Group Blog
 
All blogs
 
ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-4 ฮานอย มุ่งสู่ซาปา

>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-1 สุวรรณภูมิ ดินแดนของพนักงานหน้า...<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-2 ฮานอย เดินทาง หาที่พัก<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 1-3 ฮานอย กินๆ นอนๆ<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-1 ฮานอย เดิน เที่ยว ถ่าย วิ่ง Amazing Race<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-2 ฮานอย ถึงแล้วจริงๆนะ<<<
>>>ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 2-3 ฮานอย นี่หรือ cha ca!!!!<<<




หลังเที่ยวจบแต่ไม่ครบก็เข้าสู่โหมดว่างอีกครั้ง เลยตั้งใจว่าจะเดินไปกินไอติมร้าน Fanny เพราะเห็นในรูปที่เคยมีคนมาลงรีวิวไว้ ดูน่ากินดี ก้เดินไปทางทะเลสาบ มองไปกลางทะเลสาบ ถ่ายไว้ซะหน่อย ชัดกว่าที่ถ่ายตอนกลางวันอีก แต่ก็มัวๆ อยู่ดี



มองๆ ไปตรงเก้าอี้ม้าหินริมทะเลสาบ พบว่ามีคู่รักมากมายมานั่งกอดกันจุ๊บกัน เรียกได้ว่าจับจองที่นั่งกันจนแทบไม่มีเก้าอี้ว่างเลย บางคู่เห็นว่าที่นั่งไม่เหลือ ก็ไปจู๋จี๋กันบนเบาะมอไซด์กันสะงั้น ส่วนประเภท เพื่อนกูรักเมิงหว่ะ ก็พอมีให้เห็นบ้างแต่ไม่มาก เมื่อชี้ให้เพื่อนสองคน (โสด) ดู เจ๊แม่ลูกอ่อนถึงกะรีบหยิบกล้องจะถ่ายเป็นคลิปกลับไปเป็นของฝากให้เพื่อนที่เมืองไทยเลยทีเดียว (สองทีได้ปะ -.- แป่ว! ไม่ขำ) กะว่าเนียนไม่ต้องเสียตังซื้อของว่างั้น


แล้วก็ไปเดินหาไอติม Fannyต่อ ก็ยังหาไม่เจอ เวลาก็หกโมงครึ่งแล้ว เลยตัดสินใจไปเอาตั๋วรถไฟที่ Prince57 ดีกว่า เพราะเค้านัดให้มาเอาตั๋วตอนหกโมงเย็น เดี๋ยวจะตกรถไฟสะก่อน ไปถึงเค้าก็ให้ตั๋วมาก็เป็นตั๋วแบบนี้ ราคาหน้าตั๋วโชว์เห็นๆ ว่า 260,000ดอง หรือประมาณ 520บาท แต่เราซื้อ 22เหรียญหรือเท่ากับ 705บาท มิน่าถึงลดให้ 5 เหรียญง่ายๆ ได้ไปเยอะแล้วนี่เอง



วิธีดูตั๋ว ดูตั๋วจิ๋วๆ เป็นหลัก มันมี 6ช่อง ช่องซ้ายบนบอกวันที่เดินทาง ช่องขวาบนคือ เวลารถไฟออก ช่องซ้ายกลางก็คือเบอร์โบกี้รถไฟ ช่องขวากลางก็คือชั้นที่นอน ในที่นี้ก็คือชั้นบน ถ้าชั้นล่างจะเขียน1 ส่วนช่องขวาล่างก็คือหมายเลขเตียงที่เรานอน ตั๋วที่โรงแรมปรินซ์จองให้เป็นของบริษัท Friendly Travel


ส่วนตั๋วขากลับที่จองไว้จะมีแต่ใบใหญ่ๆ ที่มีชื่อบริษัทให้มาก่อน ตั๋วจิ๋วๆ ที่ไว้ขึ้นรถไฟได้นั้นต้องไปเอาที่เลาไกตอนจะกลับมาฮานอย



เมื่อได้ตั๋วเสร็จเราก็ถามเค้าว่าเราควรจะไปสถานีรถไฟกี่โมงดี เค้าก็บอกว่าประมาณ 2ทุ่มครึ่งก็ทัน แล้วเค้าก็ถามว่าจะให้เค้าเรียกแท็กซี่ให้มั้ย คนละ 1ดอล สามคนก็3ดอล เราหันไปมองหน้าเพื่อน ประมาณว่ามันโก่งราคาแน่ๆ เพราะว่าไปใกล้ๆ ไม่ไกลมาก ตั้งใจว่าจะไปขึ้นรถเมล์สาย9 ไปเองด้วยซ้ำ แต่ก็เดินกันมาจนเหนื่อยแล้วทั้งวัน บวกกะมีกระเป๋าเยอะด้วย ก็เลยตกลง เพราะคิดๆแล้วมันก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร


พอมาตรวจที่ตั๋วดีๆ ก็พบว่าเลขที่เตียงนอนของเรามัน เป็น 13,3,4 เห้ยต้องมีคนนึงโดนแยกไปดิงั้น แต่ตามตั๋วใบใหญ่มันเป็น 1,3,4 เราจึงถามเจ๊ที่ให้ตั๋วเรามา เจ๊แกก็เอาปากกาสีดำหมุนวนตรงเลข3ทิ้ง ทั้งยังงั้นเลย บอกออกตั๋วผิด ให้ดูใบใหญ่ (แต่ความจริงแล้วต้องดูใบเล็กเป็นหลัก) เราก็นึกกันง่ายๆ ว่าหมดปัญหา ไอ้3คนนี้มันมองโลกในแง่ดีจริงๆ


เวลายังเหลืออยู่ เพื่อนอยากกินไอติม Fanny มาก เลยไปเดินหากัน แต่ตามที่ดูแผนที่ก็คาดว่าน่าจะเป็นตรงที่เดินผ่านมาตอนแรกที่ทะลุมาจากโบสถ์เซนต์โจเซฟแล้วเลี้ยวซ้ายเลย ถ้าเลี้ยวขวาตรงนั้นน่าจะเจอ แต่มันไกลมากพอควร แถมไม่แน่ใจก็เลยวนหาใกล้ๆ ดูก่อน ถามคนแถวนั้นไม่มีใครรู้จักสักคน ถามแม้กระทั่งไกด์คนไทยที่เจอ เค้าก็ไม่รู้จัก เริ่มลังเลว่าร้านนี้มีตัวตนจริงๆรึเปล่า หรือเจ๊งไปแล้ว เราก็จำได้ว่าก่อนมาเราได้หลังไมค์ไปถามเกี่ยวกะไอติมร้านนี้มาแล้ว คิดว่ามันต้องมีอยู่จริงแน่นอน สุดท้ายเจอกะ tourist information ก็เลยเข้าไปถามทาง ปรากฎว่าเป็นไอ้ตรงที่เราคิดไว้จริงๆ แต่ดูเวลาแล้ว เหลือไม่พอ ก็เลยต้องตัดใจ ไว้มากินวันสุดท้ายที่ต้องมาฮานอยแล้วไปขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ


ก็เลยเปลี่ยนแผนเดินกลับมาที่ Prince57 เหลือเวลาอีกนิดหน่อย เลยนั่งเช็คเมลส่งเมล แต่คอมห่วยมากๆ เม้าส์มีเหมือนไม่มี คีย์บอร์ดก็จะเจ๊งไม่เจ๊งแหล่ ก็ทนใช้ส่งเมลจนได้ในที่สุด แล้วก็ถึงเวลาไปสถานีรถไฟฮานอย อ่าได้นั่งแท๊กซี่ครั้งแรก ไม่ต้องกดมิเตอร์เพราะตกลงราคาเรียบร้อยแล้ว เพื่อนแอบเห็นเจ๊ที่จองแท๊กซี่ให้แอบส่งเงินให้กะคนขับแท๊กซี่ประมาณ 25,000ดอง (เพื่อนจำสีแบ้งแล้วมาบอกทีหลัง แต่ไม่แน่ใจเหมือนกัน) ก็ได้ค่าหัวคิวกันไป



แล้วก็มาถึงสถานีรถไฟฮานอย เข้ามาด้านใน คนนั่งรอกันเพียบ ก็ไปยื่นตั๋วให้พนักงานดู ถ้ายังไม่ถึงเวลาเค้าก็จะไม่ปล่อยเราเข้าไป



เมื่อถึงเวลาเราก็จะได้ผ่านเข้าไป ก็จะเป็นอย่างในรูป เดินไปเรื่อยๆ ตามชาวบ้านเค้า ก็จะเห็นมีรถไฟจอดอยู่หลายขบวน ถ้าไม่รู้ว่าจะไปขบวนไหน เราก็ถามจนท.ที่ยืนๆ อยู่ได้ เอาตั๋วให้เค้าดูเค้าก็จะชี้ว่าเราต้องเดินไปทางไหน



เดินลากกระเป๋ากันเองอย่างหนุกหนานไปหาโบกี้ที่เรานอน จะเห็นรถไฟบางขบวนกำลังทำความสะอาดกระจกด้านนอกอยู่เลย เมื่อไปถึงเค้ายังไม่เปิดให้ขึ้นเลย ไฟยังปิดมืดอยู่ ต้องยืนรอสักพัก ตู้ Tulico อยู่ข้างๆ พอดี แอบส่องซะหน่อย ตู้น่านอนดี ห้องเป็นไม้ด้วย มีโคมไฟและมีน้ำขวดๆวางไว้ให้



เมื่อตู้ของเราเปิดพร้อมให้ขึ้นก็ขึ้นกันเป็นสามคนแรกของโบกี้ มีจนท.มายืนตรวจตั๋วก่อนขึ้นเพื่อความเรียบร้อย ขึ้นมาถึงมองๆ ดูพบความแตกต่างทันที อืม ก็ดูโลคลาสกว่านิดหน่อย ไม่มีน้ำให้ไม่มีโคมไฟตั้งบนโต๊ะ แต่พอปิดไฟขาวเปลี่ยนให้เป็นไฟสีส้ม ก็ได้อยู่นา ดูดีเอาเรื่อง หึหึ พยายามไม่ให้แพ้ เอาเหอะเตียงหนาผ้าห่มนุ่มห้องอุ่นไม่เหม็นอับเป็นใช้ได้ ดีกว่าเมื่อคืนอีกที่ Prince57 ไม่มีผ้าห่ม อย่างน้อยไม่ต้องนอนหนาวก็โอละ (แม้ว่าที่เราแอบฝึกมาเมื่อคืนจะไม่มีประโยชน์ แต่มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าอากาศแบบกรุงเทพฯเราแม้จะบ่นว่ามันร้อนเหลือเกิน แต่มันก็สบายกว่าเยอะๆอะ นี่แหละนะที่เค้าว่ากว่าเราจะเห็นคุณค่า เราก็ต้องเสียมันไปก่อน โชคดีที่เราเสียมันไปแค่ชั่วคราวเท่านั้น)



ใครชอบเตียงล่างเตียงบนก็ตามสะดวกเลยพี่น้อง



ทางเดินอันคับแคบ



อ่างล้างหน้าล้างมือ



มีน้ำร้อนให้ด้วย



ส่วนห้องส้วมไม่สามารถถ่ายรูปได้ เพราะตอนรถไฟไม่ออกเค้ายังไม่เปิดให้เข้า (ส่วนตอนที่สามารถถ่ายรูปได้เพราะเปิดให้ใช้แล้วก็ไม่อยากถ่าย เพราะอาจทำให้กล้องเสียสุขภาพจิตได้) เมื่อเราสามคนจับจองพื้นที่บนเตียงกันเรียบร้อย ในห้องที่นอนนั้น มีสี่เตียงจะเรียงเตียงล่างซ้ายเบอร์1 ขวาล่าง2 บนซ้าย3 บนขวา4 (ตามตั๋วเราเดิม 13,3,4 ถูกที่โรงแรมแก้เป็น 1,3,4) ระหว่างที่กำลังคิดๆ ว่าจะได้ใครมาเป็นผู้ร่วมห้องผู้โชคร้าย เจ้าหน้าที่ที่ตรวจตั๋วก่อนขึ้นรถไฟก็เข้ามาหาถึงเตียง (จนท.หญิงนะ) จนท.นั้นก็ขอดูตั๋ว (ตั๋วที่เจ๊ที่ปริ้นซ์คนนั้นเค้าหมุนวนด้วยปากกาดำที่เลข3ให้เรา ตั้งใจทำ13ให้เป็นเลข 1 ท้ายที่สุดดันไปเหมือนเลข10แบบไม่ได้ตั้งใจ) ดูเสร็จจนท.รถไฟก็บอกให้เราที่นอนเตียงเบอร์1ย้ายไปเตียง10ซะ เพราะเจ้าของเตียงเบอร์ 1ตัวจริงมาแล้ว พร้อมชี้ให้ดูตั๋วที่ไม่มีการแต่งเติมของตั๋วเตียง1ของแท้ แล้วจนท.ก็ทิ้งเราทั้ง4 ยืนไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอกันไปชั่วขณะ ก่อนที่เราจะขอจนท.ว่าเราขอเปลี่ยนได้มั้ย จนท.ก็ส่ายหัวแล้วก็เดินจากไป ลงไปยืนตรวจตั๋วด้านล่างต่อแบบไม่สนใจโลก


อ่าวๆๆๆ งี้เราก็ต้องแยกกันนอนแล้วซิงั้น ด้วยความที่ไม่ต้องการให้นอนแยกกัน เราจึงรีบไปต่อรองกะเจ๊จากแดนปลาดิบเจ้าของเตียงเบอร์1ตัวจริงทันที เราก็ขอแลกตั๋วบอกว่าตั๋วเบอร์10นี่เป็นเตียงล่างเหมือนกันไม่ต้องห่วง เพราะเจ๊ปลาดิบก็ต้องการนอนเตียงล่างแค่นั้น เหมือนกะเจ๊แม่ลูกอ่อนของเรา ที่ยืนยันขอจองเตียงล่างตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯ ในวันที่ตัดสินใจจะไปซาปากัน
"ชั้นปีนขึ้นไปนอนไม่ไหวหรอกแก ปกตินอนบนรถไฟก็นอนแต่เตียงล่างไม่เคยนอนเตียงบนเลยนะเวย"
ในเมื่อเรามีเตียงบนสอง เตียงล่างเตียงเดียวแบบนี้ เจ๊แม่ลูกอ่อนก็ได้เตียงล่างไปแบบนอนมาไม่มีคู่แข่ง


เจ๊ปลาดิบก็บอกยอมเปลี่ยนได้เพราะเตียงล่างตู้ไหนก็นอนได้ และเห็นใจพวกเราที่มาด้วยกันแต่ต้องแยกกัน แต่จนท.จะให้เปลี่ยนได้หรอ? พร้อมทำหน้าไม่ไว้เนื้อเชื่อใจหน้าตากระเหรี่ยงๆอย่างเราถ้าหากแอบเปลี่ยนกันเอง แล้วก็คงเห็นแล้วว่าเมื่อกี้จนท.ไม่ให้เปลี่ยน ทีนี้เราก็เลยบอกรอแป๊บ ก็วิ่งลงไปถามจนท.ตรวจตั๋วบอกขอเปลี่ยนตั๋วกะเจ๊ปลาดิบนะ จนท.ส่วยหัวปัดมือไล่ให้ขึ้นไป ไม่รู้ว่าไม่ให้เปลี่ยนหรือไม่รู้เรื่องกันแน่ จากท่าทางของจนท.ที่เห็น เราเลยสรุปเอาเองว่าเค้าให้เปลี่ยนได้ (^^หึหึ จงมองโลกในแง่ดีเข้าไว้) เลยวิ่งมาบอกเจ๊ปลาดิบว่าเค้าให้เปลี่ยนได้แล้วสบายบรื๋อ ชูนิ้วโป้งยิ้มพร้อมขยิกตาส่งให้ไปทีนึง อีกครั้งที่เจ๊ปลาดิบแสดงออกทางสีหน้าว่าชั้นไม่เชื่อใจหรือไว้ใจกระเหรี่ยงหรอกนะ
"Are you sure?"
"Absolutely!!!" (..NOT SUREเบามากๆในใจ) ตอบพร้อมพยักหน้าแรงๆ1ที
"Really?"
พนักหน้าอีก พร้อมกวักมือเรียกให้เจ๊ปลาดิบลงไปหาจนท.ตรวจตั๋วด้วยกัน จะได้จบๆเรื่อง เมื่อเห็นจนท. เราก็รีบบอกว่า "Can we change the ticket?" พร้อมทำมือชี้ว่าเราจะเปลี่ยนตัวกะยัยปลาดิบนี่นะ เค้าก็ทำมือปัดๆ ไล่ให้ขึ้นไปแล้วพยักหน้าแบบ เออๆ พวกเมิงจะทำไรก็ทำเหอะ แล้วก็ไม่ต้องมาอีก กรูรำคาญ เราหันมายิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ แล้วก็สำนึกบุญคุณผู้ที่ยอมเปลี่ยนให้เรา จึงต้องทำเป็นชวนคุยสะหน่อย หันไปสอบถาม ได้ความว่าเป็นคนญี่ปุ่นมาเที่ยวคนเดียว ก่อนจะได้ถามอะไรมากมายกว่านี้ ก็มาถึงเตียงเบอร์1เจ้าปัญหา เค้าก็ย้ายข้าวของเค้าไปเตียง10ให้ เราก็ขอบคุณแบบเว่อร์ๆ เฟกๆให้เค้า แล้วก็คิดไปว่าเรื่องจบเรียบร้อยแล้ว


แล้วเราก็รีบไปล้างหน้าแปรงฟันทาหน้าอะไรให้เรียบร้อย เพราะเดี๋ยวพอคนขึ้นรถไฟมาเยอะ อาจจะต้องไปแย่งกัน ตอนไม่มีคนนี่แหละต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย จากนั้นเราก็เข้าตู้นอน4เตียงซึ่งยังรอเพื่อนร่วมห้องอีกเตียงที่ว่างอยู่ เตียงเบอร์4นั่นเอง ระหว่างนั้นก็โชว์เทพสอนเพื่อนวิธีปีนขึ้นไปนอนชั้นบน (ขอโทษนะ ชั้นก็ครั้งแรกเหมือนแกนั่นแหละ) สักพักเพื่อนผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาระลึกชาติขึ้นมาได้ว่า
"เห้ยไอ้ตั๋วใบที่แลกกะยุ่นปี่ไปนั้นมันไม่ใช่เตียงเบอร์10นะ"
"ทำไมจะไม่ใช่อะ งง" ด้วยเราไม่สามารถจำอะไรในชีวิตนี้ที่ไม่อยู่5นาทีที่ผ่านมาได้
"ก็เราจำได้ว่าตอนที่เอาตั๋วอ่ะ ก่อนที่เจ๊ที่โรงแรมปริ้นซ์คนนั้นจะเอาปากกามาวนเป็นดำๆ มันเป็นเตียง13นะ"
"หรอ จริงดิ เวงและงี้ เห้ยไม่ผิดนะเวย 13แน่ปะ งี้เดี๋ยวเราต้องไปบอกยุ่นปี่ให้ย้ายไปเตียง13แล้วดิงั้น"


แล้วพวกเราก็เดินไปดูให้แน่ใจว่าเตียง13นั้นเป็นเตียงล่าง โอเคเป็นเตียงล่างเหมือนกัน ถ้ามาคนเดียวย้ายง่าย
"อือ แล้วจะอธิบายให้เค้าฟังไงดี เพราะมันจะเข้าใจยากมากอะ มีแต่พวกเราที่เข้าใจ"
ระหว่างที่สองคนกำลังสุมหัวกันคิดว่าจะอธิบายไงดีให้เจ๊ปลาดิบเข้าใจ จังหวะนั้นเอง คนในรถไฟที่จอดฝั่งตรงข้ามก็โบกมือบ๊ายบายพวกเรามา พวกเราเลยบ๊ายบายกลับไป เอ๊ยไม่ใช่เรื่องนั้น เจ้าของเตียงเบอร์4ก็มาพอดี เป็นชายหนุ่มไม่บอกสัญชาติเดินดุ่มๆ เข้าไปนั่งบนเตียง เมื่อมองเห็นเป็นสาวๆเต็มห้อง ก็ยิ้มกรุ่มกริ่มกะว่าคืนนี้กรูได้มีฮาเล็มเป็นของตัวเองแน่ๆ เราและเพื่อนผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาหันมาพยักหน้าใส่กันโดยไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร


"เราว่าเอางี้ดีกว่าปะ เอาเจ๊ปลาดิบมาอยู่กะเราแล้วเปลี่ยนเอาชายผู้ไม่มีสัญชาตินี่ไปเตียง13เลย ได้ไม่ต้องงงกัน อธิบายง่ายกว่า บอกชายไร้สัญชาติว่าเรามีเพื่อนสาวอยู่อีกห้องอยากมาอยู่รวมกัน แล้วก็บอกเจ๊ปลาดิบว่าห้องเรามีผู้ชายมานอน เลยอยากให้เค้ามาอยู่กะเราแทน"
"เอาเลยๆ ไม่ต้องอธิบายอะไรยุ่งยากด้วย เข้าใจง่ายทุกฝ่าย"
เพื่อนเรานี้นอกจากจะเชี่ยวชาญด้านภาษาแล้ว ยังมีหัวคิด (ทันสมัย) อีกตะหาก แล้วเราก็เดินเกมต่อด้วยแผนที่วางไว้ เริ่มจากไปบอกผู้ชายไร้สัญชาติที่กะลังนอนหลับตาพริ้มยิ้มกรุ่มกริ่มไม่รู้ฝันไปไกลถึงไหนแล้ว พอถามว่าพูดภาษาอังกฤษได้มั้ย ส่ายหัว แต่พอขอให้ย้ายเตียงให้หน่อยแลกตั๋วกัน เออก็เข้าใจนี่หว่า สรุปเค้าก็ไปก็ให้โดยดี เราก็ขอบคุณไปตามเรื่องราว เมื่อชายไร้สัญชาติไปเตียง13เรียบร้อย (ซึ่งเป็นเตียงของพวกเราที่แท้จริง) เราก็รีบไปบอกกิโกะหรือเจ๊ปลาดิบของเราที่กำลังอยู่เตียง10ให้มานอนกะเราด่วนๆ (ก่อนที่เจ้าของเตียง10ตัวจริงจะมา) เจ๊แกก็รีบย้ายมา ก่อนย้ายแอบบอกเราว่าเจ๊กินเบียร์นะ เออเจ๊จะกินไรก็เรื่องเจ๊เหอะ รีบๆเก็บของให้ไวๆ แล้วเราก็เอาตั๋วเตียง10ปลอมของเรามาแก้เป็น13 แล้วเอาไปให้หนุ่มไร้สัญชาติ แล้วก็เอาตั๋วเบอร์4ของหนุ่มนั่นให้กิโกะ


สรุปว่าทุกอย่างก็ลงล็อก นอนไม่มั่วเตียง ที่น่าสงสารที่สุดคือคนตรวจตั๋วนั่นเอง งงตั้งแต่แรกที่มีเบอร์1สองคน แล้วพอเจ้าของเตียง10มาคนตรวจตั๋วก็ต้องขึ้นมาหาเราอีกครั้งพร้อมขอดูตั๋ว แล้วก็ต้องงงกะตั๋วที่เปลี่ยนไป เป็น 1,2,3,4 ของทุกคนในห้องแบบสวยงามไม่มีการแก้ไข พอไปดูเตียง10ก็ว่างอย่างน่าอัศจรรย์ แล้วก็จะไม่เจอคนที่ขึ้นมาใหม่เป็นเบอร์13 แต่จะเจอผู้นั้นที่เตียงเลย 555


พอรถไฟก็ใกล้ออก ก็ชวนเจ๊กิโกะคุยสักพัก เจ๊แกเป็นคนโตเกียวอย่างที่คิด เพราะภาษาอังกฤษค่อนข้างดีเลย เจ๊กิโกะอายุ30ปีแล้วมาเที่ยวเองคนเดียวเป็นครั้งแรก เจ๊เค้าซื้อทัวร์แบบครบสูตร มีรถมารับไปซาปาพาเที่ยวและมาส่งสถานีรถไฟเลาไกยันวันสุดท้าย ที่เจ๊กิโกะมาเที่ยวคนเดียวไม่ใช่อยากได้อารมณ์เปลี่ยวอะไรแต่เพราะเพื่อนไม่ว่างกัน เจ๊แกเลยมาคนเดียว เจ๊กิโกะทำธุรกิจส่วนตัวขายจิวเวลลี่ผ่านเน็ต เลยมีเวลาว่างกว่าชาวบ้าน ก่อนมานี่ก็ไปเที่ยวกรุงเทพฯมา เที่ยวเวียดนามเสร็จก็ค่อยกลับญี่ปุ่น บอกเพื่อนเจ๊เค้าชอบเมืองไทยมาก มาทุกปี ปีละสองครั้ง เจ๊เค้าก็ชอบ แน่นอนอยู่แล้ว! จะมีที่ไหนดีไปกว่าเมืองไทยเรานี้ หึหึ พวกเราสามคนเลยต้องแสดงตัวเป็นมิตรที่ดี บอกเจ๊เค้าไปว่าพวกเราก็ชอบญี่ปุ่น แต่พวกเราไม่มีปัญญาไปเท่านั้นเอง 555


พอรถไฟออก ก็เหมือนมีคนสาดยานอนหลับใส่ ทุกคนเลยแยกย้ายกันไปนอนเตียงใครเตียงมัน คืนนี้ไม่ได้อาบน้ำ จริงๆ อาบได้ที่โรงแรมปริ้นซ์เค้ามีห้องให้อาบน้ำได้ฟรี แต่ขี้เกียจและอากาศหนาวเลยข้ามช็อตนั้นมา (เกือบทุกโรงแรมสามารถขออาบน้ำได้แม้เราจะเช็คเอ้าท์มาแล้ว เพราะเค้าจะรู้ว่าบนรถไฟไม่มีที่อาบ) ที่เจ๋งกว่านั้นเราต้องนอนกันทั้งกางเกงยีนส์และเสื้อผ้าที่ใส่เดินกันมาทั้งวันแล้ว จะเปลี่ยนชุดก็ได้ไม่มีใครห้ามแต่ห้องน้ำมีน้อย คนเยอะ ขี้เกียจรอคิวเลยนอนมันทั้งอย่างงี้ ได้ล้างหน้าแปรงฟันนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเราซึ่งปกติอยู่บ้านก็ไม่คิดอาบ อยู่นอกบ้านจะรักสะอาดเพื่อสร้างภาพทำไม^^ แล้วก็ปิดไฟนอนในรถไฟอันโคลงเคลง


ตื่นมากลางดึก หยิบนาฬิกามาดูเที่ยงคืนกว่าแล้ว เอาแล้วไง ไอ้ที่คิดว่าอาการไม่มี โรคไม่กำเริบ คิดไปเองทั้งนั้น ที่แอบหวาดๆ ตอนขึ้นรถไฟมันก็มาจริงๆ อยู่ๆ ไอ้โรคกลัวที่แคบมันก็ทำให้เราเกิดอาการโรคจิตขึ้นมา อยู่ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่ออก กลัวขึ้นมา รู้สึกว่าต้องตายแน่ๆ ภาพรถไฟตกราง ตู้กระเด็นคว่ำและบิดเบี้ยว ทำให้แคบลงไปอีก ไม่มีทางออก ไม่มีอากาศหายใจเข้าไปใหญ่ มันก็ผุดขึ้นมาในหัว เราก็กำหนดไปก่อน กลัวหนอ กลัวหนอ แล้วก็ทำสมาธิท่านอนสักพัก ไม่ไหวๆ อยากโดดออกไปนอกรถไฟมาก ไม่อยากอยู่ในที่คับแคบนี่แล้ว ตอนนั้นเองได้ยินเพื่อนสาวเตียงล่างไอค่อกแค่กออกมา รู้เลยว่ามันตื่นแล้ว เราได้ทีรีบปีนลงไปบอกว่า
"แก เรากลัว หายใจไม่ออก"
"หือ เอายาดมมะ" แล้วก็ยื่นยาดม (ที่เหมือนเป็นของเจ๊เค้าเอง แต่จริงๆเป็นของเพื่อนอีกคนที่หลับอยู่นั่นให้ยืมแบบเพิ่งซื้อมา แต่เจ๊แกเล่นใช้จนเกลี้ยงขวด) มาให้ เราเอามาดมๆ เสร็จส่งคืนแล้วก็บ่นต่อถึงความกลัวในใจเรา ท้ายที่สุดเพื่อให้เราหายบ้า เลยบอกให้เราไปเดินๆ ข้างนอก เดี๋ยวจะดีขึ้น เราก็เลยกะว่าจะไปห้องน้ำหน่อย เผื่อจะดีขึ้น


(คำเตือน : พารากราฟนี้ไม่ควรอ่านขณะกินอะไรสักอย่างอยู่)
เมื่อเดินไปเปิดประตูห้องน้ำ แว๊ก มีคนอยู่ในนั้น ก็ปิดคืนแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ สักพักป้าเค้าก็ออกมา ไปล้างมือแล้วจากไป เราก็เดินเข้าไป โอ้โหหหหห ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ส้วมก็เหมือนส้วมนั่งทั่วๆไป แต่เป็นสีเงิน ก็ไม่มีไรแปลกใหม่ ที่แย่ก็คือ ในส้วมนั้นเต็มไปด้วยน้ำสีเหลืองที่สูงขึ้นมาเกือบล้นส้วม ประจวบกับที่รถไฟโคลงเคลง น้ำก็กระฉอกขึ้นมาเป็นระยะตามแต่จังหวะโคลงเคลงของรถไฟ โห!! โรค(กลัวที่แคบ)หาย อาการเปลี่ยนเลย อยากจะอ้วกแตกแทน พวกนั้นเค้าฉี่ทับกันได้ยังไง ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ รีบเดินกลับไปปลุกเจ๊แม่ลูกอ่อนอีกครั้งทันที
"แกส้วมมัน มัน มัน.... เราไม่เคยเห็นอะไรอย่างงี้ มันเข้าไม่ได้ แต่เราปวดฉี่อะ"
"ออ แกต้องไปเข้าโบกี้อื่น เมื่อกี้เราก็ไปเข้าโบกี้อื่น เดินไปตั้งไกล"
"งะ เราไม่กล้าเดินไปตรงที่มันเป็นเชื่อมสองโบกี้มันน่ากลัวอะ"
"......เออเดี๋ยวเราพาไป" เจ๊แกแอบเซ็งทันที
เมื่อเจ๊แม่ลูกอ่อนพาเราเดินไปจุดที่เป็นห้องน้ำเดิมที่เราได้เห็นภาพหลอน เจ๊เปิดประตูไม่ยั้งเช่นกัน
"ว้าย" เจ๊อุทานแบบเบา เพราะเห็นชายสัญชาติฝรั่งคนนึงยืนฉี่อยู่ -.- ปิดประตูเสร็จก็หันมาบอก
"แก อันนี้มันห้องน้ำผู้ชาย แกตามมานี่ต้องเข้าอันนี้" เจ๊พาเดินนำไปอีกโบกี้ ด้วยความสงสัยในใจลึกๆ ของเราว่า อ่าวเอ็งรู้ว่ามันเป็นห้องน้ำผู้ชายแล้วเอ็งจะเปิดเข้าไปทำไม


แล้วเจ๊ก็พาเรามาห้องน้ำแบบส้วมนั่งยอง ซึ่งไม่มีสิ่งใดกระฉอก ไม่มีน้ำอะไรเลย แห้งๆ ดูปกติมาก แต่เหม็นเท่านั้นเอง เราก็โอเค พอเข้าเรียบร้อย เจ๊เข้าต่อเลยไหนๆ ก็ลุกมาแล้ว พอออกมาถึงได้รู้ว่าเราไม่ได้กดส้วมทั้งขาก่อนฉี่และหลังฉี่ มันมีให้เหยียบกดน้ำได้ตรงพื้น แต่เราไม่รู้ว่าต้องเหยียบตรงไหน เข้าใจไปเองว่าให้ฉี่ทับกัน - - เจ๊แกให้อภัยบอกไม่เป็นไรชั้นเหยียบกดแล้วก่อนฉี่และหลัง แล้วก็กลับมานอนต่อ เจ๊บอกว่ามานอนกะเจ๊ได้ถ้ากลัว เผื่อเตียงล่างจะดีกว่า เราก็ไม่อยากเบียดเพราะเห็นว่าที่ก็เต็มอยู่แล้วเลยปล่อยให้ความหวังดีของเพื่อนเป็นม่ายไป ก็ปีนกลับไปนอนต่อ ก็พยายามกำหนด กำหนดไม่ทัน เลยคิดแต่เรื่องดีๆ แล้วอยู่ๆ ก็หลับไปโดยไม่รู้ตัวจนถึงเลาไก...



>>>อ่านตอนต่อไป ชีวิตราคาถูก ฮานอย-ซาปา ตอน 3-1 ซาปา มากินหรือมาเที่ยว<<<


Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 5 มีนาคม 2551 16:36:20 น. 2 comments
Counter : 480 Pageviews.

 
มาตามเที่ยว ซาปา


โดย: เต๋า (oattao ) วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:14:30 น.  

 
มาเที่ยวด้วยคนค่ะ


โดย: Joyce (joicecy_k ) วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:55:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

SimVK
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฝากเนื้อฝากตัวด้วยคน
มีอะไรก็หลังไมค์มาได้^^
Friends' blogs
[Add SimVK's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.