป็นหญิงม่ายและตาบอดจะให้ได้



Create Date : 21 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2552 17:29:36 น. 0 comments
Counter : 1032 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.