ผมชื่อ เด็กชายออมบุญครับ
 
 

เมื่อแม่อายุย่างเข้าหลักสี่

เมื่อแม่อายุย่างเข้าหลักสี่ แม่กลับมาทบทวนตัวเอง

 ☆แม่ควรจะใช้เวลาที่มีร่วมกันกับลูกๆให้มากขึ้น อะไรไม่จำเป็นอย่าไปเสียเวลาเพื่อมัน

☆แม่ควรเอาใจใส่ดูแลพ่อแม่ ที่ชราลงไปมากแล้วในตอนนี้ให้ดีที่สุด

☆แม่จะเป็นคนจัดสรรเวลาให้กับงานเสียใหม่ ไม่ให้งานมากำหนดเวลาในชีวิตของเราทั้งหมด แต่จะเลือกงานที่เรากำหนดเวลา และรายได้ด้วยตัวเราเอง

☆แม่ควรเลิกกินน้ำอัดลม อาหารไร้ประโยชน์ อาหารฟุ่มเฟือย(ราคาเกินสมควร) เพื่อเก็บเงินที่ต้องจ่ายเกินไปเพื่อเพิ่มเงินส่วนเก็บ

☆แม่ควรหยุดพฤติกรรม กินตามความชอบ ตามใจปาก แล้วควรถามตัวเองเสมอว่า ถ้าอยากมีสุขภาพี่ดี และต่ออายุให้มากขึ้นอีกนิด อาหารควรเป็นอะไร

☆แม่จะหยุดการประโคมสีสันบนใบหน้า แต่เพิ่มการแต่งแต้มใบหน้าด้วยรอยยิ้มแทน แค่นี้ แม่คิดว่าแม่ก็งามขึ้นมากแล้ว

☆แม่จะใช้ดวงตาของแม่ มองดูโลกให้มากขึ้นอีกหน่อย ลดการใช้ดวงตาตกกระทบกับอุปกรณ์สื่อสาร และมองลูกให้เต็มตาทุกๆครั้งที่เราพูดคุยกัน

☆แม่ต้องเริ่มออกกำลังกายจริงๆจังๆได้แล้ว ไม่ใช่เพราะกลัวอ้วน แต่ตอนนี้หลายๆอย่างในร่างกายต้องใช้การออกกำลังในการเยียวยา ฟื้นฟูและแก้ไข เผื่อจะต่ออายุได้อีกนิด

☆ลูกเริ่มโตขึ้นแล้ว นอกจากเราจะต้องประหยัดค่าใช้จ่ายแม่ต้องสอนให้ลูกเริ่มมองเรื่องการทำธุรกิจไปด้วยแล้ว เพราะแม่อ่านหนังสือมามาก คนที่บริหารการเงินเป็น คนนั้นจะไม่ฝืดเคืองในอนาคต ซึ่งลูกควรรู้เรื่องนี้ก่อนจะโตไปแล้วใช้เงินเป็นอย่างเดียว หาเงินไม่ได้ เก็บเงินไม่อยู่ ไม่รู้เรื่องการลงทุน ในโลกนี้คนโง่เป็นเหยื่อคนฉลาด แต่การเลี้ยงลูกให้เป็นปราชญ์ ต้องทั้งฉลาดและมีคุณธรรม

☆สุดท้ายแม่จะเปิดคลาสสอนแนวคิดดีๆให้พ่อแม่คนอื่นๆด้วย ค่อยๆทำจากกลุ่มเล็กๆ ที่สนใจ

☆แม่ควรจะสอนอะไรๆที่แม่คิดออกให้ลูกรู้ทันที ไม่ต้องรอให้โตก่อน เพราะแม่ไม่แน่ใจว่า แม่จะมีชีวิตอยู่ตอนลูกโตหรือเปล่า เพราะชีวิตมันไม่แน่นอน

☆ถ้าแม่รู้ว่าทำอะไรแล้วเป็นผลดีต่อชีวิต แม่จะเปลี่ยนแปลงทันที ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่อ้างโน่นอ้างนี่ เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก

☆ผมแม่เริ่มมีสีขาวแล้ว แม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่ควรปรับการวางตัวให้เย็นลง สงบขึ้น มีเหตุผลให้มาก ควบอารมณ์ให้ดีขึ้น เพื่อให้คนที่ยกมือขึ้นไหว้แม่ ไม่เพียงแต่ไหว้ด้วยวัยที่สูง แต่แม่ควรยกตนเองให้สูงด้วย คุณธรรม คุณภาพ และคุณประโยชน์

☆แม่จะสนใจรูปพรรณ รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ให้น้อยลง แล้วมาดูแลเรือนใจ และรอยเหี่ยวย่นภายในจิตใจ ให้กระชับขึ้น ด้วยศีล สมาธิและปัญญา

เตรียมเป็นคนแก่ที่มีคุณภาพ เป็นแม่ที่ลูกๆจะรักและคิดถึงแม่เมื่อแม่ไม่อยู่ ขอให้ลูกจดจำ ดูแม่เป็นตัวอย่าง จำสิ่งที่แม่สอน มีแนวทางในชีวิต ที่แม่แนะไว้ให้

รักลูก




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2557   
Last Update : 2 กรกฎาคม 2557 2:28:23 น.   
Counter : 366 Pageviews.  


20 ข้อ ที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 45

20 ข้อ ที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 45

1. ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไปในสายวิชาที่ตนเลือก แต่ภาษาอังกฤษ จำเป็นมากๆ จงให้ใส่ใจ ส่วนวิชาอื่นๆ เอาแค่ดีพอหางานดีๆทำก็พอ เพราะโลกแห่งความเป็นจริง วัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ที่เกรด
ภาษาอังกฤษสร้างผลงานได้

2. การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสำคัญมากพอๆ กับการคร่ำเคร่งหน้าตำราเรียน

3. เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่า อาชีพนั้น..
สามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง

4. เมื่อถึงวัยทำงาน ใครเก็บเงินก่อน รวยเร็วกว่าและสิ่งสำคัญ
ที่ต้องจำไว้ คือ "ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด"

5. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุด เพราะมันจะเป็นเครื่องนำทางของคุณ ในชาตินี้ตลอดไป

6. ซื้อบ้านก่อน ที่จะซื้อรถ เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รถมีแต่มูลค่าลดลง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด

7. ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมาก รีบใช้ให้หมดโดยเร็วพลัน ก่อนที่จะแก่ แล้วผ่อนไม่ไหว

8. การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรก
สู่ความร่ำรวย แต่ขั้นต่อมา คือ ต้องรู้จักลงทุน. อย่าลืมคบกับที่ปรึกษาการเงินไว้เป็นเพื่อน

9. อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลกใบนี้ เพราะคุณจะไม่มีทาง รู้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้

10. คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้

11. ควรมีงานทำมากกว่า 1 งาน
เพราะความมั่นคง ไม่เคยมีบนโลกใบนี้

12. อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้แค่อย่างเดียว
เพราะความสามารถของคนเรา มีมากกว่า 1 เสมอ

13. เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามา
จงอย่าปฏิเสธ ถึงจะล้มเหลว แต่มันก็คือ ประสบการณ์

14. สร้างเนื้อ สร้างตัว
ให้ได้เร็วที่สุด ในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็นหนุ่ม-สาว เพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมาก ไม่ใช่เรื่องสนุก

15. ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาว
เพราะเมื่อมีครอบครัว การเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม

16. เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดีๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขา แต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้มากแค่ไหน

17. การมีแฟน หรือสามีภรรยา ยังเลิกกันได้ แต่ความเป็นพ่อแม่ลูก นั้นเลิกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ

18. ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถ
ทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้

19. ลองหาเวลาอยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง อย่าแบก
โลกทั้งใบไว้คนเดียว และอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต

20. สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง โปรดถนอม
ตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่น อย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2557   
Last Update : 2 กรกฎาคม 2557 2:25:18 น.   
Counter : 519 Pageviews.  


การสร้างลูกให้เป็นนักคิด

Tips การสร้างลูกให้เป็นนักคิด
แหล่งข้อมูล การบรรยายพิเศษในหัวข้อ"สร้างลูก (ศิษย์)รัก ให้เป็นนักคิด
โดย รศ. ดร. อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์
ประธานศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 ณ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ฯ


1. พ่อแม่เป็นผู้ที่มีบทบาทสูงสุดในการพัฒนากระบวนการคิดของลูกมิใช่โรงเรียน
2. สมองเป็นอวัยวะที่ "ถ้าไม่ถูกใช้ ก็จะถูกทำลาย" use itor lose it
3. เด็กในวัย 0-8 ปี เรียนรู้ด้วยระบบ "ดูด" จากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวไม่ใช่การถูกสอน
4. การถักทอความคิด เกิดจากการสังเกตุ "ธรรมชาติ"คนที่เข้าถึงธรรมชาติจะพัฒนาเป็นอัฉจิยภาพได้
5. การฝึกให้เด็กแก้ปัญหา ช่วยให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์
6. ความสามารถในด้านมิติสัมพันธ์ ทำให้เด็กรู้จักการพลิกแพลง และมีจินตนาการที่ดีบุคคลที่มีศักยภาพด้านนี้ เช่น ไอน์สไตน์
7. สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะบ้าน ต้อง "สะอาด สงบ สบาย" จึงจะอำนวยต่อการสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก บ้านที่มีของมากเกินไปมักทำให้เด็กขาดจินตนาการ
8. ในยามที่พ่อแม่ "สบตา"ลูกด้วยความรักและความอบอุ่น จะทำให้สารความสุขหรือ endorphineในสมองของลูกหลั่งออกมา และในการเรียนรู้ใดๆที่เกิดขึ้นหลังจากการหลั่งสารความสุขนี้ จะถูกฝังลงไปใน DNA !!
9. ในยามที่พ่อแม่หรือครูบาอาจารย์ ฯลฯ แผ่รังสีอำมหิตให้กับเด็กจะเกิดการหลั่งฮอร์โมน cortisol ซึ่งจะไปทำลายสมองส่วนหน้า ทำให้ระบบการจดจำของเด็กถูกทำลายไป !!
10. ความรู้สึกอยู่ในรูปของพลังงาน เพียงหลับตาแล้วส่งความรู้สึกดีๆให้กับลูกๆของเราแม้จะอยู่ห่างไกลกัน เค้าก็จะรับรู้ได้และจะช่วยให้ลูกเป็นเด็กอารมณ์ดีและมีความสุข ^^
11. อย่า !!! ตั้งกติกาในบ้านมากเกินไป อย่านั่น! อย่าโน่น! อย่านี่ !จะเป็นตัวปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์
12. การตั้งคำถามที่ดีเป็นเรื่องสำคัญ ควรตั้งถามที่มีได้หลายคำตอบ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้ดีกว่า คำถามที่มีคำตอบถูกหรือผิดเท่านั้น
13.ความสำคัญของกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ สำคัญกว่า ตัวคำตอบเอง
14. นอกจากความช่างสังเกตุแล้ว ความละเอียดอ่อนก็เป็นอีกปัจจัยในการก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ
15. การคิดอย่างมีวิจาราณญาณ เป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับเด็กหรือแม้แต่ผู้ใหญ่เองโดยเฉพาะในยุคนี้ที่เราสามารถเข้าถึง ข้อมูล ข่าวสาร และสื่อต่างๆ ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
16. ฝึกให้ลูกตั้งตั้งคำถามเมื่อได้รับข้อมูลต่างๆว่า ข้อมูลนี้มาจากแหล่งข้อมูลใดมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ถ้าไม่แน่ใจให้wait and see อย่าเพิ่งรีบเชื่อ
17. ฝึกให้ลูกเห็น "คุณค่า" ของสิ่งต่างๆ และ "คุณค่า"ของการลงมือทำบางสิ่งให้สำเร็จด้วยตนเอง ให้ยึดแนวปฏิบัติตามรอย "สมเด็จย่า" ว่าท่านเลี้ยงลูกอย่างไรจึงทำให้ประเทศไทย มีในหลวงที่มีอัฉจริยภาพในหลากหลายด้าน
18. สอนลูกว่าการทำสิ่งใดนั่นต้องทำให้เสร็จลุล่วง และไม่ใช่เสร็จอย่างเดียวแต่ต้องทำให้ดีด้วย
19. จากงานวิจัยที่ใช้เวลากว่า 80 ปี พบว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคนที่มีไอคิวสูงมากๆกับคนไอคิวปานกลางไม่ได้พบว่า คนที่มีไอคิวสูงจะมีคุณภาพชีวิตหรือมีบั้นปลายชีวิตที่สบายกว่าคนไอคิวต่ำ แต่อย่างใด หากแต่เป็นคนที่รู้จักสังเกตุ รู้จักคิด มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถคิดนอกกรอบได้ต่างหาก ที่สามาถพัฒนาไปเป็นอัฉริยภาพได้ในที่สุด จากผลการสำรวจความสามารถด้านการคิดของศูนย์พัฒนาอัฉริยภาพ พบว่าความสามารถทางด้านความคิดของเด็กไทยอยู่ในระดับวิกฤต !!! ดังนั้น การฝึกให้เด็กรู้จักคิดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาอัฉริยภาพในตัวลูกๆของเรา^^
20. การเล่นเกมส์เป็นการสะกดจิตตนเองรูปแบบนึง จึงต้องพึงระวังให้มากโดยเฉพาะเกมส์ที่ใช้ความรุนแรง เกมส์ที่มีการฆ่าฟันกันหรือแม้กระทั่งเกมส์ทางเพศต่างๆ
21. สิ่งที่ลูกคนรวยมากๆและจนมากๆ ต้องประสบ คือปัญหา พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ อันจะในไปสู่ปัญหาการติดยาเสพย์ติดในที่สุด เด็กที่ได้รับความรัก ความอบอุ่นและเวลาจากพ่อแม่มากเพียงพอจะไม่ติดยาเสพย์ติด เพราะสมองได้รับสารendorphine มากเพียงพอ ทำให้เค้ามีความสุขมากพอที่จะไม่ต้องไปหาสิ่งอื่นเพื่อมาสร้างความสุขให้ตัว เอง
22. ให้ลูกได้ทำในสิ่งที่รัก และรักในสิ่งที่ทำ แล้วจะทำให้เค้าทำในสิ่งนั้นๆได้ดี และเกิดความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆจนพัฒนาขึ้นมาเป็นอัฉริยภาพได้ในที่สุด
23." การเรียนหนังสือ" กับ "การสร้างการเรียนรู้" นั้นไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น เด็กๆในวัยประถมจึงควรได้สัมผัสธรรมชาติ เรียนรู้จากธรรมชาติมากกว่าที่จะไปอยู่ตามโรงเรียนพิเศษ

เรียบเรียงโดย ภญ. เพชรรัตน์ กรอนันต์สิริ(ชิงชิง)

ป.ล. ขอกราบขอบพระคุณสมาคมผู้ปกครอง ฯ และโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นอย่างสูงที่ได้เรียนเชิญ อาจารย์อุษณีย์ มาให้ความรู้ในครั้งนี้ อาจารย์น่ารักมากค่ะท่านเป็นกันเอง และครบถ้วนในเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมาก สำหรับผู้ปกครองที่มีความตั้งใจที่จะอบรมบ่มเพาะบุตรหลานของตนให้เป็น บุคคลากร

เป็นกำลังที่สำคัญของชาติสืบต่อไปหวังว่าทางผู้ปกครองจะได้รับโอกาสดีๆเช่นนี้ต่อๆไปค่ะ ^___^




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2557   
Last Update : 2 กรกฎาคม 2557 2:23:13 น.   
Counter : 628 Pageviews.  


อยากให้ลูกฉลาด พ่อแม่ต้องหย่าขาดจากการ “ขี้ชม” by sunday_female

อยากให้ลูกฉลาด พ่อแม่ต้องหย่าขาดจากการ “ขี้ชม”

 

 

จากคุณ : sunday_female

 

เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 55 21:09:33

 

 

สวัสดีค่ะเพื่อนๆสมาชิกชานเรือนทุกท่าน วันนี้จขกท อยากนำบทความเกี่ยวกับการชมลูกที่ได้เรียบเรียงไว้มาแบ่งปันให้พ่อแม่ในห้อง นี้ได้อ่านกัน สำหรับเพื่อนสมาชิกชมรมครูพ่อแม่นั้น คงได้อ่านบทความนี้กันแล้ว แต่จขกทคิดว่า บทความนี้มีประโยชน์และอยากให้พ่อแม่หลายๆท่านได้อ่านกันค่ะ

 

//kroopohmae.com/group/early-learning/forum/topics/praise

 

--------------------------------------------------------------

 

แม่ แอ๋วได้มีโอกาสอ่านบทความที่น่าสนใจเรื่องการเลี้ยงลูกให้ฉลาด และวิธีชมลูกอย่างไรให้ถูกวิธี พอได้อ่านบทความแล้ว ถึงกับอึ้ง และต้องกลับไปอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะไม่นึกมาก่อนเลยว่า ตัวแม่แอ๋วเองจะเป็นแม่ “ขี้ชม” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า praise junkies แถมไม่ใช่เป็นขี้ชมธรรมดานะคะ เป็นหนักมากค่ะ และไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า การที่เราบอกลูกทุกวันว่า “Good job! หรือ เก่งจังเลยลูก!” นั้นเป็นการบั่นทอนความมั่นใจของลูกในทางอ้อม และอาจจะส่งผลเสียต่อลูกได้ในระยะยาว
 
จากบทความ
How Not to Talk to your Kid ของ Po Bronson
เขาได้ยกตัวอย่างเด็กชายโธมัส ซึ่งเป็นเด็กมีพรสวรรค์ เกิดมาสมองดี สอบติดอันดับต้นๆของโรงเรียนสำหรับเด็กปัญญาเลิศ ในเมืองนิวยอร์ค ตั้งแต่จำความได้ เด็กชายโธมัสก็ได้ยินคนรอบข้าง ทั้งพ่อแม่ ผู้ใหญ่ ชมเชยเขาอยู่เสมอว่าเขาเป็นเด็กฉลาดหัวดี แต่ความฉลาดของเขานี้ไม่ได้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเด็กชายโธมัสเลย ตรงกันข้ามคือ เขาจะเลือกทำแต่สิ่งที่เขาทำได้ ส่วนอะไรก็ตามที่ทำไม่ได้ ก็จะไม่ยอมทำ พ่อแม่ก็พยายามบอกโธมัสว่า “ถึงลูกจะเกิดมาหัวดี ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกไม่ต้องใช้ความพยายามนี่น่า” พ่อแม่ต้องคอยเคี่ยวเข็ญให้เขาทำการบ้านวิชาที่ไม่ถนัดหรือไม่ชอบ หรือเขาจะยอมทำก็ต่อเมื่อโดนครูทวงแล้วนั่นแหละ ถึงจะยอมทำ น่าแปลกใจใช่ไหมคะ ทำไมเด็กที่หัวดีมาตั้งแต่เกิดถึงได้กลัวความท้าทาย ถึงได้ไม่อยากทำสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดเอาซะเลย
 
Bronson เขียนไว้ว่า กรณีของเด็กชายโธมัสนี่ไม่ใช่กรณีแปลกใหม่ มีเด็กที่เกิดมาสมองดีหลายคนมองข้ามความสำคัญของความสามารถของตัวเองไป ความรู้สึกเช่นนี้จะทำให้เด็กไม่มีความคาดหวังและมุ่งมัน ไม่ให้ความสำคัญกับความพยายามทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ และเด็กเลือกที่จะให้ความสำคัญกับการขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่ผู้ปกครองแทน ที่จะลองทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง การที่เราบอกลูกเราอยู่ทุกวันว่า “ลูกเก่งจัง” “ลูกฉลาดจัง” นั้นเป็นการติดฉลากให้ลูกว่าเขาเป็นเด็กฉลาด และการทำแบบนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ลูกเราเรียนดีหรือทำอะไรได้ดี แต่กลับเป็นสาเหตุให้ลูกเรามีความพยายามน้อยลงและในที่สุดก็จะเกิดปัญหาด้าน การเรียน
 
Carol Dweck นักจิตวิทยา และทีมงานจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (ตอนนี้ Carol Dweck อยู่ที่มหาวิทยาลัยแสตนด์ฟอร์ด) ทำงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของคำชมเชย โดยกลุ่มเด็กทดลอง ซึ่งเป็นเด็กเกรด 5 จำนวน 400 คน จากโรงเรียนในนิวยอร์ค ทีมงานของ Dweck ได้แบ่งกลุ่มทดลองออกเป็นสองกลุ่ม
 
การทดลองครั้ง ที่หนึ่ง เด็กทั้งสองกลุ่มจะต่อพัสเซิลชุดที่ง่ายมาก และเด็กทุกคนสามารถทำได้แบบสบายๆ เด็กกลุ่มแรกจะได้รับคำชมว่า “หนูฉลาดมาก” ส่วนกลุ่มที่สองจะได้รับคำชมว่า “หนูมีความพยายามมากเลย”
 
การทดลอง ครั้งที่สอง ทีมงานได้นำพัสเซิลสองชุดมาให้เด็กทั้งสองกลุ่มเลือก ชุดแรกง่ายพอๆกับชุดที่ได้ทำไปครั้งแรก ชุดที่สองเป็นพัสเซิลที่ยากขึ้นมาอีก และผลที่ได้คือ 90% ของเด็กที่ได้รับคำชมว่ามีความพยายาม เลือกต่อพัสเซิลที่ยากขึ้น ส่วนเด็กที่ได้รับคำชมว่าฉลาด ส่วนใหญ่เลือกต่อพัสเซิลที่ง่ายเหมือนเดิม
 
รอบ ต่อมา เด็กๆทุกคนต้องต่อพัสเซิลชุดเดียวกัน ซึ่งเป็นชุดที่ยากมาก และเหมาะสำหรับเด็กที่โตกว่าสองระดับชั้น และก็เป็นไปตามความคาดหมายคือ เด็กทุกคนต่อพัสเซิลชุดนี้ไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจนระหว่างเด็กที่ได้รับคำชมว่าฉลาด กับเด็กที่ได้รับคำชมว่ามีความพยายามคือ เด็กที่มีความพยายามจะอดทน พยายามต่อพัสเซิล สนุกสนาน และเห็นพัสเซิลชุดนี้เป็นเกมที่ท้าทาย พยายามแก้และต่อให้ได้ ถึงต่อไม่ได้ก็ยังอารมณ์ชื่นบาน และชอบการทดสอบชุดนี้ของทีมงานมาก ในกรณีกลับกัน เด็กที่ถูกชมว่าฉลาดนั้น ก็นั่งต่อพัสเซิลไป ปาดเหงื่อไป เครียด และเริ่มเกิดความคิดที่ว่า ที่ต่อพัสเซิลไม่ได้นั้น เป็นเพราะตัวเองไม่ได้ฉลาดอย่างที่ใครๆบอก
 
การ ทดสอบรอบสุดท้ายนั้น ทีมงานได้ใช้พัสเซิลที่ได้รับการออกแบบมาให้ง่ายพอๆกับพัสเซิลที่ใช้ในการ ทดสอบชุดแรกที่เด็กทุกคนทำได้ เด็กที่ได้รับคำชมว่ามีความพยายาม ทำคะแนนได้มากขึ้นถึง 30% ส่วนเด็กที่ได้รับคำชมว่าเป็นเด็กฉลาดนั้น ทำคะแนนได้ต่ำกว่าคะแนนที่ได้จากชุดแรกถึง 20%
 
และ Dweck ได้สรุปไว้ในงานวิจัยว่า
 1.คน จำนวนมากคิดว่า การมีสติปัญญาดีคือกุญแจสู่ความสำเร็จ แต่หลังจากที่ได้ทำการค้นคว้ามากว่า 30 ปี ได้แสดงให้เห็นว่า ความฉลาด ความมีสติปัญญาดีหรือ พรสวรรค์นั้น เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งจะทำให้คนเราไม่มีภูมิคุ้มกันต่อความล้มเหลว กลัวความท้าทาย และไม่มีความกระตือรือร้นในการอยากรู้อยากเรียนเพิ่มเติม
 2.การสอนให้ เด็กมีความเชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้หากมีความพยายาม และให้ความสำคัญกับความพยายามมากกว่าความฉลาด หรือพรสวรรค์ จะทำให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียน และในชีวิต
 3.พ่อแม่และครูสามารถ ช่วยสร้างทัศนคติที่ว่าทุกสิ่งเป็นไปได้หากมีความพยายามได้โดยการชมว่าเด็ก มีความพยายาม ไม่ท้อถอย (แทนที่จะชมว่าเด็กฉลาด หรือเก่ง) การเล่าเรื่องราวต่างๆที่เน้นความไม่ย้อท้อและความรักในการเรียนรู้ให้เด็ก ฟัง และการสอนให้เด็กเข้าใจว่าสมองเป็นเหมือนเครื่องยนต์แห่งการเรียนรู้ชนิด หนึ่ง หากได้รับการฝึกฝนอยู่เสมอ ก็จะทำงานได้ดี
 
หลังจากได้อ่านบท ความแล้ว แม่แอ๋วก็มานั่งคิดว่า นี่ฉันจะเลิกเป็นแม่ขี้ชมได้อย่างไรหนอ Bronson กล่าวไว้ในบทความของเขาว่า อาการขี้ชมก็เหมือนกับขี้เหล้า ติดงอมแงม จะให้มาเลิกชมลูกกันทันทีนั้นคงทำได้ยาก แม่แอ๋วเห็นด้วยมากๆเพราะตัวแม่แอ๋วเอง ตั้งแต่ได้อ่านบทความ ก็พยายามที่จะเลิกชมว่าลูกเก่ง แต่มาเน้นชมว่าลูกทำอะไรได้บ้าง ชมความพยายามของลูกแทน แต่มันก็มีหลุดบ้าง เพราะได้ชมกันมานมนานมาก จนติดปากและเป็นนิสัยไปแล้ว และพอพาลูกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน จะไม่ชมลูกก็ยังไงๆอยู่ เพราะใครๆก็ชมลูกกันทั้งนั้น ลูกก็จะเหวอ (หรือเปล่า) ว่าทำไมแม่ไม่ชมหนูมั่งเลย เราก็เลยค่อยๆปรับตัวจากแม่ขี้ชมเป็น แม่ที่ชมเฉพาะเวลา “เข้าสังคม” และหวังว่าจะเลิกชม (ว่าลูกเก่ง) ได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด
 
จากบทความเรื่อง
Five Reasons to Stop Saying “Good Job”ของ Alfie Kohn
ได้เสนอวิธีชมลูกอย่างถูกวิธีให้พ่อแม่ได้ลองนำไปทำดูค่ะ
 
 
 1.ไม่ชมเลย เช่นถ้าชมเพราะมันเป็นคำพูดติดปาก ชมเพราะคิดว่าเด็กทำได้เพราะบังเอิญ หรือชมแบบไม่ตั้งใจจะชม ก็อย่าชมเลยดีกว่า
 2.ชม ในสิ่งที่เห็น เช่นเห็นลูกใส่รองเท้าเองได้ แทนที่จะบอกว่า เก่งจังเลยลูก เราก็อาจจะบอกว่า “หนูใส่รองเท้าเอง”หรือ “หนูทำได้” อีกกรณีหนึ่งคือ หากลูกแบ่งของให้เพื่อน แทนที่เราจะชมลูกว่า “หนูใจดีจังที่แบ่งของให้เพื่อน” เราก็อาจจะเลือกที่จะชมว่า “เห็นหน้าเพื่อนหนูไหม เขาดีใจมากเลยที่หนูแบ่งของให้” การชมแบบนี้ เด็กจะเห็นผลว่าสิ่งที่เขาทำ ทำให้เพื่อนดีใจ และจะทำให้เด็กอยากแบ่งของให้เพื่อนอีก
 3.ชมน้อยลง ถามมากขึ้น เช่นลูกกำลังวาดรูปอยู่ แทนที่จะชมว่า “ลูกวาดรูปได้สวยจังเลย” เราก็อาจจะถามลูกว่า ส่วนไหนของรูปที่วาดยากที่สุด และทำไมลูกถึงรู้ว่าต้นไม้ต้องเป็นสีเขียว เป็นต้น
 
 
 
อย่าง ไรก็ดี นี่ไม่ได้หมายความว่า การชมเชย การขอบคุณ และการแสดงความชื่นชมยินดีเป็นสิ่งไม่ดีไปทั้งหมดนะคะ เราต้องดูด้วยว่าจุดประสงค์ของการชมคืออะไร และเพราะอะไรเราถึงชมลูก การแสดงสีหน้าท่าทางชื่นชมยินดี และดีใจนั้น ดีกว่าการชมเพราะคิดว่าลูกจะทำในสิ่งที่เราต้องการหากเราชมลูกบ่อยๆ อันตรายของการชมโดยทั่วไปคือ มันจะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เด็กทำสิ่งต่างๆเพราะอยากให้คนชม และแรงจูงใจแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน จะเป็นผลเสียกับลูกเรามากกว่าผลดี แทนที่จะชมว่าลูกเก่งหรือฉลาด ให้หันมาชมว่าลูกมีความพยายามกันดีค่ะ และอย่าลืมปลูกฝังความคิดที่ว่า สมองลูกเป็นกล้ามเนื้อชนิดหนึ่ง หากมีการออกกำลังอยู่เสมอ ก็จะเป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและล่ำบึ๊กในที่สุด
 
แม่แอ๋ว
 
บทความนี้เรียบเรียงมาจาก
 
How Not to Talk to Your Kids โดย Po Bronson
 
//nymag.com/news/features/27840/
 
Five Reasons to Stop Saying “Good Job” โดย Alfie Kohn
 
//www.alfiekohn.org/parenting/gj.htm
 
และ Raising an Intelligent Child โดย Carol Dweck  ดาวน์โหลดไฟล์ PDF ซึ่งเป็นงานวิจัยของ Carol Dweck ได้ที่ลิีงค์บทความของชมรมครูพ่อแม่ค่ะ

 

//kroopohmae.com/group/early-learning/forum/topics/praise

 

 

 

ที่มา:  //www.pantip.com/cafe/family/topic/N11968457/N11968457.html#

 

 




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2555   
Last Update : 10 พฤษภาคม 2555 10:40:45 น.   
Counter : 777 Pageviews.  


## แจกสารพัด Link เพื่อฝึกฝน [ภาษาอังกฤษ] ... อยากเก่งอังกฤษเข้ามาทางนี้เลยค่ะ ## +(4)

ต่อจากตอนสามนะคะ

## แจกสารพัด Link เพื่อฝึกฝน [ภาษาอังกฤษ] ... อยากเก่งอังกฤษเข้ามาทางนี้เลยค่ะ ##

ที่มา //www.pantip.com/cafe/library/topic/K11884875/K11884875.html จากคุณ : lovelypriest

เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 55 21:43:30

4.วรรณกรรมสำหรับเด็ก:

//clicknlearn.net
//pbskids.org/
//unmuseum.mus.pa.us/crr/
//www.allfreeonlinechildrensbooks.com/booker/index.htm
//www.andersenfairytales.com/en/main
//www.bbc.co.uk/cbeebies/fimbles/comfycorner/index.shtml
//www.btinternet.com/~ted.power/first.html
//www.dandi.me.uk/
//www.eduplace.com/kids/
//www.ferglib.org/ferg/youth_link/kidol/booklists/booklists.html
//www.geocities.com/EnchantedForest/Tower/1217/reading.html
//www.get-the-idea.net/EnglishVersion.html
//www.gradedreading.pwp.blueyonder.co.uk/index.html
//www.grimmfairytales.com/en/main
//www.ipl.org/div/kidspace/storyhour/
//www.jinjapan.org/kidsweb/index.html
//www.karr.net/dir/Kids_and_Teens/Arts/Online_Stories/
//www.lil-fingers.com/storybooks/index.html
//www.magickeys.com/books/
//www.pacificnet.net/~johnr/aesop/
นิทานอีสปประมาณ 400 เรื่อง
//www.rong-chang.com/kids.htm
เว็บรวมลิงค์สำหรับเด็ก
//www.soleil.com/english/links/kidlinks/kidlinkswebpals.html
//www.storymania.com/
//www.storyplace.org/storyplace.asp

หมวด Reading Comprehension:

//web2.uvcs.uvic.ca/elc/studyzone/200/reading/index.htm
//www.insightin.com/reading/search.shtml
//www.takesat.com/verbal_main.php

จากคุณ : Esprite

 

หมวด 7 + 8 หายไปนะคะ
ลิงค์จ้า
//topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/01/K5083555/K5083555.html

ต่อๆ

หมวดที่ 9 Resource

หมวดการศึกษาสำหรับเด็กเรียนชั้นอนุบาล:

//www.geocities.com/learnaz/english_for_children.htm
//www.learningplanet.com/act/abcorder.asp
//www.learningplanet.com/act/fl/aact/index.asp
//www.lil-fingers.com/abc/intro.html
//www.literacycenter.net/lessonview_en.htm
//www.pacificnet.net/~cmoore/alphabet/
//www.primarygames.com/theabcgame/start.htm
//www.web-books.com/language/INTER0/English_Main.htm


หมวดศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง:

//assoc.orange.fr/une.education.pour.demain/rodsex/rodsindex.htm
//depts.gallaudet.edu/Englishworks/
//eleaston.com/
//esl.about.com/
//internationaleflcafe.com/index.htm
//www.1-language.com/
//www.angelfire.com/yt/efl/
//www.antimoon.com/
//www.bbc.co.uk/learning/subjects/english.shtml
//www.englishdaily626.com/
//www.englishforums.com/
//www.englishpage.com/
//www.esldesk.com/esl-links/
//www.eslpages.com/
//www.everydayenglish.com/index.htm
//www.lclark.edu/~krauss/toppicks/toppicks.html
//www.learnenglish.de/
//www.learnenglish.org.uk/
//www.myefa.org/login.cfm?fuseaction=default
//www.tv411.org/index.shtml
//www.utb.boras.se/uk/se/projekt/randall/

หมวดสื่อการสอนสำหรับคุณครู:

//a4esl.org/
//ccc.commnet.edu/grammar/index2.htm
//esl.about.com/
//iteslj.org/ESL.html
//nweb.pct.edu/homepage/staff/evavra/kiss/wb/index.htm
//owl.english.purdue.edu/handouts/index2.html
//towerofenglish.com/
//www.1-language.com/
//www.bbc.net.uk/worldservice/learningenglish/index.shtml
//www.better-english.com/exerciselist.html
//www.edufind.com/english/grammar/toc.cfm
//www.englishclub.com/
//www.englishforum.com/00/
//www.englishlearner.com/tests/test.html
//www.englishpage.com/
//www.english-zone.com/
//www.eslcafe.com/
//www.eslkidstuff.com/LinksMenu.htm
//www.esl-lab.com/
//www.eslpartyland.com/
//www.etni.org.il/index.html
//www.grammarbook.com/
//www.literacynet.org/cnnsf/
//www.manythings.org
//www.onestopenglish.com/
//www.paulnoll.com/China/Teach/English-teaching-materials.html
//www.refdesk.com/factgram.html
//www.rong-chang.com/
//www.ucl.ac.uk/internet-grammar/home.htm
//www.wsu.edu/~brians/errors/errors.html


หมวดเว็บคนไทยสอนอังกฤษ

//iteslj.org/v/th/
//langmedia.fivecolleges.edu/collection/lm_thailand/thIndex.html
//learningthai.com/flashcards/index.html
//www.geocities.com/words_4u2001/
//www.isangate.com/dict/default.asp

หมวดช่วยเด็กนักเรียนทำการบ้าน:

//www.factmonster.com/
//www.ipl.org/div/kidspace/
//www.stratford.library.on.ca/kids/home.htm
//www.woodlands-junior.kent.sch.uk/Homework/

หมวด Encyclopedia:

1.
รวมทุกแขนง

//en.wikipedia.org/
//encarta.msn.com/encnet/refpages/artcenter.aspx
//encyclopedia.thefreedictionary.com/
//kanchanapisek.or.th/kp6/GENERAL/encyclopedia/saranugrom.htm
//reference.allrefer.com/
//www.bartleby.com/65/
//www.britannica.com/
//www.encyclopedia.com/
//www.factmonster.com/
//www.infoplease.com/
//www.probert-encyclopaedia.co.uk/
//www.si.edu/resource/faq/start.htm
//www.worldbookonline.com/

2. encyclopedia แยกตาม subjects

//www.encyberpedia.com/eindex.htm
//www.refdesk.com/myency.html

 


3. Encyclopedia of English Grammar and Word Grammar
//www.phon.ucl.ac.uk/home/dick/enc/index.htm

หมวดเรียนภาษาอื่นๆ ทั่วโลก

//www.languageguide.org/

จากคุณ : Esprite

 

 

หมวดที่ 10 Entertainment หายจ้า
อยู่ใน คห*10 ของต้นฉบับจ้า
//topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/01/K5083555/K5083555.html

จบละจ้า ต่อไปเป็นรายการเพิ่มเติมจ้า

เพิ่มเติม

หมวดการออกเสียงภาษาอังกฤษ

//www.navy.mi.th/dockyard/knowledge.htm

ห้องเรียนการออกเสียงภาษาอังกฤษในพันทิป

//www.pantip.com/cafe/library/topic/K5010972/K5010972.html
//www.pantip.com/cafe/library/topic/K5044740/K5044740.html
//www.pantip.com/cafe/library/topic/K5086321/K5086321.html

จากคุณ : เพ็ญชมพู

 

 

ขอเพิ่มเติมครับ เวบฝึกภาษาอังกฤษ สนุกๆ แบบ variety

//www.kinglishschool.com

จากคุณ : คุณ โตน

หมวด อังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ:

//english-thai-dictionary.com/index.php

จากคุณ : Louisson

Free IELTS tests.

//www.ieltschitchat.net/IELTS_free_test.html

จากคุณ : ielts07 (K@U@R@T)

มีใน คห*109 ด้วย

 


 




 

Create Date : 04 เมษายน 2555   
Last Update : 4 เมษายน 2555 4:44:54 น.   
Counter : 2331 Pageviews.  


1  2  3  4  

น้องออมบุญ
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add น้องออมบุญ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com