Group Blog
 
All blogs
 
การเดินทางครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า



ตลอดระยะเวลา 45 ปีของการเผยแพร่ศาสนานั้น พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมของพระองค์ในบริเวณ 8 แคว้นคือสักกะ โกศล วัชชี องคะ มคธ กาสี วังสะ และอวันตี

ในพรรษาที่ 80 ซึ่งเป็นวาระสุดท้ายของพระชนมชีพ ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ทรงปลงอายุสังขารว่าอีกสามเดือนข้างหน้า จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ตลอดระยะเวลาสามเดือนนั้นเอง ทรงพระดำเนินจากเมืองเวสาลีไปยังเมืองกุสินารา ซึ่งไม่ใช่หนทางที่ใกล้เลยสำหรับการเดินเท้านะครับ

ภาพเสาอโศกที่สมบูรณ์ที่สุดต้นนี้อยู่ที่เมืองเวสาลี สถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร



กุสินาราในปัจจุบัน เป็นชุมชนเมืองที่เติบโตขึ้นจากการเข้ามาฟื้นฟูแหล่งพุทธสถานของรัฐบาลอินเดียและพุทธศาสนิกชนนานาชาติ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นที่นี่ก็คือหมู่บ้านเล็กๆที่แทบไม่มีใครสนใจ ชื่อว่ากาเซีย จนกระทั่งเมื่อราว 150 ปีก่อน นักโบราณคดีได้เริ่มเข้ามาสำรวจและพิสูจน์ได้ว่าหมู่บ้านกาเซียเป็นที่เดียวกับเมืองกุสินารา สถานที่พระพุทธเจ้าดับเสด็จขันธปรินิพพานเมื่อ 2500 ปีมาแล้ว

จากนั้นกาเซียก็เริ่มเปลี่ยนโฉมหน้าไป เดิมทีที่นี่เป็นหมู่บ้านที่มีซากโบราณสถานปรักหักพังจมดินอยู่มากมายในบริเวณสวนป่าสาละ ซึ่งชาวบ้านเรียกกันมานานว่า "เนินดินเจ้าชายสิ้นชีพ"

ภาพเมื่อไปถึงในบริเวณสาละวโนทยาน กุสินารา จะพบอาคาร 2 หลัง คือ ด้านหน้าเป็นวิหาร ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปรินิพานและด้านหลังคือสถูปที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ที่ปรินิพพานครับ


กุสินาราในปัจจุบัน เป็นชุมชนเมืองที่เติบโตขึ้นจากการเข้ามาฟื้นฟูแหล่งพุทธสถานของรัฐบาลอินเดียและพุทธศาสนิกชนนานาชาติ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นที่นี่ก็คือหมู่บ้านเล็กๆที่แทบไม่มีใครสนใจ ชื่อว่ากาเซีย จนกระทั่งเมื่อราว 150 ปีก่อน นักโบราณคดีได้เริ่มเข้ามาสำรวจและพิสูจน์ได้ว่าหมู่บ้านกาเซียเป็นที่เดียวกับเมืองกุสินารา สถานที่พระพุทธเจ้าดับเสด็จขันธปรินิพพานเมื่อ 2500 ปีมาแล้ว

จากนั้นกาเซียก็เริ่มเปลี่ยนโฉมหน้าไป เดิมทีที่นี่เป็นหมู่บ้านที่มีซากโบราณสถานปรักหักพังจมดินอยู่มากมายในบริเวณสวนป่าสาละ ซึ่งชาวบ้านเรียกกันมานานว่า "เนินดินเจ้าชายสิ้นชีพ"

ภาพเมื่อไปถึงในบริเวณสาละวโนทยาน กุสินารา จะพบอาคาร 2 หลัง คือ ด้านหน้าเป็นวิหาร ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปรินิพานและด้านหลังคือสถูปที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ที่ปรินิพพานครับ


ปัจจุบันกุสินาราเป็นเมืองสังเวชนียสถานที่ชาวพุทธนานาชาติได้มาสร้างพุทธสถานและธรรมศาลาไว้มากมาย ทุกๆเช้าชาวบ้านที่นี่จะได้ยินเสียงระฆังตีบอกเวลาทำวัตรเช้าของพระภิกษุ ที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ พระธรรมทูตเหล่านี้เดินทางมาจากประเทศไทย พร้อมกันนั้นยังได้นำสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งกลับมาด้วยครับ

พระมหาธาตุเจดีย์ของวัดไทยกุสินาราฯ ได้ออกแบบสร้างขึ้นอย่างสง่างามสมพระเกียรติ เพื่อเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมสารีริกธาตุองค์นี้ รัฐบาลอินเดียได้เคยทูลเกล้าฯถวายแด่พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตมานานนับร้อยปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุกลับ เพื่ออยู่คู่บ้านคู่เมืองกุสินาราอีกครั้ง

ภาพวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ พระสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ



วัดไทยกุสินาราฯ สร้างขึ้นเมื่อปี 2537 ให้การอุปถัมภ์แก่พุทธบริษัทผู้เดินทางมาสักการะสังเวชนียสถา และการสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ทุกๆวันจะมีชาวบ้านมารอรับการรักษาที่กุสินาราคลีนิกภายในวัดไม่ต่ำกว่า 150-200 คน พวกเขาล้วนเป็นชาวบ้านที่ยากจนในละแวกนี้ ค่ารักษาเพียง 8 รูปี หรือราว 7 บาท รักษาทุกโรค ^_^" ด้วยฝีมือแพทย์ปริญญาทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ หมอแลเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่อาสาสมัครเข้ามาเพื่อทำงานสาธารณกุศล

หมอที่นี่เล่าว่า มีคนเจ็บป่วยเยอะมาก พวกเขาอยู่ห่างไกลโรงพยาบาล จะหาซื้อยาก็ลำบาก เห็นได้ว่าในวันพระขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งเปิดคลีนิกรักษาฟรี จะมีคนไข้มาใช้บริการมากถึง 300 คน !!!

แม้ว่ากุสินาราคลินิกจะมีรายจ่ายมากกว่ารายรับถึงเดือนละไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท แต่น้ำใจจากชาวพุทธที่มาบริจาคทรัพย์ บริจาคยา และอาสาสมัครช่วยทำงาน กุสินาราคลินิกจึงยังคงอยู่เป็นที่พึ่งให้ชาวบ้านที่เจ็บป่วยต่อไปได้



"ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด "

พระพุทธเจ้าทรงตรัสพระโอวาทสุดท้ายนี้ แล้วทรงนิ่งเงียบไม่ตรัสอะไรอีก ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา

หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว ได้ ๗ วัน เหล่ามัลละกษัตริย์ในนครกุสินาราพร้อมด้วยชาวพระนครทั้งหลาย ได้เชิญพระบรมศพมาประดิษฐาน ณ มกุฎพันธนเจดีย์

ภายหลังที่พระมหากัสสปเถระ พร้อมด้วยภิกษุบริษัทเดินทางมาถวายบังคมพระศพเสร็จแล้ว ไฟก็ติดพระสรีระเอง เมื่อพระสรีระพระพุทธเจ้าถูกไฟไหม้แล้ว ก็มีกษัตริย์และพราหมณ์จากแคว้นต่าง ๆ มาขอพระสารีริกธาตุ ครั้งแรกมัลลกษัตริย์จะไม่ให้ แต่โทณพราหมณ์พูดเกลี้ยกล่อมให้เห็นแก่ความสงบ จึงได้ตกลงแบ่งให้ไปต่างก็นำไปบรรจุสถูปและทำการฉลองในนครของตน



ห่างออกไปจากมหาปรินิพพานสถูปไม่ไกลนัก นักโบราณคดีพบเนินดินที่ก่อด้วยอิฐหุ้มไว้เป็นชั้นๆ ที่นี่คือมกุฏพันธนเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า อิฐแต่ละชั้นเกิดจากการก่อขยายพระเจดีย์โดยกษัตริย์หลายพระองค์ หลายสมัย ที่บูรณะเรื่อยมา จนกระทั่งศาสนาพุทธเสื่อมไปจากอินเดีย

ภาพประกอบได้รับอนุญาตจากคุณ scuba734 ข้อมูลเรียบเรียงมาจาก หนังสือตามรอยพระพุทธเจ้า หนังสือดีดีของแพรวสำนักพิมพ์ และพระไตรปิฎก ขออนุโมทนามา ณ โอกาสนี้ครับ


พระพุทธเจ้าทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ สิ่งนั้นคือพระธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงาม สู่ความเจริญสูงสุดของชีวิต ในฐานะชาวพุทธ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งที่ดีเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตเราแต่ละคนครับ



Create Date : 22 สิงหาคม 2551
Last Update : 26 สิงหาคม 2551 8:16:36 น. 0 comments
Counter : 2264 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ebusiness
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







พระพุทธเจ้าทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ สิ่งนั้นคือพระธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงาม สู่ความเจริญสูงสุดของชีวิต ในฐานะชาวพุทธ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งที่ดีเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตเราแต่ละคน
Friends' blogs
[Add ebusiness's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.