มรดกโลกในญี่ปุ่น (1)


จริงๆจขบ.ว่าเนื้อเรื่องมันค่อยๆห่างจาก Group blog ที่ตั้งใจให้เป็นอยู่พอสมควร แต่เอาเถอะ ก็มันอยากจะเขียน

วันนี้จะมาแนะนำมรดกโลกในญี่ปุ่นให้ได้รู้จักกันค่ะ จริงๆที่อยากเขียนเนี่ย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับบล็อคย่อยอีกอัน เลยเอามาเกริ่นไว้ที่นี่ก่อนดีกว่า

ส่วนรูปที่เอามาแปะนี่ส่วนใหญ่ได้มาจากในเว็บนะคะ คงไม่มีปัญญาหาทางไปให้ครบทุกที่ได้ง่ายๆอ่ะค่ะ


ประเทศญี่ปุ่นมีมรดกโลกอยู่ทั้งหมด 14 แห่ง ใน 16 จังหวัด เริ่มจากเหนือลงใต้เลยแล้วกัน

ที่แรกค่ะ


คาบสมุทร Shiretoko (知床
) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอกไกโด ตอนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น ยื่นลงไปในทะเลโอค็อตสค์ (Okhotsk) ที่นี่ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในปี 2005

คาบสมุทรแห่งนี้มีความสมบูรณ์ในเชิงนิเวศน์วิทยาเป็นอย่างมาก ในฤดูหนาวประมาณต้นเดือนม.ค.เป็นต้นไปแผ่นน้ำแข็งจะลอยมาคลุมเต็มทะเลโอค็อตสค์ ซึ่งเป็นกลุ่มแผ่นน้ำแข็งที่ลอยลงมาต่ำที่สุดในโลก

เมื่อมีแผ่นน้ำแข็งลอยมาทับถมเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ทะเลแถบนี้เต็มไปด้วยแพลงตอน อาหารของสัตว์ทะเลน้อยใหญ่รวมทั้งปลาแซลมอนด้วย

พอเข้าฤดูใบไม้ผลิ ปลาแซลมอนเหล่านี้ก็จะว่ายทวนขึ้นไปบนแม่น้ำบนตัวคาบสมุทร กลายเป็นอาหารของหมีสีน้ำตาล, อินทรีหางขาว และสัตว์อื่นๆ จากนั้นมูลรวมทั้งซากของสัตว์เหล่านี้ก็จะกลายเป็นปุ๋ยให้กับพืชพันธุ์ต่างๆบนพื้นดินต่อไป

เป็นการเอื้อซึ่งกันและกันระหว่างผืนน้ำและผืนดินที่แสนจะสมบูรณ์แบบ


ธรรมชาติแถบคาบสมุทร Shiretoko ค่ะ เห็นแล้วอยากไปเนอะ แต่กลัวสู้ความหนาวไม่ไหว > <

แห่งที่สองยังคงเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติค่ะ เทือกเขา Shirakami (白神山地)


เทือกเขา Shirakami กินพื้นที่ตั้งแต่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดอะโอโมริ ไปจนถึงด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดอะคิตะ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1993

เทือกเขาแห่งนี้เป็นป่าไม้บีช ซึ่งเป็นป่าดงดิบที่อยู่ในระดับที่ใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ประมาณ 1,300 ตารางกิโลเมตร แต่พื้นที่ที่ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกเป็นพื้นที่ตอนกลางประมาณ 170 ตารางกิโลเมตร

อากาศโดยทั่วไปอุณหภูมิจะอยู่ต่ำกว่า 30 องศา ในหน้าหนาวแม่น้ำก็ไม่ได้กลายเป็นน้ำแข็งไปซะทั้งหมด มีฝนตกต่อเนื่องในปริมาณที่พอเหมาะตลอดปี ทำให้ที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ทั้งพืชพันธุ์ที่หลากหลายและสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิด

แต่หลังจากที่กลายเป็นพื้นที่มรดกโลกไปแล้ว ทางญี่ปุ่นก็หยุดการพัฒนาพื้นที่ในทุกด้าน ไม่มีการตัดถนน ไม่มีทางเดินเท้า ไม่มีการเจาะอุโมงค์ การเดินบนเขาในแถบนี้จึงต้องอาศัยเทคนิคพอตัว แต่ก็ยังเกิดอุบัติเหตุมีคนเคยมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เหมือนกัน

แห่งที่สาม หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง “ศาลเจ้าและวัดแห่งนิกโก” ในเมืองนิกโก จังหวัดโทะจิงิ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1999 มีสิ่งปลูกสร้างที่ขึ้นเป็นมรดกแห่งชาติ (国宝) 9 ชิ้น และอีก 94 ชิ้นจัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ (重要文化財)

ส่วนที่เป็นมรดกโลกประกอบด้วยศาลเจ้า 2 แห่ง และวัดอีก 1 แห่ง


ศาลเจ้า Nikko Tosho Shrine (日光東照宮) ศาลเจ้าหลักของ Tosho Shrine อื่นๆในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1617 เพื่ออุทิศให้แก่โชกุน Tokugawa Ieyasu โชกุนองค์แรกในสมัยเอโดะ และเป็นต้นตระกูล Ieyasu


ศาลเจ้า Nikko Futarasan Shrine (日光二荒山神社) สร้างขึ้นเพื่อใช้สักการะเทพเจ้าแห่งขุนเขาทั้ง 3 ลูก ได้แก่ Nantai-san, Nyohou-san และ Taro-san


วัด Rinno-ji (輪王寺) วัดลัทธิ Tendai (天台) ในนิกายมหายาน เน้นคำสอนตามหลักสัทธรรมปุณฑรีกสูตร หรือพระสูตรบัวขาว ที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน เข้ามาในญี่ปุ่นในสมัยเฮอันตอนต้น

มาถึงแห่งที่ 4 ค่ะ “หมู่บ้านทางประวัติศาสตร์ Shiragawa-go (白川郷) และ Gokayama (五箇山)” ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1995

หมู่บ้านทางประวัติศาสตร์สองแห่งนี้ตั้งอยู่ในคนละจังหวัดกัน Shiragawa-go อยู่ในจังหวัดกิฟุ ส่วน Gokayama อยู่ในจังหวัดโทะยามะ

ลักษณะเฉพาะของบ้านในหมู่บ้าน 2 แห่งนี้คือ หลังคาจะลาดลงคล้ายการพนมมือ ที่ต้องทำหลังคาในลักษณะเช่นนี้ก็เพราะพื้นที่แถบนี้มีหิมะตกหนัก หลังคาที่ลาดลงนี้จึงช่วยลดภาระในการกวาดหิมะลงจากหลังคาได้มาก และเนื่องจากในสมัยนั้นอุตสาหกรรมหม่อนไหมเป็นที่เฟื่องฟู หลังคาแบบนี้จึงช่วยเพิ่มพื้นที่ห้องใต้หลังคาในการทำอุตสาหกรรมหม่อนได้กว้างมากยิ่งขึ้น

บ้านทุกหลังที่นี่หันในทิศตะวันออก-ตะวันตก เพื่อให้หลังคาได้รับแสงจากดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่ รวมทั้งเพื่อเป็นการลดแรงลมปะทะที่มาจากทางทิศเหนือใต้ได้อีกด้วย


หมู่บ้าน Shiragawa-go


หมู่บ้าน Suganuma (菅沼合掌集落) ใน Gokayama


หมู่บ้าน Ainokura (相倉合掌集落) ใน Gokayama

เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้มีหิมะตกหนัก และรายล้อมไปด้วยขุนเขา ความเจริญจึงเข้าไปได้ยาก ทำให้คนที่นี่ยังสามารถรักษารูปแบบการดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมมาได้จนถึงทุกวันนี้

แห่งที่ห้า หนึ่งในสถานที่ฮอตฮิตติดชาร์ตการท่องเที่ยว “มรดกทางวัฒนธรรมเมืองหลวงเก่าเกียวโต (古都京都の文化財)” ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 1994 ครอบคลุมวัดและศาลเจ้าในเมืองเกียวโตและเมือง Uji จังหวัดเกียวโต, วัดในเมือง Ootsu จังหวัดชิงะ ขอแนะนำแค่คร่าวๆแล้วกันนะคะ นอกนั้นก็... ไปหาอ่านกันเอาเอง 55

เริ่มที่วัดและศาลเจ้า เมืองเกียวโต จังหวัดเกียวโตที่ขึ้นเป็นมรดกโลกกันก่อน


Kamigamo Shrine (上賀茂神社) สร้างขึ้นในปี 678 หนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในเกียวโต
Shimogamo Shrine (下賀茂神社) ศาลเจ้าหลักในรูปได้รับการบันทึกเป็นมรดกแห่งชาติ
To-ji Temple (東寺) วัดหลักในนิกาย Shingon (真言) ของญี่ปุ่น เจดีย์ 5 ชั้นที่นี่สูง 55 เมตร เป็นเจดีย์ไม้ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
Daigo-ji Temple (醍醐寺) เจดีย์ 5 ชั้นที่นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในเกียวโต
Ninna-ji Temple (仁和寺) วัดนี้มีความเกี่ยวข้องกับพระราชสำนักอย่างลึกซึ้งมาตั้งแต่สมัยเมจิ
Ryoan-ji Temple (竜安寺) วัดในนิกาย Rinzai (臨済) ที่มีชื่อเสียงมากก็เห็นจะเป็นสวนหินที่นี่
Kiyomizu-dera Temple (清水寺) หรือที่คนไทยเรามักเรียกกันว่า “วัดน้ำใส” เจดีย์ 3 ชั้นของที่นี่อยู่ในระดับที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเห็นจะเป็นอุโบสถไม้ที่มีระเบียงสร้างยื่นออกมาจากด้านข้างของเนินเขา ระเบียงนี้มีเสาไม้รองรับทั้งสิ้น 139 ต้น และไม่มีการใช้ตะปูยึดแม้ตัวแต่เดียว
Kouzan-ji Temple (高山寺) วัดเก่าที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมมรดกแห่งชาติ และมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญไว้มากมาย


Saiho-ji Temple (西芳寺) สวนที่มีชื่อเสียงของที่นี่คือ สวนมอส มีมอสกว่า 120 ชนิดด้วยกัน
Tenryu-ji Temple (天竜寺) ไปวัดนี้ต้องไปชมสวน และป่าไผ่ซึ่งอยู่ฝั่งประตูทางทิศเหนือของวัด
Kinkaku-ji Temple (金閣寺) วัดแห่งนี้ใช้ทองไปทั้งสิ้น 20 ก.ก. เริ่มแรกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของโชกุน Ashikaga Yoshimitsu (足利義満) และกลายมาเป็นวัดในนิกายเซนหลังจากที่เขาได้เสียชีวิตลง แต่ที่เห็นอยู่นี่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ประมาณช่วงปี 1950
Ginkaku-ji Temple (銀閣寺) หรือวัด Jishoji (慈照寺) นี้ สร้างขึ้นเลียนแบบวัด Kinkaku-ji แต่ไม่ได้เงินเป็นประกายเหมือนที่ตั้งใจไว้แต่แรกเริ่ม เนื่องจากเกิดสงครามขึ้นเสียก่อน
Nijo-jo Castle (二条城) ปราสาทสมัยเอโดะ อีกหนึ่งที่พำนักของโชกุน Togukawa Ieyasu
Nishihongan-ji Temple (西本願寺) วัดหลักของลัทธิ Shin Honganji หนึ่งในนิกายชิน สายมหายาน


วัดและศาลเจ้า เมือง Uji จังหวัดเกียวโตที่ขึ้นเป็นมรดกโลก

Byodo-in Temple (平等院) วัดในสมัยเฮอัน อาคารที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ ศาลา Ho-oo หรือศาลานกฟีนิกซ์ในตำนานจีน ภาพศาลานี้ยังปรากฏอยู่บนเหรียญ 10 เยนอีกด้วย
Ujigami Shrine (宇治神神社) ศาลาหลักของวัดนี้เป็นอาคารในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงมีให้เห็นในปัจจุบัน


วัดในเมือง Ootsu จังหวัดชิงะที่ขึ้นเป็นมรดกโลก

Enryaku-ji Temple (延暦寺) พื้นที่เขา Hiei-zan (比叡山) จากฝั่งตะวันตกของชิงะไปจนถึงฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเกียวโตเป็นพื้นที่ของวัดนี้ทั้งหมด

เหนื่อยจัง พอแค่นี้ก่อนละกัน.. ทิ้งบล็อคนี้ไว้เป็นบล็อคส่งท้ายปี 2009 เจอกันใหม่ปีหน้าค่ะ ^ ^

ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดปี ตลอดไปนะคะ ^ ^/




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2552    
Last Update : 30 ธันวาคม 2552 20:43:17 น.
Counter : 1996 Pageviews.  

Earthquake


ว่าจะเขียนเรื่องนี้อยู่นาน เพิ่งจะได้ฤกษ์กับเค้าก็วันนี้นี่แหล่ะ อาจจะวิชาการไปซักหน่อย แต่พอรู้มาก็อยากเขียนอยากเล่าน่ะค่ะ

ญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีแผ่นดินไหวเกิดบ่อยที่สุดประเทศหนึ่ง แต่อาจจะเป็นเพราะเทคโนโลยีของการก่อสร้าง การป้องกันภัย หรือจะของอะไรก็แล้วแต่ ทำให้แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นใช่ว่าจะได้รับความเสียหายรุนแรงทุกครั้งไป

เมื่อ 2 เดือนก่อนก็เช่นกัน มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่ชิซูโอกะ เมืองที่จขบ.อยู่เนี่ยแหล่ะค่ะ ตอนประมาณตีห้ากว่าๆ ระดับความแรง 6.5 แมกนิจูด

นอนๆอยู่สะดุ้งเลยค่ะ บ้านสะเทือนรุนแรงมาก ทำอะไรไม่ถูกนอกจากนั่งแน่นิ่งอยู่บนที่นอน ไหวไปซักพักก็หยุดไปเสี้ยววินาที แล้วเริ่มไหวต่อ ตอนหยุดก็ใจชื้น พอเริ่มไหวต่อก็เอาแล้ว.. แรงแน่ กอดกันกลมเตรียมตัวรับทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะตกลงมาใส่หัว ไม่ใช่ว่ารักกันมาก แต่มันไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านั้นได้เลยจริงๆ > <

พอแผ่นดินไหวสงบก็ออกมาสำรวจความเสียหายกัน โชคดีที่ไม่มีอะไรเสียหายเลย ของตกลงมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่แตกหัก แต่ก็เล่นให้ panic ไปได้นานเลยค่ะ

บ้านจขบ.นี่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ทั้งแผ่นดินไหว ทั้งคลื่นยักษ์สึนามิ คืออยู่ในระดับที่ถ้าคลื่นมาก็ไปหมด อาจจะเพราะด้วยเหตุนี้พื้นที่แถบนี้เลยได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทั้งๆที่ระดับความแรงสูงกว่าบางแห่ง แต่ความเสียหายกลับน้อยกว่ามาก

หลังจากนั้นก็มี After Shock อยู่เรื่อยๆ จากข่าวก็ว่าเกิดประมาณ 30 กว่าครั้งได้ แต่ที่จขบ.รู้สึกนี่ก็ 2 ครั้งค่ะ ครั้งแรกเกือบตกเก้าอี้แน่ะ ส่วนอีกครั้งนี่รู้สึกว่าบ้านโครงๆเท่านั้น


รูปนี้จขบ.เผอิญไปถ่ายมาได้ หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวอยู่หลายวัน ภาพบนกับภาพล่างซ้ายที่ที่มีหินมากองทับถมอยู่นี่เคยเป็นแม่น้ำมาก่อน หลังจากแผ่นดินไหวก็เกิดฝนตกหนักอยู่หลายวัน เลยกลายมาเป็นภาพอย่างที่เห็น ดูขนาดหินกับขนาดคนซิคะ ไม่เหลือ... ส่วนภาพล่างขวานี่เป็นกำแพงปราสาทในตัวเมืองชิซูโอกะ พังลงมาหลายจุดเหมือนกัน เค้าว่าต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหลายสิบล้านบาท โอ้...แม่เจ้า

แต่ครั้งนี้นี่เป็นเพียงแผ่นดินไหวเล็กๆเท่านั้น

... 6.5 แมกนิจูดเนี่ยนะเล็ก.. ก็เล็กจริงๆถ้าเทียบกับแผ่นดินไหวของจริงที่เค้าคาดการณ์ว่ามันจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆในพื้นที่แถบนี้

แผ่นดินไหวที่ว่าชื่อ Tokai Earthquake ความรุนแรงที่จะเกิดอยู่ในระดับ 8 แมกนิจูด ตอนแรกที่ฟังก็อืม... 6.5 มันเท่านี้ ถ้า 8 ...เอาน่า อาจจะรอด แต่พอฟังประโยคถัดไป

“พลังงานที่ปล่อยออกมาในครั้งนี้เป็นเพียง 1 ใน 100 ของ Tokai Earthquake เท่านั้น”

...ไม่ต้องคิดภาพตามเลยค่ะ ตอนนั้นสมองไม่สามารถประมวลผลใดๆได้ทั้งสิ้น


ญี่ปุ่นตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลก 4 แผ่นด้วยกัน การเคลื่อนไหวของทั้ง 4 แผ่นนี้ทำให้เกิดภูเขาไฟที่สวยงามขึ้นนั่นคือภูเขาไฟฟูจิ ...ซึ่งก็ยังไม่สงบ จะระเบิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็ได้

ส่วนแผ่นดินไหวครั้งที่เพิ่งเกิดไปนี่เป็นการสั่นสะเทือนภายในของแผ่น Philippine Plate แผ่นเดียวเท่านั้น

แล้ว Tokai Earthquake ล่ะ... Tokai Earthquake เกิดจากแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่นค่ะ คือแผ่น Philippine Plate กับ Eurasian Plate


แผ่น Philippine Plate เคลื่อนตัวมุดลงใต้แผ่น Eurasian Plate ยิ่งมุดลงไปลึกเท่าไหร่ ก็ยิ่งดึงแผ่น Eurasian Plate ให้ลึกตามไปด้วยเช่นกัน และเมื่อไหร่ที่แผ่น Eurasian Plate ทนไม่ไหว มันก็จะเด้งกลับ เมื่อนั้นแหล่ะค่ะ แผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ก็จะเกิดขึ้น ถ้าจุดที่เด้งกลับดันไปอยู่ใต้ทะเลแน่นอนว่า “สึนามิ” มาแน่ เหอๆ

เนื่องจากว่ายังไงไอ้เจ้า Tokai Earthquake นี่มันก็ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะตามสถิติแล้วมันก็เกิดขึ้นทุกๆ 100- 150 ปี และนี่ก็เกินระยะเวลานั้นมาแล้วด้วย ครั้งสุดท้ายที่เกิดนี่เมื่อปี 1854 ระดับความแรง 8.4 แมกนิจูด แถมมีคลื่นสึนามิสูง 7.2 เมตรเข้าถล่มอีกต่างหาก


ที่ศูนย์ป้องกันภัยแผ่นดินไหวค่ะ ถ่ายกับคลื่นสึนามิ 7.2 เมตร ของจริงมาคงยิ้มกันไม่ได้อย่างนี้แน่ แล้วก็ห้องป้องกันภัยพิบัติ บ้านพังแต่ห้องยังอยู่ ถ้าอยากรอดตายก็ต้องจ่าย 2 แสน 5 หมื่นเยน (ประมาณเกือบๆ 1 แสนบาทสำหรับห้องขนาดเท่าที่เห็น)

...เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่เสี่ยงภัย รัฐบาลญี่ปุ่นก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการติดตั้งเครื่องตรวจจับแผ่นดินไหวที่มีความละเอียดสูงซึ่งยังไม่มีที่ใดในโลกไว้ในแถบนี้ด้วย และจับตามองกันตลอด 24 ชั่วโมง แต่ถึงจะมีความละเอียดมากมายยังไง ข้อจำกัดของมันก็ยังมีอยู่มาก ใช่ว่ามันจะสามารถแจ้งการเกิดแผ่นดินไหวล่วงหน้าได้ 100% ในทุกกรณี

ก็ได้แต่หวังว่าความเป็นเจ้าเทคโนโลยีของญี่ปุ่น เขาจะสามารถผลิตเครื่องตรวจจับแผ่นดินไหวที่แม่นยำนี่ให้ได้ก่อนของจริงจะเกิดขึ้นด้วยเถิด.....




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2552    
Last Update : 15 ตุลาคม 2552 14:55:13 น.
Counter : 831 Pageviews.  

กว่าจะได้ใบขับขี่


การทำใบขับขี่ที่ญี่ปุ่นจะว่ายุ่งยากก็ไม่เชิง จะว่าง่ายก็ไม่ใช่.. ไม่ใช่แน่ๆ

ใครที่อยากได้ใบขับขี่ญี่ปุ่น อย่ามาสอบที่ญี่ปุ่นให้เปลืองตังค์เลย ค่าสอบไม่ใช่น้อยๆ เสียกันเป็นแสนบาทเลยทีเดียว จริงๆในแสนนึงเนี่ยก็รวมค่าเรียนขับรถไว้แล้วด้วย แล้วก็สอบผ่านโรงเรียนสอนขับรถนั่นได้เลย

แต่ถ้าจะให้ดีถ้าใครมีใบขับขี่อยู่แล้ว ก็สามารถเอามาเปลี่ยนเป็นใบขับขี่ญี่ปุ่นได้ที่ญี่ปุ่นนี่เลย แต่ยังไงก็ยังต้องสอบทั้งข้อเขียนและปฏิบัติก่อน ข้อสอบง่ายกว่าที่เมืองไทยเยอะ แต่จะผ่านหรือเปล่านี่อีกเรื่อง ^ ^

** ที่จะเล่าให้ฟังนี่เป็นรายละเอียดทั่วๆไป บางเมืองรายละเอียดยิบย่อยก็อาจจะแตกต่างกันไปเล็กน้อย เข้าเรื่องเลยค่ะ

เงื่อนไขในการโอนใบขับขี่มาเป็นของญี่ปุ่นก็มีแค่ ใบขับขี่ของเราจะต้องไม่หมดอายุ และเราต้องอยู่ในประเทศที่ได้ใบขับขี่นั้นมาอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป (ดูตามพาสปอร์ตเป็นหลัก) เท่านี้เอง

เงื่อนไขไม่มากแต่ใช่ว่าเราจะถือใบขับขี่ไทยไปขอเข้าสอบได้เลยซะเมื่อไหร่ ก่อนอื่นเลยก็ต้องเตรียมเอกสารอื่นๆให้พร้อม

1) คำแปลใบขับขี่เป็นภาษาญี่ปุ่นออกโดยสหพันธ์ยานยนต์แห่งญี่ปุ่น Japan Automobile Federation (JAF)

เราเองก่อนมานี่ก็คิดว่าแปลจากเมืองไทย ให้สถานทูตรับรองก็น่าจะได้ ปรากฎทำเอกสารเสร็จสรรพ แต่ทางญี่ปุ่นเค้าไม่รับ เลยต้องเสียเวลาไปยื่นขอที่ JAF ให้ช่วยออกคำแปลให้อีกที..

ใกล้ที่ไหนไปที่นั่นนะคะ JAF มีกระจายอยู่ทั่วญี่ปุ่น เดินเข้าไปกรอกคำร้องได้เลย JAF Branch
หรือจะดาว์นโหลดจาก Application Form แล้วนำไปยื่นก็ได้

เอกสารที่จำเป็นมี

- คำร้อง (ข้างต้น)

- ใบขับขี่ตัวจริง (ทาง JAF จะถ่ายสำเนาเก็บไว้อีกที)

- สำเนาบัตรประจำตัวชาวต่างชาติ (外国人登録証明書)


เท่านี้ก็เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ระบุว่าประมาณ 2 สัปดาห์เอกสารน่าจะเสร็จสิ้น แต่ของเรานี่ไม่ถึงสัปดาห์ก็ได้รับเอกสารแล้ว (เอกสารนี่จะไปรับเองหรือให้เขาส่งมาให้ที่บ้านก็ได้ค่ะ)

ค่าธรรมเนียม 3,000 เยน ดูรายละเอียดได้้เลยที่ JAF Switching Driver's License

2) บัตรประจำตัวชาวต่างชาติ
(外国人登録証明書)
3) พาสปอร์ต
4) รูปถ่าย 1 นิ้ว (3ซ.ม. x 2.4ซ.ม.) รูปถ่ายนี่ใช้แปะเอกสารที่ยื่นเท่านั้น ไม่ได้ใช้เป็นรูปบนใบขับขี่นะคะ เพราะฉนั้นถึงจะเอารูปที่ถ่ายแล้วดูดีที่สุด modify มาสุดแรงเกิดมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร รูปที่จะไปอยู่บนใบขับขี่จะเป็นรูปที่ถ่าย ณ วันที่เราสอบใบขับขี่ผ่าน วันนั้นแหล่ะค่ะ อย่าโทรมไปสอบเลยเชียว

เมื่อเอกสารพร้อม อย่าเพิ่งค่ะ..อย่าเพิ่งสุ่มสี่สุ่มห้าเดินเข้าไปยื่นคำร้องขอสอบใบขับขี่นะคะ เราจะต้องนัดวันเวลาล่วงหน้ากับทางสถานที่จัดสอบซะก่อน โดยปกติก็จะเป็นที่สถานีตำรวจของแต่ละเมือง อันนี้สามารถสอบถามได้ที่ JAF ค่ะว่าที่เมืองเราต้องไปยื่นคำร้องที่ไหน

วันแรกเลยก็จะมีแค่ยื่นเอกสารกับตรวจสอบสายตาว่าสั้นยาวมากน้อยแค่ไหน ต้องใส่แว่นในการขับขี่หรือเปล่า ถ้าเจ้าหน้าที่เห็นว่าเราจำเป็นต้องใส่แว่นในการขับขี่ เขาก็จะระบุลงไปในใบขับขี่ด้วย

จากนั้นเขาก็จะนัดวันไปสอบข้อเขียนกับปฏิบัติกันอีกที ส่วนสถานที่สอบก็ไม่ใช่ที่ที่ยื่นเอกสารนะคะ อันนี้อย่าลืมคอนเฟิร์มล่วงหน้าด้วยล่ะ ถ้าไปเก้อก็ตัวใครตัวมัน..

ณ วันที่ไปสอบเราต้องระบุด้วยว่าเราจะสอบโดยใช้เกียร์ออโต้ หรือเกียร์กระปุก เพราะใบขับขี่เขาแยกกัน ถ้าเราสอบได้ใบขับขี่เกียร์ออโต้ เราก็จะไม่มีสิทธิ์ขับเกียร์กระปุก แต่ถ้าเราสอบได้ใบขับขี่เกียร์กระปุก เราจะไปขับเกียร์อะไรก็ได้ค่ะ

">คนที่บ้านนี่ก็ขอร้องแกมบังคับ

“..ไหนๆก็ขับเกียร์กระปุกได้อยู่แล้ว สอบเกียร์กระปุกไปเลยซิ”

“แต่ที่ญี่ปุ่นนี่รถเกียร์กระปุกแทบจะไม่มีไม่ใช่เหรอ รถที่ใช้อยู่เนี่ยก็เกียร์ออโต้”

“ก็เผื่อไว้ไง เผื่อไว้..”

จะเผื่อไว้ทำ...อะไร เอาวะกระปุกก็กระปุก

สอบข้อเขียนนี่ง่ายๆเลย มีทั้งหมด 10 ข้อ ทำได้ 7 ข้อขึ้นไปก็ถือว่าผ่าน มีข้อสอบให้เลือกหลายภาษา แต่เสียใจ..ไม่มีภาษาไทยล่ะ

หลักๆก็ไม่มีอะไรมาก แค่ดูว่าเรารู้กฎจราจรของเขาหรือเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่มันก็เหมือนๆกับของไทย แต่ก็มีป้ายจราจรบางป้ายที่เมืองไทยไม่มี ลองเข้าไปดูที่นี่ Japan Traffic Sign เอาก็ได้ค่ะ ดูไปตาลายไป 55 อาศัยความเข้าใจแค่นั้น ไม่ยากค่ะ ไม่ยาก
ตอนเราไปสอบไม่ถึง 3 นาทีเสร็จ ได้ 10 คะแนนเต็ม ..น่าภูมิใจเหลือเกิน แต่มาพลาดเอาตอนสอบปฏิบัติเนี่ยแหล่ะ เซ็งสุดๆ

เวลาสอบปฏิบัติก็ง่ายๆค่ะ (สอบไม่ผ่านยังว่าง่ายเนอะ คนเรา) ไม่่มีจอดรถเข้าซอง ไม่มีออกตัวบนเนิน ไม่มีอะไรซับซ้อน แค่ขับรถไปในทางที่เขากำหนด แล้วปฏิบัติตามป้ายจราจรที่เห็น แค่นี้เอง กระจอก.. เหอๆ แล้วทำไมชั้นไม่ผ่าน > <

การสอบก็จะเริ่มดูตั้งแต่การออกตัว เปิดไฟเลี้ยวหรือเปล่า ทางตรงก็ต้องวิ่งขึ้นไปให้ได้ความเร็วที่เขากำหนด เปลี่ยนเลนถูกต้องไหม ดูไฟจราจร แล้วก็ขับรถในทางแยก



เช่น ถ้าเราวิ่งมาถึงทางแยกแล้วต้องการเลี้ยวขวา เกิดซวยมีรถที่สอบอยู่ขับมาถึงทางแยกพร้อมกับเรา แล้วเขาต้องการเลี้ยวซ้าย คือเลี้ยวรถเข้าไปในเส้นทางเดียวกับเรานั่นเอง ถ้างงก็ดูตามรูปเลยค่ะ เราก็ต้องให้รถที่ต้องการเลี้ยวซ้ายเลี้ยวไปก่อน อย่าลืมนะคะ)

แต่ที่ดูน่าจะยากที่สุดสำหรับคนไทยคือ การขับเข้าช่วงเลี้ยวหักศอก (crank) กับขับในถนนตัว S เพราะถนนจะแคบมาก เหมาะกับเป็นถนนในญี่ปุ่นจริงๆ สำหรับคนที่ขับรถมาคล่องๆแล้วจริงๆมันก็ไม่ยากอะไรหรอกค่ะ แค่ทำให้ดูตื่นเต้นไปงั้น แต่ถ้าเป็นมือใหม่ กะระยะยังไม่ถูกก็อาจจะยากนิดนึง ถ้าไม่มั่นใจจะไปลงเรียนก่อนมาสอบจริงก็ได้ หรือไม่ก็บางสนามสอบเขาก็เปิดให้เข้าไปฝึกขับได้ในช่วงวันหยุด เสียค่าใช้จ่ายนิดหน่อย



ตอนสอบจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งไปด้วยข้างๆ เพิ่มความตื่นเต้นให้มากขึ้นไปอีก แล้วก็จะมีคนที่จะสอบต่อจากเรานั่งอยู่ด้านหลัง พอสอบเสร็จคุณตำรวจก็จะให้คนที่นั่งข้างหลังลงไปก่อน แล้วหันมาสรุปกับเราสั้นๆว่าเราขับรถเป็นอย่างไรบ้าง

“ตอนจะเลี้ยวซ้าย ไม่ได้มองกระจกมองข้างนะ ถ้าเกิดมีจักรยานหรือมอเตอร์ไซค์สวนขึ้นมาก็จะเกิดอุบัติเหตุได้”

อ้าว.. ตอนถึงป้ายให้ชลอก็ชลอ จินตนาการเรียบร้อยว่าอาจจะมีคนวิ่งเข้ามา ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะต้องจินตนาการด้วยว่าในสนามสอบนี่อาจจะมีจักรยานหรือมอร์เตอร์ไซค์วิ่งอยู่ด้วย ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะคะ..

พอลงมาจากรถ คนบราซิลที่นั่งไปด้วยบอกว่า ..ยูผ่านแน่ ยูขับดีมาก ดูไม่ตื่นเต้นเลย ขับถูกตลอด..

ถ้าเขามาได้ยินตอนคุณตำรวจคอมเม้นต์นี่จะว่ายังไงบ้างเนี่ย

สรุปว่า.. ไม่ผ่าน

จริงๆจะผ่านหรือไม่ผ่านนี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราขับได้ดีมากแค่ไหนเพียงอย่างเดียว แต่น่าจะขึ้นอยู่กับความเข้มงวดของคุณตำรวจที่นั่งไปด้วยไม่มากก็น้อยเลยล่ะค่ะ (รำไม่ดีโทษเค้าไปทั่ว 55)

เรานัดวันไปสอบอีกที คุณตำรวจคนเดิม สอบเสร็จคุณตำรวจคอมเม้นต์ว่า.. เวลาจะเลี้ยวให้ชิดขอบด้านที่จะเลี้ยวให้มากกว่านี้

โอ้ว..นี่ก็ว่าชิดจนจะตกถนนอยู่แล้วนะ

คนบราซิลในกลุ่มที่ไปสอบด้วยกันก็ไม่มีใครผ่านซักคน มีคนนึงมาสอบเป็นครั้งที่ 8 แล้วก็กับคุณตำรวจคนเดิมเนี่ยแหล่ะ ก็ยังไม่ผ่าน เราเลยว่าลองเปลี่ยนวันสอบดูดีกว่า เผื่อเจอคุณตำรวจใจดี

แล้วความหวังก็สัมฤทธิ์ผล ได้คุณตำรวจหน้าใหม่มานั่งข้างๆ คอมเม้นต์นี่โดนเหมือนเดิมเป๊ะ.. แต่คนนี้ให้ผ่าน 55 เสร็จเรา

ในที่สุดก็ได้ใบขับขี่มาครอบครองสมใจ




 

Create Date : 04 กันยายน 2552    
Last Update : 11 กันยายน 2552 6:59:48 น.
Counter : 789 Pageviews.  

1  2  

HappyToBeMe*
Location :
Shizuoka Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




เรียนเอกญี่ปุ่น ทำงานบริษัทญี่ปุ่น แต่งงานกับคนญี่ปุ่น มาใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น บางช่วงก็เกลียดญี่ปุ่นเข้าไส้ บางช่วงก็รักใจจะขาด ไม่นึกว่าญี่ปุ่นจะมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตมากมายขนาดนี้เลยนะเนี่ย

เพื่อการอ่านหน้าบล็อคให้ได้ตามความตั้งใจของจขบ. ลองดาว์นโหลดฟอนต์ดู ที่นี่ เลยค่ะ
ขอขอบคุณคุณ iannnnn มากๆที่สร้างสรรค์ฟอนต์สวยๆให้ได้ใช้กันนะคะ

**สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพ และ ข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุดนะคะ**

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add HappyToBeMe*'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.