ภาวะความเป็นผู้นำ
เสาร์ที่ผ่านมาได้พบกับเพื่อนในกลุ่มชมรมนักเขียนนิยาย เพราะมีสมาชิกคนหนึ่งกลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งจริงๆเป็นประเทศใกล้ๆนี่แหละ แต่นานๆจะได้กลับมาที ก็เลยได้ฤกษ์นัดพบกัน กว่าจะได้ครบคนทั้งหมดก็เกือบบ่ายสอง แต่ก็แบ่งสมาชิกออกไปล่วงหน้ากลุ่มหนึ่งแล้วเพื่อเตรียมอาหารมื้อเที่ยง (ในความเป็นจริงคือมื้อบ่ายแก่ๆ) ซึ่งเมนูอาหารมื้อนี้เป็นบาร์บีคิว และโชคดีที่สมาชิกคนที่พึ่งกลับมาจากต่างประเทศที่ว่าทำตัวเป็นพ่อบ้านที่ดี ประกอบกับมีความตั้งใจเตรียมมาทำบาร์บีคิวแบบเต็มรูปแบบ คราวนี้สมาชิกทั้งหมดก็เลยได้มีโอกาสทานบาร์บีคิวแบบที่สมกับเป็นบาร์บีคิวจริงๆ (คราวที่แล้วเป็นบาร์บีคิวคนยาก เพราะออกมาในแนวสบายๆจับเนื้อได้ย่างบนเตานั่นเลย ออกมาทำนองเป็นหมูย่างมากกว่า แต่คราวนี้มีการเสียบไม้มีพริกหยวก มะเขือเทศ แบบสมชาติตระกูลบาร์บีคิวจริงๆกันซะหน่อย) เนื่องจากสมาชิกคราวนี้มีมาร่วมมากขึ้น ก็เลยรู้สึกสนุกมากและอาหารก็หมดเร็วกว่าครั้งที่แล้วด้วย พอถึงเวลาเกือบห้าโมงเย็นสมาชิกก็ทะยอยกันกลับเพราะบางคนมีธุระ บางคนจะกลับไปดูแดจังกึม! รวบรวมสมาชิกได้อีกสี่คน ไปกินข้าวมื้อเย็นและคุยกันต่อ เพราะรู้สึกติดลม หลังจากมีการถกปัญหาเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองเศรษฐกิจสมัยรัชกาลที่ 1,3,4,5,7 แล้วโยงไปสมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และธนบุรี สรุปว่าไปทานข้าวเย็นต่อกันที่โคคา-เซ็นทรัลเวิร์ล ทีมงานเลือกที่นั่งด้านในสุดเพราะกลัวว่าอาจจะถูกเชิญไปสอบสวนหากเผลอพูดคุยอะไรในโลกวิชาการซึ่งในโลกความเป็นจริงอาจจะยังรับการถกเถียงเชิงวิชาการไม่ได้ ผมได้โอกาสเล็กเชอร์แพล็ตฟอร์มการเมืองในฝันไปได้หน่อย ค่อยได้โอกาสระบายความคิดในสมองไปออกไปได้หน่อย (วิธีการระบายความคิดออกจากสมองจะทำให้สองอย่างคือ การเขียน และการคุยให้คนอื่นฟังนี่แหละ) ได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าไอ้สิ่งที่เราเรียกเองว่า strategic positioning ของประเทศ ในศัพท์ทางรัฐศาสตร์จะเรียกว่า order (เช่น new world order เป็นต้น) แพล็ตฟอร์มการเมืองที่ผมบรรยายไป ก็เอาตำแหน่งของประเทศมาวิเคราะห์เพราะอยู่ตรงกลางระหว่างจีนกับอินเดีย ซึ่งต่างก็เป็น high growth economic ของเอเชียทั้งคู่ ไทยจะต้องโหนปีกของเอเชียทั้งคู่นี้ไปให้ได้ อันนี้ว่ากันเป็นปัจจัยภายนอก สำหรับปัจจัยภายในผมมองว่าการปะทะกันระหว่างทักษิณและสนธิที่เห็นกันปัจจุบัน เป็นเพียงการปะทะกันระหว่างตัวแทนของกลุ่มทุนสองกลุ่ม คือกลุ่มทุนที่มีโอกาสและต้องการเข้ามาควบคุมนโยบายระดับประเทศด้วยตัวเอง กับกลุ่มทุน(และพรรคการเมือง)ที่ไม่มีโอกาส หรือไม่ได้เข้ามาควบคุมนโยบายระดับประเทศ หรืออาจนิยมการเข้ามามีส่วนร่วมโดยวิธีการผ่านตัวแทนหรือสนับสนุนทุนพรรคการเมืองแบบเดิม ซึ่งผมเองเห็นว่ามันล้าหลังทั้งคู่ และสะท้อนให้เห็นว่าอันที่จริงแล้วประเทศไทยนี่มีปัญหาในระดับพื้นฐานอยู่สองประการคือ ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบตลาด ปล่อยให้มีการผูกขาดในอุตสาหกรรมต่างๆเต็มไปหมด ทำให้มีผู้ที่มีอำนาจเหนือตลาดที่ต้องการผูกขาดความมั่งคั่งของธุรกิจของตนเองต่อไปเรื่อยๆต้องหาหนทางเข้ามามีอำนาจในการเมืองระดับประเทศ (ไม่ว่าจะโดยตรง หรือโดยผ่านตัวแทนก็ตาม) ยิ่งปล่อยไว้ให้ระบบตลาดมีการผูกขาดมาก ปัญหานี้ก็จะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต ปัญหาที่สองก็เกี่ยวเนื่องและเชื่อมโยง รวมทั้งเป็นผลมาจากปัญหาที่หนึ่ง ก็คือความแตกต่างของระดับรายได้ของประชากร ในทางเศรษฐศาสตร์จะมีตัววัดชื่อ gini index ยิ่งค่านี้ใกล้ 1 ก็ยิ่งแสดงว่ามีความแตกต่างของระดับรายได้กันอย่างรุนแรง (คือมีปัญหาการกระจายรายได้) แต่ถ้าเข้าใกล้ 0 สังคมนั้นจะมีปัญหาการกระจายรายได้น้อย คนจะมีฐานะใกล้เคียงกัน รูปจาก wikipedia (สียิ่งแดงเข้มยิ่งมีปัญหาการกระจายรายได้ [gini index -->1] สียิ่งเขียวเข้มการกระจายรายได้จะเท่าเทียมกัน [gini index -->0 ...จากรูปจะเห็นว่าอเมริกาก็ใช่ว่าจะไม่มีัปัญหาเรื่องการกระจายรายได้) แพล็ตฟอร์มการเมืองที่ผมว่า ก็จะต้องกำหนด Order ของประเทศให้พร้อมรับมือกับการแข่งขันในอนาคต ในขณะเดียวกันก็ต้องแก้ไขปัญหาภายในทั้งสองประการที่กล่าวถึงไปแล้วด้วย === คุยไปคุยมาก็มาวิจารณ์ถึงตัวละคร ที่น้องคนหนึ่งเขาแต่งนิยายเอาไว้ ทีนี้เนื่องจากความเป็นนักรัฐศาสตร์ ก็เลยมีการผสมผสานมุมมองทางด้านการเมืองและรัฐศาสตร์เข้ามาในนิยายด้วย ก็เลยได้รู้แนวคิดทางรัฐศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของผู้นำ เพราะผู้นำที่มี interpersonal เก่งแต่ strategic think ไม่เก่ง จะต้องไปหาคนอีกคนหนึ่งมาถึงจะเติมเต็มกันได้ เหมือนเล่าปี่ต้องตามหาขงเบ้ง (แต่นิยายของน้องเขาจะเป็นในทางตรงข้าม) แนวคิดเรื่องภาวะการเป็นผู้นำที่มี interpersonal ไม่เก่งจะทำให้ไม่สามารถรวมกลุ่มผู้ตามได้นาน เพราะผู้ตามจะตามด้วยความกลัวและความจำใจ ไม่เหมือนผู้นำที่มี interpersonal เก่ง ซึ่งจะทำให้องค์กรมีความยืนยาวกว่า เป็นแนวคิดที่รบกวนจิตใจมาก เพราะถ้าหากจะตั้งกิจการหรือดำเนินการในรูปองค์กร ผมยังไม่เข้าใจองค์ความรู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย ทีนี้พอความสงสัยเรื่องภาวะความเป็นผู้นำมากเข้า วันอาทิตย์เลยอดรนทนไม่ไหว ไปร้านหนังสือและเดินหาหนังสือที่เกี่ยวกับรัฐศาสตร์และภาวะความเป็นผู้นำ ก็ไปได้หนังสือเรื่อง leadership (ภาวะผู้นำ : พลังขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นเลิศ (จัดพิมพ์โดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ) มาอ่าน ก็เลยได้ข้อมูลเพิ่มเติมที่สำคัญหลายเรื่อง และเริ่มเห็นว่าปัจจุบันเริ่มมีการศึกษาภาวะความเป็นผู้นำในลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ และศึกษาแบบมีระเบียบวิธีวิจัยมากขึ้น เลยเริ่มจำได้ว่ามีงานศึกษาเกี่ยวกับเรื่องผู้นำหลายชิ้น ซึ่งจริงๆก็เคยผ่านตามาแล้ว อย่างเช่นผู้นำระดับที่ 5 ของจิม คอลลินส์ ในเรื่อง Good to great และ Build to last เป็นต้น และอันที่จริง harvard business review ก็ตีพิมพ์งานวิจัยเรื่องภาวะผู้นำหลายครั้งแล้ว ถ้าจะกล่าวโดยสรุปก็คือ ในปัจจุบันภาวะผู้นำมีการศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น และมุ่งเน้นให้คนเก่งทั้ง strategic think + interpersonal และรู้ว่าตนเองเหมาะกับลักษณะผู้นำแบบใด ซึ่งนอกจากเรื่องนี้ก็ต้องมีความเก่งในเรื่องของ IQ, EQ, MQ, AQ และมีรายละเอียดเทคนิคการนำคน และเป็นภาวะผู้นำเป็นเรื่องที่เรียนรู้กันได้ เรียกว่าภาวะความเป็นผู้นำในสมัยใหม่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นกว่ายุคสามก๊ก จะพูดแบบนั้นก็ได้ เพราะความคิดแบบยุคก่อนจะมีลักษณะเป็นเคล็ดวิชา ต้องตีความและมีความเป็นเฉพาะตัวสูง ซึ่งต่างจากสมัยนี้ที่สามารถเรียนรู้และทำซ้ำได้และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ และถ้ามีงานวิจัยเกี่ยวข้องและมีหลักทฤษฎีอ้างอิงแบบนี้ ก็คิดว่าจะไม่หลงทางและน่าจะเข้าใจแนวทางได้ไม่ยากแล้ว พออ่านหนังสือไปได้สักพักก็ลุยทำงานบ้านตั้งแต่ห้าโมงครึ่งยันสามทุ่ม จนงานเสร็จจนได้ เป็นวันที่ทำงานเยอะจริงๆ แต่งานค้างของออฟฟิศยังไม่ได้ทำเลย -_-"
Create Date : 21 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2548 23:19:00 น.
2 comments
Counter : 651 Pageviews.
โดย: สาวน้อยร้อยแปด IP: 61.91.143.32 วันที่: 20 ธันวาคม 2548 เวลา:23:01:26 น.
โดย: อรรถพล IP: 125.26.249.97 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:46:30 น.
สหายสิกขา Lite version
สหายสิกขาตั้งคำถามกับการเป็นอยู่ของสรรพสิ่งตรงหน้า พร้อมกันนั้นก็เปิดรับแนวคิดของคำตอบในมุมมองที่แตกต่างอย่างเท่าเทียมกัน สหายสิกขาจะมีความยินดียิ่ง หากคุณได้นำความรู้ที่ได้จุดประกายนี้ไปตีความต่อให้ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้น เพราะยิ่งแลกเปลี่ยนยิ่งถกเถียงยิ่งสนทนาก็สามารถแตกประเด็นไปอีกได้มาก สหายสิกขาต้องการกระตุ้นให้คนอ่านได้คิด และสัมผัสถึงขอบเขตที่ไม่สิ้นสุดแห่งจินตนาการ พร้อมกันนั้นสหายสิกขา ก็พร้อมอยู่เป็นเพื่อนคู่คิด เพื่อนสนทนา เพื่อจับมือกันเรียนรู้ไปในโลกกว้าง ...ด้วยกัน
Free counter