ขอโม้ ขอเม้า ขอฝอยเรื่อง เซ็กส์ เพศวิถี สังคม การเมือง วัฒนธรรม การศึกษา วิวาทะ ว่าด้วยเรื่องมโนสาเร่
 
 

Sex and the city: การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์เยาวชนในบริบทแห่งนคราภิวัฒน์


ชลเทพ ปั้นบุญชู (ยุวโฆษก) นักวิชาการอิสระด้านสังคม


วันนนั้นผมโชคดีได้มีโอกาสไปร่วมรับฟังการประชุมทางวิชาการโดยเสนอผลรายงานการวิจัย ของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ปี2550 จากทีมคณะอาจารย์และนักวิจัย ที่ร่วมอธิบายปรากฏการณ์ความเป็นเมือง ในหัวข้อ นคราภิวัฒน์ และวิถีชีวิตเมือง ถึงแม้ว่างานวิจัยดังกล่าวจะเป็นการรายงานเชิงประชากร ซึ่งเป็นระเบียบวิธีวิจัยที่ผมเองไม่ค่อยถนัด และที่มานั่งพูดกันก็ล้วนแล้วแตาเป็นนักสังคมวิทยาและนักประชากรศาสตร์ แต่ผมนักมานุษยวิทยาชายขอบก็ได้มีโอกาสรับฟังเผือไปต่อยอดงานวิจัยของตนเอง ในmethodology ที่ผมถนัด คือethonography และ participant observation เท่าที่ร่วมฟังเห็นจะมีผลงานเรื่องเด็กขายพวงมาลัยที่ค่อนข้างจะใช้แนวคิดทางมานุษยวิทยาเท่านั้น อย่างไรก็ดีหัวข้อที่ผมสนใจเป็นพิเศษก็คือ เซ็กส์แอนเดอะวิตี้ อันเป็นผลงานของ ศ.ดร.อภิชาติและคณะวิจัย(อ้างในนคราภิวัฒน์ และวิถีชีวิตเมือง หน้า 94-107) ผมได้พบสถิติที่น่าสนใจตัวหนึ่งคือเยวชนที่มีที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วในกลุ่มตัวอย่างเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เขตเมือง และเขตชนบท โดยแบ่งกลุ่มตามช่วงอายุและเพศและที่อยู่อาศัย พบว่า เยาวชนที่มีอายุระหว่าง18-24ปี ชายมีเศสัมพันธ์แล้ว77% 75% 69%โดยประมาณจากกราฟ พระเจ้าครับ อะไรกันนี่ เด็กวันรุ่นชายในกทม ส่วนใหญ่ไม่vergin ครับ เรียกว่าโสดโดยสถานภาพแต่ไม่โสดโดยพฤตินัย ถึงแม้ว่าคำนำหน้าว่า นายจะไม่สามารถบ่งบอกความโสดของชายไทยก็ตาม ส่วยผู้หญิง(โสดนะครับใช้นส.ด้วย)มีค่าทางสถิติอยู่ที่40% 30% 20%ตามลำดับ ถึงแม้จะห่างกันหน่อยแต่ก็ฉุกให้คิดได้หลายแง่มุม ส่วนค่าเฉลี่ยของของอายุของวัยรุ่นที่เคยมีเพศสัมพัยธ์ครั้งแรกในกรุงเทพ ชายอยู่ที่15.5ปี ผู้หญิงอยู่ที่16.5 ปีเรียกได้ว่าเสพสังวาสกันตั้งแต่ยังอายุยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย เรียกได้ว่าทำบัตรประชาชนปุ๊บ ก็เสียตัวปั๊ปทันที ที่สำคัญเป็นช่วงที่อยู่ในวัยเรียนกันเป็นส่วนมาก และผลการวิจัยยังพบว่า คนที่อยู่กินหรือเป็นคู่แต่งงานโดยมิได้จดทะเบียนมีเป็นจำนวนมาก และยังพบอีกว่าผู้ชายและหญิงในสังคมเมืองที่แต่งงานกันในกลุ่มอายุ18-24ปี มีกิจกรรมทางเพศสูงกว่า(จำนวนครั้งมากกว่า)ในเขตเมืองและชนบท จากค่าทางสถิติในแง่ของจำนวน
โอ้โฮกวาดเรียบในแง่ของจำนวนและความถี่ น่าทึ่งจริงๆ


ค่าสถิติดังกล่าวทำให้ผมสงสัยว่า ทำไมเยาวชนในเขตกรุงเทพ จึงเข้าไปสู่เพศสัมพันธ์ได้มากกว่าในเขตเมืองและเขตชนบท จนในที่สุดก็ได้พบคำตอบบางอย่างซึ่งอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด นั่นก็คือเยาวชนใช่เวลา1ใน 3 กับเทคโนโลยี และมีโอกาสใช้คอมพิวเตอร์ถึง50% กลุ่มเยาวชนที่อายุ15-24 ใช้อินเตอร์เนทสูงสุดในประเทศและยังมีฐานข้อมูลจากคณะกรรมการการอุดมศึกษาศึกษาพฤติกรรมของนักศึกษาในเขตกรุงเทพมหานครที่เข้าไปดู เวปโป๊ ลามก พบว่ามีอยู่ถึง 32% ทั้งโหลดเข้ามือถือ ดูผ่านคลิป อื่นๆ โดยมีการจัดบริการแพจเกจไว้บริการลูกค้าที่ร้านinternet cafe ให้กับเยาวชนที่พร้อมจะจ่ายเงินแลกกับภาพตระการตาตระการใจเหล่านี้ ซึ่งช่องทางมันง่ายมากเลยถ้าเราอยากจะดูภาพโป๊ซักภาพ แต่นี่เป็นเพียงข้อมูลหนึ่งที่ผมได้นำเสนอ หากมองในสังคมเชิงปรากฏการณ์แล้ว โดยศึกษาข้ามเขตวัฒนธรรมอื่นเพื่อเปรียบเทียบก็จะเห็นปรากฏการณ์เหล่านี้คล้ายๆกัน มันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางวัฒนธรรมด้วยครับ สังคมไทยเป็นสังคมแห่งเสรีภาพและการเปิดรับครับ การไหลเวียนทางวัฒนธรรม จึงมาพร้อมกับกระแส โลกาภิวัฒน์Globolization และวิถีแห่งสังคมเมืองแห่งทุนนิยม การปรับเปลี่ยนไลฟ์ไสตน์ จึงเคลื่อนย้ายจากมหานครที่หนึ่งสู่มหานครที่ใหม่ เช่นการเสพเทคโนโลยี มีวิถีชีวิตปัจเจก(ตัวเราใหญ่กว่าสังคมกำหนด) แต่นัยยะแล้วก็ยังตกอยู่ในวังวนของรสนิยมแบบตะวันตกอยู่ดี คือพอใจที่จะมีความสุขแบบโลดโผน และมีเสรีภาพในชีวิตค่อนข้างสูง ผมคิดว่ากรณีอย่างนี้กระทรวงวัฒนธรรมคงจะเอาไม่อยู่หรอกครับ เพราะมันกลายไปเป็นไลฟ์ไสตน์ใหม่ของความเป็นเมืองเรียบร้อยแล้ว เพราะสังคมเมืองได้สลายความเป็นครอบครัวขยายมาสู่ครอบครัวเดี่ยวและปัจเจก นี่คือผลที่ตามมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมในรอบร้อยปีที่ผ่านมา ที่สำคัญการรวมศูนย์แบบเอกนครที่เอาความเจริญทุกอย่างมาเป็นแหล่งรวมจนเกิดการไหลเวียนจากประชากรในเขตชนบทเข้าสู่เมืองหลวง รวมทั้งสถาบันการศึกษาแบบผูกขาดไว้ในเมืองใหญ่และกรุงเทพมหานคร ทำให้หลายคนจากมาตุภูมิมาหาความอภิวัฒน์ จากถิ่นฐานสู่เมืองหลวง ความใกล้ชิดระหว่างสถาบันครอบครัวจึงลดลง และผลักให้ไกลออกจากอ้อมอกพ่อแม่และครอบครัว นักศึกษาจำนวนมากในกรุงเทพมหานครก็ล้วนมาจากต่างจังหวัด แดนไกล มาหาความรู้และความสิวิไลซ์ไปในตัว จนมีการปรับตัวแห่งวัฒนธรรมเมือง ผมลองคิดในแง่ของ cultural cretical แล้วมันยิ่งมีอะไรน่าสนใจกว่าสถิติเหล่านี้ กล่าวคือ มีวัฒนธรรมการล่าแต้ม อย่างที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งชายหรือหญิงอาจตกเป็นเหยื่อของกันและกันได้ ซึ่งเกิดขึ้นในสังคมเมืองแทบทั้งสิ้น หากลองชาวบ้านคนไหนมาล่าแต้มผมคิดว่าคงจะถูกวิถีประชาจนถึงจารีตเล่นงานแน่ๆ เพราะการมีเพศสัมพันธ์ของคนต่างจังหวัดมันมีบริบทต่างกัน ในอดีตการสืบวงศ์วานมันหมายถึงการขยายกิจการ ทรัพยากร และแรงงาน ที่สำคัญมันยังมีค่ามากกว่าคำว่า สนุกสนาน เพราะมันหมายถึงการเชื่อมความสัมพันธ์ของครอบครัวและเครือญาติ แต่ปัจจุบัน กิจกรรมเพศสัมพันธ์มุ่งไปในทางแสวงหา "ความสนุก" และกำลังจะทำให้กลายเป็นเกมส์กีฬาของคนบางกลุ่มไป คล้ายๆกับการออกไปล่าสัตว์อย่างนั้นเลย โดยสังคมเมืองเป็นผู้แสวงหาอันมีตรรกทางเศรฐศาสตร์ที่ว่า "พึงพอใจสูงสุด" ของบุคคลในการเสพเซ็ก ในมิติของอรรถประโยชน์ ที่จะได้รับ ทั้งในแง่ความสนุก ความตื่นเต้น ประสบการณ์พิเศษ และชีวิตที่หวือหวา มากกว่าการสืบพันธ์และวงศ์วานกันในอดีต นี่คือวัฒนธรรมใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคมเมือง วัฒนธรรมแบบปัจเจกนิยม และความหลงไหลกับวัตถุจนลืมมองถึงคุณค่าด้านจิตใจ เซ็กที่เกิดขึ้นมันจึงต้องควบคู่กับแรงขับและสิ่งเร้า ซึ่งอันนี้ต้องยอมรับว่าสังคมเมืองมีสิ่งเร้าให้ดูมากกว่า และเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็วกว่า จึงเป็นช่องทางในการแสวงหา เพือ่ให้เกิดความพึงพอใจขั้นสูงสุด ผมยังไม่ได้ศึกษาเซ็กกับความเป็นเมืองในเชิงคุณภาพ แต่สังคมเมืองและสังคมชนบท มันมีคอนเชปในสายวิวัฒนาการที่ว่าที่พอจะวิเคราะห์ได้ว่า สังคมเมืองย่อมมีวัฒนธรรมที่ซับซ้อนกว่าสังคมชนบท รวมไปถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในสังคมด้วย สิ่งที่กล่าวมาจะรวมไปถึง จารีต ค่านิยม บรรทัดฐาน อันนี้ผมจะอธิบายว่าสังคมเมืองมีเปลี่ยนแปลงทางสังคมค่อนข้างรวดเร็วและหลากหลายกว่าชุมชนชนบท จึงต้องมีการปรับวัฒนธรรมให้ใหม่ขึ้นเพื่อรองรับ จึงเกิดวัฒนธรรมแบบไปเร็วมาเร็วได้เสมอ ค่อยๆเปลี่ยนหน้าตาไปตามเวลา เสมอ ผมจึงพอที่จะอธิบายว่าสังคมยิ่งเป็นเมืองมากเท่าไร รูปแบบของเซ็ก จะมีความซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น ทั้งในแง่ของกิจกรรม วิธีการ เพื่อตอบสนองรสนิยมแบบปัจเจกชนมากขึ้น และประดิษฐ์รูปแบบได้หลากหลายกว่าที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้



สิ่งที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงทางค่านิยม สังคมวัฒนธรรมไทย เหล่านี้คงจะยืนยันแนวคิดของ ซิกมันส์ ฟรอยได้ว่า มนุษย์มีโลกทัศน์เรื่องเพศอยู่ในโครงสร้างทางความคิด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบคือ สังคมเปิดและสังคมปิด มีการแสดงออกเรื่องเพศที่แตกต่างกันไป ทำให้วิธีการแสดงออกจึงต่างกัน อันนี้เราต้องไปดูโลกมุสลิมในแถบตะวันออกกลาง กับสังคมเสรีประชาธิปไตย มีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล เพศสัมพันธ์ในปริบทสังคมไทยจึงมิได้ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างชายหญิงแล้ว และแสดงบทบาทหน้าที่ของตน แต่มันหมายถึง การแสดงหาความสำราญในรุปแบบใหม่ หรือการนันทการเพือ่ผ่อนคลายนั่นเอง โดยมิได้มมีนัยของการผูกมัดแต่อย่างใด ผมเกิดมาในยุคปัจจุบันก็เลยได้เห็นค่านิยม "เซ็กส์" กลายเป็นวีถีที่ราบเรียบในวัฒนธรรมใหม่ในกลุ่มวัยรุ่นไปโดยปริยาย

ขอขอบพระคุณข้อมูลและ สามารถอ่านรายละเอียดของค่าสถิติที่อ้างอิงได้ที่ หนังสือ นคราภิวัฒน์และวิถีชีวิตเมือง กับสุขภาพคนไทย2550 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล




 

Create Date : 09 สิงหาคม 2550   
Last Update : 9 สิงหาคม 2550 15:24:33 น.   
Counter : 318 Pageviews.  


ภาษาแอ๊บแบ๊ว วิกฤติการณ์ทางวัฒนธรรม หรือวิวัฒน์ทางภาษา?

ชลเทพ ปั้นบุญชู นักวิชาการอิสระด้านสังคม (ยุวโฆษก)


วันนี้ขอมาพาทีวิวาทะว่าด้วย ภาษาแอ๊บแบ๊ว กันหน่อยครับ ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าภูมิรู้อย่างผม เป็นก็แค่นักสังคมวิทยาปลายแถวที่มีแค่ใบปริญญาตรีธรรมดาใบหนึ่งมาคุ้มหัว ความรู้แบบจำอวดอย่างผมจึงมิอาจเทียบได้กับนักภาษาศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ได้เลย แต่อยากขอเสนอแนวคิดใหม่ๆ ไม่ทราบว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านย่า ท่านยาย ผู้เป็นครูของผมได้หรือเปล่าหนอ อันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง เห็นช่วงนี้เห็นวัยรุ่น หรือ ในmv หรือใน รายการโทรทัศน์หลายช่องพูดกันจริง ไอ้คำว่า ซิปะ จิงอะ แอ๊บแบ๊ว หรอ ไม่รู้ซิ หุหุ ผมเองก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรเหมือนกับอาจารย์ผู้ใหญ่หลายคนออกมาเป็นห่วง กลัวว่านักเรียนไทยจะพุดภาษาไทยกันผิดเพี้ยน เพราะทุกวันนนี้ก้ผิดเพี้ยนกันอยู่แล้ว แต่ผมกลับมองว่าภาษามีการวิวัฒนืไปตามบริบททางสังคม และเป็นไปตามความนิยมของยุคสมัย ท่านลองดูภาษากฏหมายซิครับ มันไม่ใช่ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จะบอกว่ามันเป็นภาษาโบราณที่เคยใช้ และไม่สอดคล้องกับการพุดในยุคปัจจุบัน อาทิ เช่น หามีความผิดไม่ (มันก็หมายถึงไม่มีความผิดนั่นเอง) แต่ผมไม่เคยเห็นใครมาพุดในยุคนี้เลย แต่ถ้าเราดูหนังย้อนยุคก็จะเห็นคำเรานี้ กึ่งหนึ่ง(ครึ่งหนึ่ง) สังวาส (มีเพศสัมพันธ์) อื่นๆอีกต่อมิอะไร แต่ถ้าเราดูในวรรณกรรมยุคก่อนๆเราจะเห็นคำเหล่านี้ปรากฏอยู่ ดังนั้นเราจึงบอกได้ว่าภาษาไทยมีความเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาเสมอ ไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับความนิยม และบริบททางสังคม อันจะนำมาซึ่งการยอมรับให้เป็นคำที่นิยมใช้ต่อมานั่นเอง ภาษาก็คือวัฒนธรรมมีความนิยมก็ต้องมีความเสื่อมและปรับปรุงขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ปัจจุบัน ภาษาจึงจ้องถูกปรุงแต่เพื่อการใช้งาน แต่ตอนนี้ผมกำลังภาษา แอ๊บแบ๊ว เหล่านี้ว่ามันคือวัฒนธรรมย่อย (sub culture)ที่มีกลุ่มหนึ่งใช้สื่อสารกันและเป็นภาษาเฉพาะกลุ่ม ที่มีการเปลี่ยนผ่านอัตลักษณ์ รวมถึงการประดิษฐ์คำพูดให้เข้ากับอัตลักษณ์ของตน ผมชื่นชมในวีธีการลดรูปคำ และการผสมคำ รวมถึงสร้างเสียงใหม่ เพื่อให้เกิดลักษณะเฉพาะตัว อันนี้คือภูมิปัญญาเด็กไทยนั่นเอง หาที่ไหนไม่ได้ในโลก ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร เช่น แอ๊บ มาจากการยืมคำ abnormal แต่ลดรูปเหลือ ab ซึ่งหมายถึงผิดปรกติ ตอนแรกผมนึกว่ามาจากคำว่าแอบเสียอีก ผมยังทึ่งเลยว่าสามารถผสมคำไทยกับภาษาต่างประเทศได้อย่างคาดไม่ถึง กับคำว่า บ้องแบ๊ว หมายถึงน่ารัก สดใส ไร้เดียงสา แต่แปลกครับ มีคนบางคนไปแปลว่าดัดจริต แต่ก็ถูกครับเพราะมันคือการดัดพฤติกรรม ของคน แต่ไม่เห็นมีใครใช้ว่าดัดจริตเลย เพราะความเข้าใจในคำว่าดัดจริตของคนไทยมันร้ายแรงและมีความเข้าข้นของพฤติกรรมอยู่ไม่น้อย มีคนเสนอว่าคำนี้มันดูรุนแรงมากจนต้องเปลี่ยนมาเป็นแอ๊บแบ๊ว เพื่อลดกริยาที่รุนแรงลงให้ดูน่ารัก นี่แหละครับเยาวชนไทยผู้สามารถเข้าใจวิธีลดอำนาจของคำลงใและสร้างขึ้นใหม่ แต่ยังคงมีความหมายไม่ต่างกัน หรือการลดพยัญชนะ สระ เพื่อลดเสียงลงจนเป็นชิปะ จากใช่หรือเปล่า หรือ จิงปะ จากจริงหรือเปล่า หรอ ซึ่งสามารถใช้สือสารกันรู้เรื่องภายในกลุ่ม จนคนนอกอย่างผมเองหรือ ผู้ใหญ่หลายคนงงไปตามๆกัน เพราะนี่คือการสร้างโลกทัศน์ของเด็กๆ และวัฒนธรรมของเด็กๆ ซึ่งยากที่ผู้ใหญ่จะเข้าใจ มันจึงเกิดความขัดแย้งขึ้นว่า ผู้ใหญ่ใช้บรรทัดฐานของวัฒนธรรมหลัก(ที่ตัวท่านขีดขึ้นและบอกว่าดี) มาจำกัดกรอบว่าวัฒนธรรมของพวกเด็กๆนั้นเลวทราม ต่ำช้า เกินกว่าที่จะให้เป็นภาษาไทย ทั้งๆที่ภาษาเหล่านี้เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาอันล้ำเลิศของเด็กๆที่จะประดิษฐ์ขึ้นไว้ติดต่อสื่อสารกัน หากจะมองให้ลึกภาษาเหล่านี้ยังบ่งบอกถึงโลกทัศน์ของเด็กๆได้ดีทีเดียวว่าเขาชอบอะไรนิยมอะไร เพราะการลงด้วยคำสั้นมันคล้ายกับสำเนียงญี่ปุ่น เกาหลี เช่นจัง คุง เนะ เสียงมักจะสั้น กว่าภาษาไทย แสดงว่าการประดิษฐ์คำพุดและการประกอบสร้างอัตลักษณ์ จึงมิทิศทางไปในสังคมวัฒนธรรม เกาหลีลิซึมและ ญี่ปุ่นลิซึม นั่นเอง โดยชูความน่ารักสดใสกว่าวัย ความเป็นเด็ก อย่างเช่นที่ภาพยนต์ หรือละครซี่รี่ส์ ทั้งสองประเทศนี้นำมาให้เราชม และเด็กเราก็ชอบและซึมซับกับความเป็นอัตลักษณ์จนก่อเกิดการสร้างภาษาที่มีการใช้เสียงสั้นแบบเดียวกับชาติดังกล่าว รวมไปถึงบุคลิกภาพ และตัวตนในละครนั่นเอง อย่าว่าแต่เด็กนิยมเลยครับ ดาราไทยหลายคนก็นิยมทำเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าปรากฏการณ์โหยหาความอ่อนเยาว์ น่ารัก สดใส ไร้เดียงสา ถึงแม้จะขัดตาใครหลายคนก็ตาม ผมไม่ได้ซีเรียสเช่นเดียวกับที่อาจารย์ศ.คุณหญิงไขศรีท่านเป็นห่วง เพราะท่านมองในมุมผู้ใหญ่ มองในความเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมที่ต้องจรรโลงความเป็นไทยที่ดีและถูกต้องตามขนมประเพณีจารีตให้มากที่สุด แต่ผมจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่าวัฒนธรรมแบบทวิลักษณ์ คือมีสองด้าน ด้านที่ต้องพูดจาให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทยอันมีระบอบจารีตประเพณี ที่ดีงามตามแบบอย่างที่ผู้หลักผู้ใหญ่บอก ผมคิดว่าอันนี้ต้องทำให้ถูกต้อง ต้องให้น้องๆไปเรียนภาษากับการสื่อสารในระดับมหาวิทยาลัยดูจะรู้ ผมเองก็ปัญญาต่ำต้อยเลยได้แค่c+ ในสมัยเรียนในระดับปริญญาตรีเลยไม่สามารถอวดอ้างอะไร แต่ก็พอเข้าใจว่าการสอนของภาษาเพื่อการสื่สารที่ผมเคยเรียนนั้นคือวิธีการอ่านอักขระต้องชัดเจน การเขียนต้องถูกต้อง ไม่ใช่ เขา อ่านเป็นเค้า อย่างที่ละครไทยหรือภาษาเพลงเป็นอยู่ ฉันไม่ใช่ชั้น(ลำดับช่วงซึ่งคนละเรื่องกับสรรพนามแทนตัวเอง) หรือการออกเสียงควบกล้ำ ร ล ว ให้ชัดเจนตามระเบียบแบบแผนประเพณีที่ดีงามได้สร้างไว้ เพราะน้องๆต้องเข้าใจว่านี่คือภาษามาตราฐานของราชการ ซึ่งมันจะมีขนบธรรมเนียมให้เราปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ใครฝ่าฝืนอาจถุกวิถีประชาเล่นงาน หรือมิได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ดีมีวัฒนธรรม และพูดภาษา แอ๊บแบ๊ว ในกลุ่มเฉพาะของตน เช่นกลุ่มเพื่อน กลุ่มวัฒนธรรมย่อยที่ตนดำรงความเป็นสมาชิกอยู่ แต่อย่างไรถ้าจะให้เกิดความสมานฉันท์ทั้งสองฝ่าย คือเราต้องพุดภาษาไทยให้ถูกต้องในการติดต่อสื่อสารอย่างเป็นทางการหรือในระดับสาธารณะ กับบุคคลอื่น และใช้ภาษาแอ๊บแบ๊ว ให้ถูกต้องกับกาละเทศะ พูดง่ายๆก็คือทำให้ดีทั้งสองอย่างในบรรทัดฐานที่แตกต่างกัน ก็จะไม่มีใครว่าเราได้ว่าเราไม่รู้จักกาละเทศะ หรือมั่วนิ่ม เพระาเราคือผู้รู้สองภาษานั่นเอง

หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ เพราะด้วยความอ่อนด้อยทางปัญญาและยอมรับความผิดพลาดทุกประการซึ่งจะนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป




 

Create Date : 09 สิงหาคม 2550   
Last Update : 9 สิงหาคม 2550 15:17:38 น.   
Counter : 365 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  

ส่องสร้างสังคม
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอโม้ ขอเม้าท์ ขอฝอย เรื่อง เซ็กส์ เพศวิถี การเมือง การศึกษา สังคม วัฒนธรรม วิวาทะภาคนโนสาเร่
[Add ส่องสร้างสังคม's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com