Group Blog
 
All blogs
 
เขาคิชฌกูฏ สถานที่น่าอยู่และน่ารื่นรมย์ใจ และที่พระเทวทัตกลิ้งหินลงมาทำร้ายพระพุทธเจ้า



เขาคิชฌกูฏ จัดว่าเป็นสถานที่น่าอยู่และน่ารื่นรมย์ใจแห่งหนึ่ง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์เถรเจ้า ในบรรดาสถานที่ 10 แห่งด้วยกันที่มีอยู่ในกรุงราชคฤห์คือ 1. ภูเขาคิชกูฏ 2. โคตมนิโครธ 3. เหวที่ทิ้งโจร 4. สัตตปัณณคูหาข้างเวภารบรรพต 5. กาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ 6. เงื้อมผาสัปปโสณิกที่สีตวัน 7. ตโปธาราม 8. ชีวกัมพวัน 9. มัททกุจฉิมิคทายวัน 10. เวฬุวันสถานที่ให้เหยื่อกระแต

ในช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์ประมาณ 12 พรรษานั้น นอกจากจะประทับที่เวฬุวนารามแล้ว ได้เสด็จมาประทับเป็นประจำที่ยอดเขาคิชฌกูฏนี้ คิชฌกูฏแปลว่ายอดเขานกแร้ง ที่มีชื่อเรียกอย่างนั้นเพราะในอดีตกาล เคยมีฝูงนกแร้งมาอาศัยอยู่ หรือภูเขาลูกนี้มียอดเขาคล้ายนาแร้ง ยอดเขานี้ไม่สูงเท่าไรนัก เตี้ยมากกว่าภูเขาอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบด้าน จึงมีลมพัดเย็นสบาย วันนี้มาชมเขาคิชฌกูฏกันนะครับ

ภาพเขาคิชฌกูฏ ยอดเขาคือมูลคันธกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้า


พระเจ้าพิมพิสารโปรดให้สร้างทางเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏ จึงเรียกกันว่าถนนพระเจ้าพิมพิสาร ถนนนี้กว้างประมาณ 4 เมตร ยาวประมาณ 1-2 กิโลเมตร เทด้วยซีเมนต์เป็นทางลาดขึ้นเขา มีความชันประมาณ 30 องศา เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสด็จมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าส่วนมากมักจะเสด็จมาในตอนดึก ซึ่งเสร็จสิ้นภาระกิจบ้านเมืองแล้ว กองทัพม้าที่นำเสด็จต้องจุดคบเพลิงกันมาสว่างไสว เมื่อใกล้จะถึงทางขึ้นส่วนบนยอดเขาอันเป็นที่พำนักของเหล่าพระภิกษุสงฆ์แล้ว พระองค์จึงเสด็จประทับบนเสลี่ยงให้คนหามขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดเสียงอึกทึกเกินไปนัก ส่วนกองทัพนั้นพักอยู่ระหว่างทางที่พักไม่ต้องตามเสด็จ จนเมื่อใกล้จะถึงที่ประทับของพระพุทธเจ้าแล้ว พระเจ้าพิมพิสารจึงได้เปลี่ยนเครื่องทรงให้เหมาะ แล้วเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเปล่าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ยอดเขาคิชฌกูฏนั้น พระเจ้าพิมพิสารเสด็จขึ้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อสนทนาปัญหาเป็นประจำครับ

ตอนนี้จะนั่งเกี้ยวไป-กลับก็ได้ ค่าจ้าง 660 รูปีครับ


ระหว่างทางที่จะขึ้นไป ถึงยอดเขาคิชฌกูฏนั้น มีทางโค้งอยู่ช่วงหนึ่งและในบริเวณนั้น มีหมู่ก้อนหินใหญ่น้อยมากมาย บริเวณนั้นพระเทวทัตได้ดักทำร้ายพระพุทธเจ้า โดยการกลิ้งก้อนหินใหญ่ลงมา หมายจะให้ทับพระพุทธเจ้า ให้สิ้นชีพตักษัยขณะที่กำลังเสด็จพระราชดำเนินลงไปโปรดสัตว์ แต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์! ที่ก้อนหินใหญ่นั้น ได้แตกออกเป็นก้อนเล็ก ก้อนน้อย จนหมดสิ้น เมื่อมันได้กลิ้งมาถึงพระพุทธเจ้า แต่ขณะนั้นก็ยังมีสะเก็ดหินชิ้นเล็กๆ อันหนึ่งพุ่งเข้ามาต้องข้อพระบาท จนทำให้ข้อพระบาทห้อพระโลหิต นี่เองที่ทำให้พระเทวทัตได้กระทำอนันตริยกรรมครับ



ถ้ำสุกรขาตา เป็นถ้ำๆหนึ่งอยู่ทางด้านขวามือของบันไดทางขึ้นก่อนที่จะขึ้นไปสู่ยอดเขาคิชฌกูฏ พระสารีบุตร เอตทัคคะในทางผู้มีปัญญาได้บรรลุพระอรหัตตผลในถ้ำนี้ หลังจากบวชได้ 15 วัน ในวันที่ 15 นั่นเอง ในขณะที่ท่านนั่งอยู่ถวายงานพัด ณ เบื้องหลังพระปฤษฎางค์แห่งพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาที่มีชื่อว่า "เวทนาปริคคหสูตร" ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ทีฆนขะปริพพาชกผู้เป็นหลายชาย ณ ถ้ำสุกรขาตาบนเขาคิชฌกูฏ ท่านดำริในในใจว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ละการยึดมั่นถือมัน ในธรรมทุกๆ อย่างด้วยปัญญาอันรู้ยิ่ง เมื่อท่านพิจารณาอยู่อย่างนั้น ด้วยความไม่ยึดมั่นจิตของท่านก็พลันหลุดพ้นจากความเศร้าหมองทุกประการ คือสำเร็จแห่งความเป็นพระอรหันต์ซึ่งตรงกับเวลาเที่ยงวันพอดี ปัจจุบันถ้ำนี้เหลือให้เห็นเป็นแค่โพรงหิน ลึกไม่กี่เมตรเท่านั้นครับ



มูลคันธกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตั้งอยู่ตรงผาชันด้านทิศตะวันตกของยอดเขา มีลมพัดเย็นสบายที่สุด มีแดดอ่อนๆ พื้นเป็นที่ราบเสมอกันเป็นหินภูเขาแข็งแกร่ง มีอาณาบริเวณกว้าง ประมาณ 150 ตารางเมตร และมีแนวอิฐก่อให้เห็นมูลคันธกุฎีที่ประทับ และมีทางสำหรับให้เดินเวียนเทียนรอบได้อย่างสบาย ดังที่ตรัสว่าเป็นสถานที่น่าอยู่และน่ารื่นรมย์ใจแห่งหนึ่งครับ


..........................................


ไม่ไกลจากเขาคิชฌกูฏนัก นักโบราณคดีได้พบกำแพงหินหนาโพล่พ้นดินขึ้นมาบางส่วน ล้อมรอบลานกว้างแห่งหนึ่ง หลังจากขุดสำรวจก็ได้พบเครื่องจองจำนักโทษ และเมื่อนำมาประกอบกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ทำให้เชื่อกันว่าที่นี่คือคุกที่ขังพรเจ้าพิมพิสาร โดยพระเจ้าอชาติศัตรูซึ่งเป็นพระราชโอรสได้ชิงราชสมบัติและจับพระเจ้าพิมพิสารจองจำไว้จนสิ้นพระชนม์ครับ

พระเจ้าพิมพิสารทรงยึดมั่นต่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก แม้ในบั้นปลายของพระชนมชีพ ขณะที่ถูกจองจำก็ทรงปฏิบัติสมาธิอย่างสม่ำเสมอด้วยพระทัยที่เข้มแข็ง กล่าวกันว่า อาจเป็นเพราะพระองค์สามารถทอดพระเนตรเห็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าบนเขาคิชฌกูฏจากบริเวณคุกตลอดเวลา

ภาพประกอบได้รับอนุญาตจากคุณ scuba734 ข้อมูลเรียบเรียงมาจาก พระเทพโพธิวิเทศ (ทองยอด ภูริปาโล ป.ธ.๙, Ph.D.) ;
อินเดียน้อย;หนังสือตามรอยพระพุทธเจ้า ขออนุโมทนามา ณ โอกาสนี้ครับ


..........................................


ปกติแล้ว เราจะไปอินเดียกันช่วงธันวาคมถึงกุมภาพันธ์หรือมีนาคมเป็นหลัก เพราะอากาศจะไม่ร้อน เพื่อนที่พาไป (เจ้าของทัวร์มาเอง) ไปครั้งนี้เป็นครั้งที่ 9 แต่เป็นครั้งแรกที่ไปเดือนกรกฏาคม เพื่อนบอกเลยว่า ทริปนี้เป็นทริป ที่ดีที่สุด และปีหน้าเราก็จะไปกันเดือนนี้อีก (ถ้าไม่ตายไปก่อน)

หลายเหตุผลมากค่ะ อันแรกเลยคือเป็นโอกาสที่เราจะได้ทำบุญในช่วงที่วัดกำลังจะเริ่มขาดแคลน จากการที่เราไปพร้อม ๆ กันทำให้ช่วงต้นปี ทางวัดจะมีอาหารแห้งมากมาย ซึ่งก็จะใช้ไปเรื่อย ๆ เพราะช่วงหน้าร้อนไม่มีใครไปแน่นอน แต่บางวัด บางปี ของที่คนทำบุญไว้ก็อาจจะหมดก่อนถึงเดือนธันวาคม เพราะฉะนั้นช่วงนี้เป็นช่วงที่ได้นำอาหารแห้งไปถวายพระ ในเวลาที่เหมาะสม

ประการที่สองคือรถไม่ติดหรือว่าติดน้อยมาก ๆ ค่ะ เพราะคนไปสังเวชณียสถานน้อยมาก แทบทุกแห่งจะมีแต่รถเรารถเดียว บางแห่งเจอกับกลุ่มชาวพม่า เรานั่งทำวัตรสวดมนต์ได้อย่างสบายใจ หรือนั่งสมาธิก็ไม่รู้สึกว่ามีคนที่จะเข้ามาใช้ที่ต่อจากเราและเขารออยู่ รถจอดได้ติดประตุหรือทางเข้าเลย

ประการที่สาม เมื่อนักแสวงบุญไปน้อย เราก็เลือกรถดี ๆ ได้ไม่ต้องแย่งกัน โรงแรมก็ว่าง ไม่ต้องเกรง (อย่างที่เพื่อนเจอมา) ว่า ถึงจ่ายเงินไปแล้ว แต่ไปถึงโรงแรม กลับถูกย้ายไปพักโรงแรมอื่น ซึ่งมีดาวน้อยกว่าที่เราจองและจ่ายเงิน บางโรงแรมมีกลุ่มเรา (ใหญ่สุด) กับลูกค้าอื่น ๆ อีกไม่เกิน 5 คน local guide ก็ได้คนดี เพราะบรษัทไม่ต้องจัดสรรไปให้กลุ่มอื่น

ประการที่สี่ ฝุ่นน้อยมากค่ะ ไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุการปกติ หรือเป็นเหตุบังเอิญ แต่ช่วงที่เราอยู่ฝนตกทุกวัน แต่ไม่นาน ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ช่วยล้างฝุ่นไปได้แยะ และทำให้อากาศไม่ร้อนอย่างที่ได้ยินมา คือร้อนนะร้อน แต่ไม่ถึงว่าร้อนจนปวดศีรษะ

ข้อเสียก็มีค่ะ คือระหว่างการเดินทางจะค่อนข้างเปลี่ยว เพราะมีรถเราอยู่รถเดียว ข้อควรระวังคือไม่ควรเดินทางกลางคืน กับอีกอย่างคือช่วงนี้เป็นช่วงที่พวกสาธุออกเดินทาง ร้านอาหารที่เพื่อนบอกว่าอร่อยและเคยแวะ ไปถึงพ่อครัวทั้งมือหนึ่ง มือสองไปเป็นสาธุหมดค่ะ

จากคุณ : scuba734 - [ 23 พ.ย. 49 18:47:15 ]


..........................................


พวกสาธุเป็นพระฮินดูครับคุณดี. ซี. นุ่งห่มผ้าสีเหลืองคล้ายกับพระสงฆ์ของพุทธศาสนา มีสำนักนักบวชฮินดูคล้ายแบบคณะสงฆ์ในพุทธศาสนา

ในหนังสือบอกว่า พวกฮินดูได้ถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นปางหนึ่งของนารายณ์อวตาร ดังปรากฏในคัมภีร์มัตสยาปุราณะในพุทธศตวรรษที่ 11 ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ชาวฮินดูมาฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า และยุยงชาวพุทธให้เลิกนับถือพระพุทธองค์ ในคัมภีร์กล่าวไว้ว่า เมื่อเข้าสู่กลียุคพระวิษณุได้อวตารมาเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อสอน "อธรรม" แก่เหล่าอสูร เป็นการชักนำพาศัตรูของเทพยดาให้หลงผิดและออกไปจากศาสนาฮินดู เหตุนี้ถ้าใครหันมานับถือศาสนาพุทธก็จะถูกมองว่าเป็นพวกอสูรหรือศัตรูของเทพเจ้า

อาจารย์เสถียร โพธินันทะ มีความเห็นว่าเป็นการกลืนพุทธอย่างสุขุม โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร ผู้นับถือพุทธก็คือผู้นับถือฮินดูนั่นเอง ส่วนผู้ที่นับถือฮินดูอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ ทำให้ฮินดูมีมากขึ้น ในขณะที่พุทธมีน้อยลงครับ





Create Date : 22 สิงหาคม 2551
Last Update : 26 สิงหาคม 2551 8:35:49 น. 1 comments
Counter : 950 Pageviews.

 
นึกว่าเขาคิชฌกูฏที่จันทบุรีซะอีกครับ

ขอบคุณที่นำเรื่องดีๆ มาเล่าให้ฟัง ส่วนเรื่องพระพุทธศาสนาในอินเดีย ก็ถือซะว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลกครับ อะไรมันก็ไม่ยั่งยืนซึ่งพุทธองค์ก็เคยบอก จนชาวพุทธเรามีความเชื่อว่าศาสนาของเราจะสิ้นไปใน 5,000 ปี เรายังถือว่าโชคดีที่ได้นับถือศาสนาที่เรียกว่า ประชาธิปไตย โดยแท้ครับ


โดย: jj (junesany ) วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:12:05:03 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ebusiness
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







พระพุทธเจ้าทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ สิ่งนั้นคือพระธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงาม สู่ความเจริญสูงสุดของชีวิต ในฐานะชาวพุทธ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งที่ดีเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตเราแต่ละคน
Friends' blogs
[Add ebusiness's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.