พ่อแม่ที่ชอบโอ๋ลูก และเลี้ยงลูกด้วยวิธีการที่ผิดๆ ควรอ่าน และนำไปพิจารณาว่าตนเองมีบาป 14 ประการของบิ
พ่อแม่ที่ชอบโอ๋ลูก และเลี้ยงลูกด้วยวิธีการที่ผิดๆ ควรอ่าน และนำไปพิจารณาว่าตนเองมีบาป 14 ประการของบิดามารดาสักข้อไหม ถ้าจากคุณ : แม่น้องไม้โทเขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 54 16:22:21ที่มา //www.pantip.com/cafe/family/topic/N10551603/N10551603.htmlได้รับ FW มายาวนิดนะแต่ดีหนุ่มน้อยเพิ่งจบการศึกษาด้วยผลการเรียนดีเยี่ยมไปสมัครงานในตำแหน่งผู้จัดการในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากผ่านการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกไปแล้ว ผู้อำนวยการได้เรียกเขาไปสัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจ ผู้อำนวยการเห็นข้อมูลในประวัติของเด็กหนุ่มคนนี้ว่ามีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกวิชาตลอดมา นับตั้งแต่อุดมศึกษาจนจบมหาวิทยาลัย ไม่ปรากฏว่าเขาทำคะแนนตกเลยผู้อำนวยการเริ่มคำถามว่า เธอเคยได้รับทุนการศึกษาอะไรหรือเปล่าเด็กหนุ่มตอบว่า ไม่เคยครับผู้อำนวยการถามต่อว่า คุณพ่อของเธอเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้ใช่ไหมเด็กหนุ่มตอบว่า คุณพ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียวครับ เป็นคุณแม่ที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผมผู้อำนวยการถามต่อว่า คุณแม่ของเธอทำงานที่ไหนเด็กหนุ่มตอบว่า คุณแม่ทำงานซักรีดผู้อำนวยการขอดูมือของเขาเด็กหนุ่มยื่นมือที่เรียบลื่นไม่มีที่ติให้ผู้อำนวยการดูผู้อำนวยการถามต่อว่า เธอเคยช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้างหรือเปล่าเขาตอบว่า ไม่เคยครับ คุณแม่ต้องการให้ผมเรียนแล้วก็อ่านหนังสือเยอะๆ คุณแม่ซักผ้าได้เร็วกว่าผมด้วยครับผู้ อำนวยการบอกว่า ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยทำอย่างหนึ่งนะ วันนี้เธอกลับไปที่บ้านช่วยล้างมือของคุณแม่ของเธอแล้วกลับมาพบฉันอีกที พรุ่งนี้เช้า ด้วยความมั่นใจว่าโอกาสที่จะได้งานทำมีอยู่สูงมากเมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขาจึงรู้สึกเต็มใจที่จะล้างมือให้แม่ของเขาฝ่ายแม่รู้สึกประหลาดใจระคนหวั่นใจเธอส่งมือให้ลูก หนุ่มน้อยค่อยๆ ล้างมือให้แม่ แล้วน้ำตาไหลก็ออกมาเขาเพิ่งรู้สึกว่ามือของแม่นั้นช่างเหี่ยวย่นและเต็มไปด้วยริ้วรอยขูดข่วนซึ่งบางแผลพอโดนล้างน้ำก็ทำให้แม่เจ็บจนตัวสั่นระริกนี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตระหนักรู้ว่ามือคู่นี้เองที่ซักผ้าทุกวันเพื่อหารายได้มาส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียนรอยแผลเหล่านี้คือราคาที่แม่ต้องจ่ายไปเพื่อความสำเร็จในการศึกษาของเขาเพื่อผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของเขาและอาจจะเพื่ออนาคตของเขาด้วยคืนนั้นสองแม่ลูกได้คุยกันอยู่นานเช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มก็เดินทางไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการผู้อำนวยการสังเกตเห็นน้ำตาในดวงตาของเขา จึงถามขึ้นว่าช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเมื่อคืนที่บ้าน เธอทำอะไรบ้าง แล้วได้บทเรียนอะไรเด็กหนุ่มตอบว่า ผมล้างมือให้แม่ครับ แล้วก็เลยช่วยแม่ซักผ้าที่เหลือจนเสร็จผู้อำนวยการบอกว่า ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่า เธอรู้สึกยังไงเด็กหนุ่มตอบข้อที่หนึ่ง ผมได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีความสำเร็จของผมด้วยข้อที่สอง จากการช่วยแม่ทำงานว่า ผมได้รู้ว่ามันลำบากยากเย็นยังไงกว่าจะทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่งข้อที่สาม ผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความผูกพันในครอบครัวผู้อำนวยการจึงบอกว่า นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันอยากได้คนที่รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลืออยากได้คนที่เข้าใจถึงความลำบากของใครสักคนในการจะทำอะไรได้มาสักอย่างและอยากได้คนที่ไม่ได้ตั้งเงินเป็นเป้าหมายในชีวิตแต่เพียงอย่างเดียวมาเป็นผู้จัดการให้ฉันเป็นอันตกลงว่าฉันรับเธอไว้ทำงาน ใน เวลาต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้ทำงานอย่างหนักและได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกจ้างทุกคนทำงานเป็นทีมอย่างขยันขันแข็ง กิจการของบริษัทก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดีเด็กที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยได้ รับทุกอย่างที่ต้องการ จะสร้างนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวเองเป็นอันดับแรกเขาจะไม่สนใจความเหนื่อยยากของพ่อแม่เมื่อถึงวัยทำงานเขาก็จะคาดหวังว่า ใครๆ จะต้องเชื่อฟังเขาเมื่อเขาเป็นผู้จัดการ เขาจึงไม่มีวันรู้ว่าบรรดาลูกจ้างนั้นลำบากอย่างไรและมักจะโทษคนอื่นคนลักษณะนี้เขาอาจจะทำงานได้ อาจจะประสบความสำเร็จช่วงหนึ่งแต่ในที่สุดแล้ว เขาจะไม่สำเหนียกคุณค่าของความสำเร็จหากยังคงคร่ำครวญ เคียดขึ้ง และไม่มีวันรู้สึกเพียงพอถ้าเราเป็นพ่อแม่ประเภทที่ปกป้องลูกแบบนี้จงถามตัวเราว่าเรากำลังให้ความรักกับลูกหรือกำลังทำลายเขากันแน่ ?เราให้ลูกๆ มีบ้านใหญ่ๆ อยู่กินอาหารดีๆเรียนเปียโนดูทีวีจอใหญ่แต่เวลาที่เราตัดหญ้า ลองให้ลูกได้ทำด้วยหลังอาหาร ให้เขาล้างถ้วยชามของตัวเองพร้อมๆ กับพี่ๆ น้องๆไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญญาจ้างคนรับใช้แต่เพราะเราอยากจะให้ความรักกับพวกเขาอย่างถูกวิธีเราอยากให้เขาเข้าใจว่าไม่ว่าพ่อแม่จะจนหรือจะรวย วันหนึ่งก็จะต้องผมขาวแก่เฒ่าลงไปเหมือนกับแม่ของเด็กหนุ่มคนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกของเราจะได้เรียนรู้ คือรู้คุณค่าของความพยายามได้รู้จักว่า ความยากลำบากมันเป็นยังไงและได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น... บาป ๑๔ ประการของมารดาบิดาว.วชิรเมธี ๒๙ มกราคม ๒๕๕๒ กาฐมัณฑุ, เนปาลพ่อแม่บางคน (๑) ทำร้ายลูกด้วยการรักเขามากเกินไป ผลก็คือเกิดภาวะรักจนหลง ลูกของตนถูกทุกอย่าง ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ อันส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนมีอัตตาสูง เชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน เป็นตัวปัญหา แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหาพ่อแม่บางคน (๒) ทำร้ายลูกด้วยการตามใจเขามากเกินไป ผลก็คือพ่อแม่กลายเป็นข้าช่วงใช้ของลูก ส่วนลูกกลายเป็น ลูกบังเกิดเกล้า ที่พ่อแม่ต้องยอมให้เขาทุกอย่าง ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมตามที่ลูกต้องการลูกบางคนก็ถึงขั้นทุบตีทำร้ายพ่อแม่พ่อแม่บางคน (๓) ทำร้ายลูกด้วยการไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอนเมื่อลูกทำผิด ทำเลว ทำบาป ผลก็คือ ลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น มองไม่เห็นเส้นแบ่งทางจริยธรรมว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล ระรานคนเขาไปทั่วพ่อแม่บางคน (๔) ทำร้ายลูกด้วยการให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว ผลก็คือ ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ไม่เห็นคุณค่าของผู้ที่หา/และให้เงิน ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งผลาญเงินเก่ง มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ และทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินสูง แต่กลับมีคุณภาพชีวิตต่ำพ่อแม่บางคน (๕) ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เกรงว่าหากให้ลูกทำอะไรด้วยตนเองแล้วเขาจะลำบาก ผลก็คือเมื่อโตขึ้นลูกกลายเป็นลูกแหง่ที่พึ่งตนเองไม่ได้ ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็น ยิ่งเติบโตยิ่งเป็นตัวปัญหาของสถาบันครอบครัวพ่อแม่บางคน (๖) ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี มัวแต่สนใจลงทุนในการทำธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ไม่รู้จักลงทุนในการสร้างลูกให้เป็นปัญญาชน ผลก็คือลูกเติบโตแต่ตัว แต่ทว่ามีสติปัญญาที่ต่ำต้อย ขาดทักษะการคิด การใช้เหตุผล การทำงาน การเข้าสังคม เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถร่วมเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเท่านั้นแต่ยังสร้าง ปัญหาให้สังคมอีกต่างหากพ่อแม่บางคน (๗) ทำร้ายลูกด้วยการทำแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน โดยลืมไปว่าคนที่ตนต้องสงเคราะห์ก่อนดูแลก่อนต้องให้ความรักก่อนก็คือลูก ผลก็คือแม้จะกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประสบความสำเร็จนอกบ้าน สังคมสรรเสริญ แต่กลับเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวในบ้าน และลูกกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น ไม่พร้อมจะแบ่งปันความรักและความอบอุ่นให้ใครพ่อแม่บางคน (๘) ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน หรือในการทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ผลก็คือลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ ยกย่องชมเชยใครไม่เป็น เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ เขาจึงเป็นนักอิจฉาริษยาตัวฉกาจ ที่จ้องแต่จะหาทางทำลายคุณงามความดีของคนอื่นพ่อแม่บางคน (๙) ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสอนเขาให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ผลก็คือ เมื่อโตขึ้น เขาจึงพร้อมผละหนีพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้สึกผิด ไม่เห็นความจำเป็นว่า การเป็นลูกที่ดีนั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตนอย่างไรพ่อแม่บางคน (๑๐) ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนลูกให้รู้จักการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ผลก็คือเมื่อโตขึ้นเขาจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ คิดแต่จะกอบโกย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนมองไม่เห็นหัวคนอื่น แทนที่จะถือหลัก ยิ่งรวยยิ่งให้ ยิ่งได้ยิ่งแบ่งกลับถือหลัก ยิ่งรวยยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งแบ่งปันยิ่งสูญเสียเปล่าพ่อแม่บางคน (๑๑) ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง ผลก็คือ ลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ ต้องเดินตามคนอื่นโดยดุษฎีพ่อแม่บางคน (๑๒) ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลก็คือเขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคาราวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนดีของเพื่อนมนุษย์พ่อแม่บางคน (๑๓) ทำร้ายลูกด้วยการไม่แนะนำให้ลูกรู้จักคบเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร (เพื่อนแท้) ผลก็คือรอบกายของเขาจึงมีแต่บาปมิตร (เพื่อนเทียม) คอยประจบสอพลอ คอยหลอกล่อให้ทำความเลวทรามต่ำช้า ติดสุรา ยาเสพติด นำพาชีวิตไปในทางเสียหาย ตกอยู่ใต้วังวนของอบายมุข สนุกสนาน ไม่สนใจหาแก่นสารให้กับชีวิตพ่อแม่บางคน (๑๔) ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเป็นคนรักการอ่าน รักการเขียน รักการเรียนรู้ รักการเดินทาง ปล่อยให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองไปตามยถากรรม ผลก็คือเขากลายเป็นคนหูตาคับแคบ ขาดความรู้พื้นฐาน ขาดความรู้รอบตัว ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การคิด พูด ทำ ไม่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขาดความแหลมคม ตามไม่ทันโลก ตกข่าว เป็นคนว่างเปล่าทางความรู้ (รอบตัว) ความคิด จิตใจ และไม่มีรสนิยมอย่างอารยชน
จริงแค่ไหนที่ว่าตามใจแล้วลูกจะนิสัยเสีย? จากคุณJanE & IK
ก่อนที่เจนจะได้ทำงานดูแลเด็กๆ เจนก็มีความคิดโน้มเอียงเหมือนที่เคยอ่านเจอทั่วๆไปว่า เด็กส่วนใหญ่ที่ไม่น่ารัก คิดถึงแต่ตัวเอง ติดหรู เอาแต่ใจ ควบคุมไม่ได้นั้นเป็นเพราะถูกตามใจมากเกินไป อยากได้อะไรก็ได้ทุกอย่างจนทำให้นิสัยเสียแต่เมื่อได้ทำงานกับเด็ก จริงๆ กลับพบว่าเด็กหลายคนที่เป็นลูกสาวสุดที่รักของคุณพ่อคุณแม่ มีคนคอยเอาอกเอาใจ อยากได้อะไรก็ได้ แต่พวกเขาหลายคนก็เป็นเด็กที่น่ารัก อยู่ในโอวาทและไม่ได้มีนิสัยอย่างที่ยกตัวอย่างมาในขณะที่เด็ก อีกกลุ่มๆที่มีนิสัยอย่างที่ยกตัวอย่างมาในบรรทัดแรก นิสัยที่ไม่น่ารักเท่าไหร่ พวกเขาหลายคนก็ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจแต่ประการใดถ้าให้สรุป สั้นๆก็ต้องบอกว่าเด็กทั้งสองกลุ่มนั้นก็มีทั้งนิสัยที่น่ารักและนิสัยที่ ไม่น่ารักเช่นเดียวกัน การตามใจมาก ตามใจน้อย ซื้อของแพงๆหรือของถูกๆให้ลูกใช้ ทั้งหมดทั้งปวงชี้วัดไม่ได้ว่าเป็นสาเหตุให้เด็กนิสัยเสียหรือเปล่าบางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของ โชค ลิขิต หรือเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วแต่ เจนเชื่อว่าทุกอย่างมีที่มาที่ไปและเมื่อได้พยายามศึกษาเปรียบเทียบสิ่ง ต่างๆของเด็กสองกลุ่มนี้ก็ได้พบว่ามีบางอย่างที่น่าจะเป็นสาเหตุและบางสิ่ง ที่พอจะใช้เป็นตัวชี้วัดข้อแตกต่างได้และถ้าอยากรู้ว่า "เราตามใจลูกมากเกินไปหรือเปล่า" "ให้แบบนี้จะเป็นการสปอยล์เด็กหรือไม่" สำหรับเรื่องนี้บางทีอาจมีบางอย่างที่พอใช้เป็นคำตอบได้เจนบอก ก่อนว่าสิ่งที่เจนเขียนๆขึ้นมาจากความรู้สึกและผลิตผลจากประสบการณ์ไม่ใช่ รายงานทางวิชาการหรือการทำวิจัย คุณพ่อคุณแม่จะมีความเห็นเช่นไรนั้นขอได้โปรดใช้วิจารณญานตัดสินใจด้วยตัว เอง== ตามใจลูกมากไปไหมอย่าตัดสินจากสิ่งที่ให้แต่ให้ตัดสินเมื่อพูดคำว่าไม่ ==ซื้อของแพงๆให้ลูก จะทำให้ลูกเสียคนไหม เจนบอกเลยว่าไม่ว่าคุณจะซื้ออะไรให้ ก็ใช้ชี้วัดไม่ได้แต่ สิ่งที่ชี้วัดได้คือเมื่อคุณพูดคำว่า "ไม่" , "อย่า" , "หยุด" ลูกมีปฎิกิริยาอย่างไร ถ้าจะบอกว่าลูกต้องไม่รู้สึกอะไรเลยคงเป็นไปได้ยาก ถ้าลูกจะหน้างอหรือซึมไปสักพัก เจนถือว่านั่นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่ถ้าโวยวาย ร้องไห้ กรี๊ดๆๆ ประท้วงไม่ไปเรียน ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง นั่นเป็นเครื่องชี้ชัดว่าคุณตามใจลูกมากไปแล้ว(โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสิ่งที่ ลูกต้องการนั้นเป็นสิ่งที่ลูกรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นสิ่งที่เกินกำลัง เกินฐานะของครอบครัว)สำหรับเจนการให้อะไรกับลูกมากแค่ไหนก็ไม่ทำให้นิสัยเสีย ตราบใดที่คุณพูดคำว่า "ไม่" แล้วลูกยังเคารพในการตัดสินใจของคุณตัว เจนเองจะบอกน้องอิ๊กว่า ถ้าลูกอยากได้อะไร พ่อกับแม่จะพิจารณาว่าสิ่งที่ลูกอยากได้นั้นมันจำเป็น เหมาะสม คุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน ส่วนความอยากได้มากอยากได้น้อยของลูกเราก็จะเอามาพิจารณาเพื่อใช้ในการ ตัดสินใจด้วยเช่นกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าลูกอยากได้มากแล้วแปลว่าจะต้องได้ และบาง ทีแม้สิ่งที่ลูกอยากได้นั้นอาจจะดูไม่ค่อยคุ้มค่าแต่ถ้าลูกอยากได้จริงๆบาง ทีเจนก็ซื้อให้ แต่จะบอกลูกว่าที่ซื้อให้นี่เป็นกรณีพิเศษนะไม่ได้หมายความว่าถ้าลูกอยากได้ อะไรแบบนี้อีกแล้วแม่จะต้องซื้อให้เหมือนครั้งนี้ตลอด== น้ำที่ไหลไม่เคยเน่า ==สาเหตุ ที่ทำให้เด็กไม่เป็นที่รัก เอาแต่ใจ ไม่เคยคิดถึงใครนอกจากตัวเอง จนทำให้พ่อแม่ลำบากใจ และมีปัญหาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมสาเหตุ หลักไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาได้รับสิ่งต่างๆมากเกินไปแต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ รู้จักคำว่า "ให้" ไม่รู้จักคำว่า "เสียสละ" ไม่เคยถูกสอนให้คิดถึงความรู้สึกของใครแม้แต่บุคคลในครอบครัวของตัวเองตัว เจนเองจะบอกลูกเสมอว่าไม่ว่าพ่อกับแม่จะทำอะไรพ่อกับแม่จะคิดถึงความรู้สึก ของหนูก่อนเสมอ เพราะฉะนั้นไม่ว่าหนูจะทำอะไรหนูก็ต้องคิดถึงความรู้สึกของพ่อแม่ด้วย และ "แม้ชีวิตหนูจะเป็นของหนูแต่อย่าลืมว่าพ่อแม่ก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของหนู ด้วยเช่นกัน"สำหรับเจนลูกอยากกินสเต็ค อยากกินเค้ก เจนให้แล้วก็ไม่เคยคิดว่าให้ลูกกินของแพงๆแล้วลูกจะติดหรูหรือฟุ้งเฟ้อ สิ่งที่เจนสนใจคือเมื่อเจนบอกลูกว่าวันนี้แม่อยากกินก๋วยเตี๋ยวร้านข้างถนน ลูกมีปฎิกิริยายังไง "แม่อยากกินเหรอ ได้เลยคะ" หรือ "ไม่เอาหรอก หนูไม่ชอบ แค่คิดว่าต้องไปเหยียบร้านแบบนั้นหนูก็ทนแทบไม่ได้แล้ว"ปิดเทอมไปเที่ยวทะเล น้องอิ๊กก็เหมือนเด็กทั่วๆไปอยากพักโรงแรมดีๆ ดาวเยอะๆ สระว่ายน้ำใหญ่ๆเจน ก็ให้ลูกเท่าที่จะให้ได้ แล้วก็ไม่เคยคิดว่านี่คือการสปอยล์ สิ่งที่เจนสนใจคือเมื่อเตียงไม่พอต้องเสียสละให้คุณตาคุณยาย ลูกมีปฎิกิริยายังไง "ให้คุณตาคุณยายนอนเตียง หนูนอนพื้นได้ไม่มีปัญหา" หรือ "หนูจะนอนเตียง ถ้าไม่งั้นหนูจะกลับบ้าน"ฝนตกลงในทะเลสาบจำนวน มากแต่น้ำในทะเลสาบไม่เน่าเพราะแม้จะรับน้ำมามากแต่น้ำก็ "ไหล" ไปสู่ที่อื่นด้วยเช่นกัน แต่น้ำในขันเล็กๆที่ฝนตกมาเพียงเล็กน้อยก็เน่าได้ถ้ามีแต่การ "รับ" เข้ามาแต่ไม่มีการถ่ายเทไปที่ไหนทั้งสิ้น== เอาใจลูกแต่อย่าตามใจ ==พ่อแม่หลายคนสับสนระหว่างคำสองคำนี้สำหรับ เจน "เอาใจ" เป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่สมาชิกในครอบครัวควรทำให้กันและกัน เช่น ให้สิ่งของกับลูกในสิ่งที่สมเหตุสมผล ทำสิ่งต่างๆให้ลูกในสิ่งที่ลูกทำเองได้ลำบากหรือทำในสิ่งที่เขาทำเองได้เป็น ครั้งคราวเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นที่รักและได้รับความเอาใจใส่ เช่น พาลูกไปกินไอศครีมในวันหยุด ซื้อของเล่นที่ลูกอยากได้ตามสมควร ตัดเล็บ เป่าผม ให้ลูกเป็นครั้งคราวส่วนตามใจคือให้ทุกสิ่งอย่างโดยไม่คำนึง ถึงเหตุและผล ทำทุกอย่างให้ลูกทุกครั้งทั้งๆที่เป็นสิ่งที่ลูกทำเองได้ เช่น เปลี่ยนมือถือให้ลูกทุกสองเดือน ลูกเห็นโฆษณาไอศครีมตอนห้าทุ่มแล้วอยากกินก็ขับรถออกไปซื้อให้ลูก ใส่ถุงเท้า รองเท้าให้ลูกทุกครั้งทั้งๆที่ลูกโตพอที่จะทำเองได้และถ้าการให้ลูกทุกอย่างแบบไม่ลืมหูลืมตาเป็นสิ่งที่ผิดการไม่ให้ลูกในสิ่งที่สมควรต้องให้สำหรับเจนก็เป็นเรื่องที่ผิดไม่แพ้กันคนหลายคนที่มีความคิดและการกระทำที่เป็นภัยต่อมนุษยชาติ เมื่อศึกษาลึกลงไปแล้วเป็นเพราะความรู้สึก "ขาด" ในวัยเด็กคนที่ขาดมากนั้น เวลาได้เขาจะไม่มีวันรู้จักพอแล้วไม่ว่าจะมีมากแค่ไหนเขาก็จะไม่คิดแบ่งปันให้ใครบ้าเงิน บ้าอำนาจ โหยหาความรักไม่มีที่สิ้นสุด อาการเหล่านี้มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจาก "ขาด" ไม่ใช่ได้รับมากจนเกินไป== หลากหลายได้ประโยชน์มากที่สุด ==จากประสบการณ์ เจนสังเกตเด็กหลายคน เด็กที่ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดจากพ่อแม่เสมอเด็กที่คนภายนอกมองว่าพวกเขาโชคดีและน่าจะมีความสุขสุดๆน่า เสียดายที่พวกเขาได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดจนเคยชินและมองไม่เห็นค่า และเมื่อพวกเขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุดอีกสักอย่างพวกเขากลับไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาได้สิ่งที่ดีแต่ไม่ดีที่สุดในความคิดพวกเขา ความทุกข์ ความผิดหวังจะก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วรุนแรงและง่ายดายสำหรับเจนๆจะไม่ทำแบบนั้น เจนจะไม่เลี้ยงให้ลูกติดหรูแต่ก็ไม่ต้องติดดินไม่ต้องประหยัดไปเสียทุกอย่างเจนเชื่อว่าเด็กที่ปรับตัวได้หลากหลาย พร้อมรับสิ่งใหม่ๆและรู้จักหาความสุขได้ในทุกสถานการณ์นั้นดีที่สุดเจนไม่เคยปล่อยให้ลูกลำบากโดยไม่จำเป็น แต่ก็จะไม่รีบเดือดร้อนแทนลูกไปล่วงหน้าเจน เคยเห็นพ่อแม่หลายคนเดือดร้อนล่วงหน้าไปก่อนลูก แล้วเมื่อลูกเจอสิ่งที่พ่อแม่มองว่าลำบากเด็กกลับไม่รู้สึกอะไรแถมกลับ รู้สึกสนุกเสียด้วยซ้ำตัวเจนเองเจนพาลูกไปเที่ยวทั้งแบบที่ให้นอนเต๊นท์ ห้องน้ำรวม และก็พาไปนอนโรงแรมดีๆ แบบที่ลูกอยากไปก่อนพาไปแบบที่ต้องนอนเต็นท์ ก็ถามลูกว่าไหวไหม ลูกบอกว่า "พักที่ไหนก็ได้ขอแค่ได้นอนกับแม่"ก่อน ไปยอมรับว่าหวั่นอยู่เหมือนกันว่าลูกจะไม่ชอบ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ลูกกลับบอกว่า "สนุกดีออกแม่ พึ่งเคยนอนเต็นท์เป็นครั้งแรก ฝนตกลมแรงรู้สึกเหมือนเต๊นท์จะปลิว ตื่นเต้นๆเกิดมาไม่เคยเจอ"อีก ครั้งตอนไปเที่ยวมาเลเซียทัวร์ท้องถิ่นเอาข้าวกล่องมาเสริฟให้เป็นอาหาร ประจำชาติ รู้สึกจะชื่อ นาสิเลอมัก เป็นข้าวหุงด้วยกะทิ กินกับแตงกวา ปลาแห้ง ถั่วคั่ว ไข่ต้ม ใส่บนใบตองทันทีที่แฟนเจนเห็น แฟนบอกว่า "ลูกกินไม่ได้หรอก เดี๋ยวแวะซื้อแม็ค(โดนัลด์)กับเฟรนช์ฟรายส์ให้ลูกแล้วกัน"เจนหันไปหาลูกๆก็พยักหน้าบอกว่าจะกินแม็คๆเจน ไม่บังคับแต่บอกลูกว่า "ดูสิข้าวก็หุงด้วยกะทิหอมเชียว ปลาก็ไม่เหมือนที่เคยกินเพราะมาจากคนละทะเล ไข่ก็ลูกใหญ่ แถมวางมาบนใบตองอีกแปลกดีจัง หนูจะไม่กินก็ได้นะแต่ไม่เสียดายเหรอแม็คนะกินเมื่อไหร่ก็ได้แต่อันนี้นะมี แค่ที่นี่ที่เดียว"สุดท้ายลูกก็กินจนหมดด้วยความ "เต็มใจ"น่า เสียดายที่ความสนุกสนานประสบการณ์ตื่นเต้นผจญภัยในวัยเด็กของเด็กหลายคนนั้น หายไปโดยพ่อแม่ที่หวังดีมากเกินไปและตัดสินใจแทนลูกทุกสิ่งอย่างโดยใช้ มาตรฐานของ "ผู้ใหญ่"เจน ที่มา //www.pantip.com/cafe/family/topic/N10540053/N10540053.html#49จากคุณ : JanE & IK เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 19:59:02