Group Blog
 
All blogs
 
เด็กรุ่นใหม่ไม่เอาถ่าน?

ได้ไปอ่านข้อความจากเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง มีข้อความดังต่อไปนี้

====
สิ่งที่บัณฑิตรุ่นใหม่ ขาดไป

อย่าประมาทนึกว่า ได้ ลูกน้องใหม่ เป็นปริญญาตรี แล้วจะ ได้คนเก่ง นะครับ การศึกษาไทย ล้มเหลว อย่าไว้ใจว่า บัณฑิตไทย จะทำงานสมกับ "วุฒิ ปริญญา สถาบัน" โดยเด็ดขาด

สิ่งที่บัณฑิตไทย ขาดหายไป

1) Leadership
การสั่งงาน :พูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ยกเว้น ในกลุ่มพวกเขาเอง
การตามงาน:การไล่ติดตามงาน การทำงานให้เสร็จภายใต้เงื่อนไข ภายใต้เวลา ความกดดัน และ ทรัพยากรไม่พอเพียง
ขาดบารมี(Charisma) ในการสร้างลูกน้อง
ความคิดสร้างสรรค์(Creative thinking)
ความคิดที่เป็นระบบ(systematic thinking)

ต้นตอสาเหตุ: กิจกรรมนักศึกษาไทยน้อยไป / งาน Project น้อยไป หรือ อาจารย์ ไม่เข้มงวด / กระทรวงศึกษา และ ทบวง "ล้าหลัง " กว่าคนในวงการอื่นๆ

2)นิสัยค้นคว้า รักการอ่าน
พอมาอยู่ที่องค์กร พวกเขา คาดหวังว่า เจ้านายอย่างเรา ต้องป้อนความรู้ให้ พวกเขาค้นคว้าเอง เรียนเองไม่เป็น ไม่รักการอ่าน ไม่ชอบเขียน เกลียดการจด

ต้นตอสาเหตุ:ข้อสอบแบบวัดเฉพาะความจำ / ครูอาจารย์ออกข้อสอบไม่เป็น / ขาดการเรียนแบบสืบค้น / ใช้ตำราไทย มากไป / วงการตำรา มี มาเฟีย / รัฐบาลไม่ส่งเสริม สิ่งพิมพ์ และ รณรงค์เรื่องรักการอ่าน อย่างต่อเนื่อง เอาจริง

3)ไม่อดทน นิสัยมักง่าย ชุ่ยๆ สมาธิสั้น

ต้นตอสาเหตุ: การอบรมเลี้ยงดู / พ่อแม่ไทย ไม่ได้รับการอบรมวิธีเลี้ยงลูก / สื่อมวลชน ไม่รักษา ศีลธรรม ความดีงาม ค่านิยมที่ดี / เด็กรุ่นนี้ เติบโต มาใน รถยนต์ และ รีโมตทีวี /พ่อแม่ เอาใจใส่ลูกน้อยไป /

====

เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ผมก็รู้สึกไม่เห็นด้วยหลายประการดังนี้

วิธีคิดแบบนี้เป็นวิธีคิดที่โยนปัญหาออกไปนอกตัว ซึ่งเมื่อก่อนผมก็เคยคิดแบบนี้นะครับ

เพราะไปเจอเด็กสมัยใหม่ที่ชอบถามการบ้านตามเว็บบอร์ด ทั้งที่บางทีก็ใช่ว่าจะได้คำตอบตามที่ต้องการ หรือบางทีก็โดนด่ากลับมาเสียด้วยซ้ำ (ว่าขี้เกียจไม่ยอมหาคำตอบเอง) ตอนสมัยก่อนนั้นก็เลยคิดว่าเด็กพวกนี้มันสิ้นคิดหรือเปล่าที่ใช้วิธีแบบนี้ค้นหาคำตอบ ของการบ้านที่ได้รับมอบหมายมา

แต่ตอนหลังมาคิดใหม่ก็ได้คำตอบว่า วิธีแบบนี้เป็นวิธีที่มีต้นทุนถูกที่สุด ในการหาคำตอบเพื่อนำคำตอบนั้นมาส่งอาจารย์ (เพราะอาจารย์ให้คะแนนที่ตัวคำตอบ ไม่ใช่ให้คะแนนที่ความเข้าใจ หรือการประยุกต์ใช้ทฤษฎี)

แล้วจริง ๆ พวกเขาก็โพสต์คำถามแบบนี้ไว้ในเว็บบอร์ดหลายแห่ง เพื่อคัดเลือกคำตอบที่ดูดีที่สุดไปส่งเป็นการบ้านเสียด้วยสิครับ

พอคิดในมุมนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า เด็กพวกนี้ฉลาดเอาเรื่องทีเดียว

====

เคยไปอ่านในเว็ปแห่งหนึ่งเกี่ยวกับแนวทางการช่วยเหลือ มือใหม่ที่เข้ามาค้นหาคำตอบในชุมชนการใช้งานซอฟต์แวร์แบบโอเพ่นซอร์ส

เขาก็เตือนสติให้เราคิดได้ว่า เราเองก็เคยเป็นมือใหม่มาก่อน เมื่อไม่รู้อะไร ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมาโพสต์ถามความรู้ ทั้งที่ความรู้นั้นบางทีก็สามารถหาได้จาก FAQ เอาได้ง่าย ๆ แล้ว แทนที่ขาประจำหรือคนรุ่นเก่า(เจ้าพ่อบอร์ด) จะไปโพสต์ในทำนองว่า "รู้ไหมว่าคำถามแบบนี้ หาเอาได้จาก FAQ ไปอ่านเอาสิ โง่จัง..." ทำนองนี้ เขาบอกว่า ให้ลองหยุดคิดสักนิด แล้วลองทำตามวิธีการดังนี้

1. Don't give the full solution. Instead, limit yourself to the half of the standard answer.
2. Try to explain the beginning in as many details as you can.
3. Give a general description of objectives that must be completed to solve the problem.
4. Try to encourage the user to check the manual or the Internet. I used a word "encourage" instead of "redirect". Keep that in mind, please.
5. If necessary, give some keywords (but not the search phrase!) or hints.

For example: when user wants to perform some task, don't tell him what to do, but tell him what tools he should use. If there are any traps, warn him.

====

เรื่องแบบนี้มันเป็นไปทั่วทุกวงการนั่นแหละครับ ตอนผมไปเรียนหนังสือ ก็เจอทัศนคติที่ว่า ทำไมจะต้องทำงานวิจัย ทำวิทยานิพนธ์ ที่ยุ่งยากด้วย ไม่ตั้งมาตรฐานสูงเกินไปเหรอ แค่เรียนให้จบ ทำงานแค่พอผ่าน แล้วเอาวุฒิปริญญามาก็น่าจะพอแล้ว

อย่ามัวแต่ไปโวยวายแล้วโทษเรื่องนอกตัวอยู่เลยครับ

มองเข้ามาใกล้ ๆ ตัวนี่หน่อยก็ได้ว่า

จะมีสักกี่คนที่มีสติศึกษาประเด็นปัญหาของบ้านเมืองตอนนี้อย่างรอบคอบ สังเกตดูว่าสี่ปีก่อนก็แห่แหนกันเชียร์นายกทักษิณ มาปัจจุบันก็ด่าว่าขายชาติโกงกิน ไม่ได้มองเหตุการณ์รอบด้านลึกซึ้ง คนส่วนใหญ่เชียร์ไหน ก็เชียร์ตาม โดยปราศจากการ ใคร่ครวญ, โยนิโสมนสิการ, หรือใช้หลักกาลามสูตร

มองทุกอย่างแบบไม่ขาวล้วน ก็ดำล้วน

หรืออย่างประเด็น FTA
ผมไปอ่านในข่าว พอมีอาจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งมาให้ความเห็นในทำนองว่า เรากำลังตื่นกลัว FTA เกินไปหรือเปล่า เท่านั้นแหละ ก็ถูกตราหน้าว่าเป็นสุนัขรับใช้ไทยรักไทย ทั้งที่ความคิดเห็นในบทความดังกล่าวหลายประเด็น มีความถูกต้องตามหลักวิชาการ และน่ารับฟัง แต่คนก็พร้อมจะมองข้ามไป และด่าทออย่างสาดเสียเทเสีย เมื่อมันตรงข้ามกับความคิดเห็นของตนเอง

สรุปว่า ไม่ใช่แค่เด็กรุ่นใหม่ใช่ไหมครับ ที่มีความผิดปกติ บกพร่องทางความคิด

=====

แล้วก็ไม่ต้องไปกล่าวหาคนอื่น ดูแคลนเด็กรุ่นหลัง แบบบ่นบ้าโดยไม่ทำอะไร

ก็ในเมื่อตัวเราเอง ยังไม่ลงทุนสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการพัฒนาของคุณภาพของคน



Create Date : 27 มกราคม 2549
Last Update : 28 มกราคม 2549 22:11:16 น. 27 comments
Counter : 634 Pageviews.

 
เห็นด้วยว่าเด็กสมัยนี้ฉลาด
แถมบางที ใชเประโยชน์จากสื่อได้มากกว่าที่เราคิด


โดย: grappa IP: 61.90.10.111 วันที่: 27 มกราคม 2549 เวลา:23:20:12 น.  

 
อื้อ...ผมก็คิดเหมือนกันครับ
เด็กสมัยนี้เรื่องการเรียนรู้นี่ ทำได้เร็วมาก (ส่วนมากนะครับ) โดยเฉพาะเด็กใน กทม. ที่เค้ากล่าวมาผมก็ว่ามันเกินไปนิด แต่ก็เห็นด้วยในบางข้อ

ที่ผมเป็นห่วงคือ เรื่องคุณธรรม และความเข้มแข็งทางด้านจิตใจมากกว่า เด็กสมัยนี้ผมว่าเค้าถูกชักจูงได้ง่ายนะครับ


โดย: YohEy วันที่: 28 มกราคม 2549 เวลา:0:04:41 น.  

 
โยนิโสมนสิการ :-)


โดย: นฉ IP: 61.91.143.163 วันที่: 28 มกราคม 2549 เวลา:21:42:55 น.  

 
พอคิดในมุมนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า เด็กพวกนี้ฉลาดเอาเรื่องทีเดียว

+++++++++

ตรงนี้ ไม่เห็นด้วย

เราว่า "ขี้เกียจเอาเรื่อง" น่ะไม่ว่า

เพราะถ้าฉลาดจริง เมื่อได้คำตอบมาจากหลายๆ แหล่ง ก็ต้องรู้ว่าคำตอบไหนดีที่สุด ถูกต้องที่สุด รู้ว่าจะตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ยังไง

แต่เด็ก (รวมทั้งผู้ใหญ่อีกหลายคน) ได้อะไรมา ก็เอาข้อมูลนั้นไปใช้ทันที โดยไม่ได้ไตร่ตรองก่อนเลย

เราใช้คำว่า "เอาข้อมูลไปใช้ทันที" ไม่ใช่ "เชื่อข้อมูลนั้นทันที" เพราะจะว่าไปแล้ว ได้ทันอ่านข้อมูลที่ได้มาหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ขอ copy ไปใช้ก่อนล่ะ

ไม่อย่างนั้น กรณี "พระราชดำรัสปลอม" ที่เผยแพร่ตาม forward mail จนลามไปถึงพิมพ์แจกกับสายรัดข้อมือ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร "ข้อคิดดีๆ" เหล่านั้นถูกนำขึ้นเผยแพร่ในเว็บไซต์ของกรมประชาสัมพันธ์เสียด้วย ในฐานะเป็น "พระบรมราโชวาท" ทั้งที่หนึ่งใน "ข้อคิดดีๆ" เหล่านั้น เขียนไว้ว่า

.....
19. อย่าไปหวังเลยว่าโลกนี้จะมีความยุติธรรม
.....

ยังอุตส่าห์มีคนรับเอาข้อคิดนี้ใส่เกล้าเสียอีกด้วยนะ


สรุป... เราไม่เห็นด้วยว่าวิธีการเหล่านี้เป็นวิธีการที่ฉลาด

มันเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอนาคตของชาติมากกว่า


โดย: นฉ IP: 61.91.143.163 วันที่: 28 มกราคม 2549 เวลา:21:50:00 น.  

 
ยังมีตัวอย่างอีก

เราทำเว็บกลอนอยู่เว็บหนึ่ง (ทค คงรู้ว่าที่ไหน)

การอ่านกลอนนั้นต้องอ่านจาก วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง วรรคส่ง แบบนี้

สดับ........................รับ
รอง........................ส่ง
สดับ.......................รับ
รอง.........................ส่ง

แต่เวลาเขียนโค้ด เราเขียนไว้อย่างนี้

table ซ้าย
สดับ
รอง
สดับ
รอง
table ขวา
รับ
ส่ง
รับ
ส่ง

ด้วยความตั้งใจจะป้องกันไม่ให้เด็ก copy & paste เอาไปส่งครู มาค้นคว้าข้อมูลที่เว็บเราได้ แต่ต้อง "คว้า" เอาเอง ไม่ใช่ "ก๊อป"

ปรากฎว่า เราไปเจอในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง เอาบทกลอนจากเว็บของเรานี่แหละไปโพสต์ โดยการ copy & paste ดังนั้นบทกลอนที่ออกมาเลยเป็นแบบนี้

สดับ
รอง
สดับ
รอง
รับ
ส่ง
รับ
ส่ง

ผลก็คืออ่านไม่รู้เรื่อง สัมผัสก็ไม่มี เพราะมันจะมั่วไปหมด แต่ว่านะ... ดันมีคนมาขอบคุณคนที่ก๊อปไปแปะ และแสดงความชื่นชมในบทกลอนนั้นว่าเลิศเหลือเกิน อ่านแล้วประทับใจ

ให้ตายเถอะโรบิ้น... อ่านรู้เรื่องได้ยังไงวะนั่น

นี่แหละ วิธีการใช้ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตของเด็กในยุคนี้


โดย: นฉ IP: 61.91.143.163 วันที่: 28 มกราคม 2549 เวลา:22:01:33 น.  

 
เถียงดิ เถียงดิ ช่วงนี้กะลังลับเขี้ยว (6)


โดย: นฉ IP: 61.91.143.163 วันที่: 28 มกราคม 2549 เวลา:22:05:26 น.  

 
คุณ grappa :
คุณ YohEy :
โชคดีที่เห็นประเด็นตรงกับผมนะเนี่ย (เด็กสมัยใหม่ฉลาดในการใช้งานสื่อ) และคุณ YohEy ก็มาเสริมในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อจริงๆ

====

คุณ นฉ :

>โยนิโสมนสิการ
ขอบคุณที่แก้ให้นะครับ แก้แล้วๆ


โดย: ฮันโซ วันที่: 28 มกราคม 2549 เวลา:22:13:58 น.  

 
คุณ นฉ : (คคห 4)

ความฉลาดในความหมายของผมหมายความว่า

เขาฉลาดที่จะเอาในสิ่งที่ต้องการมาให้ได้ โดยใช้วิธีที่มีต้นทุนถูกที่สุด

สิ่งที่เขาต้องการคือคำตอบของคำถามหรืองานวิจัย ไม่ใช่ความเข้าใจ หรือการประยุกต์ใช้ความรู้

เพราะอาจารย์เป็นคนตั้งโจทย์ แล้วก็ถามคำถามให้นักเรียนตอบ

นักเรียนซึ่งเป็นเด็กรุ่นใหม่ ก็คิดว่าวิธีที่ง่าย ประหยัดเวลาที่สุด ก็คือไปถามเอาในเน็ตนั่นแหละ ลองคิดดูว่า อันที่จริงอาจารย์คงตั้งใจจะให้เด็กไปค้นหาจากห้องสมุด หรืออาจจะไปค้นหาจากอินเทอร์เน็ตก็ได้ คงไม่ได้ต้องการให้ไปโพสต์ถามในเว็บบอร์ดหรอก

แต่เด็กก็คงคิดว่า ไปค้นหาในห้องสมุด ค้นเจอข้อมูลในหนังสือ แล้วเอามาตอบ มันต่างจากการไปถามคนอื่นมาตอบตรงไหน (แถมเป็นวิธีที่ใช้ได้บ่อยๆด้วย เพราะโพสต์ถามทีไรก็ได้คำตอบทุกที) พวกเราที่ไปตอบคำถามให้เด็กพวกนี้ กลายเป็นพนักงานบริการตอบความรู้ให้เด็กพวกนี้โดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า

โอเค... ผมไม่ได้โทษเด็กทุกคน

เพราะบางคนมาถามก็เพราะอยากรู้จริงๆ แต่สิ่งที่ผู้รู้อยู่ก่อนแล้วควรทำคืออะไรล่ะ

ซึ่งผมก็ให้ hint ในท่อนที่สอง (แนวทางแนะนำการตอบให้กับมือใหม่) คือแทนที่จะบอกตัวคำตอบ แต่ให้บอกเครื่องมือที่ใช้ค้นหาคำตอบนั้นแทน

ทีนี้มาท่อนที่สามของบทความ

ผมก็ยังชี้ประเด็นต่ออีก ว่าอันที่จริงปัญหาที่เด็กสมัยใหม่ดูเหมือนว่าจะใช้วิธีแบบมักง่าย ในการหาคำตอบนั้นน่ะ มันอาจจะไม่ใช่ปัญหาของเด็กสมัยใหม่อย่างเดียว

แต่น่าจะเป็นปัญหาร่วมกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ หรือเปล่า

อย่างที่เขียนในบทความนะครับ... ผมชี้ให้เห็นว่าตอนผมไปเรียนหนังสือ ผมก็เจอทัศนคติที่ว่า ทำไมจะต้องทำรายงาน หรือวิทยานิพนธ์ หรือโปรเจ็กต์ที่ซับซ้อนหรือละเอียด ซึ่งมันต้องอาศัยเวลาและความอดทนสูงกว่าโครงงานหรือรายงานระดับธรรมดาทั่วไปด้วย

เพราะสำหรับงานแบบนี้ ทำให้ดีแค่ไหน แต่ผลออกมามันก็แค่ ผ่าน หรือไม่ผ่าน เท่านั้น ...ดังนั้นเราทำแค่พอผ่าน (หมายถึงคุณภาพแค่พอยอมรับได้?) ก็พอแล้วนี่ จะต้องไปพยายามอะไรกันมากมาย

ผมยังชี้ประเด็นต่อด้วยว่า แม้แต่เรื่องการอ่านข่าวสารทางการเมืองเหมือนกัน ดูเหมือนกับว่าเราไม่ได้วิเคราะห์ และตรวจสอบรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนเท่าที่ควร

เรารักจะเชื่อสื่อ หรือเชื่อคนอื่นพูด โดยไม่ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนหรือเปล่า

โยนิโสมนสิการ แปลว่าการทำในใจให้แยบคาย (ขอบคุณที่แก้ให้นะครับ)

สุดท้ายผมจึงสรุปบทความนี้ว่า

ในเมื่อเด็กมันเป็นแบบนี้ แล้วเราจะโทษใครกันดีล่ะ โทษออกไปนอกตัว เหมือนอย่างในกระทู้ที่โพสต์ในเว็บบอร์ดที่ผมยกมาด้านบนสุด?

หรือโทษพวกเรากันเองดี ที่ไม่ยอมสร้างสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสมกับการสร้างคุณภาพของคน

อย่างเช่นต่อไปนี้เจอเด็กมาถามในเว็บบอร์ด ก็พยายามทำตามคำแนะนำ้ห้าข้อนั่น ไม่ต้องไปด่าเขา หรือไปให้คำตอบแบบง่าย ๆ ตรง ๆ

ซึ่งเรื่องแบบนี้มันต้องลงทุนใช่ไหม


โดย: ฮันโซ วันที่: 28 มกราคม 2549 เวลา:22:30:46 น.  

 
ส่วนเรื่องพระราชดำรัสปลอมนั่น ผมก็เคยได้รับฟอร์เวิร์ดเมลล์แบบนี้บ่อย และได้รับทีไร ก็จะพยายาม reply back กลับไปว่านั่นไม่ใช่พระราชดำรัส

อ่านบทความของคุณบุญชิตฯ จากเรื่อง๓๖ แผนที่ชีวิตพ่อ –: เมื่อความจงรักภักดีตกเป็นเหยื่อ นี่จะมีข้อมูลที่ละเอียดชัดเจนดีครับ

เรื่องการลอกข้อมูลจากเว็บนั่น ก็เข้าใจในความคิดของนฉนะ แต่ผมอาจจะมีความคิดที่ต่างไปอีกนิดนะ ในทำนองแบบคำแนะนำที่เป็นภาษาอังกฤษห้าข้อนั่นน่ะ เป็นไปได้ไหมที่เราจะสอนวิธีใช้เครื่องมือ และพยายามบอกเขาว่าอย่าสักแต่ลอก ๆ กันไปเท่านั้น บางทีเด็ก ๆ ก็อาจต้องการคำแนะนำที่ดีด้วยนะ เพราะไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะคิดได้เหมือนกันว่าสิ่งไหนควรทำ หรือสิ่งไหนไม่ควรทำ

เรื่องนี้ก็ต้องลงทุนใช่ไหม


โดย: ฮันโซ วันที่: 28 มกราคม 2549 เวลา:22:41:23 น.  

 
อ่านะ.. อยากให้ ทค มาอ่านในเว็บบอร์ดเก่าของเรา เว็บบอร์ดของเว็บที่ ทค ก็รู้ว่าเว็บไหนนั่นแหละ (อิอิ ดูมีลับลมคมในดีวุ้ย)

มีเด็กมาถามการบ้านในเว็บบอร์ดเยอะเชียว ทั้งขอเรื่องย่อ ขอเส้นทางการเดินทางของนิราศ ขอให้แต่งกลอนให้ ฯลฯ สารพัดการบ้านเชียวล่ะ

แรกๆ เราก็แนะนำไปนะ ว่าข้อมูลที่น้องต้องการนั้นอยู่ในเว็บนี้แล้ว ลองค้นหาดูหรือยัง นี่นะลิงก์อันนี้มีข้อมูล ลองทำอย่างนี้ๆ ดูนะ (ข้อมูลเรามีเน้นสีที่สำึคัญให้ด้วยนะเนี่ย) ลองแต่งกลอนมาก่อนมั้ย แต่งกลอนไม่ยากหรอก แต่งมาสิแล้วจะช่วยดูให้ ฯลฯ

โดนเด็กด่าครับ
บอกว่า ถ้าไม่ช่วยก็ไม่ต้องมาสั่งมาสอน อ้าว! เวรสิตรู อย่างนี้ก็มีด้วยวุ้ย

ตั้งแต่นั้นเราไม่ยุ่งด้วยอีกเลย อยู่ดีไม่ว่าดี โดนเด็กด่าฟรีๆ -__-"
อุตส่าห์นั่งทำเว็บให้ ให้ค้นข้อมูลง่ายๆ ไม่ต้องไปรอคิวยืมหนังสือจากห้องสมุดแล้วนะ

เด็กที่ทำตัวแบบนี้อ่ะนะ เรียกว่า "ฉลาด" ไม่ลงหรอก เรียกว่า "ขี้เกียจและเห็นแก่ตัว" น่ะแหละ จะตรงที่สุด มีอาหารมาป้อนให้ถึงปาก แค่เคี้ยวยังไม่ยอมจะเคี้ยวเลย

เราว่าเด็กเดี๋ยวนี้ได้อะไรมาง่ายเกินไปหน่อย และไม่รู้จักคุณค่าของการทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าสภาพแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้า่ว่างๆ อาจจะลองไปทำวิจัยดูก็ได้ แต่พอดียังไม่ว่าง ฮ่าๆๆ

อ้อ.. เรื่องวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ของเรากลับกันกะของ ทค แหละ เราอยากทำ Thesis จะตายไป (เป็นความบ้าพลังส่วนตัว) แต่อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่า "จะทำไปทำไม ทำแค่ Project ก็พอแล้ว"

ฮี่ๆๆ


โดย: นฉ IP: 61.91.143.163 วันที่: 29 มกราคม 2549 เวลา:0:37:15 น.  

 
5555

อ่านเคส นฉ แล้ว ต้องยอมรับและเห็นด้วยในหลาย ๆ ประเด็นแฮะ

เอาเถิด ๆ เข้าใจล่ะ

นอนหลับฝันดีน้า


โดย: ฮันโซ วันที่: 29 มกราคม 2549 เวลา:1:00:42 น.  

 
ปล เราคงนิยามคำว่า "ฉลาด" ต่างกันละมังนี่

ฉลาดแกมโกง กะฉลาดแบบมีคุณธรรม ใช่หรือเปล่า?


โดย: ฮันโซ วันที่: 29 มกราคม 2549 เวลา:1:03:07 น.  

 
โทษเด็กอะ
.
.
.
.
.
.
.มันง่ายดี


(สังเกต หรือ เก็บข้อมูลเอกสาร(ข่าว)ดูเดะ พวกผู้ใหญ่ก็ยังงี้ทุกรุ่นนะแหละ ...ลืมว่าตัวเองเคยเป็นเด็กและมีเพื่อนเป็นเด็กประเภทอย่างที่ตนเองว่าก็เยอะไป)


โดย: a_somjai วันที่: 29 มกราคม 2549 เวลา:6:25:57 น.  

 
คุณ a_somjai :

เห็นด้วยเลยครับ ผมจำได้ว่าสมัยผมยังเด็ก เคยอ่านหนังสือพิมพ์มีผู้ใหญ่ที่เป็นอาจารย์หรืออะไรจำไม่ได้ท่านหนึ่ง ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การ์ตูนโดราเอมอนเป็นพิษเป็นภัยกับเด็ก ๆ จะต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้เด็กอ่าน


โดย: ฮันโซ วันที่: 29 มกราคม 2549 เวลา:11:56:39 น.  

 
อืมมม ...

อ่าน ๆ ดูก็รู้สึกว่า เราต้องกลับมาดูความหมายของคำว่า ฉลาด กันใหม่มังคะ

ฉลาดแปลว่าอะไร ถ้าส่วนหนึ่งบอกว่า คือการออกแรงกระทำการใด ๆ เพื่อให้ได้ผลประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลแล้วล่ะก็ ถือว่าเด็กของเราฉลาดเลยนะคะ

จริง ๆ แล้วโดนส่วนตัว มองว่า เด็กในแต่ละยุคสมัยเป็นผลผลิตของสังคม ซึ่งหมายถึงว่า สังคมเป็นเช่นไร เด็กก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย ถ้าสังคมเราต้องการสิ่งที่ง่าย สะดวกสบาย และได้ผลโดยที่ไม่ต้องลงมือออกแรง เด็ก ๆ ในสังคมเราก็จะหาทางที่ง่ายที่สุด และสะดวกที่สุดในการบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ

ครูบอกว่า ให้เด็กทำการบ้านไปค้นคว้ามา แล้วทางลัดที่สุด คืออะไรเหรอคะ ถ้าไม่ใช่ออกปากถามใครสักคนที่รู้และเข้าใจเรื่องเหล่านั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าสมัยไหน ๆ เราก็จะเอ่ยปากถามคนที่เราคิดว่ารู้แล้วทั้งนั้น อย่างน้อย ๆ เราก็เคยถามพ่อและแม่ให้สอนการบ้านและให้คำตอบกับสิ่งที่เราอยากรู้มาก่อน แต่สมัยนี้ วิธีการติดต่อสื่อสารกันเปลี่ยนแปลงไป การเข้าถึงแหล่งข้อมูลผู้มีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ สามารถเข้าถึงได้จากอินเตอร์เนท ดังนั้น ถ้าทำเช่นนั้นได้ ทำไมเด็กจะไม่ถามเราล่ะคะ

และถึงแม้ว่าแหล่งข้อมูลที่มีจะมากมาย และหลากหลาย แต่สำหรับผู้ที่เริ่มต้น ข้อมูลที่มหาศาลเหล่านั้น กลับจะยิ่งทำให้สับสนและยากจะเริ่มต้นนะคะ ง่ายที่สุดก็คือเอ่ยปากถามใครสักคนที่รู้ก่อนเพื่อเก็บข้อมูลที่เป็นใจความสำคัญมาให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเบื้องต้น ก่อนจะที่จะเริ่มดำดิ่งสู่โลกแห่งความรู้นั้นได้ด้วยตนเอง และที่สำคัญ อย่างไม่หลงทาง

ที่สำคัญ อยากจะแย้งอีกสักนิดว่า เด็กที่มาใช้เวบบอร์ดต่าง ๆ เพื่อหาคำตอบให้สิ่งที่ตัวเองต้องการนั้น ก็มีส่วนหนึ่ง และเด็กที่ตั้งใจหาคำตอบเองจริง ๆ ก็ยังมีมาก อย่าเอาคนส่วนน้อยซึ่งกลายเป็นคนส่วนใหญ่มาอธิบายเด็กทั้งหมดเลย


โดย: แกะเขี้ยว IP: 61.19.227.2 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:14:56:24 น.  

 
จริง ๆ แล้วโดนส่วนตัว มองว่า เด็กในแต่ละยุคสมัยเป็นผลผลิตของสังคม ซึ่งหมายถึงว่า สังคมเป็นเช่นไร เด็กก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย ถ้าสังคมเราต้องการสิ่งที่ง่าย สะดวกสบาย และได้ผลโดยที่ไม่ต้องลงมือออกแรง เด็ก ๆ ในสังคมเราก็จะหาทางที่ง่ายที่สุด และสะดวกที่สุดในการบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ

++++++++++++++

โหย... โดนนนนนนนนนนน

จริงด้วยสิเนอะ เด็กเป็นผลผลิตของสังคมนี่เอง จะว่าไปมียุคหนึ่งที่ผ่านมาไม่นานนี้ คนจะรวยเร็วที่สุดต้องทำกิจการโบรกเกอร์ ซื้อมาขายไป ได้กำไรง่ายดี ไม่ได้ว่างานแบบนั้นไม่ดีหรอกนะ แต่มันขยายข่ายมากเกินไปหน่อยจนคนที่จะทำอะไรด้วยตัวเองจริงๆ มันชักจะน้อยลงๆ อะไรๆ ก็ต้องนำเข้ามาเสียเกือบหมด ซึ่งตรงนี้อ่ะเราว่าน่าเป็นห่วง ถ้าหากประเทศไม่สามารถยืนด้วยตัวเองได้


โดย: นฉ IP: 61.91.143.81 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:15:12:40 น.  

 
ทีนี้เรื่องคำว่า ฉลาด คงเป็นเพราะคำไทยไม่ได้มีระดับความฉลาดหลายแบบอย่าง clever smart หรือ wise แล้วคำว่า ฉลาด ในภาษาไทย แต่ไหนแต่ไรมาเป็นความหมายที่บ่งในทางดี ดังนั้นเราจึงไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ถ้าจะเอาคำว่า ฉลาด มาใช้กับพฤติกรรมบางอย่างที่รู้อยู่ว่ามีเจตนาบางอย่างแฝงเอาไว้ โดยเฉพาะเจตนานั้นคือความขี้เกียจและเห็นแก่ตัว ถึงแม้แกะจะให้นิยามความฉลาดเสียใหม่ว่า "คือการออกแรงกระทำการใด ๆ เพื่อให้ได้ผลประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล" แต่เรายังคงคิดว่าการออกแรงกระทำการนั้นๆ ควรต้องมีสติและปัญญากำกับเอาไว้ด้วย จึงจะควรแก่การยกย่อง


โดย: นฉ IP: 61.91.143.81 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:15:18:00 น.  

 
มิฉะนั้นแล้ว หากเอาความฉลาดในลักษณะนี้ ไปใช้กับการทำงาน หรือการดำเนินกิจการบ้านเมือง คงจะเสียเรือเพราะเรือหายกันไป (อิอิ) มันจะไม่ต่างกับการ "ทำอย่างไรก็ได้ให้บรรลุผลสำเร็จ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ และผลกระทบ" ยิ่งในสังคมทุนนิยมที่เห็นเรื่องเงินเป็นใหญ่ การบรรลุจุดประสงค์เพื่อให้ "รวย" โดยใช้ความฉลาดแบบนี้ จะเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด

โพสต์สั้นๆ ไปเรื่อยๆ กลัวที่พิมพ์ไว้มันจะหายไปอ่ะ (^^)>

ไม่ได้ปั่นกระทู้นะจริงจริ๊ง :p


โดย: นฉ IP: 61.91.143.81 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:15:25:58 น.  

 
ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับความเห็นของแกะเขี้ยวนะครับ เป็นข้อสรุปที่ดีทีเดียว

สำหรับคุณนฉ ความเห็น 17:

ผมว่าเนี่ยะ... เป็นปัญหาใหญ่ของข้อถกเถียงกันคราวนี้นะ

คือคนไทยมักจะนิยามคำฉลาด ว่า clever + ethics อันนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเป็นเรื่องของปรัชญาตะวันออก ซึ่งมักจะเชื่อมโยงจริยธรรม กับวิถีชีวิตของคนอยู่แล้ว

แต่ปัญหาก็คือ ตัวละครตามที่เป็นจริง มักจะ clever without ethics น่ะสิ


โดย: ฮันโซ วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:15:28:23 น.  

 
ทีนี้ขอไปที่ประโยคปิดบทความของ ทค

++++++++++++++++++++++

แล้วก็ไม่ต้องไปกล่าวหาคนอื่น ดูแคลนเด็กรุ่นหลัง แบบบ่นบ้าโดยไม่ทำอะไร

ก็ในเมื่อตัวเราเอง ยังไม่ลงทุนสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการพัฒนาของคุณภาพของคน


++++++++++++++++++++++

ตกลงว่า
1. ทค เห็นว่าพฤติกรรมของเด็กรุ่นหลังเป็นปัญหาจริง
2. คนรุ่นเราเองก็ไม่ได้หาทางแก้ไขปัญหาที่ว่านี้สักเท่าไหร่

ใช่หรือเปล่าอ่ะ

เราเข้าใจว่าอย่างนั้น เราถึงได้ยกตัวอย่างจริงที่เราเจอมากับตัวเอง อันนี้ขอยกให้เลยเพื่อให้เอาไปช่วยกันวิเคราะห์ก็ได้ ว่ามันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ในเมื่อมีผู้ใหญ่หลายๆ คนที่ได้ใช้ "Tools" หลายประการอย่างที่ ทค ยกตัวอย่างมาจากเว็บโอเพ่นแล้ว แต่เด็กไม่ยอมรับวิธีการเหล่านั้นเอง พวกเขายังพอใจที่จะได้ผลลัพธ์มาโดยไม่ต้องออกแรงแม้แต่คิด และพอใจจะได้เกรดมาโดยไม่ต้องการเรียนรู้อะไรจนอย่างเดียว

ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้นล่ะ

เท่านี้ก่อนแล้วกัน ไปทำงานก่อนนะ


โดย: นฉ IP: 61.91.143.81 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:15:31:08 น.  

 
แวะมาอ่านอีกครั้ง แล้วก็สงสัยกับคำว่า ethics และ clever และอื่น ๆ ที่เราตั้งคำถามกัน เอ
ฉลาดแปลว่าอะไรกันแน่ และความหมายสิ่งที่มีผู้มาบอกว่าเราได้นิยามไป เป็นอย่างไร

ถ้าความฉลาด คือ "คือการออกแรงกระทำการใด ๆ เพื่อให้ได้ผลประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล" เช่นนั้นแล้ว การกระทำดังกล่าว ก็จะต้องมีสติและปัญญากำกับอยู่แล้ว เพราะการจะออกแรงใด ๆ ถ้าไม่ได้ใช้สติปัญญากำกับพิจารณาหาความหมายและวิธีการของการกระทำที่ตัวเองต้องการและมุ่งมั่งจะกระทำแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่เป้าประสงค์จะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลอย่างแน่นอน คนที่จะได้รับผลสำเร็จท้ายที่สุดแล้วก็คือ คนที่กำลังรู้และเข้าใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ต่างหาก

อย่างชัดที่สุด ตัวอย่างเด็ก ก็แล้วกัน ถ้าเด็กคนนั้นมีปัญหาในวิชาภาษาไทย และต้องการคำตอบโดยไปแสวงหาความช่วยเหลือในเวบบอร์ดที่เกี่ยวกับวรรณกรรมภาษาอังกฤษ หรือผู้รู้ในแวดวงวิทยาศาสตร์โดยสักแต่ว่า ”โพสต์กระทู้” ไปแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่เด็กคนนั้นจะได้คำตอบที่ถูกต้อง หรือแม้แต่คำเฉลยของสิ่งที่ตัวเองต้องการแน่นอน แต่ถ้าเด็กคนนั้นมีสติและปัญญากำกับ แล้วอย่างน้อยที่สุด สติและปัญญาที่มีก็จะบอกทางให้สร้างการกระทำที่ได้ประสิทธิผลมากที่สุด โดยการไปหาคำตอบในสถานที่ที่เด็กคนนั้นเห็นว่าจะดี อย่างเวบสุนทรภู่ และ/อื่น ๆ เป็นต้น


ถ้าเราแจกแจงได้ว่า เกิดผลประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลแก่ใคร และสำหรับใครได้ ดังเช่น เพื่อให้สังคม ไม่ใช่แก่ตัวเองเองแล้วล่ำก็ ความฉลาดในความหมายนี้ (“การออกแรงกระทำการใด ๆ เพื่อให้ได้ผลประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล") จะไม่มีอันตรายแต่ประการใด


โดย: แกะเขี้ยว IP: 61.19.227.2 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:15:51:20 น.  

 
แง.. โดนลากกลับมา (เค้าจาทำงาน T__T)

เอ่อ.. เด็กที่ทำอะไรลงไปโดยมีสติและปัญญากำกับ คงไม่มาด่าคนที่ช่วยสอนวิธีการทำการบ้านว่า ไม่ช่วยก็ไม่ต้องมาสั่งมาสอน ละมั้ง (จริงๆ ด่าหนักกว่านี้อีก -__-")


โดย: นฉ IP: 61.91.143.81 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:15:55:21 น.  

 
เว็บสุนทรภู่โดนพาดพิง 555

แกะจ๋า มาถามเรื่องอิเหนา เรื่องโคลงโลกนิติบ้าง ในเว็บสุนทรภู่เนี่ยนะ มันเกี่ยวกันตรงไหนอ่ะ หาข้อมูลพวกนั้นในเว็บสุนทรภู่ไม่เจอ ก็สมควรแล้ว
แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้หาด้วยซ้ำ นี่..มีคนมาขอประวัติท่านสุนทรภู่ทุกปี ถามในบอร์ดบ้าง เมล์มาหาบ้าง ให้ช่วยส่งประวัติไปให้ทางเมล์หน่อย จะบ้าหรือเปล่า ประวัติท่านสุนทรภู่ก็โชว์หราอยู่ในเว็บที่เขามาถามนั่นแหละ นี่แสดงว่าเขาไม่ได้อ่านไม่ได้ดูอะไรเลยต่างหาก เรื่องของเรื่องก็ "ขี้เกียจ" นั่นแหละ รู้จักทำเป็นอยู่อย่างเดียวคือ "ขอ" ขอดะไปหมดโดยไม่ได้ใช้ความคิดอะไรเลยด้วยซ้ำ

เราต้องยอมรับนะ ว่ามีเด็กแบบนี้อยู่ในประเทศไทยจริงๆ อย่าพยายามหาข้อแก้ตัวใดๆ ให้การกระทำเหล่านี้เป็นการกระทำโดยชอบเลย


โดย: นฉ IP: 58.10.95.70 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:16:03:43 น.  

 
อืมม ก็จริงนะคะ ที่เด็กที่ไม่เอาใจใส่และไม่พยายามก็มีอยู่มาก คงเป็นอารมณ์เดียวกับเวลาไปเจอคนโพสต์ขอเนื้องเพลงภาษาอังกฤษทั้ง ๆ ที่การจะค้นหาจาก google ยังสะดวกง่ายดาย และรวดเร็วกว่าด้วยซ้ำ

เด็กก็มีหลายประเภท (เหมือนผู้ใหญ่) และเราก็ทำอะไรกับส่วนที่เราเห็นว่าไม่ดีไม่ถูกต้องไม่ได้ ก็เอาเป็นว่า มาช่วยกันดูแลส่วนที่เรารู้จักและเกี่ยวข้อง อย่าให้เป็นแบบอย่างแรกเลยก็แล้วกัน เค้าบอกว่า we cant save all, just some. อยู่แล้ว


โดย: แกะเขี้ยว IP: 61.19.227.2 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:16:32:14 น.  

 
มีกระทู้มาฝาก จากเว็บ วิชาการดอทคอม
ว่าด้วยเรื่องการถามการบ้านในเน็ตค่ะ
ก่อนจะตั้งกระทู้ถามการบ้าน อ่านทางนี้ก่อนจ้ะ (First Aid)


โดย: นฉ IP: 58.10.95.70 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:17:36:41 น.  

 


โดย: นฉ IP: 61.91.145.71 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:19:48:24 น.  

 
มนุษยศาสตร์ประกาศธรรม
ข้าพเจ้าเรียนวิชา พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
มีคติธรรมประจำวิชา คือ “ลูกศิษย์อาจารย์นภาจรี
มีเมตตาต่อสัตว์ ปฏิบัติศีล 5 รักษาพรหมจรรย์ เข้าเรียนทันตรงเวลา"
วิจารณ์ตนเอง ข้าพเจ้าเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง เเจ่มใส เป็นคนขี้สงสาร จริงใจ
ซื่อสัตย์ แต่บางครั้งก็โกรธง่าย หายเร็ว เอาแต่ใจตัวเอง
ธรรมมะของพระพุทธเจ้าที่ขอเล่าสู่กันฟัง
เพื่อเป็นพุทธบูชาคือ โยนิโสมนสิการเเละกามคุณ๕ (หน้า73-76หนังสือธรรมคีตา)

๓๗. โยนิโสมนสิการ (การใช้ความคิดถูกวิธี) คือ การทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า สาวหาเหตุผลจนตลอดสาย แยกแยะออกพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบและโดยอบายมุขวิธี ให้เห็นสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย
Yonisomanasikara: reasoned attention;systematic attention; analytical thinking; critical reflection; thing in term of specific conditionality; thinking by way of causal relations or by way of problemsolving ข้อนี้เป็น องค์ประกอบภายใน (internal factor; personal factor) และเป็นฝ่ายปัญญา
(a factor belonging to the category of insight or wisdom)
ผศ.นภาจรี ได้ให้คำอธิบาย
ว่าระบบการคิดที่ถูกวิธี โยนิโสมนสิการ เป็นการจัดระเบียบความคิดให้เห็นสภาวะของปัญหาตามที่มันเป็น เห็นเหตุแห่งปัญญา ทั้งเหตุและปัจจัย ทำให้เกิดกระบวนการคิดที่ถูกระบบ คือ
-พิจารณาถึงสาเหตุต้นเค้า - เข้าใจเหตุและผลตลอดสายธารแห่งปัญญา
-แยกแยะปัญหาต่างๆ ทีละประเด็น และแก้ปัญหาไปตามเหตุของผล จิตใจก็จะ
ปลอดโปร่งแจ่ม ปฏิบัติการทุกอย่างด้วยจิตที่นิ่งและ เเจ่มชัด ที่ยากจึงกลับง่าย ที่ยุ่งก็กลับคลาย ที่หน่ายก็กลับดีจึงเป็นการคิดที่ถูกวิธีโดยแท้
๓๘. กามคุณ๕ (ส่วนที่น่าใคร่ น่าปรารถนา, ส่วนที่ดีหรือส่วนอร่อยของกาม Kamaguna: sensual pleasures; sensual objects)
๑.รูปปะ (รูปปะ Rupa: from; visible object)
๒.สัททะ(เสียง Sadda: sound)
๓. คันธะ (กลิ่น Gandha: smell; odour)
๔. รสะ (รส Rasa: taste)
๕.โผฏฐัพพะ สัมผัสทางกาย (Potthabba: touch; tangible object)
ห้าอย่างนี้ เฉพาะส่วนที่ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
(agreeable, delightful, pleasurable) เรียกว่า กามคุณ
ผศ. นภาจรี ได้อธิบายว่า จงละความพอใจในกามคุณ
รูป เสียง กลิ่น รส เเละสัมผัส จะน้อมนำให้เกิดกามคุณ เกิดความลุ่มหลงจนกลายเป็นหมกมุ่น มัวเมาอยู่ในกามรส๕
เมื่อเห็นรูป - จงตระหนักเสมอว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็นเพียง ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อแยกธาตุทั้ง๔ รูป ก็จะกลายเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยวหนอ
เมื่อได้ยินเสียง - จงอย่านำรสถ้อยคำที่ได้ยินมาปรุงแต่งจนเกิดกิเลส ตัณหา
เมื่อได้ดมกลิ่น - จงทราบเถิดว่า กลิ่นทุกลิ่นย่อมสูญสลายไปในเวลาอันรวดเร็ว
ดุจกระแสลมที่วูบวาบแล้ววับวาบหายไป
เมื่อลิ้นสัมผัสรส - จงอย่าติดใจรส ทุกอย่างที่สัมผัสลิ้น เป็นเพียงมายาแห่งรส ที่จะเปลี่ยนแปรเปลี่ยนแปลงไปในที่สุด จงลิ้มรสด้วยลิ้น แต่อย่าถวิลหา
เมื่อเกิดการสัมผัส - ทุกสัมผัสที่ได้รับจงอย่าติดข้อง คร่ำครวญ หวลหา เพราะการสัมผัสเป็นเพียงผ่านผิว ดุจลมรำเพย
แท้จริงแล้ว ทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนที่แท้จริง
***ธรรมทั้งโยนิโสมนสิการและกามคุณ๕ ข้าพเจ้าได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันและทุกคนก็
สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ คือ โยนิโสมนสิการ เมื่อนำมาใช้ในการจัดระเบียบความคิด ทำให้เป็นคนคิดอย่างมีระบบ นำมาช่วยแก้ปัญหาอย่างมีระบบไปตามเหตุตามผล รวดเร็ว และเรื่องที่ยากกลับเป็นเรื่องงาย เรื่องกามคุณก็ละความพอใจในกามคุณ รู้จักความพอดี ไม่ลุ่มหลง หมกมุ่น และไม่ทำให้เกิดทุกข์***










โดย: ณัฏฐณิชา IP: 58.9.160.167 วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:23:52:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฮันโซ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สหายสิกขา Lite version

สหายสิกขาตั้งคำถามกับการเป็นอยู่ของสรรพสิ่งตรงหน้า พร้อมกันนั้นก็เปิดรับแนวคิดของคำตอบในมุมมองที่แตกต่างอย่างเท่าเทียมกัน

สหายสิกขาจะมีความยินดียิ่ง หากคุณได้นำความรู้ที่ได้จุดประกายนี้ไปตีความต่อให้ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้น เพราะยิ่งแลกเปลี่ยนยิ่งถกเถียงยิ่งสนทนาก็สามารถแตกประเด็นไปอีกได้มาก

สหายสิกขาต้องการกระตุ้นให้คนอ่านได้คิด และสัมผัสถึงขอบเขตที่ไม่สิ้นสุดแห่งจินตนาการ

พร้อมกันนั้นสหายสิกขา ก็พร้อมอยู่เป็นเพื่อนคู่คิด เพื่อนสนทนา เพื่อจับมือกันเรียนรู้ไปในโลกกว้าง ...ด้วยกัน

CC Developing Nations
Friends' blogs
[Add ฮันโซ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.