Group Blog
 
All blogs
 
ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 3-3 ซาปา เมืองแห่งหมอก

>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-1 สุวรรณภูมิ ดินแดนของพนักงานหน้า...<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-2 ฮานอย เดินทาง หาที่พัก<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-3 ฮานอย กินๆ นอนๆ<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-1 ฮานอย เดิน เที่ยว ถ่าย วิ่ง Amazing Race<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-2 ฮานอย ถึงแล้วจริงๆนะ<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-3 ฮานอย นี่หรือ cha ca!!!!<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-4 ฮานอย มุ่งสู่ซาปา<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 3-1 ซาปา มากินหรือมาเที่ยว<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 3-2 ซาปา ละเลียดบรรยากาศ สูดอากาศ และซึมซาบวิวทิวทัศน์<<<



หลังจากได้แวะไปดูซาปาของคนอื่นที่เค้าถ่ายรูปมาแบ่งปันในบล็อกชาวบ้านเค้า จึงตรัสรู้ว่าไอ้กล้องปัญญาอ่อนของเราถ่ายออกมาแล้วไมมันดูทุเรศอย่างนี้ฟระ อายเค้าจริงๆ ถ้าอยากเห็นซาปาสวยๆ ก็ไม่แนะนำให้ดูรูปจากของกล้องเราหรือผองเพื่อนนะ พกกันเป็นแต่กล้องปัญญาอ่อน แต่ถึงมีกล้องไฮโซ ก็เหมือนไก่ได้พลอย หัวล้านได้หวี คือกล้องเทพคนถ่ายไม่เทพก็เท่านั้น ยังไงก็ตาม ก็ขอคงสไตล์เดิมๆ ไม่เน้นรูปสวย เน้นแบ่งปันประสบการณ์ดีกว่า ^^


เข้าเรื่องต่อ ... มอไซด์ขับปรี๊ดๆ ก็มาถึงโบสถ์แล้ว (เริ่มรู้สึกว่าแพงนิดๆ เพราะใกล้ หึหึ) อันนี้ด้านหน้าโบสถ์



หันหลังให้โบสถ์ก็จะเห็นเป็นลานกว้างๆ รูปดาว ที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเวียดเค้า



แถวๆ โบสถ์จะมีร้านขายของกินปิ้งๆ แบบนั่งยองๆ หลายร้าน มีไข่ปิ้ง ข้าวโพดปิ้ง หมูปิ้ง มันปิ้ง อะไรต่อมิอะไรปิ้งเต็มไปหมด แต่จะเหมือนๆ กันทุกร้าน คนเวียดก็จะมานั่งล้อมวงกินกันไป แต่แอบสงสัยว่าแต่ละร้านเค้าจะไม่ทะเลาะเพราะแย่งลูกค้ากันหรอ แบบว่าเล่นขายเหมือนกันหมดอะ



แล้วเราก็เห็นรถขายเจ้าสิ่งนี้



ก็สอบถามราคากะเจ๊คนนี้ เค้าขายอันละ 10,000ดอง สอบถามจนแน่ใจว่าเป็นหมูหยองไม่ใช่เนื้อวัว ก็ลุยสั่งมาลองอันนึง (ใส่หมูหยองกะไข่อันละ10,000ดอง แต่ใส่แต่ไข่ 5,000ดอง)



ขนมปังมันแข็งแบบฉีกไม่ได้ต้องกัดเอา โดยรวมรสชาติใช้ได้ ไว้แก้หิวได้ถ้าสนใจ



แล้วก็เดินชมบ้านเมืองสักพัก นี่โทรศัพท์สาธารณะสีสวยงามน่าใช้ พอยกหูขึ้นมาไม่หยอดตังก็มีเสียง ตี๊ดๆๆ ดังสนั่น (จะทำให้มันดังหนกขูเอาโล่เรอะ) คือถ้าเราคุยๆ จนเหรียญใกล้หมดนี่ มันก็จะดังจนคนบนถนนแถวนั้นได้ยินกันหมดอะ



แวะเข้าไปรษณีย์หน่อยเพื่อนอยากส่งโปสการ์ด แต่ไม่ได้ซื้อมาจากฮานอย ที่มีขายในไปรษณีย์ก็ไม่สวย หาซื้อในซาปากี่ที่ๆ ก็ไม่เจอสวยเลย สุดท้ายก็เลยไม่ส่ง



นี่ด้านหน้าของไปรษณีย์ ดูแทบไม่ออก



ถนนโล่ง ไม่มีรถสักคัน อยากเห็นกรุงเทพฯเป็นแบบนี้มั่ง



แล้วเราก็เดินไปริมทะเลสาบ มีเป็นม้านั่งมาให้นั่งเล่น มีคนไม่เยอะที่เดินเล่นนั่งเล่นริมทะเลสาบ สงสัยเพราะมันหนาว อยากให้แถวบ้านมีที่นั่งสงบๆ แบบนี้จัง



หญ้าแห้งไม่สวยเลย มองจากมุมฝั่งนี้จะเห็นเขาสูงมากมาย หมอกหนาด้วยบนนั้น (เงาในรูปไม่ใช่ผีอะไรนะ นั่นเราเอง)



แล้วอยู่ๆ ลมก็พัดเอาหมอกหนาจัดมา แค่นาทีเดียวทุกอย่างก็กลายเป็นแบบนี้ หันไปรอบตัวก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากเราสามคน นี่มันหนังของStephen King ชัดๆ (เรื่อง The Mist) นี่เราเป็นนางเอกสิเนี่ย (สองคนนั่นตัวประกอบ หึหึ) ก่อนหน้านี้เราเห็นที่ถีบๆ รูปเป็ดในทะเลสาบเหมือนตรงสวนลุมบ้านเรา เราแอบคิดกันขำๆว่าชีวิตนี้ไม่เคยถีบเป็ด ตรูจะมาถีบที่นี่แหละ หนาวๆงี้มันคนชิวน่าดู แต่เมื่อหมอกเป็นแบบนี้ ถ้าพลาดไปถีบเป็ดขึ้นมาจริงๆ ไม่รู้ว่าจนถึงพรุ่งนี้เช้าเราจะหาฝั่งเจอรึเปล่า เพราะหมอกหนามากมองไม่เห็นฝั่ง อาจตายด้วยความหนาวกลางสระ ตายแบบน่าเกลียดอีกแล้ว



แล้วแดดเมื่อกี้ก็หายไปราวกับว่าวันนี้มันไม่เคยมีแดดมาให้เราเห็น เราสามคนจึงรีบพลิกวิกฤตเป็นโอกาสทันที นี่แหละคือเวลาที่เราจะได้ทีถ่ายรูปในฉากที่เราสามคนคิดไตร่ตรองดีแล้วว่าจะเอาไปหลอกชาวบ้านว่าไปเที่ยวยุโรปมา



รูปส่วนใหญ่จึงมีแต่รูปพวกเรา ไม่สามารถเอามาโพสให้มันอุจาดตาในนี้ได้ รูปวิวเลยมีน้อย สำหรับรูปนี้มันจะดูดีและเนียนกว่านี้ถ้าไม่มีมอไซด์กะคนมากมายตรงนั้น



ถ่ายรูปเนียนเป็นยุโรปกันอยู่ดีๆ หมอกมันหนาอย่างงี้ตั้งแต่เมื่อไรวะเนี่ย อีกครั้งที่มอไซด์ในรูปทำให้เรากลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง



และเราก็ตัดสินใจไปกินข้าวเย็น เพราะหมอกหนาเกินกว่าจะทำอะไรได้ และอากาศก็หนาวมากขึ้นมาดื้อๆ กินอะไรร้อนๆ คงจะดี เราเลยเดินกลับไปแถวโบสถ์ข้ามถนนอย่างระมัดระวัง เพราะมองไม่เห็นเลยว่าจะมีรถหรือมอไซด์ผ่านมา หมอกมันบังวิสัยทัศน์หมด ต้องคอยฟังเสียงเอา และร้านที่เรามากินกันก็คือร้าน Luu Ly อันนี้ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ โบสถ์



เข้ามาในร้าน ค่อยอุ่นหน่อย พอเข้ามาพนักงานเค้ายังรวมตัวนั่งกินข้าวกันอยู่เลย



เราก็ไม่รีบ รอเค้ากินกันเสร็จก่อนได้ ระหว่างนั้นก็ตัดสินใจจะสั่งอะไรไปพลางๆ แล้วก็เลือก Mixed Hot Pot มา1หม้อ (200,000ดอง) แต่ไม่เอาเนื้อวัว ข้าวโถนึง (15,000ดอง) จริงๆ จะสั่งข้าวแค่ชามเดียว แต่เค้าดันเอามาให้เป็นโถ แล้วก็สั่งของทอดมากินอีกอย่าง (30,000ดอง) น้ำเปล่าขวดใหญ่อีกขวด (20,000ดอง) ก็นั่งรออยู่นาน แต่ไม่ได้นานมาก บรรยากาศร้านนี้ถือว่าโอเค แต่ขนาดนั่งติดกะฮีทเตอร์ของร้าน ยังหนาวเลย



ขึ้นไปข้างบนเพื่อจะไปห้องน้ำก็เจอกรุ๊ปทัวร์คนไทยด้วย คุยกันเสียงดังเชียว เราก็เห็นเค้าคุยกันเมามันเลยไม่ได้ทักทาย พอลงมาสักพักของทอดก็มา อร่อยดี แต่จิ้มกินกะซีอิ้ว แปลกๆนิดหน่อย



แล้วก็เอาหม้อมาตั้ง เนื้อไว้ต้มแล้วก็ผักมาวางเต็มโต๊ะเล็กๆของเราเลย



ข้าวสวย เป็นข้าวหอมมะลิ กินไปนิดเดียว เหลือบานเบอะ



แล้วพนักงานร้านก็จัดการสาดเนื้อกะผักลงไปเป็นตัวอย่างให้เราดู พอเห็นเราก็รู้ว่าต้มกินแบบสุกี้อ่าแหละ แต่ไม่มีน้ำจิ้มให้เท่านั้นเอง อากาศหนาวสุดๆ แบบนี้ กินอย่างนี้มันเหมาะอะไรเช่นนี้ แม้ว่ามันจะจืดๆ เนื้อก็ให้มาน้อยไปหน่อย (หรือเจ๊แม่ลูกอ่อนแอบบำรุงครรภ์ ห้าๆๆ) ผักเยอะจนเอาไปทำสลัดขายได้ แต่โดยรวมก็พอกินได้อ่ะ รวมมื้อนี้ 265,000ดอง



แล้วเราก็เดินแวะไปแถวโบสถ์ก่อนกลับที่พัก (หันหน้าเข้าโบสถ์ก็ขวามือ) ไปซื้อของฝากนิดหน่อยด้วยการทนต่ออากาศหนาวอย่างรุนแรง หนาวมากจนไม่มีผู้ใดมาซื้อของฝากกันตอนนี้แบบเรา (ประมาณ6โมง) แถมเค้าก็กำลังเก็บร้านกันแล้วด้วย ของฝากที่นี่ต้องต่อราคาเยอะๆ เพราะเค้าจะเรียกมาสูง พอไม่เอา เค้าจะถามราคาเราเอง ก็ต่อไปแบบไม่ต้องอาย เพราะถึงเค้าจะด่าจะว่าเรา เราก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี คิดสะว่าเค้าบ่นเรื่องอากาศหนาว


หลังจากเราซื้อของฝากเสร็จ ก็เดินกลับที่พัก แล้วก็แวะซื้อของกินเล่นนิดหน่อยอีกอย่าง เพราะมันทางผ่านพอดี



แล้วก็ไปเปิดกินที่โรงแรมในห้องอันอบอุ่น มีฮีทเตอร์ส่วนกลางอยู่แถวเตียง เตียงเราจึงอุ่น รู้สึกเค้าจะเปิดฮีทเตอร์ตั้งแต่5โมงเย็นถึงตอนเช้าๆ คุ้กกี้ชิ้นละ 8,000ดองก็รสชาติสมราคาอ่ะ อันกลมๆดำๆ คล้ายๆที่กินตอนบ่ายสีเหลืองๆ แต่อันนี้รสช็อกโกแลต ชิ้นนี้ชิ้นเล็ก 10,000ดอง ถ้าชิ้นใหญ่20,000ดอง อันนี้อร่อย อันเหลี่ยมชื่อopera อันนี้20,000ดอง อร่อยหวานเลี่ยนดี



หลังอาบน้ำอุ่นๆกันเสร็จ ก็ยังแค่2ทุ่มเอง แต่ที่นี่เหมือนทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันเข้าบ้าน เข้าที่นอนกันหมด คงเพราะอากาศหนาวด้วย เราเลยว่างมาก เลยตั้งวงเล่นไพ่กัน ออ ขาไม่ครบขาดไปหนึ่ง เลยเปลี่ยนไปนั่งดูรูปที่ถ่ายกันคุยกันไป จากที่วันแรกที่มาปกติ2ป่วยหน่อยๆ1 ณ ตอนนี้ก็ป่วยครบกันทั้งทีม ไม่รู้ว่าไอ้ป่วย1มาแพร่ (ไม่ใช่จังหวัดในประเทศไทยนะ) หรือว่าอากาศเปลี่ยนไปมาอย่างรุนแรงมันทำให้สาวน้อยอย่างเราๆ สั่นสู้กันไม่ไหว แล้วเราก็แยกย้ายกันไปกินยาแล้วนอนตอน3ทุ่ม


หลับกันสนิทอยู่ดีๆ ตอนกลางดึกไม่รู้นาฬิกาปลุกใครดังขึ้นมา เราก็หลับอยู่ได้ยินเสียงปี๊บๆ อยุ่เหมือนกัน แต่ด้วยความง่วงจัดเลยพร้อมจะหลับต่อทุกวินาที แต่เจ๊แม่ลูกอ่อนแกส่งเสียงทันที
"เห้ยนาฬิกาปลุกใครดังวะ ลุกขึ้นมาปิดเลย นอนไม่หลับเลยดูดิ๊ แมร่งนี่มันเพิ่งตีสี่นะเวย จะรีบปลุกไปไหน"
แล้วเพื่อนเราอีกคนเจ้าของอุปกรณ์ต้นเหตุของเสียงก็ตื่นมากดปิดเสียง เราได้ยินอยู่แค่นั้นแล้วเราก็หลับต่ออย่างเป็นสุขปนความขำในใจว่า ก่อนนอนก็คุยกันว่าจะตื่นแต่เช้าไปสวนพฤกศาสตร์นะ แต่ไม่รู้ว่าเพื่อนจะตื่นเต้นขนาดนี้^^




>>>อ่านตอนต่อไป ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 4-1 ซาปา สวนพฤกศาสตร์<<<


Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 3 มีนาคม 2551 19:06:26 น. 1 comments
Counter : 685 Pageviews.

 
อาหารน่ากินจัง เห็นแล้วน้ำลายไหลเลย


โดย: jirew วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:19:11:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

SimVK
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฝากเนื้อฝากตัวด้วยคน
มีอะไรก็หลังไมค์มาได้^^
Friends' blogs
[Add SimVK's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.