Group Blog
 
All Blogs
 
แด่พ่อแม่ด้วยไม้หน้าสาม กว่าจะเป็นสะกดจิตบำบัดโรค

แด่พ่อแม่ด้วยไม้หน้าสาม กว่าจะเป็นสะกดจิตบำบัดโรค
เมื่อสองเดือนก่อนผมแจ้งไปที่คุณแหม่ม บ.ก.หนังสือของสำนักพิมพ์อนิศ ที่กรุณาพิมพ์ "สะกดจิตระลึกชาติ" ให้แก่ผม และขายดิบขายดี นอกจากขายดีแล้วยังทำให้มีลูกค้ามาสะกดจิตเดือนละสองร้อยกว่าคน

แจ้งไปว่ามีพล็อตหนังสือใหม่ ตั้งชื่อให้เก๋ไก๋ว่า "แด่พ่อแม่ด้วยไม้หน้าสาม" เพราะมีไอเดียอยากจะเผยแพร่เป็นอุทาหรณ์ให้แก่พ่อแม่ทั้งหลาย ที่รังแกลูกโดยไม่รู้ตัวบ้าง ด้วยอารมณ์บ้าง หรือตั้งใจบ้าง มีเยอะมากในสังคมทุกวันนี้
คนที่มาสะกดจิต บางคนอายุตั้ง 60 กว่าแล้ว แต่ยังมีความฝังใจ แค้นพ่อแม่ตัวเองไม่เลิก หรือพ่อแม่บางคู่บนกลุ้มใจทำไมลูกเป็นยังงี้ ทำไมดื้อ ทำไมเอาดีไม่ได้ พอถามวิธีการเลี้ยงลูกลงไป พบปมบางอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพราะพ่อแม่เข้าใจผิด หรือไม่ก็นึกไม่ถึง ว่าการปฏิบัติบางอย่างกับลูก ทำให้ลูกเสียผู้เสียคน ที่ดูแลอย่างไข่ในหิน เป็นคุณหนู คุณชายอยู่ที่บ้าน พอโตออกไปสู่โลกภายนอก กลายเป็นอ้ายโง่ ซื่อบื้อ ปัญญาอ่อน ฯลฯ ให้เพื่อนๆที่โรงเรียน หรือคนภายนอกหัวเราะเยอะเอา

หรือบางคนชีวิตผิดพลาดล้มเหลวเพราะถูกพ่อแม่บังคับ ให้เป็นอย่างนั้นทำอย่างนี้ ก็ฝืนทำไปอย่างไม่มีความสุข ที่ไปได้ดีก็ยิ้มแต่ใบหน้า แต่ใจนี่ร้องไห้ตลอดเวลา ที่ไปไม่ได้ฝืนต่อไม่ไหว ผมได้ยินคนพวกนี้กว่าโหล มาบอกให้ฟังว่าเขาเคยคิดวิธีการสุดท้ายที่จะออกไปจากปัญหาเหล่านี้ โดยการฆ่าตัวตาย จะได้ไม่ต้องเจอหน้าพ่อแม่อย่างนี้อีก

กว่าผมจะเขียนหนังสือจบ ใช้เวลาตั้ง 2 เดือน วันๆกว่าจะเขียนออกมาได้เล่มนึง ต้องบิ๊วอารมณ์กันสุดๆ ถ้ามีธุรกิจและงานยุ่งไปหมดนี่ หมดสิทธิ์ ช่วงหลังผมจึงไม่สามารถออกหนังสือได้เลย ถ้าต้องการจะเขียนด้วยสำนวนตัวเองล้วนๆ โดยเฉพาะผมถนัดเขียนเชิงอรรถประโยชน์ อ่านแล้วได้สาระน้ำมีน้อย และเฉพาะเจาะจงประเด็นเรื่องสะกดจิตมากเกินไป คนอ่านจึงน้อย ขายได้ก็ไม่ดี

โดยเฉพาะสมัยนี้ ถ้าไม่มีค่าย ไม่มีแบ็ค ไม่ได้เกิดหรอก เพราะหนังสือที่วางอยู่บนแผง เดี๋ยวนี้ร้านหนังสือก็เป็นเครือข่าย เกือบๆจะเป็นแบบสำนักพิมพ์ใครสำนักพิมพ์มันกันแล้ว ของคนโนเนมหรือไม่มีทุนไม่มีค่าย เกิดยาก หนังสือต่อให้ดังแต่ต่างค่าย เขาก็ไม่เอาของคุณมาวางขายหรอก อย่างหนังสือ "สะกดจิตระลึกชาติ" ไปดูได้ บางค่ายไม่เอามาวางเลย แต่ถ้าเป็นของค่ายตัวเอง วางบนชั้น "หนังสือแนะนำ" คนตัวเล็กๆก็เหมือนนกตัวน้อยไม่มีกิ่งไม้ใบหนามาช่วยมาบัง ตายอย่างเดียว

บ่นมามาก วันนี้ผมไปปรึกษาเรื่องทำวิทยานิพนธ์กับรศ.ดร.เกียรติวรรณ อมาตยกุล อาจารย์แนะวิธีเขียนวิทยานิพนธ์หลายอย่าง เพราะผมไม่ถนัดงานเขียนที่ต้องค้นคว้าลึกๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ค้น แต่คว้ามาจากประสบการณ์ตัวเอง จะทำงานเขียนให้เชื่อถือได้ต้องอ้างอิงได้ "ว่าลอกมาจากใคร" อ๋อนี่เอง สมัยก่อนผมเคยพลิกผ่านๆ ผมเรียกมันว่างานเขียนแบบ"ตัดแปะ" แต่ทำไงได้เนาะ เขียนเองคิดเองคนก็จะถามว่า "แกเป็นใครมาจากไหน คิดเอาเองได้เหรอ" งานเขียนที่ขายในตลาดจึงไม่ใช่งานวิชาการ และงานวิชาการจึงไม่ใช่งานที่จะเอามาขายกันในตลาด และส่วนใหญ่จะขายไม่ได้ ยกเว้นเป็นเรื่องอินเทรนด์สุดๆ หรือกระทบกับคนส่วนใหญ่แบบเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนั่นก็แปลว่า งานเขียนนั้นขายได้เพราะสถานการณ์อยู่ดี
ซึ่งถ้าไม่ใช่การเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อให้จบปริญญาเอก ผมก็จะบอกว่า "ผมไม่แคร์" อย่างเรื่องพลังจิตหรือสะกดจิต งานเขียนที่ขายกันในท้องตลาด

ผมกว้านซื้อมาอ่านหมดแหละ มีอีกสองสามเล่มที่อ่านแล้วรู้ได้ ว่าคนเขียน เขียนจากประสบการณ์ และรู้จริง นอกนั้นเป็นพลังจิตขยะทั้งนั้น เพราะคนอ่านชอบอ่านเรื่องโกหก เรื่องแฝงอภินิหารย์ไว้ก่อน ถึงอยากอ่าน อะไรที่มันจริงดูเหมือนมันไม่มีอะไรให้ลุ้น เพราะคนไทยเราเหงา ขาดที่พึ่ง นี่ไงครับ "เกิดแต่กรรม" "รวยด้วยของขลัง" "ไหว้พระเก้าวัด สะเดาะเคราะห์โชคดี เศรษฐีเงินล้าน รวยครั้งใหญ่" ประมาณนี้ และไม่พ้น "ระลึกชาติ" "สั่งจิตให้รวย" จึงขายดิบขายดี เพราะคนส่วนใหญ่ขาดที่พึ่งและอยากได้ใคร่ดีกันทั้งสิ้น

คุยกับอาจารย์เกียรติวรรณ ก็ตกปากรับคำจะนำแนวปฏิบัติของ"นีโอ ฮิวแมนนิส" มาใช้ในชีวิตประจำวัน ช่วงนี้ผมเอาเพลง "มันตรา" มาเปิดฟังทั้งวันทั้งคืน ที่ห้องทำงานก็ฟัง ตอนนอนก็ฟัง ขับรถก็ฟัง เพื่อพิสูจน์และทดสอบเรื่องคลื่นสมองที่เปลี่ยนไป กับความสัมพันธ์ในเรื่องรูปแบบการใช้ชีวิต แนวคิด อาหาร ฯลฯ ว่าเป็นไปตามสมมุติฐานหรือไม่ หากเราไม่เห็นด้วย หรือเห็นด้วยกับอะไร อย่าเพียงแต่เชื่อหรือไม่เชื่อ ต้องไปพิสูจน์ สำหรับผมประมาณว่าเอาตัวเข้าแลกเลยแหละ เพราะฉะนั้นอย่าล้อเล่นกับผม

อย่างเช่น ถ้าผมอยากรู้ว่าเมืองนอกเป็นยังไง อ้ายจบโทอเมริกานี่มันประเสริฐมากนักเหรอ ผมไม่เอาแต่สงสัย ผมไปเลยครับ กลับมาเขียนหนังสือได้เล่มนึงชื่อ “แฉชีวิตนักเรียนนอก” ความจริงน่าจะเขียนได้อีก 2-3 เล่ม แต่รู้สึกไม่ค่อยเห็นประโยชน์ เพราะผมไม่ได้เริ่มต้นจากที่ว่า เขียนเพราะคิดว่ามันจะได้เงินหรือเปล่า ผมจะเขียนเพราะคิดว่า "จะเกิดประโยชน์อะไรกับคนอ่าน" ไม่ใช่เพื่อเงิน หรือบ่นๆไปไร้สาระ หรือแสดงตัวว่าเจ๋งมาก ฉลาดหรู อวดโชว์ได้มีหนังสือกับเขามั่ง เพราะผมไม่ใช่ดารา เป็นแค่คนโนเนม คนคงจะซื้อหนังสือของเราเพราะสาระ ไม่ใช่จากความดังของคนเขียน

เขียน"แฉชีวิตนักเรียนนอก" บางคนบอกว่าเขาก็ไปเรียนมาตั้งหลายปี ไม่เห็นเคยเจออย่างที่ผมว่า ทั้งๆที่ไปอยู่นานกว่าผมตั้งหลายปี ผมบอกว่า "จะวัดว่าอะไรดีกว่าที่มันนานกว่าไม่ได้หรอก ถ้าเราส่งควายไปอเมริกา มันก็คงจะได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้นอีกสองสามอย่าง ว่าอากาศมันไม่เหมือนเมืองไทย ไม่ค่อยมีปลักให้จม และรสชาติของหญ้าคงแตกต่างกัน มันคงรับรู้อะไรมากไปกว่านี้อีกไม่กี่อย่าง"

กลับมาเรื่องของเราดีกว่า บ่ายกว่าๆก็ไปสยามดิสคัฟเวอรี่ ไปเจอคุณแหม่ม ไปนั่งเมาท์กันเกือบสองชั่วโมง เล่าเคสต่างๆที่สะเทือนใจ ความฝังใจอันเนื่องจากพ่อแม่ ให้คนหนุ่มสาว (และที่แก่งักแล้ว) ต้องมีตราบาปฝังใจจนลืมไม่ได้ ตกเย็นก็ไปเดอะมอลล์ บางกะปิ ไปเรียนภาษาอังกฤษที่บริติช อเมริกันครับ ไม่อายครับที่จะให้ใครรู้ เพราะไม่ได้พูดเร็วเป็นไฟแลบมา 8 ปีแล้ว เวลาอ้าปากต้องคิดศัพท์นานขึ้น เด๋วด่าแข่งกับฝรั่งไม่ทัน แต่ที่เป็นแรงขับดันจริงๆ เพราะพักนี้ลูกค้าฝรั่งเริ่มมีมาเรื่อยๆ ไม่น่าเชื่อ ฝรั่งอยากมาระลึกชาติ และอีกอันหนึ่งคือ เดือนตุลา บริษัทอะไรไม่รู้จ้างไปบรรยาย บอกว่าจะมีฝรั่งมานั่งฟังด้วยหลายคน กลัวอายประเทศชาติ เลยต้องไปฝึกฝนไม่ให้อายฝรั่ง ให้มันฟังแล้วต้องตบมือให้เรา แบบที่ผมเคยทำมาแล้วที่อเมริกา

ส่วนเคสต่างๆที่จะลงในหนังสือ เคสไหนบ้างเหรอครับ ลองไปอ่านแล้วกัน แล้วอุดหนุนกันอย่างที่เคยทำมาเป็นปกตินะครับ ผมรำลึกในบุญคุณทุกท่านเสมอ สำนักพิมพ์เขาเปลี่ยนชื่อเป็น”สะกดจิตบำบัดโรค”

เล่มนี้ก็ขายดิบขายดีอีกหนึ่งเล่ม แต่ทำไมสำนักพิมพ์กลับบอกขายได้น้อย “มาร์คไม่ค่อยเข้าใจเลยจริงๆ” คนมาสะกดจิตเดือนละ 200 คนกว่าๆ แต่เขากลับบอกว่าหนังสือขายได้น้อย เป็นไปได้หรือนี่
ผมเล่าให้ฟังเป็นน้ำจิ้มสักตอนหนึ่งแล้วกัน
เมื่อวานมีหนุ่มรายนึงมาพบ บอกว่าอยากเลิกยาบ้า ก็คุยกันสักพักพอได้ข้อมูล เมื่อผมถามว่าทำไมถึงติดยา แกตอบดังนี้

"พ่อผมเป็นคนเก่งและใหญ่โต ไม่ได้คุยนะครับ อาจารย์เห็นนามสกุลผมคงเดาได้"
ผมพยักหน้ารับว่าเห็นด้วย เพราะนามสกุลแก ใครได้ยินก็ต้องรู้จัก
"ผมเป็นลูกคนโต พ่อก็มีนิสัยดุ เจ้าระเบียบ เข้มงวด ชอบด่าว่าผมแรงๆ เพราะผมมักทำไม่ได้ดั่งใจพ่อ พ่อชอบว่าผมไม่เอาไหน ผมพยายามทำอะไรยังไง เท่าไหร่ พ่อก็ไม่เคยชม"
ถึงตรงนี้มีน้ำตาคลอเบ้า

"ผมเป็นโรคประหม่า ตื่นกลัว ประสาท ท้อแท้ รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีค่า ตั้งแต่เด็กจนโตผมอยู่บ้านไม่เคยมีความสุขเลย เลยไม่ค่อยอยู่บ้าน ก็ไปคบเพื่อนที่เขาเสพยากัน ผมก็ติดไปด้วย ติดอยู่ 4 ปีพ่อก็จับได้ ตอนนั้นเหมือนโลกจะแตกเลยครับ"
"นี่ก็พยายามเลิกมา 3 ปีแล้ว เหมือนเข้าๆออกๆ เลิกไม่สำเร็จสักที พอดีแม่ได้หนังสือของอาจารย์มา คนแนะนำให้อ่าน แม่ก็เอามาให้ผมอ่าน ทำให้ผมมีความหวังให้กับตัวเองครับ"

"เพราะก่อนหน้านี้ผมก็พยายามเลิก ไปมาหมด ลองมาหมดทุกวิธีแล้ว และก็ไม่เคยสำเร็จ แต่ละครั้งพ่อก็จะว่า จะด่า จะเหน็บ ทุกครั้งที่ทำให้พ่อเสียใจผมก็ท้อแท้ อยากจะแก้ปัญหาของตัวเองให้ได้ แต่มันไม่ได้สักที ผมก็ปริ่มๆจะเชื่อตามพ่อแล้ว ว่าที่ด่าผมอยู่ทุกวันน่ะ เป็ฯเรื่องจริง"

"จริงที่ว่า ผมมันขี้เกียจ ไม่เอาไหน ไม่รักดี ชั่ว ทำตัวเสื่อมเสียชื่อเสียงวงตระ***ล คิดว่าตัวเองเกิดมาเพื่อเป็นยังงี้จริงๆ และคงไม่มีวันเปลี่ยนตัวเองได้"
"พอมาอ่านหนังสือของอาจารย์ แม่ก็เห็นด้วย ว่า เออ... นี่เราโดนพ่อด่าอยู่ทุกวันนะ พ่อกำลังใส่ข้อมูลด้านลบให้กับเราโดยท่านไม่รู้ตัว"

"แต่พ่อเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูงครับ ใครไปบอกแกคงไม่ฟัง พูดอะไรคงไม่มีใครเชื่อ ผมมีน้องอีก 2 คน ทีแรกก็คิดว่า เออ เราคงปัญญาอ่อน เราคงโง่และไม่รักดี เพราะน้องๆเรียนหนังสือจบแล้วก็รีบหาทางออกจากบ้านไป จะได้ไม่ต้องเจอพ่อ เหลือผมอยู่คนเดียวที่ไปไหนไม่รอด"
"เพราะคนอื่นเป็นน้องๆ แม่ก็บอกว่าเพราะผมเป็นลูกคนแรก แถมเป็นผู้ชาย พ่อเลยฝากความหวังไว้มาก ตั้งเป้าหมายชีวิตให้ผมไว้สูง แล้วก็เคี่ยวเข็นบังคับและกำหนดแนวทางให้ผมทำยังงั้นทำยังงี้ ให้เรียนที่นั่นที่นี่ ให้เรียนยังงั้นยังงี้ตามที่พ่ออยากให้ผมเรียน"

"ทีแรกผมก็จำไม่ได้ว่าเริ่มเกเรตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พออ่านหนังสือของอาจารย์ก็มาระลึกได้ ว่าเวลาโดนพ่อบังคับมากๆผมก็จะต่อต้าน ต่อต้านมากๆบางทีผมก็หนีออกจากบ้านเลย เมื่อไหร่ไปไม่รอดกลับมา หรือพ่อตามตัวเจอทีนี้ก็โดนหนักเลย แล้วก็โดนหนักมากขึ้นทุกวัน แต่เหมือนผมไม่เคยเข็ด ผมก็ทำแสบกับพ่อหนักขึ้นทุกวัน เหมือนเราเป็นคู่แค้นกันเลย"

"นี่ผมดีใจมากเลยนะครับที่ได้รู้ว่าผมก็เรียนมัธยมที่เดียวกับอาจารย์"
พอได้ไล่เรียงปีที่จบแล้ว อย่าพูดเลยครับ รุ่นผมกับรุ่นเขาห่างกันสิบกว่าปี แต่ผมไม่วายพูดให้กำลังใจเขาไปว่า
"เออ คุณจบมัธยมที่..............ก็ถือว่าคุณไม่ใช่ขี้นะ เข้าตรงนี้ได้มันต้องเก่งนะ"
"แหะ แหะ ผมเด็กฝากครับ ถ้าพ่อไม่ฝากก็ไม่มีปัญญาเข้าหรอกครับ"
ฟังยังงี้ผมเลยทำเฉยๆ ไม่รู้จะตอบรับยังไง

"เรื่องที่ฟังมาทั้งหมดผมก็ได้แต่เห็นใจ และเข้าใจคุณนะ แต่เราจะเอาไงดีล่ะ เพราะถ้าคุณได้อ่านหนังสือของผมก็ต้องทราบดี ว่าผมให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมด้วย ถ้าสภาพแวดล้อมยังไม่เปลี่ยน โอกาสที่คุณจะแก้ไขตัวเองได้ก็มีน้อย"
"นี่ผมอายุ 29 แล้ว พ่อผมขังผมไว้ที่บ้านเลยนะช่วงนี้ ไม่ยอมให้ผมไปไหนเลย ต้องมีคนอื่นไปด้วยถึงยอมให้ออกไปไหนนะ อยู่บ้านผมก็เบื่อ ไม่มีอะไรจะทำ เมื่อไหร่พ่อกลับมาจากทำงานก็จะว่า จะบ่น จะด่า คือท่านจะเป็นคนแสดงอาการฉุนเฉียวเกินปกติเลยแหละ แล้วถ้าโกรธอะไรนี่ แกจะจำเป็นปีเลย แล้วก็เอามาว่าทุกวัน ว่าเป็นปีๆเลยนะ"

"ทุกวันนี้ในใจผมไม่มีอะไรมาก มีแต่ความท้อแท้ มีหนหนึ่งเคยได้ไปอยู่ออสเตรเลียผมมีความสุขมาก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีโอกาสได้เป็นนายของตัวเอง มีโอกาสตัดสินใจให้ตัวเอง ทำอะไรด้วยตัวเอง แต่อยู่ได้ไม่นาน เพราะผมไปอยู่ ไปนี่ คือพ่อยอมให้ไปเพราะมีน้องๆไปเรียนนะ พอน้องเรียนจบผมก็กลับ แล้วก็เศร้าใหม่ เพราะต้องทำทุกอย่างตามพ่อสั่ง ส่วนน้องๆก็มีน้องชายที่ได้ออกจากบ้าน ส่วนน้องสาวพ่อก็ไม่ยอมให้ไปไหน ไม่ยอมให้ไปทำงานกับใคร แต่ยังโชคดี พ่อให้ไปรับผิดชอบงานที่ไม่ต้องเจอพ่อบ่อยๆ"

ผมบอกไปว่าเราจะเริ่มแก้ปัญหากัน โดยโฟกัสไปที่
"ทำให้คุณมีความอดทนมากขึ้นละกัน เพราะเป็นข้อเดียวที่คุณจะทำได้ในตอนนี้ ให้คุณอดทน อยู่อย่างน่าเบือและท้อแท้นี่ให้นานที่สุด จนกว่าพ่อของคุณจะมั่นใจ ว่าคุณดีขึ้นแล้ว เปลี่ยนไปแล้ว เพราะถ้าพ่อของคุณยังไม่มั่นใจในตัวคุณ ก็คงต้องขังคุณไว้ในบ้านต่อไป และถ้าเมื่อไหร่ความอดทนอดกลั้นของคุณสิ้นสุดลง ก็คงมีทางเลือกให้คุณสองทาง คือ คุณก็ต้องวีนกับพ่อคุณแน่ หรือไม่ก็หนีออกไปเสพยา ซึ่งมันแย่ทั้งคู่"

"นั่นดิครับ ผมก็คิดว่าคงไม่มีวิธีไหนดีกว่านี้ ผมเคยคิดว่าถ้าออกไปอยู่คนเดียวคงจะช่วยได้มากกว่าด้วยซ้ำ แต่พ่อคงไม่ยอมแน่ และผมก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้"
"ตอนนี้คุณเรียนอยู่หรือเปล่า"
"จะจบเดือนตุลานี้ครับ"

"ก็ดี อย่างน้อยคุณก็มีเป้าหมาย ผมอาจแนะนำว่าพยายามเรียนให้จบไวๆ แล้วพยายามหางานทำด้วยตัวเอง อย่าหมิ่นเงินน้อยหรือตำแหน่งไม่ดี ผมเดาว่าพ่อของคุณจะหางานและตำแหน่งดีๆให้คุณได้อยู่แล้ว แต่นั่นคุณคงแน่ใจอยู่แล้วว่าคุณคงไม่มีความสุข ฉะนั้นจงพิสูจน์ตัวเองว่าคุณยืนด้วยตัวเองได้ จะงานกระจอกเงินน้อยยังไงก็ยังทำให้คุณภูมิใจในตัวเองขึ้นมาได้บ้าง
และถ้าถึงตรงนั้น ถ้าคุณอยากจะหลีกเลี่ยงการปะทะกับพ่อ อาจแสดงตัวเป็นผู้ใหญ่ด้วยการย้ายออกนอกบ้านก็ได้ เพราะคุณอายุก็พอสมควรแล้ว ก็คงไม่มีความสุขอีก ที่ผู้ใหญ่จะเห็นเราเป็นเด็กอยู่ร่ำไป เหลืออยู่แต่ว่าคุณจะไม่ยอมดิ้นรน ยอมแพ้กับคำปรามาส และยอมรับสภาพว่าพึ่งตัวเองไม่ได้"

"อาจารย์พูดทำให้ผมมีกำลังขึ้นเลยครับ ผมไม่เคยคุยกับใครในเรื่องพวกนี้ได้เยอะอย่างนี้ ผมจะอดทนและพากเพียรตามที่อาจารย์แนะนำครับ เพราะถ้าให้นึกก็รู้ว่าไม่มีวิธีไหนดีกว่านี้แล้ว ผมก็อยากแสดงให้พ่อเห็นว่าผมเป็นผู้ใหญ่จริงๆเสียที"
"มาครั้งนี้คุณอย่าคิดว่านี่เป็นการลอง คุณต้องคิดว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่คุณจะพยายามดึงตัวเองออกมาจากปัญหายาเสพติดให้ได้"
"ไม่หรอกครับ ผมไม่ลอง ผมตั้งใจจริงๆ และจะออกมาให้ได้ ถ้าผมได้รับกำลังใจจากที่บ้านอย่างนี้บ้าง ผมคงมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่"




Create Date : 21 สิงหาคม 2550
Last Update : 21 สิงหาคม 2550 18:08:08 น. 2 comments
Counter : 462 Pageviews.

 
เขียนได้สนุกมากค่ะ
จะคอยติดตามผลงานค่ะ


โดย: สายฝนตก วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:9:45:00 น.  

 
..ผ่านมาอะคะ อาจารย์...รู้สึกสนใจมาก ชอบสำนวนแบบที่ อาจารย์ใช้เขียน รู้สึกสนใจและอยากที่จะเรียนรู้ ศาสตร์ แบบนี้ ต้องเริ่มที่ตรงไหนก่อนคะ.......อ้อ ลืมบอก เป็นพยาบาลอยุ่นะคะ ...อยากเรียนรู้เผื่อจะได้นำไปใช้ในการประกอบวิชาชีพ...ด้วย
pei.viva680@gmail.com
ขอบคุณมากคะ


โดย: แมงรัก IP: 202.29.22.253 วันที่: 23 กันยายน 2550 เวลา:11:44:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

thaihypn
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add thaihypn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.