ผมชื่อ เด็กชายออมบุญครับ
 
by: JanE & IK สอนลูกให้ฉลาด เป็นเด็กดี มีความสุข ต้องสอนให้รู้จักคิด

สอนลูกให้ฉลาด เป็นเด็กดี มีความสุข ต้องสอนให้รู้จักคิด

//www.pantip.com/cafe/family/topic/N11527298/N11527298.html


จากคุณ : JanE & IK
เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 00:01:44

สมองของคนเรานั้นก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่นคือยิ่งได้ใช้ ได้คิด มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งพัฒนาไปได้มากขึ้นเท่านั้น
ส่วน ตัวยอมรับว่าระบบการศึกษาของเราไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้เด็กได้ใช้ความคิดมาก สักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามการพูดถึงสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้ในตอนนี้นั้น ย่อมมีประโยชน์น้อยกว่าการพูดถึงสิ่งที่ "ใครๆก็ทำได้" เป็นแน่

ถ้า คุณอยากให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ ได้ฝึกใช้สมองและความคิดอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเติบโตมาอย่างมีคุณภาพเป็นคนที่มีความสุขและมีความมั่นคงทางอารมณ์ ปีใหม่นี้เจนมีอะไรเล็กๆน้อยๆมานำเสนอ



== เลิกถามคำถามแบบปลายปิด ==

คำ ถามแบบปลายปิดคือคำถามปะเภท ใช่หรือไม่ ดีหรือเลว ถูกหรือผิด การถามคำถามแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมองมากสักเท่าไหร่ เช่น ถามว่า คนที่โมโหแล้วทำร้ายคนอื่นเป็นคนดีหรือไม่ แน่นอนเด็กตอบได้ว่าไม่ดี แล้วสมองของเด็กก็จะหยุดคิดแค่นั้น หรือถ้าคิดต่อก็มักจะเป็นการด่าทอ ประนาม สาบแช่ง ซึ่งมักจะสร้างความขุ่นเคืองทางอารมณ์มากกว่าจะช่วยพัฒนาสมอง

คำถาม ที่ควรจะถามเด็กควรเป็นคำถามแบบปลายเปิดให้เด็กเติมต่อท้ายเอง ถ้าเด็กยังเล็กๆอาจเริ่มจากคำถามง่ายๆ เช่น จากตัวอย่าง คนที่โมโหแล้วทำร้ายคนอื่นเป็นคน......

เด็กอาจตอบว่า ไม่ดี ,อารมณ์ร้าย,ไม่น่าคบ,อันธพาล การถามคำถามปลายเปิดแบบนี้นั้นจะช่วยให้เด็กได้ใช้สมองมากขึ้น และเมื่อเด็กโตขึ้นหรือมีความรู้มากขึ้น เราก็เพิ่มความซับซ้อนของคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น จากตัวอย่าง คนที่โดนรังแกจนทนไม่ไหวเมื่อความอดทนหมดแล้วโมโหทำร้ายคนที่มารังแกเป็น คน..... คำตอบของเด็กอาจจะเหมือนเดิมหรืออาจเปลี่ยนเป็น กล้า,รักความยุติธรรม,มีความเป็นลูกผู้ชาย ก็เป็นได้ซึ่งถ้าคำตอบของเด็กเปลี่ยนไปเราก็ต้องอธิบายเพิ่มว่าความคิดของ เขานั้นเป็นอย่างไร และถ้าเรื่องนั้นเป็นสิ่งสำคัญหรือสิ่งที่น่าสนใจเราอาจถามเจาะลึกลงไป เรื่อยๆ เช่น ถ้าหนูเป็นคนที่ถูกรังแกหนูจะทำแบบนี้ไหม ถ้าไม่แล้วจะทำอย่างไร,การถูกกระทำด้วยความรุนแรงในวัยเด็กมีส่วนทำให้เขา เลือกตอบโต้ด้วยวิธีนี้หรือเปล่า เป็นต้น

การถามคำถามแบบปลายเปิดนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ช่วยให้เด็กได้ใช้สมองมากยิ่งขึ้นแต่ยังช่วยให้เด็กเข้าใจโลก รู้จักคิด และไม่ยึดติดว่าสิ่งใดๆนั้นต้องถูกหรือผิด โง่หรือฉลาดเสมอไป เพราะอย่างที่ทราบกันว่าหลายสิ่งในโลกนี้นั้นเป็นสีเทาที่ยากจะชี้ชัด และหลายอย่างเป็นเรื่องความชอบหรือรสนิยมไม่ใช่โง่หรือฉลาด


== เลิกให้คำตอบสำเร็จรูปกับเด็ก ==

ถ้า เด็กยังเล็กหรือไม่มีความรู้ใดๆในเรื่องนั้นเลย แน่นอนว่าเราจำเป็นที่จะต้องสอนต้องให้ความรู้กับเด็กก่อน แต่เมื่อเด็กพอมีความรู้บ้างแล้ว เมื่อเด็กถามเราควรพยายามให้เด็กนำความรู้ที่มีอยู่มาต่อยอดไม่ใช่เอาแต่ให้ แต่คำตอบสำเร็จรูปกับเด็กเสมอไป เช่น เด็กรู้ว่าพื้นที่หนึ่งตารางเมตรคือพื้นที่ขนาดกว้างหนึ่งเมตรยาวหนึ่งเมตร เมื่อเด็กเห็นโฆษณาขายบ้าน 50ตร.ว. แล้วเด็กถามว่า 50ตร.วเท่ากับกี่ ตร.ม. แทนที่คุณจะบอกลูกไปเลย คุณควรบอกว่า หนึ่งวาเท่ากับสองเมตรแล้วให้ลูกไปลองคิดคำนวนหาเอาเองว่าคำตอบคือเท่าไหร่

หรือ อย่างลูกชอบดูฟุตบอล ดูโปรแกรมการแข่งขันในเวบบอกว่าคู่แรกจะเริ่มเตะเวลา15.00ตามเวลาในสหราช อาณาจักรแล้วลูกถามว่าตรงกับเวลาเมืองไทยกี่โมงถ้าคุณบอกไปว่าสี่ทุ่มพอคู่ ถัดไปเตะเวลา 17.30 ลูกก็อาจต้องมาถามใหม่ คุณควรสอนลูกว่าเวลาที่สหราชอาณาจักรเท่ากับเวลาสากลเชิงพิกัด (UTC) ส่วนที่ประเทศไทยจะต้องบวกไปอีกเจ็ดชั่วโมง(UTC+7)แล้วให้ลูกไปลองคิดหาเอา เองและเมื่อเขาจำได้แล้วนั้นไม่ว่าฟุตบอลจะเลื่อนเวลาแข่งขันไปเป็นเวลาใด เขาก็จะสามารถเทียบได้ไม่ต้องมาคอยถามคุณหรือวิ่งไปดูในหนังสือพิมพ์อีกต่อ ไป


== อย่าบอกแค่สิ่งที่ผิด แต่ต้องบอกสิ่งที่ถูกด้วย ==

ตั้งแต่ ทำงานดูแลเด็กมายอมรับว่าเด็กจำนวนไม่น้อยทำผิดแบบที่เรียกว่า "ฉันรู้ว่ามันผิดแต่ฉันก็ยังทำ" แต่ก็ไม่ใช่กับเด็กทุกคนโดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ

ถ้าเด็กเล็กๆเล่นกับ น้องหมาโดยการดึงหาง การบอกเด็กว่าหนูดึงหางน้องหมาแบบนั้นไม่ได้นะลูกเป็นสิ่งที่ถูก แต่ถ้าคุณบอกแค่นั้นเด็กก็จะรู้แค่ว่าเขาเล่นกับน้องหมาโดยการดึงหางไม่ได้ แล้วถ้าถามต่อว่าเด็กรู้ไหมว่าถ้าเขาอยากเล่นกับน้องหมาเขาต้องเล่นกับมัน ยังไง คำตอบของคำถามนี้คือถ้าเจนให้พวงกุญแจที่มีกุญแจสิบลูกให้คุณไปไขประตูแล้ว บอกคุณว่าไม่ใช่กุญแจดอกที่สาม คุณก็จะรู้แค่ไม่ใช่กุญแจดอกที่สามแต่จะเป็นกุญแจดอกที่ 1,2 หรือ 4-10 คุณก็ไม่รู้อยู่ดีก็ต้องเสี่ยงเดาเอาซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็เป็นได้ เด็กเล็กๆก็เหมือนกัน ถ้าเขาอยากเล่นกับน้องหมาอีกแล้วจำได้ว่าแม่ไม่ให้ดึงหางมัน เที่ยวหน้าเขาอาจจะกระโดดขี่มัน จับขามันลาก หรือกัดหูมันอย่างที่เขาทำกับตุ๊กตาก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องไม่ใช่แค่บอกว่าดึงหางมันไม่ได้ แต่ต้องบอกว่า ถ้าหนูอยากเล่นกับน้องหมา หนูต้องเกาคาง เกาพุง หรือลูบหัวหรืออะไรก็ว่าไป

แม้ กระทั่งเด็กโตบางทีก็เช่นกัน มีปีนึงลูกๆที่โรงเรียนที่พึ่งเข้ามาใหม่ เจนเห็นพวกเขากินขนมในห้องเรียนก็เลยบอกว่ากินในห้องไม่ได้เพราะนี่เป็นห้อง เรียน เดินกลับมาอีกทีเด็กก็มายืนกินตรงระเบียง เจนก็บอกอีกว่าที่นี่ก็กินไม่ได้เพราะใครมองขึ้นมาแล้วมันดูไม่ดี พอเดินขึ้นไปอีกชั้นแล้วเดินกลับลงมาอีกทีก็เจอเจ้าหนูสามตัวเดิมยืนกินที่ บันได ตอนแรกก็คิดในใจว่าจะชวนพวกเธอไปแทะขนมกันต่อที่ห้องของเจน แต่พอถามเด็กๆบอกว่าพอเจนบอกว่าในห้องเรียนกินไม่ได้เด็กก็เข้าใจว่าเพราะ เป็นห้องเรียนจึงกินไม่ได้เลยมากินที่ระเบียง พอบอกระเบียงก็ไม่ได้เพราะคนอื่นเห็นแล้วดูไม่ดี ก็เลยคิดว่ากินที่บันไดคงได้เพราะใครมองมาไม่เห็นก็คงไม่เป็นไรแล้วๆเด็กก็ ไม่รู้จริงๆว่าควรจะไปกินที่ไหน เจนก็นึกได้ว่าก็จริงก็เลยบอกเด็กไปว่าให้ไปกินที่โรงอาหารหรือบริเวณที่ จัดไว้ให้ในสวนหย่อม และตั้งแต่นั้นถ้ามีเหตุการณ์คล้ายๆแบบนี้อีกเจนก็จะบอกเด็กเสมอว่าหนูทำแบบ นี้ไม่ได้และต้องทำแบบไหนไม่ใช่แค่บอกว่าทำแบบนี้ไม่ได้แต่เพียงอย่างเดียว


== ไม่มีทางเลือกที่โง่ มีแต่ทางเลือกที่ฉลาด ฉลาดกว่า และเหมาะสมในสถานการณ์นั้นที่สุด ==

"โง่" คำเดียวสั้นๆที่ออกจากปากผู้ใหญ่นั้นทำลายความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเองของเด็กได้เป็นอย่างดี

เด็ก หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่หลายคนเลือกที่จะเงียบหรือไม่แสดงความคิดเห็นอะไร เพราะกลัวว่าถ้าตอบแล้วผิดหรือไม่ถูกใจแล้วจะถูกอีกฝ่ายหาว่าโง่

ประเด็นเรื่องนี้คือ ไม่ว่าเด็กจะเสนอความคิดอะไรคุณต้องไม่บอกว่า ความคิดของพวกเขาโง่ ไม่มีสมอง หรือ ใช้อะไรคิด

ถ้าความคิดของพวกเขานั้นไม่ถูกไม่ควรให้อธิบายว่าถ้าทำตามที่พวกเขาว่าแล้วผลลัพธ์ที่ออกมามันจะไม่พึงประสงค์มากแค่ไหน

ถ้า ความคิดของเด็กเป็นทางเลือกที่ดีแต่ไม่ใช่ดีที่สุดหรือเหมาะกับสถานการณ์ที่ สุด คุณต้องชมและเห็นด้วยกับเด็กก่อนๆจะอธิบายว่าทางที่เขาเสนอนะดีแต่จะดีกว่า ไหมถ้าใช้ทางเลือกนี้แทนหรืออธิบายว่าสถานกาณ์เปลี่ยนไปทำให้มีทางเลือกใหม่ ที่เหมาะสมกว่าขึ้นมาแทนแต่ไม่ใช่ว่าทางเลือกที่เด็กเสนอไม่ดีหรือโง่หรือ แย้งสิ่งที่เด็กเสนอตั้งแต่ต้น

อย่างวันเกิดน้องอิ๊กที่ผ่านมา เจนพาลูกไปเลือกเค้กที่จะเอาไปตัดกินกันในงานวันเกิด ตอนแรกลูกก็เลือกปอนด์ที่ใหญ่ที่สุด เจนก็บอกลูกว่า ปอนด์ใหญ่ขนาดนี้ก็ดีนะจะได้กินกันพอทุกคน แต่ เอ ครั้งนี้เราไปเลี้ยงกันในร้านอาหารแบบบุฟเฟท์ที่ทุกคนชื่นชอบ ซึ่งทุกครั้งที่ไปทุกคนก็อิ่มจนพุงกาง พอเจนพูดแค่นี้ลูกก็บอกว่าใช่ๆ หนูลืมเรื่องนี้ไปเลยแล้วก็เปลี่ยนไปเลือกเอาปอนด์ที่เล็กสุดแล้วบอกเองว่า เอาแค่ไปกินเป็นพิธีก็พอโดยที่เจนไม่ต้องบอกอะไรต่อ

แน่นอนว่าถ้า เจนบอกลูกว่า "โง่หรือไง กินบุฟเฟท์ก็อิ่มจะตายอยู่แล้ว ใครเขาจะไปสนใจเค้กเธอ เอาอันที่เล็กที่สุดก็พอ" ความรู้สึกของลูกตอนออกจากร้านเค้กคงไม่เหมือนกันเป็นแน่

หรือตอนที่ พาคุณตาคุณยายไปทานข้าวช่วงที่กรุงเทพน้ำท่วมพอคุณตาถามว่าร้านที่จะไปจะ ต้องขับรถไปทางไหนลูกก็บอกว่าต้องตรงไปพอถึงแยกเลี้ยวซ้ายแล้วไปเข้าซอยลัด อันนี้ไปทะลุออกซอยนี้อย่าวิ่งออกถนนใหญ่เพราะรถจะติด เจนเลยบอกลูกว่าหนูฉลาดจังเลยที่จำทางนั้นได้ไปทางนั้นนะดีเลยรถจะได้ไม่ติด แต่พอดีช่วงนี้ทางด่วนเปิดให้ขึ้นฟรีและทางนั้นมันใกล้กับแม่น้ำมากจะดีกว่า ไหมถ้าเราจะเลือกใช้ทางด่วนแทน



สุดท้ายนี้ขอสวัดดีปีใหม่ ขอให้ทุกท่านมีความสุขพบเจอแต่สิ่งดี ๆ คนดีๆ คิดทำสิ่งใดขอให้สมดั่งใจปรารถนาทุกประการ




เจน



Create Date : 09 มกราคม 2555
Last Update : 31 มกราคม 2555 1:53:35 น. 0 comments
Counter : 439 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

น้องออมบุญ
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add น้องออมบุญ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com