Group Blog
 
All Blogs
 

WHISTLE : ไอ้หนูแข้งทอง

โดย DAISUKE HIGUCHI

สำนักพิมพ์ Boom Comics (NED)

24 เล่มจบบริบูรณ์

เนื่องจากกระแสความเห่อฟุตบอลของผมในช่วงนี้คงไม่จางหายไปง่ายๆเป็นแน่แท้ และคิดว่าผมคงจะคงสภาพความเห่ออีกพักใหญ่ๆนั่นแหละครับ ขอบอกก่อนเลยนะว่าจริงๆแล้วผมเองก็ไม่ใช่คอบอลอะไรซักเท่าไหร่ แต่ถ้ามีแข่งแมทช์ใหญ่ๆแบบนี้มันก็พลาดไม่ได้แฮะ

เนื่องด้วยความเห่อฟุตบอลนี่เอง ทำให้พักนี้ผมต้องอ่านการ์ตูนฟุตบอลตามไปด้วย ฮ่าๆ และคิดว่าจากนี้ไปพักใหญ่ๆ คงจะมีแต่การรีวิวการ์ตูนฟุตบอล เอากันให้เอียนไปข้างหนึ่งเลยล่ะครับ เพราะตอนนี้ในหัวของผมมีอีกหลายเรื่องเหมือนกันที่คิดว่าจะเอามาเขียนรีวิว ไหนๆเราก็อยู่ในเทศกาลบอลโลกแล้ว ขอทำตัวเห่อซักครั้งน่า.....

WHISTLE เป็นเรื่องราวความมุ่งมั่นของเด็กหนุ่มที่ชื่อ “คาซามัทสึริ โช” ผู้ที่รักฟุตบอลสุดหัวจิตหัวใจ และด้วยใจที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง คาซามัทสึริ ได้ย้ายจากโรงเรียนมุซาชิโนะโมริ (เป็นโรงเรียนที่ดังเรื่องฟุตบอลมาก) ซึ่งที่โรงเรียนนั้นเค้าได้เล่นอยู่ในทีม 3 (โคตรแห่งตัวสำรองนั่นเอง) มาอยู่ที่โรงเรียนซากุระโจซุย (โอ้ย ชื่อเรียกยากจริงวุ้ย) ต้องขอบอกก่อนเลยว่าไอ้การที่ย้ายโรงเรียนเนี่ย ไม่ได้หมายความว่าพระเอกของเรายอมแพ้นะ แต่ทว่าพี่แกเสี้ยนอยากเล่นบอลจัดมากๆ เลยย้ายมาอยู่อีกโรงเรียนหนึ่งซะ จะได้เตะ หวดฟุตบอลให้สาแก่ใจเท่านั้นเอง อิอิ

และที่โรงเรียนแห่งใหม่นี่เอง พระเอกของเราก็ได้เจอเพื่อนคนสำคัญอีกสองคนซึ่งก็คือ “มิซึโนะ ทัตสิยะ” นักเตะอัจฉริยะ ผู้ที่คัดตัวติดทีม 1 ของโรงเรียนมุซาชิโนะโมริ แต่ทว่ากลับสละสิทธิ์เข้ามาเรียนที่ซากุระโจซุยแทน ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ “ซาโต้ ชิเงกิ” (ตอนหลังเปลี่ยนเป็น ฟูจิมุระ ชิเงกิ) นักเตะที่มีเซนส์ทางฟุตบอลเป็นเลิศ เล่นโกลก็ได้ กองหน้าก็ได้ อะไรมันจะขนาดน้าน รวมไปถึง “ฟูวะ ไดจิ” โกลอัจฉริยะ (??!!) นายทวารที่ตัดสินใจอะไรได้เด็ดขาด ทุกอย่างสามารถคำนวณได้เป็น pay off matrix หมด ฮ่าๆ อีกทั้งบางทียังชอบคิดอะไรแผลงๆอีกตะหาก เอาเป็นว่าตัวละครนี้ค่อนข้างมีสีสันครับ (จริงๆผมชอบคนนี้มากสุดเลย) ต้องลองติดตามดูครับ

การมาของสี่คนนี้เองทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทีมฟุตบอลโรงเรียนซากุระโจชุยอย่างขนานใหญ่ จากเดิมที่เป็นทีมไม่ได้เรื่อง กลายเป็นทีมที่สามารถสู้ได้สูสีกับโรงเรียนที่ดังด้านฟุตบอลอย่างมุซาชิโนะโมริเลยทีเดียว

แต่การเดินทางของพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้จบแค่ทีมโรงเรียนเท่านั้น เพราะภายหลังทั้งสามคนได้ถูกเรียกตัวเข้ามาสู่ทีมคัดเลือกเขตโตเกียว (ชิเงกิไม่ได้ติดทีม แต่อ่านไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะมีเซอร์ไพร้ส์ เหอ เหอ) มาสู่สมรภูมิแห่งใหม่ ให้พวกเขาเหล่านั้นได้ทดสอบฝีมือและความพยายามกัน

การเดินทางของคาซามัทสึริจะเป็นเช่นไร ฝีมือเค้าจะสามารถพัฒนาไปได้ขนาดไหน พวกเค้าจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคและขัดเกลาตัวเองเช่นไร และจะได้พบเจอเพื่อนๆแบบไหน การ์ตูนความยาวทั้งหมด 24 เล่มเรื่องนี้ได้รอคุณอยู่แล้ว

สำหรับการ์ตูนเรื่องนี้ผมว่ามีกลิ่นอายของการ์ตูนญี่ปุ่นรุ่นเก่านะ ประมาณว่าตัวเอกไม่ต้องเก่งมากก็ได้ แต่แบบมีซามูไร สปิริตประมาณเนี้ย ใจสู้สุดขาดดิ้น ถึงจะแพ้กูก็สู้ถวายหัวให้ ซึ่งตัวเอกของเราก็มีคาแรคเตอร์นี้อยู่อย่างเต็มเปี่ยมครับ ฝีมือรึก็งั้นๆ แต่ความพยายามนี่สุดยอด ความรักที่มีให้ฟุตบอลยิ่งสุดยอดไม่แพ้ใคร เป็นพรแสวงล้วนๆ ซึ่งไอ้ความเห่อฟุตบอลเกินร้อยของพระเอกนี่แหละทำให้ฝีมือของเค้าพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วไม่หยุดยั้ง

และที่แปลกก็คือแม้ว่าฝีมือของพระเอกไม่ได้เก่งกาจขนาดที่ว่าเป็นนักเตะพรสวรรค์อะไร แต่การเล่นของเค้าสามารถดึงดูดใจเพื่อนร่วมทีมและคนดูได้อย่างน่าประหลาด นั่นก็เพราะว่าใจสู้ที่ไม่ยอมแพ้ของพระเอกสามารถสื่อเข้าไปในจิตใจเพื่อนได้นั่นเอง และสุดท้ายแล้วเค้าก็กลายเป็นศูนย์กลางของทีมโดยที่ไม่รู้ตัว

โดยรวมแล้วการ์ตูนเรื่องนี้ดีครับ ผมคิดว่าน้องๆเด็กๆ น่าจะได้อ่านกัน เพราะสอนให้คนรู้จักพยายามทำสิ่งที่ตัวเองรัก แต่สำหรับผมคิดว่า อ่านไปอ่านมาก็เอียนนิดนึงนะ มันจะมีอารมณ์ประมาณว่า คนอาร๊าย มันจะพยายามเว่อซะขนาดนั้น ฮ่าๆ ปลงๆกับชีวิตมั่งเห้อ แต่ก็อย่างว่าแหละครับโลกทัศน์ที่หนุนหลังพระเอกของเราก็คือ ข้าเป็นคนที่ห่วยๆ ต้องพยายามให้มากกว่านอื่นหลายๆเท่า ไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งเลยว่างั้น (แม้ว่าจริงๆฝีมือของตัวเองพัฒนาไปจนขั้นแล้วก็ตามที แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเล้ย)

นอกจากจะได้เห็นภาพความพยายามไม่ย่อท้อของพระเอกเราแล้ว เรายังจะได้เห็นมิตรภาพที่งดงามระหว่างเพื่อนและคู่แข่ง ผ่านทางกีฬาฟุตบอล บางครั้งการที่ได้ร่วมมือกันและการแข่งขันในเกมกีฬามันก็ก่อเกิดมิตรภาพขึ้นมาโดยที่พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ตัว และสิ่งเหล่านั้นก็เป็นประสบการณ์ที่มีค่ายิ่ง

แต่สำหรับผมคิดว่าการ์ตูนเรื่องนี้เป็นอะไรที่มากกว่าการ์ตูนฟุตบอลนะ คิดว่าค่อนข้างเอียงไปในทางแนวดราม่าเลยลาะ โดยที่ตัวเดินเรื่องหลักก็คือพระเอกของเรา และกีฬาฟุตบอลเป็นศูนย์กลางที่นำพาให้ตัวเอกของเราได้พบกับอุปสรรคเพื่อฝึกฝนพัฒนาตัวเอง และได้พบกับมิตรภาพใหม่ๆ ได้พบประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จะทำให้เค้าเติบโตขึ้น

อ้อ มีอีกเรื่องนึงครับ มีหลายๆคนในห้องเฉลิมไทยบอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ค่อยเว่อ แต่สำหรับผมก็คิดว่ามีติดเว่อร์เหมือนกันนะ เด็ก ม.ต้น อะไรมันจะพลิ้วได้ขนาดน้าน ฮ่าๆ แต่โดยรวมก็คิดว่าเว่อร์แบบไม่น่าเกลียดครับ ยังไม่ถึงขั้นซิบาสะ ฮ่าๆ

ก็ขอฝากการ์ตูนอีกเรื่องหนึ่งให้ทุกท่านได้ลองอ่านกันครับ อ่านแล้วชอบใครเป็นพิเศษก็มาพูดคุยกันได้นะครับยินดีเป็นอย่างยิ่ง

และอีกเช่นเคย ขอให้มีความสุขกับเทศกาลบอลโลกครับ




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2549    
Last Update : 16 มิถุนายน 2549 11:31:02 น.
Counter : 3686 Pageviews.  

Orange : พันธุ์เตะเลือดสีส้ม

โดย TATSUKI NOUDA

สำนักพิมพ์ วิบูลย์กิจ

13 เล่มจบบริบูรณ์

เพื่อให้สอดคล้องกับบรรยากาศฟุตบอลโลก วันนี้นาย Gelgloog ขอพูดถึงการ์ตูนฟุตบอลซักทีก็แล้วกันนะครับ......

Orange เป็นเรื่องราวเกียวกับทีม “นันโยะ Orange” ซึ่งเป็นทีมเล็กๆ ในลีกระดับสองของญี่ปุ่น ซึ่งมีสถานการณ์ร่อแร่ จวนเจียนจะถูกยุบทีมอยู่รอมร่อ เพราะตำแหน่งในลีคก็แสนจะต่ำเตี้ย แถมบริษัทที่เป็นเจ้าของทีมก็สถานภาพทางการเงินย่ำแย่สุดๆ อีกทั้งแฟนบอลในเมืองนันโยะเองก็ต่างพากันไม่สนับสนุนเท่าที่ควร นักเตะที่เคยเป็นตัวหลักในทีมต่างก็พากันทยอยย้ายกันออกไปอีกเอ้อ....น่าสงสารจริงจริ๊ง

แม้ว่าสถานการณ์ของทีมจะแย่เพียงใด แต่ทว่า “บงโนะ มิกะ (มิกจัง)” สาวน้อยอายุเพียง 17 ปีที่เป็นเจ้าของทีม นันโยะ Orange รุ่นที่สองก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอต้องการสืบสานเจตนารมณ์ต่อจากคุณปู่ของเธอซึ่งเป็นเจ้าของทีมคนก่อนที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อให้ทีมฟุตบอลนันโยะ Orange เป็นทีมอันดับหนึ่งให้ได้

แม้ว่าสาวน้อยมิกจังจะรักและทุ่มเทให้กับทีม Orange มากเพียงใด มันก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ของทีมดีขึ้นเลย ความหวังของทีม Orange (ขอเรียกสั้นว่า Orange ก็แล้วกันนะครับ) นับวันก็ยิ่งริบหรี่ ไม่ต้องพูดถึงการเป็นทีมอันดับหนึ่งหรอกครับ แค่แข่งในลีกสองยังเอาตัวไม่รอดเลย จะถูกอัปเปหิ ตกชั้นหรือยุบทีมไปเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ

อีกทั้งสภาในเมืองยังมีมติว่า ถ้าทีม Orange ไม่สามารถเลื่อนชั้นไปอยู่ลีกหนึ่งได้ก็จะถูกยุบทีม

อะไรมันจะฮาร์ดขนาดนี้!!

แต่ความหวังที่กำลังจะดับวูบไปก็ถูกจุดประกายอีกครั้งโดย “วาคามัตซึ มุซาชิ” เด็กหนุ่มปริศนาที่มาจากสเปน ซึ่งฝีเท้าแสนจะไม่ธรรมดา ถือได้ว่าเป็นกองหน้าตัวเอ้เลยทีเดียว

ทุกคนต่างมึนงง กับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มปริศนาผู้นี้ เพราะแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าคนที่เก่งขนาดนี้จะมาอยู่ทีมอย่าง Orange ซึ่งเหตุผลที่ มุซาชิ มาจากสเปนเพื่อมาเข้าทีม Orange ก็เพราะว่าตอนเด็กๆได้สัญญากับคุณปู่ของมิกจังเอาไว้ว่าจะพาทีม Orange ให้เป็นทีมอันดับหนึ่งให้ได้นั่นเอง (อีกเหตุผลก็คือชอบน้ำส้มของบริษัทมิกจัง ฮ่าๆ)

แต่เหตุผลจริงๆไม่ใช่แค่นั้นครับ อันนี้ต้องลองอ่านเองถึงจะทราบ บอกมากไปเดี๋ยวมันจะเป็นการ Spoil เนื้อหาจนเกินงาม พาลจะโดนคนอ่านว่าเอา อิอิ

การที่ มุซาชิเข้ามาในทีมทำให้ทุกคนดูมีกำลังใจขึ้นมากเลยทีเดียว เนื่องด้วยความมุ่งมั่นและฝีเท้าของเด็กหนุ่มที่ไม่เป็นสองรองใคร ต่างชักนำให้เพื่อนๆในทีมมีความฮึกเหิม และมุ่งมั่นที่จะทำให้ทีม Orange เลื่อนชั้นจากลีกสองไปลีกแรกให้ได้

นอกจากการมาของมุซาชิแล้ว ยังมี “อาโอชิมะ โคจิโร่” เพลย์เมกเกอร์ ผู้ที่ย้ายมาจากทีม โตเกียว ชูบารุส ทีมอับดับหนึ่งของญี่ปุ่น อีกทั้งยังเคยติดทีมชาติอีกด้วย!!

การมาของ โคจิโร่ นี่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่นั่นก็เพราะว่าโคจิโร่ ณ ตอนนั้นถูกอาการบาดเจ็บรบกวน อีกทั้งมีปัญหากับผู้จัดการทีม และที่สำคัญก็คือเจ้าตัวถูกใจฝีเท้าของ มุซาชิ พระเอกของเราเข้าให้ เลยตกลงรับคำชวนของมิกจังเข้าสู่ทีม Orange (อีกเหตุผลนึงก็คือลูกตื้อสุดฤทธิ์สุดเดชของมิกจัง ตื้อแบบไม่ลืมหูลืมตาเลย ฮ่าๆ)

การมาของทั้งสองทำให้ทีม Orange เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ขึ้น ความหวังที่ตอนแรกดูจะหมดไปก็ได้หวนกลับมาอีกครั้ง

นอกจากดาวเด่นสองคนที่ผ่านมาในทีม Orange ยังมีสมาชิกที่น่าสนใจอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น

“โจรูซ” กัปตันทีมผู้ที่เป็นสปิริตของทีม

“โคบายาชิ” ศูนย์หน้าตัวเป้าผู้ทุ่มเท ขนาดยอมลาออกจากอาชีพอาจารย์มาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

“คาตาโอกะ” กองกลางตัวรับ นักเตะจากทีมเยาวชน Orange ผู้ปิดทองหลังพระให้กับเพื่อนๆ
“ชิโมะยานางิ” ปีกพ่อมด ผู้ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ถึงขนาดเคยติดทีมชาติชุดใหญ่มาแล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ฟอร์มตกไป (แต่ตอนหลังก็คืนฟอร์ม คนนี้ผมชอบท่าดีใจของพี่แกมากครับ แม่งเจ๋งจริงๆ พับพ่า!!)

“โฮมเมอร์” นักเตะอิมพอร์ตจากอเมริกา ผู้ที่คลั่งไคล้บ้าหุ่นฟิกเกอร์ และอนิเมชั่นญี่ปุ่น อย่างถอนตัวไม่ขึ้น เหอ เหอ

“กอนซาเลส” กองหลังร่างยักษ์แต่ใจดี วันๆไม่พูดไม่จา อิอิ

“มิชิมะ” นายทวารผู้มีจิตใจเด็ดเดี่ยว แถมลีลาการเล่นยังเหนียวหนึบเหมือนลงยันต์ไว้ที่เสาประตู (คนนี้ผมก็ชอบครับมีความเท่แบบดิบๆ ดี)

นอกจากนั้นยังมีผู้เล่นอีกหลายคนที่ต่างพากันพยายามทุ่มเทเต็มที่เพื่อให้ทีม Orange เลื่อนชั้นไปสู่ลีกหนึ่ง เพื่อให้รอดจากการถูกยุบทีมให้ได้

การต่อสู้ของพวกเค้าจะเป็นเช่นไร จะเผชิญอุปสรรคอะไรบ้าง ทีม Orange จะพาตัวเองเลื่อนชั้นไปสำเร็จหรือไม่ คำตอบเหล่านี้ขอเชิญค้นหาได้ในการ์ตูนเรื่องนี้ครับ รับรองว่ามันส์แน่นอน

ซึ่งอาจารย์ TATSUKI NOUDA ผู้เขียนเองก็ไม่ใช่คนไหนไกลตัว เพราะก็เคยฝากผลงานไว้กับการ์ตูนเรื่องสุดฮา “ต๊องแน่ แต่อัจฉริยะเรียกพี่” มาแล้ว ดังนั้นเรื่องฝีไม้ลายมือไม่ต้องเป็นห่วง

นอกจากความบันเทิงที่ได้จากการ์ตูนเรื่องนี้ เรายังจะได้เห็นพลังแห่งมิตรภาพระหว่างเพื่อน ความรักแบบใสๆ ของคู่พระนาง การไขว่คว้าหาตามความฝันอันบริสุทธิ์ของตัวเอก ก็ยังมีแทรกความฮาอีกเป็นระยะ ผมคิดว่าการ์ตูนเรื่องนี้สื่อสารอะไรตรงไปตรงมาตามสไตล์อาจารย์ TATSUKI NOUDA นั่นแหละครับ อ่านแล้วไม่ต้องไปนั่งคิดหน้าคิดหลังอะไรให้เมื่อยตุ้ม อ่านแล้วเพลินลูกตาแถมบันเทิงจิตใจอีกต่างหาก

แต่ก็มีอีกกระแสจากเพื่อนของผมเองก็บอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ค่อยสนุกเท่าที่ควร ถ้าให้ผมคิดก็คงเป็นที่เรื่องราวของการเตะฟุตบอลยังดูอ่อนเกินไปไม่เข้มข้นเท่าไหร่นัก แต่สำหรับผมคิดว่าถ้าอ่านแล้วไม่คิดอะไรมาก ก็สนุกได้ครับ อย่าลืมนะว่าวัตถุประสงค์หลักของการ์ตูนคือความบันเทิงนะเอ้อ ไม่ได้อยู่ที่สาระแต่เพียงอย่างเดียว ฮ่าๆ

เอาเป็นว่าลองไปหาอ่านดูครับ หรือใครที่เคยอ่านก็มาแชร์ประสบการณ์กันได้

และสุดท้ายนี้ขอให้สนุกกับเทศกาลฟุตบอลโลกครับ!!




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2549    
Last Update : 12 มิถุนายน 2549 12:18:30 น.
Counter : 2368 Pageviews.  

โกโต้ ประธานเลือดเดือด!!

โดย Hajime Kazu

สำนักพิมพ์ Boom Comics (คาดว่าตอนหลังก็คือ NED COMICS นี่เอง แต่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ได้พิมพ์ใหม่รึเปล่า? ใครทราบวานบอกที)

10 เล่มจบบริบูรณ์

ถ้าเทียบกับคราวก่อนๆ ถือว่าครั้งนี้ผมกลับมา update ไวนะเนี่ย นั่นก็เพราะเมื่ออ่านการ์ตูนเรื่องนี้จบแล้วมันก็เกิดอาการคันไม้คันมือโดยปริยาย

“โกโต้ ประธานเลือดเดือด!!” เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชื่อ “โกโต้ เซย์จูโร” ผู้เป็นประธานนักเรียน แห่งโรงเรียนเมย์เรียว โรงเรียนเอกชนที่มีชื่อแห่งหนึ่ง และความสนุกสนานทั้งมวลก็ได้เริ่มขึ้นที่โรงเรียนนี้นี่เอง พร้อมด้วย นายโกโต้ กับบรรดาผองเพื่อนชาวสมาคมนักเรียน (กลุ่มคนที่ทำงานกับประธานนักเรียน) รวมไปถึงบรรดาคู่กัดคู่แก้น คู่อาฆาตของนายโกโต้เค้า ที่ทยอยกันมาสร้างความ ป่วน ความมันส์ และความฮา ไม่มีหยุดหย่อน

เห็นพระเอกของเราเป็นประธานนักเรียนแบบนี้ ผมบอกได้คำเดียวเลยว่าไม่ธรรมดาครับ ไม่เหมือนประธานนักเรียนโรงเรียนอื่นแน่นอน หากเรานึกถึงภาพผู้ที่อยู่ในตำแหน่งประธานนักเรียน เราก็คงจะนึกถึงคนที่สง่า มีราศี มีความรับผิดชอบ เป็นนักกิจกรรมตัวยง อีกทั้งยังมีบุคลิกรวมไปถึงอัธยาศัยที่ดีด้วย

แต่นายโกโต้นี่เป็นอีกแบบไปเลยครับ เป็นประธานนักเรียนที่ โหด มันส์ ฮา มาก มีที่ไหน เป็นคนที่ชอบทะเลเตะต่อยกับชาวบ้านเป็นประจำ แถมฝีมือนี่เข้าขั้นไร้เทียมทานไปเลย เพราะที่บ้านพี่แกเคยเป็นสำนักสอนศิลปะการต่อสู้ (เอากะเค้าดิ) อีกทั้งยังชอบมีพฤติกรรมขี้รังแก ชอบแกล้งผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล ข่มขู่นักเรียนกับบรรดาอาจารย์ซะหงอไปเลย พูดโดยสรุปก็คือ อีตานี่บัดซบขนานแท้ กล่าวได้ว่าเป็นประธานนักเรียนที่ชั่วช้าคนหนึ่งหาที่เปรียบไม่ได้เลยนะเนี่ย

อย่างไรก็ตามนอกจากพฤติกรรมสุดห่ามของอีตาประธานตัวแสบแล้วยังมีเพื่อนๆชาวสมาคมนักเรียนที่คอยดูแล ช่วยเหลือโกโต้อยู่อีกหลายคนด้วยกัน (ไม่มีคนคอยช่วยนี่เละแหง 55) อันมีรายนามดังต่อไปนี้

เริ่มด้วยอดีตรองประธานสมาคมนักเรียน นาย คลิฟฟอร์ด โรว์เยอร์ ชื่อฝรั่งทั้งแท่ง แต่อยู่ญี่ปุ่นมาตั้งนานเลยพูดญี่ปุ่นปร๋อไปเลย แถมยังเป็นคนที่เลิศเลอเพอเฟคต์สุดๆ หล่อ รวย เรียนเก่ง มากความสามารถ สาวติดตูม (แต่จริงๆแล้วไอ้เนี่ยสันดานหน้าหม้อมาก ก๊าก) แต่น่าสงสารมากๆก็ตรงที่ตาคลิฟฟอร์ดนี่จะโดนโกโต้แกล้งประจำเลย (ช่วยไม่ได้นิสัยชอบนินทาชาวบ้านลับหลังเองนี่หว่า พูดแล้วก็อดขำไม่ได้ เหอ เหอ)

ต่อมาก็คือรองประธานนักเรียนซึ่งก็คือ อิโอริ คาซึมิ สาวน้อยคนนี้เป็นเพื่อนกับโกโต้มาตั้งแต่เยาว์วัย มีนิสัยที่ค่อนข้างเงียบขรึม ไม่ค่อยแสดงออกอะไรซักเท่าไรนัก แต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้ง อีกทั้งยังเป็นคนที่เข้าใจในตัวโกโต้มากที่สุดด้วย เห็นสวยๆ เรียนเก่งแบบนี้ก็เถอะ อย่าไปเผลอไปมีเรื่องเชียวนา จะโดนคุณเธอทุ่มหลังแอ่นไม่รู้ตัว อิอิ

ตำแหน่งต่อมาก็คือ อาโอกิ ฮายาตะ เลขาสมาคม ดูๆไปแล้วมีคนนี้แหละที่ดูเป็นผู้เป็นคนกับเค้าหน่อย ฮ่าๆ บุคลิกลักษณะก็ดูเป็นคนธรรมด๊า ธรรมดา เป็นไอ้หนุ่มตัวเล็กๆ คอยช่วยเหลืองานต่างๆของสมาคม แต่ถือว่าเป็นเด็กหนุ่มที่เรียนเก่งและขยันตั้งใจทำงานคนหนึ่งเลยทีเดียว

คนสุดท้ายก็คือ เอบิสึ ริเฮย์ ตำแหน่งเหรัญญิก ผู้มีสติปัญญาระดับอัจฉริยะ จบจากฮาร์วาร์ดตั้งแต่เด็ก แล้วค่อยมาต่อ ป.ปลายที่โรงเรียนเมย์เรียว (อะไรของมันวะ??) คนนี้ปรากฏตัวทีหลังสุดแต่ก็สร้างความฮาไม่น้อย ด้วยสิ่งประดิษฐ์ก๊องๆของพี่แก ที่ทำอะไรมาแต่ล่ะอย่างโคตรรประเทืองปัญญาแต่ไร้ประโยชน์ ฮ่าๆ (ว่าแต่ แล้วงานเหรัญญิกล่ะวะ ??)

จริงๆแล้วตัวละครหลักๆยังไม่จบนะครับ ยังมีสี่ขุนพลผู้ที่มีฝีมือการต่อสู้เฉียบขาดไม่แพ้ประธานโกโต้อยู่ ซึ่งแต่ละคนนี่บุคลิกมันส์ๆ ฮาๆ กันทั้งนั้น ตั้งแต่ ฮันยะ ทาคุมิ คู่กัดประธานตลอดกาลตั้งแต่เด็ก ยาทสึกิ นาวะ หนุ่มหล่อนักเคนโด้ ผู้อำพรางความโรคจิตติดซาดิสม์ ไว้ภายใต้หน้าตาอันหล่อเหลาน่าไว้วางใจ ฮ่า รวมไปถึง คางามิ คิอิจิ ชายร่างยักษ์แต่ใจดีผู้ยึดถือความถูกต้องเป็นสรณะ และสุดท้าย มิยูกิ เอย์จิ สาวสวย (ประเภทสอง) ผู้มีฝีมือเก่งกาจและหลงหลักโกโต้สุดหัวใจ เหอ เหอ

สิ่งที่ผมชอบในการ์ตูนเรื่องนี้ก็คือการดำเนินเรื่องราวที่ไม่เยิ่นเย้อครับ จบเป็นตอนๆ หรือไม่ถ้ามีตอนต่อก็จะต่อไม่ยาวมาก อ่านแล้วไม่ค่อยเสียอารมณ์ซักเท่าไหร่ อีกทั้งความฮา ความป่วนในเรื่องสร้างเสียงหัวเราะได้ไม่ว่างเว้นเลย น้องผมถึงกับหาว่าผมเพี้ยนไปแล้ว เพราะอ่านไปขำไปอยู่ได้คนเดียว

นอกจากความขำและความฮาแล้ว ในการ์ตูนเรื่องนี้เราจะพบเจอกลิ่นอายของคำว่า “มิตรภาพ” ในหมู่เพื่อนฝูงได้เป็นอย่างดี หากแต่จะนำเสนอในมุมมองที่แปลกๆ แหวกๆ ผ่านทางพฤติกรรมบ้าๆบวมๆ ของอีตาประธานโกโต้เนี่ยแหละ ข้อสังเกตุอีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้ว่าพฤติกรรมของโกโต้จะดูบ้าๆ ไร้เหตุผล แถมบางครั้งยังเป็นการทำอะไรเกินกว่าเหตุ แต่ผลที่กลับมากลับไปในทางตรงกันข้ามแฮะ พฤติกรรมของโกโต้มักส่งผลให้เกิดสิ่งดีๆเสมอ อีกทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆได้ ทั้งๆที่ดูไปแล้ววิธีของพี่แกมันไม่น่าจะแก้อะไรได้เล้ย

ตรงนี้ก็เป็นความสามารถพิเศษของนายโกโต้เค้าแหละครับ เห็นห่ามๆ แบบนี้แต่ก็ทำอะไรคิดถึงผลที่จะตามมาเหมือนกันนะเอ้อ (หรือจริงๆแล้วแม่งไม่คิดวะ ฮ่าๆ) และที่สำคัญการ์ตูนเรื่องนี้สอนเรื่องราวเกี่ยวกับ “ความแข็งแกร่ง” ครับ แต่ไม่ใช่ในมุมมองที่เราจะต้องตีรันฟังแทงกับคนอื่นเค้า หรือต้องมีพละกำลัง ต่อสู้เก่งแต่อย่างใด หากแต่ชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในแง่ของ “จิตใจ” ครับสอนให้เป็นคนที่มีจิตใจแข็งแกร่ง ไม่ย้อท้อต่ออุปสรรคและความอยุติธรรมใดๆ

อีกตอนหนึ่งที่ผมชอบมากก็คือตอนที่โกโต้ต่อสู้กับ คางามิ ผู้ที่ยึดถือความถูกต้องอย่างแน่วแน่ ซึ่งประโยคเด็ดของโกโต้ที่ผมชอบมากก็คือ “การที่เราไปยัดเยียดความถูกต้องให้กับคนอื่น โดยไม่คำนึงถึงจิตใจคนๆนั้นน่ะ มันเป็นสิ่งที่ถูกแล้วหรือ??” อารมณ์นี้ผมชอบมากๆครับ เหมือนพวก
อนาธิปัตย์ยังไงก้อไม่รู้ (ว่าไปโน่น เหอ เหอ) แต่คำพูดของโกโต้ก็ทำให้เราได้ย้อนกลับมามองรวมไปถึงการตั้งคำถามกับกฏเกณฑ์ทางสังคมบางต่างๆ ที่มาขีดคั่น ครอบงำเราเอาไว้ โดยที่เราได้แต่เชื่อถือและปฏิบัติตามอย่างไม่เคยตั้งคำถามกับมัน

แต่ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะครับว่าพฤติกรรมของโกโต้ ประธานเลือดเดือดหลายๆอย่างไม่น่าทำตามอย่างยิ่งยวด จงจำเอาไว้ว่ามันเป็นการ์ตูนครับ ไม่ใช่เรื่องจริง ผมว่าพฤติกรรมการแหกคอกของโกโต้ถ้าจะมองไปมันก็เหมือนเป็น symbolic อย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ที่ทำให้เราฉุกคิดและตั้งคำถามต่อความถูกต้องชอบธรรมที่มันดำรงอยู่ในสังคม โดยนำเสนอในภาพลักษณ์ของคนแหกคอกนอกกฎเกณฑ์คนหนึ่ง

อีกหนึ่งประโยคที่กินใจผมมากก็คือเป็นตอนที่โกโต้พูดกับอาโอกิ ซึ่งตอนนี้เป็นสุดสุดท้ายของเรื่องมีใจความว่า “ความแข็งแกร่งน่ะ ไม่ได้วัดด้วย กำลังหรอก.......ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ความกล้าและความมานะบากบั่น ความมุ่งมั่นที่จะก้าวเข้าไปสู่โลกที่ยังไม่รู้อย่างไม่หวาดหวั่น ทุกสิ่งที่นายมีอยู่ตอนนี้นั่นแหละคือ ความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง”

โกโต้ นายนี่มันคนจริง ตัวจริง เสียงจริง!!




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2549 22:11:24 น.
Counter : 6292 Pageviews.  

ARMS : หัตถ์เทพมืออสูร

โดย Minagawa Ryoji

ค่าย Siam Inter Comics

22 เล่ม จบบริบูรณ์

ผมคิดว่าหลายๆคนคงจะรู้จักอาจารย์ Minagawa Ryoji ดี เพราะท่านได้ฝากฝีไม้ลายมือไว้กับการ์ตูนเรื่อง สปริแกน ซึ่งถือเป็นการ์ตูนโบว์แดงเรื่องหนึ่งของท่านเลยทีเดียว

สำหรับเรื่อง ARMS เองก็ยังคงกลิ่นอายของอาจารย์ไว้อย่างครบถ้วนครับ ทุกอย่างต้องเว่อร์เข้าไว้

แต่ แต่

เว่อร์แบบมีคำอธิบายที่เป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ด้วยนะเอ้อ พูดให้ง่ายเข้าก็คือ โม้บนพื้นฐานความจริงที่ไม่มีทางเป็นไปได้นั่นเอง 555

ทว่าเมื่อพิจารณาเนื้อเรื่องโดยรวมแล้ว ผมว่าอาจารย์ Minagawa ยังคงฝีมือไว้อย่างครบถ้วนเลย ทั้งการดำเนินเนื้อเรื่อง การผูกเรื่อง รวมไปถึงการออกแบบให้ตัวละครแต่ละตัวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่นไปคนละอย่าง กอปรกับ การโม้บนพื้นฐานเหตุผล ของอาจารย์ ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้มีเสน่ห์มาก (สำหรับผม)

เนื้อเรื่องเริ่มต้นที่ ทาคาซึคิ เรียวอิจิ นักเรียน ม.ปลายธรรมดา ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง เริ่มรู้สึกถึงพลังแปลกประหลาดที่แขนขวาของตัวเอง ในช่วงเวลาที่เขารู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกายนั้น ชีวิตของเขาก็โดนคุมคามโดยศัตรูนิรนามอย่างคาดไม่ถึง จนแทบเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้งหลายครา

การต่อสู้ด้วยพลังแห่งแขนขวาของ ทาคาซึคิ ได้เริ่มต้นขึ้น แน่นอนว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยว หากแต่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมที่มีพลังแปลกประหลาดเช่นเขาร่วมทางด้วยอีกคนสองคน อันได้แก่ ชินงู ฮายาโตะ ผู้ที่มีพลังที่แขนซ้าย และ โทโมเอะ ทาเคชิ ผู้ที่มีพลังที่ขาทั้งสองข้าง

เมื่อมีเพื่อนร่วมทางที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน อีกทั้งความกังขาในเหตุการณ์อันพลิกผันที่เกิดกับชีวิต รวมไปถึงความคลางแคลงใจต่อปมปัญหาในอดีต ทำให้ทั้งสามคนเริ่มสืบเสาะหาอดีตของตนเอง เพื่อตามล่าหาความเป็นจริงของตัวตนพวกเขารวมไปถึง “ARMS” ที่สิงสถิตอยู่ในตัวพวกเขาทั้งสามคน

ในบทแรกของเรื่องซึ่งก็คือ The First Revelation “The Awakening” ถือเป็นปฐมบทเรื่องราวของตัวเอกทั้งสาม (จริงๆ ก็มีเกินสามอะนะ แต่ที่เด่นๆ ก็สามคนนี้แหละ) นำไปสู่จุดเริ่มต้นของการต่อสู้ระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสามและองค์กรนาม “เอกลีกอรี”

สำหรับเรื่องนี้ผมถือว่าเป็นมหากาพย์ที่เข้มข้นทั้งเนื้อหา และความมันส์ เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว มีการแบ่งเป็น บทๆ ซึ่งแต่ละบทก็มีการเดินเรื่องที่ชัดเจน พร้อมกับปมปัญหาที่ค่อยๆเผยออกมา รวมไปถึงการสร้างปมใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา ฉากการต่อสู้อันระทึกใจ ความสามารถของตัวละครที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้สนุกจนแทบวางไม่ลงเลยทีเดียว

การต่อสู้ระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสามและเอกลีเกอรีจะลงเอยเช่นไร พวกเขาทั้งสามเป็นใคร แล้ว ARMS ที่สิงสถิตอยู่ในตัวพวกเขาทั้งสามคืออะไรและมาจากไหน อนาคตของมนุษยชาติจะลงเอยเช่นไร คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้เชิญหาได้ในการ์ตูนเรื่องนี้.........

ในส่วนของเนื้อเรื่องผมคงไม่ลงมากไปกว่านี้ เพราะเดี๋ยวมันจะเป็นการ Spoil เนื้อหาจนเกินงาม อย่างไรก็ตามการรีวิวเนื้อเรื่องคงไม่ใช่เอกลักษณ์ของผม หากแต่อยู่ที่ความคิดคำนึงของผมที่มีต่อการ์ตูนเรื่องนี้ต่างหาก

หากจะให้ผมจัดประเภทของการ์ตูนเรื่องนี้คงจะอยู่ในประเภท Scifi – Drama ครับ เพราะเนื้อหาที่อิงกับความเป็นวิทยาศาสตร์ (แบบเว่อร์ๆ 555) รวมไปถึงการดำเนินเรื่องราวที่ค่อนข้างกระชากอารมณ์ เราๆ ท่านๆ เหมือนกัน มีทั้งเศร้า เหงา สุข รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่มีการตั้งคำถามต่อ “ความเป็นมนุษย์” อันเป็นคำถามที่แสนง่ายแต่ตอบยากเสียเหลือเกิน ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้มันช่างระทึกใจและกินใจไปในคราวเดียวกัน ร่วมด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจอันเกิดจากจินตนาการของ อาจารย์ Minagawa ที่สรรค์สร้างให้กับตัวละครด้วยแล้ว โอ้ว......บอกได้คำเดียวว่าเยี่ยมมาก!!

วิธีการดำเนินเรื่องแบบผูกปมปัญหาถือได้ว่าเป็นปกติวิสัยของการ์ตูนที่น่าติดตามเกือบทุกเรื่อง แต่อีกเทคนิคหนึ่งที่อาจารย์ Minagawa ใช้ก็คือการ “กั๊ก” ครับ กล่าวคือ ค่อยขยัก ความเป็นมา เรื่องราว รวมไปถึงความสามารถตัวละครที่เป็นฝ่ายตรงข้ามพวกตัวเอก เอาไว้ ยังไม่ปล่อยเต็มสตรีม แล้วค่อยๆ ทยอยปล่อยทีละคนสองคน เอ....คีส (เป็นชื่อของเหล่าพี่น้อง ที่เป็นผู้กุมบังเหียนองค์กรเอกลีกอรีอยู่) ตัวโน้นมันมีความสามารถย่างไรน้อ แล้ว ARMS มันจะมีรูปร่างอย่างไร แบบนี้มันสร้างความตื่นเต้นให้กับคนอ่านมากล้นเลยล่ะครับ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งล่ะ ที่คอยจะติดตามถึงความสามารถที่แสดงเอกลักษณ์ของแต่ละคน

สาเหตุหนึ่งที่อาจารย์สามารถเล่นเรื่องราวแบบ “กั๊ก” ได้นั้น ก็เพราะว่า ตัวละครทุกตัวมี “บริบททางประวัติศาสตร์” (historical context) ครับ ทุกตัวมีที่มาที่ไปที่แตกต่างกัน ยังผลให้แต่ละคนมีห้วงความคิดเกี่ยวกับ “ชีวิต” ที่แตกต่างกัน อีกทั้ง “ARMS” ของแต่ละคนยังสะท้อนถึงคาแรคเตอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวละครด้วย

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าการ์ตูนเรื่องนี้พยายามสอดแทรก (ไม่ว่าอาจารย์ Minagawa จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจอะนะ) ก็คือลักษณะของความเป็น “มนุษยนิยม” (humanism) อย่างล้นเหลือ ภายใต้ความเชื่อที่ว่าไม่มีอะไรมาเบียดบังและลดคุณค่าของความเป็นมนุษย์ได้ รวมไปถึงการเชื่อในความสามารถของมนุษย์อันจะนำพาหมู่มวลมนุษย์เองไปยังจุดมุ่งหมายปลายทางแห่งความผาสุกได้ ดังนั้นแล้วคงยากที่ปฏิเสธและบอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ได้สอดแทรกแนวคิดดังกล่าว ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับมนุษยนิยมถูกย้ำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นผ่านทางประโยคเด็ดของการ์ตูนเรื่องนี้ก็คือ

“…………มนุษย์ ไม่มีทางแพ้ ARMS หรอก...........”

ประโยคนี้ถ้าอิงบริบทจากในการ์ตูนเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็น “วาทกรรม” (discourse) ที่แฝงถึงความเป็นมนุษยนิยมอย่างชัดเจนทีเดียว

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆ ก็คือวลีที่อาจารย์ Minagawa ได้จั่วไว้พร้อมกับชื่อเรื่องนั่นก็คือ

“Which do ARMS obtain, the peace in the future of the nightmare in the past??”

เป็นคำถามเริ่มต้นที่น่าสนใจทีเดียว สุดท้ายแล้ว ARMS จะนำพามนุษยชาติไปในทิศทางใด จะลงไปสู่หุบเหวนรก หรือจะสร้างนวัตกรรมความผาสุกและสันติให้แก่เรา

ท้ายที่สุดแล้วอาจารย์แสดงให้เห็นถึงทางออกของคำตอบที่สวยงามเลยทีเดียว จากตอนแรกความสัมพันธ์ระหว่าง ARMS และผู้ถูกมันสถิต จะอยู่ที่มนุษย์ผู้ถูก ARMS สิงสู่ถูกครอบงำด้วยพลังของ ARMS แต่ในท้ายสุดกลายเป็นว่า มนุษย์และ ARMS ต่างพึ่งพิงกันและอยู่ร่วมกันได้ มนุษย์สามารถเอาชนะการครอบงำได้ ขณะเดียวกัน ARMS เองก็อยากเรียนรู้เรื่องราวของมนุษย์ที่มีมิติความลึกซึ้งในแง่ของอารมณ์และจิตใจ

ทุกคนพร้อมรึยังครับที่จะไปค้นหาคำคอบของ “ARMS” อาวุธชีวะอันลึกลับ ที่กุมความลับของมวลมนษย์ไว้ !!!

ถ้าพร้อมแล้ว……..

“อยากได้พลังมั๊ย!!”


“ถ้าอยาก
ได้พลัง”
:
“ข้าจะให้เจ้า!!!”




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2549 12:37:32 น.
Counter : 3305 Pageviews.  

Wild Life : สัตวแพทย์มือใหม่ หัวใจเมโลดี้

โดย Masato Fujisaki

สำนักพิมพ์ NED COMICS

ออกวางจำหน่ายมาแล้ว 9 เล่ม

ก่อนอื่นเลยต้องขออภัยมิตรรักแฟนเพลงนะครับ ที่กระผมหายหน้าหายตาไปนาน เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ต่อมขี้เกียจมันทำงานก็เท่านั้นเอง 5555

สำหรับการ์ตูนที่จะมาพูดกันในวันนี้ผมเชื่อเลยครับว่าหลายๆคนคงจะรู้จักกันดีแน่นอน นั่นก็คือเรื่อง “Wild Life” นั่นเอง

การ์ตูนเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของบรรดาเหล่าสัตวแพทย์แห่งสถาบัน R.E.D ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก นั่นก็เพราะว่าถ้ามี case อะไรแปลกๆ ที่โรงพยาบาลธรรมดาเค้าไม่ทำกันแล้วล่ะก็ ไม่ต้องห่วงส่งมาที่ R.E.D ได้เลย ทำได้ทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้เองทำให้ภาระหน้าที่ของหมอแต่ละคนดูจะฮาร์ดไม่ใช่น้อย ต้องเจอกับสารพันปัญหา การรักษาแต่ละ case นี่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น เสือ สิงห์ กระทิง แรด นี่เป็นเรื่องปกติไปเลย (ปลากระเบนก็ยังรักษาได้นะเอ้อ)

ซึ่งตัวเอกของเรื่องนี้ก็คือ อิวาชิโร่ เท็ตโซ ซึ่งจะว่าไปแล้วตานี่ก็เป็นหมอธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ฟังดูแล้วอาจจะดูสับสน แต่สำหรับผมแล้ว ไอ้ที่ธรรมดาของ เท็ตโซ ก็คงอยู่ที่ฝีไม้ลายมือการรักษา รวมไปถึงความรู้ที่ดูจะเป็นมือใหม่แบบสุด (บางทีอาจจะถึงขั้นบ๊อง แต่บางที่ผมยังคิดเลยว่า ไอ้ความบ๊องนี่มันก็น่าจะเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งของตัวเอกเหมือนกันนะ เหอ เหอ) แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือพระเอกของเรามีความสามารถพิเศษครับซึ่งก็คือ “หูเมโลดี้” ซึ่งก็คือความสามารถในการฟังเสียงต่างๆออกมาเป็นเสียงโน้ต อีกทั้งยังได้ยินเสียงอะไรที่คนธรรมดาไม่ได้ยินอีกด้วย

การที่เท็ตโซมี “หูเมโลดี้” ทำให้เค้าสามารถฟังเสียงที่คนปกติธรรมดาไม่ได้ยินได้ อีกทั้งยังสามารถแยกแยะความผิดปกติของเสียงได้อีกต่างหาก ซึ่งก็ส่งผลให้สามารถตรวจรักษาอาการผิดปกติต่างๆได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งไม่จำเป็นต้องพึ่งหูฟังอีกต่างหาก (เท่ห์มั๊ยล่ะ) และความสามารถดังกล่าวถือว่าจำเป็นต่อสัตวแพทย์มาก เพราะสัตว์ไม่สามารถสื่อสารกับคนได้ ดังนั้นการที่ตัวเอกของเรามีความสามารถในการ “ฟัง” มันทำให้เค้าสามารถสื่อสารและเข้าถึงบรรดาสัตว์นานาพันธุ์ได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป

แม้นว่าหูโมโลดี้จะดูเป็นความสามารถอันวิเศษเลิศเลอเหลือเกิน แต่สำหรับผมแล้วสิ่งที่วิเศษยิ่งไปกว่านั้นของเท็ตโซก็คือจิตใจอันมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ของสัตวแพทย์อย่างเต็มกำลัง เปี่ยมไปด้วยจิตใจที่ดีงามและบริสุทธิ์ผุดผ่อง หลาย case ที่การรักษาประสบผลสำเร็จก็มาจากการที่พระเอกมีความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ทุ่มเทกายใจเพื่อจรรยาบรรณอย่างแท้จริง หาใช่แต่จะพึ่งพา “หูเมโลดี้” แต่เพียงอย่างเดียว

นอกจากเท็ตโซ หูเมโลดี้แล้ว ใน R.E.D ยังมีสัตวแพทย์อีกหลากหลายคน ซึ่งมีบุคลิกที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นนายเรียวโต ซึกาสะ ผู้ที่ชอบอู้งานเป็นนิจ แต่ฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดาเลยทีเดียว มีความเป็นอัจฉริยะสูงมาก (แต่ไม่รู้ว่าพี่แกอายุเท่าไหร่แล้ว?? เพราะหน้าตาเฮียเค้าไม่เปลี่ยนไปเลยเป็นสิบๆปี) หรือจะเป็นคุราจิ ฮิซาทากะ สัตวแพทย์หนุ่มไฟแรงจากโตโดอีกคนหนึ่ง ที่มุ่งรักษาสัตว์โดยที่ทำให้สัตว์อันตรายน้อยที่สุด แต่ตัวเองกลับอันตรายมากที่สุด จนแทบจะตายเอาแทน ฮา (ผมคิดว่านอกจากเท็ตโซแล้ว ก็มีไอ้หมอนี่แหละที่ต๊องรองๆลงมา) รวมไปถึงเสะโน่ มิกะ นางพยาบาลสาวน่ารักที่คอยช่วยเหลือเท็ตโซ ของเราในหลายๆด้าน (ยังมีอีกหลายคนนะครับ ลองไปหาอ่านกันเองละกัน แต่ละคนทั้งฮา ทั้งฮาร์ด)

นอกจาความฮาและความบวมแล้วการ์ตูนเรื่องนี้ยังแฝงสาระอีกหลายอย่างครับ และอย่างหนึ่งที่เยี่ยมก็คือการสอนให้เรารู้จักคำว่า “ทีม” ครับ แม้ว่านายเท็ตโซของเราจะดูมีพรสวรรค์โดดเด่น แต่ในหลายๆ case ที่ตัวเอกของเราปฏิบัติภารกิจลุล่วงก็เพราะว่าได้ความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ทุกคน ถ้าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆใน R.E.D แล้ว บาง case ก็น่าคิดเหมือนกันว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร

แต่ที่ผมประทับใจมากไปกว่านั้นก็คือ คุณสมบัติที่การ์ตูนเรื่องนี้สามารถที่จะ “เข้าถึง” คนได้ง่ายครับ เนื่องด้วยลีลาการเขียนที่ดูสบายตา การดำเนินเรื่องที่ไม่ติดขัด ทำให้การสอดแทรกสาระเข้าไปในเนื้อเรื่องและถ่ายทอดสู่สมองคนอ่านทำได้ง่าย และมีประสิทธิภาพ (เรื่องนี้อาจารย์มาซาโตะทำการบ้านมามากจริงๆครับ ถ้าลองอ่านดูจะทราบได้ทันที นับถือๆ)

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญก็คือการ์ตูนเรื่องนี้ได้พื้นที่ให้กับวาทกรรมแนวคิดเชิงนิเวศวิทยาครับ แต่ไม่ใช่เป็นในแนวทางแบบ Radical นะครับ แนวทางที่การ์ตูนเรื่องนี้นำเสนอมาค่อนข้างที่จะแยบคายครับ ไม่ออกแนวถอนรากโคนประมาณว่า มนุษย์เลว ทุนนิยมไม่ดี ฯลฯ หากแต่อาจารย์มาซาโตะค่อยๆสอดแทรกสาระเข้าไปทีละน้อยๆ ครับ เอาเป็นว่าลองไปหาอ่านกันดูครับ ท่านๆ อาจจะคิดไม่เหมือนที่ผมคิดก็ได้ แหะๆ

สำหรับผมเดินเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาการ์ตูนเล่มนี้อยู่หลายรอบเลยทีเดียว กว่าจะได้อ่านก็ตอนที่มีเพื่อนมาบอกว่าเรื่องนี้เจ๋งมาก กอปรกับเหลือบไปดูหน้าปกเล่มใหม่ของการ์ตูนเล่มนี้ก็เห็นอะไรแว้บๆ เอ๊ะ เรื่องนี้มันได้รับรางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยมของ Shogakukan นี่หว่า......ดังนั้นแล้วมันต้องมีอะไรเด็ดๆบ้างแหละ

พออ่านแล้วรู้เลยว่า เออ แฮะ มันเด็ดจริง อ่านแล้ววางไม่ลงเลย

การ์ตูนดีๆแบบนี้น่าลองไปหามาอ่านดูครับ

ไว้พบกันใหม่




 

Create Date : 28 เมษายน 2549    
Last Update : 29 เมษายน 2549 15:25:31 น.
Counter : 1963 Pageviews.  

1  2  3  

gelgloog
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add gelgloog's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.