Group Blog
 
All Blogs
 
ครอบครัวจิตป่วน

ครอบครัวจิตป่วน

ประมาณ 1 ปีที่แล้ว คุณแม่วัย 59 คนหนึ่งขี่คอลูกชายมาพบผม ซึ่งมาพร้อมลูกสาวอีกคนหนึ่ง ลูกชายฝากแม่ไว้ด้านนอกห้อง แล้วเข้ามาเล่าให้ผมฟังว่า
คุณแม่ไม่ได้กินอาหารและดื่มน้ำมา 3 วัน ก่อนหน้านี้ก็เป็นอย่างนี้บ่อย ๆ แต่ไม่เคยเห็นเป็นมากขนาดนี้ ประวัติของคุณแม่ก็คือ เคยผ่าตัดมะเร็งลำไส้มาแล้ว 2 ครั้ง

ผมได้ฟังแล้วก็บอกว่า
“สงสัยจะเป็นเพราะความเครียดหรือเปล่า”
ลูกชายมองหน้าผม แล้วบอกว่า
“ครับ คุณแม่กับคุณพ่อมีปัญหากัน ตั้งแต่พวกผมพี่น้องเกิดมาจำความได้ ไม่เคยเห็นทั้ง 2 คนพูดกันดี ๆ เป็นเรื่องเป็นราวเกินกว่านาทีสองนาที” แกหยุดกลืนน้ำลายทีหนึ่ง

“คุณแม่ก็น้อยใจ ไม่ค่อยกินข้าว ไม่ยอมพูดจา” แกหยุดกลืนน้ำลายอีกที
“ที่ผ่ามะเร็งลำไส้ 2 ครั้ง พวกผมก็คิดว่าเพราะความเครียด คุณแม่จะเป็นอย่างนี้บ่อย หลัง ๆ หนักขึ้นเรื่อย ๆ วันไหนทะเลาะกับคุณพ่อก็จะแววตาสีหน้าไม่ดี และกินได้น้อย”

ผมผงกศีรษะรับทราบเรื่องราว
“หนสุดท้ายนี้ไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม ที่โรงพยาบาลแนะนำว่าควรไปพบจิตแพทย์ แต่พวกเราเคยพาไปพบบ่อยแล้ว แต่ไม่ได้ช่วยอะไรได้ เพราะมีแต่ได้รับยามา คุณแม่ก็ไม่ยอมกินยาเลยเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพาไปอีก เลยคิดว่าจะพามาพบอาจารย์ สะกดจิตให้แก่ดื่มน้ำกินข้าวจะดีกว่า”
ตอนนี้แววตาของแกมีน้ำคลอ

ผมได้ฟังก็บอกให้เริ่มกันเลย เราเชิญคุณแม่เข้ามาแล้วให้ลูก ๆ ออกไป
ผมถามคุณแม่ว่าอยากจะเล่าอะไรให้ฟังหรือเปล่า เธอก็ยกมือไหว้ผมประหลกประหลก บอว่ากินไม่ได้มา 2 – 3 วันแล้ว ช่วยหน่อยเถอะ
ผมจึงถามเธอว่า
“ไม่ใช่ไม่อยากกินเองหรอกหรือครับ”

เธอบอกว่า
“ไม่ใช่ไม่อยากกินเอง มันกินไม่ลง”พูดแล้วเธอก็ร้องไห้
ผมจึงสะกดจิตเธอ เสร็จแล้วเธอก็ลืมตาขึ้นก็บอกคอแห้ง ขอน้ำดื่ม
ผมก็ให้คนเอาน้ำมาให้ครึ่งแก้ว ช่วยประคองให้เธอดื่ม
ดื่มไปได้ 2 - 3 อึกเธอก็อาเจียนออกมา
“คงเป็นเพราะไม่มีอะไรลงท้องมาหลายวัน”
ผมบอกลูก ๆ หลังจากพวกเราช่วยกันเช็ดอาเจียนนั้น
“พอกลับถึงบ้านแล้วคุณแม่ก็จะร้องขอกินข้าวเอง”

ผมบอกกับลูก ๆ พวกเขาก็พาแม่ขึ้นหลังขี่กลับออกมา
วันรุ่งขึ้นผมได้ยินจากพนักงานว่า บ้านนี้โทรศัพท์มานัดเวลาเพื่อพบผมอีกใน 3 – 4 วันข้างหน้า
“คงได้ผล” ผมนึกในใจ

พอวันรุ่งขึ้นจะถึงวันที่นัด ก็ได้ยินจากพนักงานว่า บ้านนี้เขาขอเลื่อนนัดไปก่อน เพราะคุณแม่เข้าโรงพยาบาลอีกแล้ว แต่คราวนี้เขาฝากเด็กมาบอกผมว่า
“ช่วยบอกอาจารย์ด้วยนะ ว่าที่เลื่อนนัดไม่ใช่เพราะไม่ได้ผล แต่ได้ผลดีมาก วันแรกที่กลับไปถึงบ้าน คุณแม่ยอมกินข้าวจริง ๆ แล้วก็ดูสดชื่นขึ้นมาก พูดคุยสนุกสนานกับลูก ๆ ได้ จนทุกคนแปลกใจ...

เป็นอย่างนี้ได้ 2 วัน พวกเรามีความสุขมาก แต่พอคุณพ่อ ซึ่งไปเที่ยวต่างประเทศกลับมา (เพราะไม่มีเยื่อใยต่อกันแล้ว) เข้ามาถึงก็ไม่ยอมพูดคุยหรือถามอาการเจ็บไข้ได้ป่วยจากคุณแม่เลย เดินผ่านกันไปเฉย ๆ เหมือนไม่เห็น คุณแม่ก็อาการทรุดอีก ไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม หนักกว่านั้น ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนอีกด้วย เลยต้องรีบพาคุณแม่เข้าโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือ เพราะตอนนี้มีอาการช็อกแล้ว อาการดีเมื่อไหร่จะรีบพามาหาอาจารย์โดยไว”

ผมได้ฟังก็นึกแต่เอาใจช่วย น่าเสียดายที่อีก 3 วันต่อมา พนักงานของผมบอกว่า บ้านนี้โทรศัพท์มาบอกว่า “คุณแม่เสียแล้ว” ผมฝากพวงหรีดไปเพื่อไว้อาลัยกับผู้เสียชีวิต อย่างไรก็ถือว่าเคยเป็นสมาชิกของชมรมฯกันมาก่อน
เรื่องควรจะจบเท่านี้ ผมได้แต่เสียใจและเสียดาย ที่มีโอกาสพบกันช้าเกินไป ถ้าคุณแม่มีโอกาสมาพบผมเร็วกว่านี้ หรือคุณลูกรู้จักผมเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย เราอาจแก้ปัญหานี้ได้ และไม่ได้ยินข่าวร้าย หรือจริงๆแล้วเขาอาจไม่ประทับใจผมก็ได้ แต่เมื่อเรื่องล่วงเลยมาอย่างนี้แล้ว ไหนๆก็ไหนๆ อาจให้ข้อมูลกับผมอีกมุมหนึ่งเพื่อให้เรื่องมันจบๆไป

แต่อีกประมาณ 1 ปี ลูกสาวของเธอ ลูกสาวของคุณแม่ที่เครียดและไม่ยอมกินอะไรเลยจนต้องเสียชิวิตไปนั่นแหละครับมาพบผม เธอชื่อริน บอกว่าเครียด
“พื้นฐานทางอารมณ์ของทุกคนคงเครียดกันหมดแหละอาจารย์ เพราะคุณพ่อเป็นคนชอบตะคอกตะหวาด และเอาแต่ใจ...” (พูดถึงตรงนี้เธอก็หยุดพูดไปเฉย ๆ เหมือนพยายามข่มใจ ระงับความโกรธความไม่พอใจพ่อของตัวเอง)
“หนูก็รู้ตัวว่าตัวเองเครียดมากขึ้นทุกวัน เดือนก่อนเครียดถึงขนาดเอามือต่อยกระจกแตก ต้องทำแผลอยู่เกือบเดือน”

เธอพูด พลางยื่นมือที่มีร่องรอยแนวยาวของการบาดจากของมีคมให้ดู
“เรื่องของพ่อที่ทำกับแม่ก็อย่างนึง ก็พยายามลืมนะ ไหน ๆ คนก็ตายไปแล้ว แต่ยังไงความรู้สึกอภัยมันยังไม่เกิด เหมือนยังต้องบังคับไงไม่รู้” ตอนนี้น้ำตาของเธอคลอเบ้า

“คนที่บ้านพี่น้องก็เป็นกันประมาณนี้แหละ คนอื่นจะแก้ปัญหากันยังไงบ้างหนูก็ไม่เคยไปถาม รู้แต่ของตัวเองว่า ไปโรงพยาบาลก็ได้ยามากิน พอเบื่อยาก็นึกได้ว่าเคยพาแม่มาพบอาจารย์ แล้วก็เห็นอะไรแปลก ๆ กลับไป แม่ดูสดชื่นแจ่มใส อยากกินอยากดื่ม ดูมีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่าทันทีหลังจากมาพบอาจารย์ในวันนั้น เลยคิดว่าควรจะมาพบอาจารย์บ้าง เพราะเบื่อกินยาเหลือเกิน”
ผมสะกดจิตเธอแล้ว แนะนำซีดีให้เอากลับไปฟังที่บ้าน อีกสัปดาห์หนึ่งเธอก็มา แล้วถามว่า
“คนปกติเขาเป็นกันอย่างนี้เหรอ”
ผมถามว่าเป็นยังไงคือเป็นอย่างนี้ เธอบอกว่า
“สมองว่าง ๆ ใจโล่ง ๆ น่ะอาจารย์ 2-3 วันนี้มันเป็นน่ะ แล้วแปลกใจมาก เพราะไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย อย่างน้อยก็ตั้งแต่จำความได้”

ผมฟังแล้วถึงกับอึ้ง อะไรเธอจะมีความทุกข์ความเศร้ามากมายขนาดนี้เลยหรือ หน้าตาท่าทางและธุรกิจที่บ้านของเธอบอกให้รู้ว่ามีอันจะกินทีเดียว เป็นเรื่องจริงเชียวนะนี่ ที่เงินองที่มีอยู่ไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดว่าใครจะมีความสุขมากน้อยแค่ไหน
หนนี้ผมแนะนำการสะกดจิตตัวเองกับเธอ เธอเรียนรู้เป็นอย่างดีและกลับไป พร้อมนัดมาพบผมอีกในสัปดาห์ต่อมา เธอกลับมาอีกแล้วบอกว่า
“เพลินดีเนอะ ไม่รู้ว่าทำใจให้ว่างเขาก็ทำกันได้ด้วย หนูรู้สึกตัวเลยว่าเดี๋ยวนี้โกรธยากขึ้น และถ้ามีเรื่องโกรธเรื่องโมโหวันไหน คืนนั้นก็จะนอนไม่หลับ แต่เดี๋ยวนี้หลับทุกคืน”

“หมายถึงยังไงหลับทุกคืน เมื่อก่อนไม่หลับเหรอ”
“โอ้ย อาทิตย์นึงจะมาหลับสักวันสองวันก็เก่งแล้วอาจารย์ มันมีแต่เรื่องนั้นเรื่องนี้วนเวียนในสมองทั้งคืน ตื่นมาก็ทั้งมึน ทั้งเพลีย ทั้งปวดหัว แต่ 2 – 3 สัปดาห์นี้ มีแค่ 2-3 คืนที่นอนไม่หลับ เป็นเพราะอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากอาจารย์นี่แหละ เพราะหนูลองวิธีแก้มาเยอะจนจำไม่ได้แล้วว่าทำมากี่วิธี แต่มันเยอะมาก และไม่เคยได้ผลตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

ผมยิ้มให้ เธอบอกว่าตอนนี้เธอเลิกเถียงพ่อแล้ว เมื่อก่อนเวลามีปัญหากับพ่อ จะทะเลาะเอ็ดตะโรกัน คุณพ่อทำท่าจะตบ เธอก็ตั้งการ์ดสู้ เรียกว่าคุณพ่อกับลูกสาวคู่นี้ไม่ยอมกันเลยแหละ และจบลงด้วยเธออาจโดนตบสักที หรือเธอหลบหลีกได้ แต่ก็ต้องไปแค้นไปเจ็บใจและอารมณ์เสียค้างในสมองอีกหลายวันหลายคืน
“เวลาพ่อพูดไม่ถูกหูก็เดินหนีอย่างเดียว” เธอพูดยิ้มๆ

“เมื่อก่อนจะทนไม่ได้เลย ต้องปะทะคารมกันจนกว่าจะมีคนมาแยก หรือไม่ก็จนกว่าเราจะเจ็บตัว หรือพ่อเห็นว่าเราสู้” ตอนนี้รอยยิ้มมีน้ำตาคลอ
จากวันนั้นเธอมาพบผมอีก 2-3 ครั้ง ผมสังเกตว่าเธอมีสีหน้าแววตาสดชื่นขึ้นทุกวัน จนครั้งสุดท้ายที่มา เธอบอกว่า
”หลับดีทุกคืนเลย ตอนนี้ใจนิ่งๆ รู้สึกไม่ค่อยโกรธ พ่อพูดอะไรก็ทำหูทวนลม ไม่เดินหนี แต่ก็ไม่อารมณ์พุ่งปรี๊ดเหมือนเมื่อก่อน พ่อบ่นๆด่าๆเห็นเราไม่โต้ตอบก็เงียบแล้วเดินหนีไปเอง ดีไปอีกแบบเนอะ”

“ดีแล้ว แปลว่าคุณหายแล้ว ปฏิบัติอย่างที่ผมแนะนำอยู่เรื่อยๆ ช่วงไหนคิดว่าเราเปลี่ยนโดยถาวรแล้วก็ลองหยุดดู ทดลองดู ถ้าตอนไหนเริ่มกลับมาไม่ดีก็หันมาปฏิบัติใหม่ ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ดีขึ้นก็ให้รีบมาหาผม”
เธอยิ้มแล้วยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความตื้นตันแล้วจากไป

เรื่องก็น่าจะจบเท่านี้อีก แต่สัปดาห์ต่อมา ผู้ชายคนหนึ่งมาหาผม บอกว่าเป็นพี่ชายของริน
“ตามน้องสาวมาครับ อาจารย์คงจำผมไม่ได้ ผมเป็นคนพาคุณแม่ขี่คอมาพบอาจารย์.....”

ผมยิ้มให้ ความทรงจำเริ่มกลับคืนมา ใช่แล้ว เขาคือคนที่พาคุณแม่มาพบผม
“คุณแม่เครียดไม่ยอมกินไม่ยอมนอน ไปรักษาตามโรงพยาบาลก็ได้ยามากิน แม้แต่ยาคุณแม่ยังกินไม่ลง ญาติ ๆ บอกให้ลองมาสะกดจิต ผมเองไม่ค่อยเชื่อหรอก แต่อะไรที่ช่วยแม่ได้ผมก็ทำ เห็นแม่ดีขึ้นก็ดีใจ แต่คงมาพบอาจารย์ช้าไป.......

พอคุณแม่เสียคุณพ่อก็พาเมียอีกคนเข้าออกบ้านเต็มที่เลย น้องสาวคนที่มาหาอาจารย์ก็ทะเลาะกับพ่ออยู่เรื่อย หลัง ๆ รุนแรงขึ้น ถึงกับลงไม้ลงมือกันทุกครั้ง แต่ลูกก็คือลูกคงจะสู้ชนะพ่อไม่ได้ แกเครียดมาก ได้ยินบ่น ๆ ว่าจะมาหาอาจารย์ ผมฟังก็เฉย ๆ เพราะเราพี่น้องเข้าใจกันอยู่แล้ว ว่าแต่ละคนมีความทุกข์ความเครียดอะไรกันอยู่บ้าง และแต่ละคนมีวิถีชีวิตของตัวเอง มีอะไรก็คุยกันนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ค่อยได้สนใจกันนัก.....

ช่วงหลังเห็นน้องสาวยิ้มง่ายขึ้น อารมณ์ไม่รุนแรงเหมือนเมื่อก่อน พ่อพูดพ่อว่าอะไรก็เฉย แต่ยังทำท่าทางกวนประสาทพ่อ เหมือนแกอารมณ์เย็นขึ้นเยอะ แต่ยังทำท่าท้าทาย พ่อเลยอึ้งพูดไม่ออกต้องหยุดว่าไปเอง แต่กลายเป็นว่าพ่ออารมณ์ค้างมาลงที่ผม ผมเป็นลูกชายคนโต พ่อเปิดธุรกิจอยู่ที่บ้าน ผมช่วยงานเป็นตัวหลัก ปกติก็เป็นที่รองรับอารมณ์ของพ่ออยู่แล้ว ตอนนี้เลยยิ่งโดนหนัก เห็นน้องสาวสุขภาพจิตดี ยิ้มหัวเราะ กินอิ่มนอนหลับ ผมเลยต้องมาให้อาจารย์ให้ช่วยบ้าง”

พี่ชายคนนี้หลังมาพบ 4-5 ครั้ง เขาบอกว่ามีความสุขมาก
“เมียผมยังบอกว่าผมเปลี่ยนไปเลย กลางคืนไม่เอาแต่หน้าบึงตึงเหมือนเมื่อก่อน รู้จักยิ้ม คุยเล่นสนุกสนานขึ้นมาก ลูก ๆจากที่เมื่อก่อนผมไม่รู้ว่าเล่นกับลูกมีความสุขยังไง เมื่อก่อนกอดลูกก็รู้สึกงั้น ๆ เดี๋ยวนี้กอดลูกแล้วมีความสุข พ่อบ่น ๆ ด่า ๆ ผมก็เฉย ๆ เมื่อก่อนจะอารมณ์ขึ้น หงุดหงิดแต่แสดงออกไม่ได้ เพราะจะโดนด่ามากขึ้น....

คือเก็บกดอ่ะครับ รู้เลยว่าตัวเองเก็บกดมามากเลย เดี๋ยวนี้ตื่นเช้าก็รู้สึกสดใส ขอบคุณอาจารย์มากครับ ผมเชื่อเรื่องสะกดจิตแล้ว ขอบคุณที่ทำให้ผมมีความสุขเหมือนคนอื่นๆ.... นึกแล้วก็คิดถึงคุณแม่ น่าจะรู้จักอาจารย์ให้เร็วกว่านี้สักหน่อย”

เขายิ้มให้ผมอย่างเปี่ยมสุข แต่เมื่อพูดถึงคุณแม่ก็น้ำตาคลอ ผมพยักหน้าและยิ้มให้กำลังใจกับเขา เรื่องบางเรื่องก็จนใจจริงๆ ไม่รู้จะไปแก้ยังไง คิดว่าเป็นบุญกรรมของแต่ละคนก็แล้วกัน



Create Date : 28 กันยายน 2550
Last Update : 28 กันยายน 2550 15:24:18 น. 1 comments
Counter : 603 Pageviews.

 
ไปอ่านในห้องชานเรือนมาแล้วค่ะ

ชอบอ่านเรื่องของอาจารย์มากๆ ค่ะ ได้ความรู้
และได้หันกลับมามองตัวเอง ว่าเราและครอบครัว
เดินไปในทางที่ถูกหรือเปล่า

ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ


โดย: ฟ้าสวยมาก วันที่: 29 กันยายน 2550 เวลา:14:53:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

thaihypn
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add thaihypn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.