Group Blog
 
All blogs
 
ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-1 ฮานอย เดิน เที่ยว ถ่าย วิ่ง Amazing Race

>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-1 สุวรรณภูมิ ดินแดนของพนักงานหน้า...<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-2 ฮานอย เดินทาง หาที่พัก<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-3 ฮานอย กินๆ นอนๆ<<<




วันที่สอง

ตื่นแต่เช้าตรู่ ประมาณตีห้ากว่า อาบน้ำด้วยน้ำอุ่น (มีความสุขมาก แต่ทุกข์เล็กๆ เมื่อเหลือบไปเห็นผ้าขนหนูจำเป็นของเรา) แต่งตัว เก็บของเรียบร้อยประมาณก่อนเจ็ดโมง เมื่อพูดถึงคืนอันหนาวเหน็บนอนไม่เป็นสุขเมื่อคืนที่ผ่านมา เจ๊แม่ลูกอ่อนยังไม่วายเตือน
"แกต้องฝึกไว้ เดี๋ยวนอนบนรถไฟนี่หนาวกว่านี้อีกนะ เราว่าเมื่อคืนยังเด็กๆไปด้วยซ้ำ"
"โห ยังหนาวกว่านี้อีก เห้อออ ตรูมาทำไรที่นี่วะเนี่ย"
"แกคิดดูอากาศที่ซาปามันต้องหนาวกว่านี้อยู่แล้ว เดี๋ยวก็ต้องขนเสื้อผ้าออกมาใส่งี้อีกอ่ะ"
"บนรถไฟมันก็น่าจะมีฮีทเตอร์ดิ"
"โห แก ไม่มีหรอก รถไฟบ้าที่ไหนจะมีฮีทเตอร์วะ"
"เอองั้นก็ดีนะที่เราได้ฝึกนอนหนาวๆ กันไว้แล้ว" เลยกลายเป็นว่าการที่นอนโดยไม่มีผ้าห่มทนหนาวกันทั้งคืนเป็นประสบการณ์ที่จะไม่ทำให้ผิดหวังสะอย่างงั้น


แล้วก็ check out จ่ายเงินค่าห้อง 7ดอล แล้วก็ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม เค้าก็ให้ไปกองๆ ไว้ที่ใต้บันได



โต๊ะอาหารสำหรับผู้สนใจกินที่โรงแรม Prince57 นี้



ส่วนเราขอผ่าน ออกไปหาอะไรง่ายๆ กินดีกว่า ก็เลยเดินไปทางที่จะไปขึ้นรถเมล์สาย 17 ที่ถนน Tran Nhat Duat เพื่อจะไปรับเพื่อนที่มาวันนี้อีกคนที่สนามบิน ระหว่างทางก็เจอร้านนี้ ดูท่าทางโอเค


เลยสอบถามราคา เจ๊คนขายเรียกผู้ชายแถวนั้นมาตอบให้ ชามละ 15,000ดอง เป็นเฝอไก่ โอเคสั่งเลยสองชาม ได้มาเป็นอย่างนี้ น่ากินใช้ได้ ยิ่งอากาศหนาวๆ อย่างนี้ กินอะไรร้อนๆ นี่มันสุขสุดยอด


ก็ปรุงนิดหน่อย ใส่มะนาว กระเทียม พริกแค่นั้น แต่เครื่องปรุงจะคล้ายๆ กันทุกร้าน



อิ่มอร่อย (เพราะเบื้องหลังได้มีการสาดผงชูรสลงน้ำแกงแบบไม่เสียดายนั่นเอง) หมดไป30,000ดองเท่านั้น


ก็เดินไปขึ้นรถเมล์แต่เนื่องจากความซื่อบื้อ ยังไม่เข็ด ไปขึ้นเอาป้ายที่โดนไล่ลงเมื่อวาน (เดินไกลมาก) เจอพวกมอไซด์กลุ่มเดิมมองๆ พยายามให้ไปมอไซด์ไม่เลิก- - ก็บอกว่าจะไปรถเมล์เองตามเคย มอไซด์พยายามบอกอะไรบางอย่างอีกครั้ง และเราก็ไม่สนใจอีกแล้ว ยืนไม่นานสาย 17ก็มา ก็ขึ้นไปถึงถามคนขับว่า นี่ไปหนามบินมั้ย ถาม2-3ครั้งจนคนขับเข้าใจก็ส่ายหัว ชี้ให้ไปขึ้นฝั่งตรงข้าม นั่นแหละ ถึงได้เริ่มเข้าใจและอ่านป้ายรถเมล์เป็น


ก็ข้ามมาฝั่งตรงข้าม รอไม่นาน สาย 17ก็มา ก็ได้ไปสนามบินนอยไบซะที ค่ารถแค่คนละ 5,000ดอง คุ้มจริงๆ


ที่เคยได้ยินมาว่ารถเมล์ที่นี่ทำระบบขึ้นข้างหน้าลงด้านหลัง เอาเข้าจริงก็เหมือนเมืองไทย เอาสะดวกเข้าว่า ใครใกล้ประตูไหนอยากขึ้นอยากลงอันไหนก็ได้ทั้งนั้น


หลังจากไปรอรับเพื่อนอีกคนมารวมตัวกันเสร็จ ก็ได้เวลาเที่ยวสะทีวันนี้ กว่าจะออกจากสนามบินก็เก้าโมงครึ่งได้ ดูเวลาแล้วไปเคารพศพลุงโฮไม่ทันแน่ๆ แต่ก็ยังเสี่ยงที่จะไป ไม่ทันก็ดูอย่างอื่นก็ได้ฟระ ก็ไปขึ้นสาย 7


พอลงสุดสายที่อู่สาย 7 ที่ถนน Kim ma เราก็เดินๆ ไปสุสานลุงโฮ ไม่ไกลมาก ดูทางแล้วก็งงๆ นิดนึง แต่ถนนที่ฮานอยดีอย่าง มันค่อนข้างเป็นบล็อกๆ หลงยากหน่อย คือเข้าถนนผิดเส้นก็ทะลุเจออีกเส้นได้ที่แยกหน้า ขอเพียงแต่อ่านแผนที่เป็นเท่านั้น ต่างจากถนนกรุงเทพฯ ลองได้ขับหลงเข้าผิดเส้นที ก็ไม่เป็นอันได้ผุดเกิดกันเลยทีเดียว

เมื่อเราเดินมาถึง จะเห็นเป็นรั้วๆ สีเขียวๆ เป็นแนวยาว ประตูทางเข้าจะมีทุกมุม แต่จะปิด บังคับให้เข้าแค่บางประตูเท่านั้น


ไปถึงประตูทางเข้าก็อีกสิบนาที 11โมงแล้ว แถมจนท.ก็มาปิดประตูไม่ให้เข้า แต่พอดีมีคนเวียดนามสิบกว่าคนที่เพิ่งมาเหมือนกันก็พยายามตะโกนเรียกร้องสิทธิกันอยู่ เค้าก็เลยเปิดให้เข้ามาได้อีก เราก็เนียนเข้าไปกะเค้าด้วย เข้ามาถึงก็จะมีจนท.ตะโกนให้มาฝากกระเป๋า (ฝากฟรีไม่เสียเงิน) พอฝากเสร็จเค้าก็จะบอกให้มาเอาก่อน 11.30 ดูเวลาแล้วตรูจะทันมั้ยเนี่ย เอาวะ เสี่ยงมาแล้วก็ต้องเสี่ยงให้ถึงที่สุด


เรื่องฝากกระเป๋า จริงๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องฝากกระเป๋าก็ได้ เพราะต้องย้อนกลับมาเอาไกลมาก ถือเข้าไปเลย มันจะมีเครื่องเอ็กซเรย์ด้านในไว้ตรวจอีกที แล้วเค้าจะให้เรากล้องกะมือถืออะไรพวกนี้ใส่กระเป๋าไปฝากแยกต่างหาก ซึ่งพอเราเข้าไปเคารพศพลุงโฮเสร็จ เค้าจะมีซุ้มคืนของที่ทางออกให้เลย จะได้เดินเที่ยวอย่างอื่นในละแวกนั้นได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินย้อนกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากที่ประตูทางที่เราเข้า ซึ่งปิด 11.30อีกต่างหาก


พอฝากกระเป๋าเสร็จก็เดินๆ มาตามทางจะเห็นน้ำพุ แล้วก็เดินตามทางมาเรื่อยๆ คนเดินกันเยอะไม่ต้องกลัวหลง



แล้วก็เหลือบไปเห็นกรุ๊ปทัวร์ฝรั่งเดินๆ กัน เราก็เลยเนียนเดินตามเค้าเรื่อยๆ คิดแล้วว่า เย้ เข้าทันทั้งๆ ที่ก็เลย11โมงมาหน่อยแล้ว ก็ถือว่าเป็นชุดสุดท้ายที่เข้าดูก่อนปิดรอบเช้านี้ เราก็เดินๆ เดินไกลพอควรก็เห็นตึกเหลี่ยมๆเทาๆ ใช่เลย ทางเข้าจะเป็นพรมแดงปู (เข้าไปดูไม่เสียตังด้วย)



เมื่อเข้าไปด้านในจะมีเหมือนทหารยืนเฝ้าสองข้างทางตลอดในอาคาร เราต้องสำรวมไม่คุย แต่จริงๆ ส่วนใหญ่ก็คุยกันแหละ ทหารก็จะบอกให้เงียบๆแบบใจดี ยิ้มๆ ไม่ซีเรียส แต่เมื่อเราเข้าไปในห้องที่มีศพลุงโฮ (เป็นศพของจริง ขอขอบคุณข้อมูลจากคุณbambina) นอนอยู่ ทุกคนก็จะเงียบเองและจดจ่อมอง บรรยากาศห้องจะเย็นๆ สลั่วๆ ดูแบบยิ่งใหญ่ๆ อาจจะขนลุกได้ในบางรายที่มีจินตนาการสูง


เพื่อนเจ้าของนิยาม เอาเสื้อใส่แล้วมาเช็ดตัวเป็นเรื่องปกติ ได้อธิบายเกร็ดเรื่องลุงโฮเล็กๆน้อยๆไว้ว่า คนเวียดนามรักลุงโฮกันมาก คล้ายๆ กับที่คนไทยรักในหลวงยังไงอย่างงั้น ร้านอาหารไทยที่นี่ที่เอารูปในหลวงราชินีมาติดไว้จะถูกคนเวียดนามถามว่าแล้วรูปลุงโฮหล่ะ ประมาณนั้น ถ้าถามว่าจะเชื่อเพื่อนคนนี้ได้มั้ย อันนี้ก็ต้องใช้วิจารณญาณส่วนตัวกัน แต่เราก็เชื่อมันมาตั้งกะเริ่มทริปแล้วนี่ ก็ขอปักใจเชื่อต่อไป


เมื่อเดินออกมานอกตัวอาคารก็จะเจอแดดเปรี้ยงแยงเข้าตา ดูเวลาก็ 11โมง15แล้ว กำลังจะเดินกลับไปทางเดิมเพื่อไปเอากระเป๋าก็โดนจนท.บังคับให้ออกไปทางถนน ต้องไปเดินอ้อมโลกเอา แล้วก็เดินมาเจอทางเข้าทางนึง ปรากฎว่าเค้าปิดกั้นทางเข้า เลยคาดว่าคงปิดกันหมด ไม่รู้ปิดเป็นประจำอย่างนี้หรือเพราะมันเป็นวันมาฆบูชา (ไม่เกี่ยวใช่มะ หึหึ)


เราก็พยายามบอกจนท.ว่าเราฝากกระเป๋าไว้ต้องไปเอาก่อน 11.30 เค้าก็เลยให้เราวิ่งไปเอาโดยผ่านเข้าประตูทางเค้าได้ แต่ต้องภายใน 5นาที!!! เห้ยไม่ใช่นักวิ่งทีมชาตินะเวย ปกติกิน เดิน นั่ง นอน คำว่าวิ่งไม่เคยปรากฎ แต่แล้วเสี้ยว5วินาทีที่มีโอกาสฉุกคิดด้วยสมองอันน้อยนิด คิดว่าถ้าเอาไม่ทัน ก็ต้องเที่ยวที่อื่นแล้วย้อนกลับมาเอา ไม่ก็ต้องเตร่แถวนี้อีกนาน สรุปเออวิ่งก็วิ่งวะ เดี๋ยวจะอดเที่ยวอย่างอื่น เมื่อเราจะเข้าสู่ลู่วิ่ง จนท.ผู้นั้นก็บังคับให้เราวิ่งไปคนเดียว เพื่อนอีกสองคนที่เหลือนั่นมันจะเอาไว้เป็นตัวประกัน อ๊ากกก แกเป็นจนท.รึแกเป็นโจรกันแน่ฟระ เอาแล้วๆ นี่มันไม่ใช่แค่การวิ่งแข่งธรรมดาอีกต่อไป นี่มัน Amazing Race Asia ชัดๆ อันนี้คงเป็น roadblock เราเลยต้องผ่านภารกิจคนเดียว


แล้วเราก็วิ่งๆๆๆ แล้วก็แวะถามทางที่ฝากกระเป๋ากะพวกจนท.ที่งงว่าเราเข้ามาได้ไงเตรียมจะไล่เราออกไป ก็มีคนตะโกนบอกอะไรกันสักอย่าง เราก็ไม่สน วิ่งต่อไปจนในที่สุดด็กลับไปถึงจุดเดิม เวงแล้ว ประตูปิดหมด หน้าต่างปิดหมด ดูเวลา 11.25 หนีไปกินข้าวกันแล้วแหงๆ ส่องเข้าไปข้างใน สวรรค์ยังเข้าข้าง มีคนนั่งฝั่งตรงข้าม ดีใจมากกก รีบอ้อมไปอีกด้านของตึกฝากของ ก็รีบไปเอาของ เย้ เสร็จภารกิจ ออ ต้องไปรับเพื่อนอีก จริงๆ ถ้าวิ่งมาด้วยกันก็จบแล้วจะได้เดินไปดูอย่างอื่นต่อได้เลย เพราะสามารถเดินจากทางนี้ได้ สรุปว่าเราเลยต้องเดินกลับไปหาเพื่อนพร้อมแบกของหนักมากไปรับมันกลับมาตรงนี้ใหม่ เฮ้ออออ


ขากลับเลยเดินทางถนนด้านนอกเอา กะว่าเข้าไปอีกไล่เราแน่ๆ ไม่เสี่ยงดีกว่า ระหว่างเดินก็เหลือบไปเห็นพวงหรีด อืมม ถ้าให้วิ่งอีกรอบสงสัยคงต้องฝากเพื่อนซื้อแล้ว



เดินกลับไปรับเพื่อนมาเสร็จ จำถนนได้จนแทบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ก็เดินไปถ่ายรูปต่อ อันนี้ถ่ายด้านหลัง เห็นไม่มีคนพอดี ไอ้ตึกนี่มันคืออะไรไม่รู้ แต่อยู่ในรั้วเดียวกะที่เราไปเคารพศพลุงโฮ (ตลอดทริปเราจะไม่เน้นประวัติศาสตร์กัน เพราะไม่ใช่วิชาโปรด และถ้าอยากรู้อะไร กลับมาก็หาข้อมูลเพิ่มกันเองได้ เราจึงเน้นถ่ายรูปมาก่อน อันไหนวิหารเสาเดียวก็ไม่รู้)



เมื่อไปยืนแถวทางเข้าตึกมองลงมา



มองไปก็เจอเหมือนวัดก็เดินเข้าไปดู



เดินเข้าไปก็เห็นคนไหว้เจ้ากันอยู่



สวยงาม



เดินทะลุเข้ามาข้างในอีก จะเจอเหมือนศาลเจ้าที่เค้าขึ้นไปบูชากัน



และแล้วเราก็แอบแวบกลับมาเมืองไทย เอ้ยไม่ใช่ กำลังคิดว่าจะเข้าไปคุยกะแม่ค้าหน่อยว่าเจ๊เป็นคนไทยมาหากินที่นี่หรือว่าหลอกใครปริ้นท์มาให้หรือยังไง แต่เห็นยุ่งๆ ขายของ เดี๋ยวจะไปทำให้ฤกษ์เสียซะเปล่าๆ เลยเดินต่อจนเจอกับที่ขายของที่ระลึก



ถัดจากที่ขายของที่ระลึก เค้าเอาแผงมากั้นไม่ให้ไปต่อแล้ว เค้าบอกปิดถึงบ่าย2 เราก็ถือว่าพลาดไม่ได้เข้าไปดูพระราชวังและอะไรอีกนิดหน่อย อืม ไม่เป็นไร ไม่ได้ดูก็ไม่ตายเฟย เปิดแผนที่เดินไปต่อที่วัดวั่นเมียวดีกว่า ระหว่างทางไป สังเกตุได้ว่าต้นไม้ที่นี่ต้นใหญ่จัง เหมือนเชียงใหม่เลย ต้นใหญ่ๆ ติดกะถนนแบบนี้



พอถึงกำแพงวัดวั่นเมียว เราสามคนรีบพุ่งตัวเข้าทางเข้าอันแรกที่เจอ ประหนึ่งว่ามาถึงก็ถ่ายรูปให้มันจบๆไป ได้ไปต่อที่อื่น ให้มันครบๆ เหนื่อยแล้ว (แล้วจะมาทำไมวะเนี่ย) ปรากฎว่าโดนเค้าไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมา อ่อ นี่มันทางออก เลยต้องวนไปหาทางเข้า เจอลุงนั่งเขียนตัวอักษร ดูเท่ดี



เพียบเลยนี่หว่า



วาดรูปเหมือนกลางแดด (แต่อากาศเย็นๆออกหนาวนะ) เห็นคนนี้ยิ้มจนเหงือกแห้งแล้วคิดถึงสภาพตัวเองตอนรับปริญญา อยากเอามือไปตบบ่าพยักหน้าแล้วบอกว่า "เข้าใจนะ" แต่คงไปบังลุงที่นั่งวาดรูปอยู่เปล่าๆ



ดูนาฬิกา นี่เราก็เดินกันมาเยอะพอควรแล้ว ได้เวลาไปกินข้าวเที่ยงกันแล้ว




>>>อ่านตอนต่อไป ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-2 ฮานอย ถึงแล้วจริงๆ นะ<<<



Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 6 มีนาคม 2551 16:49:47 น. 0 comments
Counter : 421 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

SimVK
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฝากเนื้อฝากตัวด้วยคน
มีอะไรก็หลังไมค์มาได้^^
Friends' blogs
[Add SimVK's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.