Group Blog
 
All blogs
 
เวฬุวนาราม วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา



"ดูก่อนอานนท์ เวฬุวันสถานที่ให้เหยื่อกระแต เป็นสถานที่น่าอยู่และน่ารื่นรมย์"

วันนี้ไปชมเวฬุวนารามกันครับ คำว่า"เวฬุวนาราม" เป็นภาษามคธ หรือบาลี ๓ คำเชื่อมกันคือ "เวฬุ" ไม้ไผ่ วน ป่าหรือสวนและ อาราม วัด เมื่อถือเอาความตามภาษาไทย และถูกต้องกับความเป็นจริงแล้วแปลว่า "วัดไผ่ล้อม" ที่เรียกชื่อว่า วัดไผ่ล้อม ก็เพราะว่า เวฬุวนาราม มีต้นไม้ไผ่เขียวชอุ่มน่าดูและน่าชมยิ่งขึ้นล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเชิงภูเขาเวภารบรรพตครับ

เวฬุวนารามเคยเป็นพระราชอุทยาน หรือสวนหลวง เป็นสถานที่สำหรับเสด็จประพาสของพระเจ้าพิมพิสารมหาราช และข้าราชบริพารมาก่อน พระราชอุทยานแห่งนี้ นับว่าเป็นพระราชอุทยานที่จัดว่าอยู่ใกล้พระราชวังแห่งหนึ่งที่มีอยู่ในพระนครราชคฤห์ ตามประวัติยังกล่าวไว้ว่าพระราชอุทยานเวฬุวันนั้นยังมีกำแพงสูงถึง ๑๘ ฟิต กั้นล้อมอีกชั้นหนึ่ง และมีประตูใหญ่ (สำหรับปิดและเปิดในเวลาเข้าและออก)ประกอบด้วยหอคอย สำหรับเจ้าหน้าที่ดูแลและรักษาความปลอดภัยครับ

ภาพเวฬุวนาราม



พระราชอุทยานเวฬุวันสถานที่ให้เหยื่อกระแต

ก่อนนี้พระเจ้าพิมพิสารได้เสด็จประพาสพระราชอุทยานเวฬุวัน วันนั้นพระองค์ทรงดื่มน้ำจัณฑ์มากไปหน่อยจึงทรงบรรทมหลับไป ณ สถานที่ตรงนั้นเอง ฝ่ายข้าราชบริพารที่ตามเสด็จมาด้วย ครั้นเห็นว่าเจ้าเหนือหัวของตนบรรทมหลับไปเช่นนั้น จึงต่างพากันทยอยออกไป บางพวกก็เก็บและเดินชมดอกไม้ บางพวกก็เก็บผลไม้มากิน ตามอัธยาศัยที่ตนชอบ ๆ ก็เพราะกลิ่นอันหอมหวานของน้ำจัณฑ์ที่ผสมกับแกล้มที่ระเหยจากพระนาสิกของพระองค์นั้นเป็นต้นเหตุ ทำให้อสรพิษที่อาศัยในโพรงไม้ใกล้ ๆ กับบริเวณนั้นอยู่ไม่ได้ มันจึงค่อยๆ เลื้อยออกมาจากที่อยู่ของมันบ่ายหน้ามุ่งตรงมายังที่พระราชาซึ่งบรรทมหลับอยู่นั้นเองด้วยหมายใจที่จะได้รับส่วนแบ่งและลิ้มรสอันโอชะนั้นบ้าง ฝ่ายรุกขเทวดาที่อาศัยอยู่ ณ สถานที่ใกล้ๆ แห่งนั้น

ครั้นได้เห็นเหตุการณ์ดังนั้นเข้าเกิดเมตตาและสงสารคิดที่จะช่วยให้พระราชารอดพ้นจากอันตรายแห่งชีวิต ทันใดจึงเปลี่ยนเพศจำแลงกายเป็นกระแตส่งเสียงดังจ้าละหวั่นที่ใกล้ ๆ พระกรรณของพระราชา ดุจประหนึ่งจะปลุกว่า "ขอพระองค์จงตื่นจากบรรทมเถิดพระเจ้าข้า เพราะขณะนี้อันตรายจะเกิดขึ้นแก่พระองค์แล้ว" เพราะเสียงร้องอันดังของกระแตนั้นพระองค์จึงตกพระทัยตื่นขึ้น และทันทีนั้นอสรพิษก็พลันเลื้อยกลับไปยังที่อยู่ของตนดังเดิม พระองค์ครั้นเห็นเหตุการณ์ดังนั้นเข้าจึงทรงดำริว่า "ชีวิตของเราที่รอดพ้นอันตรายมาได้นั้นก็เพราะกระแตตัวนี้" ดังนั้นด้วยอำนาจแห่งพระกตัญญูของพระองค์ที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในพระกมลนิสัย จึงรับสั่งให้เจ้าหน้าที่นำเอาอาหารหรือเหยื่อมาให้แก่กระแตเป็นประจำ และให้นำพระราชโองการเที่ยวประกาศห้ามไม่ให้ใครมาทำร้ายสัตว์จำพวกนี้อีกต่อไป และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาพระราชอุทยานเวฬุวันจึงได้สมัญญาสร้อยเพิ่มเติมตอนท้ายว่า "วฬุวันกลันทกนิวาป"

ต่อมาผู้จะไปเที่ยวชมพระราชอุทยานเวฬุวันจึงค่อยๆ เริ่มนิยมกันนำเอาอาหารเตรียมติดตัวไปเพื่อให้กระแตที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นครั้นมากเข้าๆ จนกลายเป็นสถาบันขึ้นมาว่า ผู้ใดก็ตามที่จะไปเที่ยวชมพระราชอุทยานเวฬุวัน ผู้นั้นจะต้องนำเอาอาหารเพื่อเป็นทานแก่กระแตติดตัวไปทุกครั้ง ดังนั้นกระแตในสมัยนั้นจึงนับว่าเป็นสัตว์ที่นอกจากจะโชคดีเที่ยววิ่งเล่นอย่างเป็นอิสระและอยู่อย่างเสรีในพระราชอุทยานแล้ว ยังมีอาหารกินอย่างสมบูรณ์ด้วยครับ



พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวัน

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดชฎิลสามพี่น้องพร้อมทั้งบริวารจำนวนรวมทั้งสิ้น (รวมทั้งสามพี่น้องด้วย) 1,003 คน ให้เห็นความเหลวไหลของการบูชาไฟ จนมีจิตเลื่อมใส ทูลขอบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้วนั้น พระเจ้าพิมพิสาร พร้อมข้าราชบริพาร ผู้นับถือชฎิลสามพี่น้อง ได้เสด็จมาเพื่อฟังธรรมจากอาจารย์ของตนตามที่เคยมา ได้ทอดพระเนตรเห็นอาจารย์ของพระองค์ ปลงผมโกนหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ นั่งห้อมล้อมพระพุทธองค์อยู่

พระราชาและชาวเมืองต่างก็สงสัยว่า ระหว่างสมณะหนุ่มท่าทางสง่างามนั่งอยู่ตรงกลาง กับอาจารย์ของพวกตน อันมีปูรณกัสสปะเป็นประมุขนั้นใครใหญ่กว่ากัน พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิดของพระราชาและชาวเมือง จึงรับสั่งกับพระปูรณกัสสปะว่า เธอบำเพ็ญตบะทรมานตัวเองจนผ่ายผอม บูชาไฟตลอดกาลนาน บัดนี้เธอคิดอย่างไรจึงละทิ้งความเชื่อถือเดิมเสีย มาบวชเป็นสาวกของเราตถาคต

พระปูรณกัสสปะจึงห่มผ้าเฉวียงบ่า กราบบังคมแทบพระยุคลบาทแล้ว เหาะขึ้นไปลอยอยู่ในอากาศระยะสูงเท่าลำตาล ประกาศว่า ตนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดาของตน แล้วลงมากราบแทบพระยุคลบาทอีกครั้ง ทำให้ประชาชนอันมีพระพิมพิสารทรงเป็นประมุข หายสงสัยโดยสิ้นเชิง ต่างก็สดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า

พระเจ้าพิมพิสารได้บรรลุโสดาปัตติผล ทรงประกาศตนเป็นอุบาสกถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ พระองค์จึงทรงมอบถวายป่าไผ่ดังกล่าวนี้ให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ ตั้งแต่นั้นมาพระราชามหาอำมาตย์ เศรษฐี มหาเศรษฐี ตลอดจนข้าราชการ พ่อค้าและประชาชนผู้ที่มีศรัทธา และเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็ได้พากันสร้างวัดถวายให้แด่พระภิกษุสงฆ์สืบมาจนถึงทุกวันนี้ฯ วัดพระเวฬุวัน จึงนับเป็นวัดแรกสุดในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาครับ



เวฬุวันมหาวิหารคือสถานที่ประชุมสงฆ์ครั้งสำคัญ

วันนั้นนับว่าเป็นวันที่น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง คือในขณะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเสด็จมาถึงเวฬุวันมหาวิหาร ปรากฏว่าพระสงฆ์สาวกที่พระองค์บวชให้แล้วและได้ส่งไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ สถานที่ต่าง ๆ ได้มารอเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นในตอนบ่ายวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า โอกาสที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน จึงทรงเรียกประชุมพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดที่อยู่ที่นั้นและทรงประกาศแต่งตั้งตำแหน่งพระอัครสาวก คือทรงประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรให้ดำรงตำแหน่งเบื้องขวา ส่วนพระมหาโมคคัลลานะนั้นให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งเบื้องซ้าย เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงประทานพระบรมพุทโธวาทซึ่งเรียกว่า พระโอวาทปาฏิโมกข์คือเนื้อความอย่างย่อๆ ในพระพุทธศาสนา

การประชุมสงฆ์ครั้งนี้จัดว่าเป็นการประชุมครั้งสำคัญยิ่งในทางพระพุทธศาสนา เพราะว่า
๑ พระสาวกผู้เข้ามาประชุมนั้นอนุมานได้ ๑,๒๕๐ องค์ และล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ
๒. พระสาวกทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือพระสาวกที่ได้อุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า
๓. พระสาวกทั้งหมดนั้นต่างมาพร้อมกันเองโดยมิได้นัดหมาย
๔. วันนั้นเป็นวันมาฆปุณณมีดิถีเพ็ญกลางเดือนสาม และพระพุทธเจ้าทรงประทานพระบรมพุทโธวาทซึ่งเรียกว่า "โอวาทปาฏิโมกข์"


ภาพประกอบได้รับอนุญาตจากคุณคณิตยา ยอดนักเขียนนิยาย
ข้อมูลเรียบเรียงมาจาก พระเทพโพธิวิเทศ (ทองยอด ภูริปาโล ป.ธ.๙, Ph.D.) ;
สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา; หนังสือตามรอยพระพุทธเจ้า ขออนุโมทนามา ณ โอกาสนี้ครับ


Create Date : 22 สิงหาคม 2551
Last Update : 26 สิงหาคม 2551 8:32:38 น. 0 comments
Counter : 536 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ebusiness
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







พระพุทธเจ้าทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ สิ่งนั้นคือพระธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงาม สู่ความเจริญสูงสุดของชีวิต ในฐานะชาวพุทธ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งที่ดีเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตเราแต่ละคน
Friends' blogs
[Add ebusiness's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.