ผมชื่อ เด็กชายออมบุญครับ
 
 

by: JanE & IK สอนลูกให้ฉลาด เป็นเด็กดี มีความสุข ต้องสอนให้รู้จักคิด

สอนลูกให้ฉลาด เป็นเด็กดี มีความสุข ต้องสอนให้รู้จักคิด

//www.pantip.com/cafe/family/topic/N11527298/N11527298.html


จากคุณ : JanE & IK
เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 00:01:44

สมองของคนเรานั้นก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่นคือยิ่งได้ใช้ ได้คิด มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งพัฒนาไปได้มากขึ้นเท่านั้น
ส่วน ตัวยอมรับว่าระบบการศึกษาของเราไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้เด็กได้ใช้ความคิดมาก สักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามการพูดถึงสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรไม่ได้ในตอนนี้นั้น ย่อมมีประโยชน์น้อยกว่าการพูดถึงสิ่งที่ "ใครๆก็ทำได้" เป็นแน่

ถ้า คุณอยากให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ ได้ฝึกใช้สมองและความคิดอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเติบโตมาอย่างมีคุณภาพเป็นคนที่มีความสุขและมีความมั่นคงทางอารมณ์ ปีใหม่นี้เจนมีอะไรเล็กๆน้อยๆมานำเสนอ



== เลิกถามคำถามแบบปลายปิด ==

คำ ถามแบบปลายปิดคือคำถามปะเภท ใช่หรือไม่ ดีหรือเลว ถูกหรือผิด การถามคำถามแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมองมากสักเท่าไหร่ เช่น ถามว่า คนที่โมโหแล้วทำร้ายคนอื่นเป็นคนดีหรือไม่ แน่นอนเด็กตอบได้ว่าไม่ดี แล้วสมองของเด็กก็จะหยุดคิดแค่นั้น หรือถ้าคิดต่อก็มักจะเป็นการด่าทอ ประนาม สาบแช่ง ซึ่งมักจะสร้างความขุ่นเคืองทางอารมณ์มากกว่าจะช่วยพัฒนาสมอง

คำถาม ที่ควรจะถามเด็กควรเป็นคำถามแบบปลายเปิดให้เด็กเติมต่อท้ายเอง ถ้าเด็กยังเล็กๆอาจเริ่มจากคำถามง่ายๆ เช่น จากตัวอย่าง คนที่โมโหแล้วทำร้ายคนอื่นเป็นคน......

เด็กอาจตอบว่า ไม่ดี ,อารมณ์ร้าย,ไม่น่าคบ,อันธพาล การถามคำถามปลายเปิดแบบนี้นั้นจะช่วยให้เด็กได้ใช้สมองมากขึ้น และเมื่อเด็กโตขึ้นหรือมีความรู้มากขึ้น เราก็เพิ่มความซับซ้อนของคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น จากตัวอย่าง คนที่โดนรังแกจนทนไม่ไหวเมื่อความอดทนหมดแล้วโมโหทำร้ายคนที่มารังแกเป็น คน..... คำตอบของเด็กอาจจะเหมือนเดิมหรืออาจเปลี่ยนเป็น กล้า,รักความยุติธรรม,มีความเป็นลูกผู้ชาย ก็เป็นได้ซึ่งถ้าคำตอบของเด็กเปลี่ยนไปเราก็ต้องอธิบายเพิ่มว่าความคิดของ เขานั้นเป็นอย่างไร และถ้าเรื่องนั้นเป็นสิ่งสำคัญหรือสิ่งที่น่าสนใจเราอาจถามเจาะลึกลงไป เรื่อยๆ เช่น ถ้าหนูเป็นคนที่ถูกรังแกหนูจะทำแบบนี้ไหม ถ้าไม่แล้วจะทำอย่างไร,การถูกกระทำด้วยความรุนแรงในวัยเด็กมีส่วนทำให้เขา เลือกตอบโต้ด้วยวิธีนี้หรือเปล่า เป็นต้น

การถามคำถามแบบปลายเปิดนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ช่วยให้เด็กได้ใช้สมองมากยิ่งขึ้นแต่ยังช่วยให้เด็กเข้าใจโลก รู้จักคิด และไม่ยึดติดว่าสิ่งใดๆนั้นต้องถูกหรือผิด โง่หรือฉลาดเสมอไป เพราะอย่างที่ทราบกันว่าหลายสิ่งในโลกนี้นั้นเป็นสีเทาที่ยากจะชี้ชัด และหลายอย่างเป็นเรื่องความชอบหรือรสนิยมไม่ใช่โง่หรือฉลาด


== เลิกให้คำตอบสำเร็จรูปกับเด็ก ==

ถ้า เด็กยังเล็กหรือไม่มีความรู้ใดๆในเรื่องนั้นเลย แน่นอนว่าเราจำเป็นที่จะต้องสอนต้องให้ความรู้กับเด็กก่อน แต่เมื่อเด็กพอมีความรู้บ้างแล้ว เมื่อเด็กถามเราควรพยายามให้เด็กนำความรู้ที่มีอยู่มาต่อยอดไม่ใช่เอาแต่ให้ แต่คำตอบสำเร็จรูปกับเด็กเสมอไป เช่น เด็กรู้ว่าพื้นที่หนึ่งตารางเมตรคือพื้นที่ขนาดกว้างหนึ่งเมตรยาวหนึ่งเมตร เมื่อเด็กเห็นโฆษณาขายบ้าน 50ตร.ว. แล้วเด็กถามว่า 50ตร.วเท่ากับกี่ ตร.ม. แทนที่คุณจะบอกลูกไปเลย คุณควรบอกว่า หนึ่งวาเท่ากับสองเมตรแล้วให้ลูกไปลองคิดคำนวนหาเอาเองว่าคำตอบคือเท่าไหร่

หรือ อย่างลูกชอบดูฟุตบอล ดูโปรแกรมการแข่งขันในเวบบอกว่าคู่แรกจะเริ่มเตะเวลา15.00ตามเวลาในสหราช อาณาจักรแล้วลูกถามว่าตรงกับเวลาเมืองไทยกี่โมงถ้าคุณบอกไปว่าสี่ทุ่มพอคู่ ถัดไปเตะเวลา 17.30 ลูกก็อาจต้องมาถามใหม่ คุณควรสอนลูกว่าเวลาที่สหราชอาณาจักรเท่ากับเวลาสากลเชิงพิกัด (UTC) ส่วนที่ประเทศไทยจะต้องบวกไปอีกเจ็ดชั่วโมง(UTC+7)แล้วให้ลูกไปลองคิดหาเอา เองและเมื่อเขาจำได้แล้วนั้นไม่ว่าฟุตบอลจะเลื่อนเวลาแข่งขันไปเป็นเวลาใด เขาก็จะสามารถเทียบได้ไม่ต้องมาคอยถามคุณหรือวิ่งไปดูในหนังสือพิมพ์อีกต่อ ไป


== อย่าบอกแค่สิ่งที่ผิด แต่ต้องบอกสิ่งที่ถูกด้วย ==

ตั้งแต่ ทำงานดูแลเด็กมายอมรับว่าเด็กจำนวนไม่น้อยทำผิดแบบที่เรียกว่า "ฉันรู้ว่ามันผิดแต่ฉันก็ยังทำ" แต่ก็ไม่ใช่กับเด็กทุกคนโดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ

ถ้าเด็กเล็กๆเล่นกับ น้องหมาโดยการดึงหาง การบอกเด็กว่าหนูดึงหางน้องหมาแบบนั้นไม่ได้นะลูกเป็นสิ่งที่ถูก แต่ถ้าคุณบอกแค่นั้นเด็กก็จะรู้แค่ว่าเขาเล่นกับน้องหมาโดยการดึงหางไม่ได้ แล้วถ้าถามต่อว่าเด็กรู้ไหมว่าถ้าเขาอยากเล่นกับน้องหมาเขาต้องเล่นกับมัน ยังไง คำตอบของคำถามนี้คือถ้าเจนให้พวงกุญแจที่มีกุญแจสิบลูกให้คุณไปไขประตูแล้ว บอกคุณว่าไม่ใช่กุญแจดอกที่สาม คุณก็จะรู้แค่ไม่ใช่กุญแจดอกที่สามแต่จะเป็นกุญแจดอกที่ 1,2 หรือ 4-10 คุณก็ไม่รู้อยู่ดีก็ต้องเสี่ยงเดาเอาซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็เป็นได้ เด็กเล็กๆก็เหมือนกัน ถ้าเขาอยากเล่นกับน้องหมาอีกแล้วจำได้ว่าแม่ไม่ให้ดึงหางมัน เที่ยวหน้าเขาอาจจะกระโดดขี่มัน จับขามันลาก หรือกัดหูมันอย่างที่เขาทำกับตุ๊กตาก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องไม่ใช่แค่บอกว่าดึงหางมันไม่ได้ แต่ต้องบอกว่า ถ้าหนูอยากเล่นกับน้องหมา หนูต้องเกาคาง เกาพุง หรือลูบหัวหรืออะไรก็ว่าไป

แม้ กระทั่งเด็กโตบางทีก็เช่นกัน มีปีนึงลูกๆที่โรงเรียนที่พึ่งเข้ามาใหม่ เจนเห็นพวกเขากินขนมในห้องเรียนก็เลยบอกว่ากินในห้องไม่ได้เพราะนี่เป็นห้อง เรียน เดินกลับมาอีกทีเด็กก็มายืนกินตรงระเบียง เจนก็บอกอีกว่าที่นี่ก็กินไม่ได้เพราะใครมองขึ้นมาแล้วมันดูไม่ดี พอเดินขึ้นไปอีกชั้นแล้วเดินกลับลงมาอีกทีก็เจอเจ้าหนูสามตัวเดิมยืนกินที่ บันได ตอนแรกก็คิดในใจว่าจะชวนพวกเธอไปแทะขนมกันต่อที่ห้องของเจน แต่พอถามเด็กๆบอกว่าพอเจนบอกว่าในห้องเรียนกินไม่ได้เด็กก็เข้าใจว่าเพราะ เป็นห้องเรียนจึงกินไม่ได้เลยมากินที่ระเบียง พอบอกระเบียงก็ไม่ได้เพราะคนอื่นเห็นแล้วดูไม่ดี ก็เลยคิดว่ากินที่บันไดคงได้เพราะใครมองมาไม่เห็นก็คงไม่เป็นไรแล้วๆเด็กก็ ไม่รู้จริงๆว่าควรจะไปกินที่ไหน เจนก็นึกได้ว่าก็จริงก็เลยบอกเด็กไปว่าให้ไปกินที่โรงอาหารหรือบริเวณที่ จัดไว้ให้ในสวนหย่อม และตั้งแต่นั้นถ้ามีเหตุการณ์คล้ายๆแบบนี้อีกเจนก็จะบอกเด็กเสมอว่าหนูทำแบบ นี้ไม่ได้และต้องทำแบบไหนไม่ใช่แค่บอกว่าทำแบบนี้ไม่ได้แต่เพียงอย่างเดียว


== ไม่มีทางเลือกที่โง่ มีแต่ทางเลือกที่ฉลาด ฉลาดกว่า และเหมาะสมในสถานการณ์นั้นที่สุด ==

"โง่" คำเดียวสั้นๆที่ออกจากปากผู้ใหญ่นั้นทำลายความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเองของเด็กได้เป็นอย่างดี

เด็ก หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่หลายคนเลือกที่จะเงียบหรือไม่แสดงความคิดเห็นอะไร เพราะกลัวว่าถ้าตอบแล้วผิดหรือไม่ถูกใจแล้วจะถูกอีกฝ่ายหาว่าโง่

ประเด็นเรื่องนี้คือ ไม่ว่าเด็กจะเสนอความคิดอะไรคุณต้องไม่บอกว่า ความคิดของพวกเขาโง่ ไม่มีสมอง หรือ ใช้อะไรคิด

ถ้าความคิดของพวกเขานั้นไม่ถูกไม่ควรให้อธิบายว่าถ้าทำตามที่พวกเขาว่าแล้วผลลัพธ์ที่ออกมามันจะไม่พึงประสงค์มากแค่ไหน

ถ้า ความคิดของเด็กเป็นทางเลือกที่ดีแต่ไม่ใช่ดีที่สุดหรือเหมาะกับสถานการณ์ที่ สุด คุณต้องชมและเห็นด้วยกับเด็กก่อนๆจะอธิบายว่าทางที่เขาเสนอนะดีแต่จะดีกว่า ไหมถ้าใช้ทางเลือกนี้แทนหรืออธิบายว่าสถานกาณ์เปลี่ยนไปทำให้มีทางเลือกใหม่ ที่เหมาะสมกว่าขึ้นมาแทนแต่ไม่ใช่ว่าทางเลือกที่เด็กเสนอไม่ดีหรือโง่หรือ แย้งสิ่งที่เด็กเสนอตั้งแต่ต้น

อย่างวันเกิดน้องอิ๊กที่ผ่านมา เจนพาลูกไปเลือกเค้กที่จะเอาไปตัดกินกันในงานวันเกิด ตอนแรกลูกก็เลือกปอนด์ที่ใหญ่ที่สุด เจนก็บอกลูกว่า ปอนด์ใหญ่ขนาดนี้ก็ดีนะจะได้กินกันพอทุกคน แต่ เอ ครั้งนี้เราไปเลี้ยงกันในร้านอาหารแบบบุฟเฟท์ที่ทุกคนชื่นชอบ ซึ่งทุกครั้งที่ไปทุกคนก็อิ่มจนพุงกาง พอเจนพูดแค่นี้ลูกก็บอกว่าใช่ๆ หนูลืมเรื่องนี้ไปเลยแล้วก็เปลี่ยนไปเลือกเอาปอนด์ที่เล็กสุดแล้วบอกเองว่า เอาแค่ไปกินเป็นพิธีก็พอโดยที่เจนไม่ต้องบอกอะไรต่อ

แน่นอนว่าถ้า เจนบอกลูกว่า "โง่หรือไง กินบุฟเฟท์ก็อิ่มจะตายอยู่แล้ว ใครเขาจะไปสนใจเค้กเธอ เอาอันที่เล็กที่สุดก็พอ" ความรู้สึกของลูกตอนออกจากร้านเค้กคงไม่เหมือนกันเป็นแน่

หรือตอนที่ พาคุณตาคุณยายไปทานข้าวช่วงที่กรุงเทพน้ำท่วมพอคุณตาถามว่าร้านที่จะไปจะ ต้องขับรถไปทางไหนลูกก็บอกว่าต้องตรงไปพอถึงแยกเลี้ยวซ้ายแล้วไปเข้าซอยลัด อันนี้ไปทะลุออกซอยนี้อย่าวิ่งออกถนนใหญ่เพราะรถจะติด เจนเลยบอกลูกว่าหนูฉลาดจังเลยที่จำทางนั้นได้ไปทางนั้นนะดีเลยรถจะได้ไม่ติด แต่พอดีช่วงนี้ทางด่วนเปิดให้ขึ้นฟรีและทางนั้นมันใกล้กับแม่น้ำมากจะดีกว่า ไหมถ้าเราจะเลือกใช้ทางด่วนแทน



สุดท้ายนี้ขอสวัดดีปีใหม่ ขอให้ทุกท่านมีความสุขพบเจอแต่สิ่งดี ๆ คนดีๆ คิดทำสิ่งใดขอให้สมดั่งใจปรารถนาทุกประการ




เจน




 

Create Date : 09 มกราคม 2555   
Last Update : 31 มกราคม 2555 1:53:35 น.   
Counter : 439 Pageviews.  


by Nihaoman 30 วิธีแสนง่ายในการเลี้ยงลูกให้ฉลาด

30 วิธีแสนง่ายในการเลี้ยงลูกให้ฉลาด

จากคุณ : Nihaoman
เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 54 03:43:54

//www.pantip.com/cafe/family/topic/N10876528/N10876528.html




30 วิธีง่ายๆ ต่อไปนี้อาจช่วยขยายไอเดียของคุณ ๆ ได้ หากลูกคุณยังไม่ได้ดั่งใจ แต่อย่างใดก็ตามเด็กก็คือเด็ก เป็นผ้าขาวของสังคม เราต้องเข้าใจธรรมชาติของเขา ก่อนที่จะไปเปลี่ยนแปลงให้เขาเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น วิธีต่างๆ เหล่านี้ผ่านการวิเคราะห์ ทดสอบ ทดลอง และสรุปผลมาแล้วจากนักวิชาการว่าใช้ได้ผลดีมาแล้วทั่วโลก


1.ตามองตา เมื่อลูกลืมตาตื่นขึ้น ให้เรามองหน้าสบสายตาหนูน้อยสักครู่ หนูน้อยแรกเกิดจดจำใบหน้าของคนได้เป็นสิ่งแรกเสมอ และใบหน้าของพ่อแม่คือใบหน้าแรกที่ลูกอยากจะจดจำ ซึ่งแต่ละครั้งที่หนูน้อยจ้องมองใบหน้าของเรา สมองก็จะบันทึกความทรงจำไว้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

2.พูดต่อสิลูกเวลาพูดกับลูก เว้นช่องว่างในช่วงคำง่าย ๆ ที่ลูกจะสามารถพูดต่อได้ เช่น พยางค์สุดท้ายของคำ หรือคำสุดท้ายของประโยค ในช่วงแรก ๆ ลูกอาจจะเงียบและทำหน้างง แต่ในที่สุดถ้าทำอย่างนี้บ่อย ๆ ในประโยคซ้ำ ๆ ลูกจะค่อย ๆ จับจังหวะ จับคำพูดบางคำได้ และเริ่มพูดต่อในช่วงว่างที่พ่อแม่หยุดไว้ให้

3.ฉลาดเพราะนมแม่ ให้นมแม่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลการศึกษาในเด็กวัยเรียนพบว่า เด็กที่กินนมแม่ตอนที่เป็นทารกมักจะมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ นอกจากนี้การให้นมลูกยังเป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างสายสัมพันธ์กับลูกน้อย

4. ทำตลกใส่ลูก แม้กระทั่งเด็กน้อยอายุเพียงแค่ 2 วัน ก็มีความสามารถเลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้าอย่างง่าย ๆ ของพ่อแม่ได้ ไม่เชื่อลองแลบลิ้นหรือทำหน้าตาตลก ๆ ใส่ ลูกคุณจะทำตามแน่ ๆ

5.กระจกเงาวิเศษ ทารกน้อยเกือบทุกคนชอบส่องกระจก เขาจะสนุกที่ได้เห็นเงาของตัวเองในกระจกโบกมือหรือยิ้มแย้มหัวเราะตอบออกมาทุกครั้ง

6.จั๊กจี้ จั๊กจี้การหัวเราะเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการด้านอารมณ์ขัน การเล่นปูไต่ทำให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการคาดเดาเหตุการณ์ด้วยว่า ถ้าพ่อแม่เล่นอย่างนี้แสดงว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ปูจะไต่จากไหนไปถึงไหนเป็นต้น

7.สองภาพที่แตกต่าง ถือรูปภาพ 2 รูป ที่คล้ายกันให้ลูกมอง โดยวางให้ห่างจากใบหน้าของลูกประมาณ 8-12 นิ้ว เช่น ภาพรูปบ้านที่เหมือนกันทั้งสองรูป แต่อีกรูปหนึ่งมีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ข้างบ้าน แม้ยังเป็นเด็กทารกแต่เขาสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างนี้ได้ เป็นการสร้างความจำที่จะเป็นพื้นฐานในการจดจำตัวอักษรและการอ่านสำหรับลูก ต่อไป

8.ชมวิวด้วยกันพาลูกออกไปเดินเล่นนอกบ้าน และบรรยายสิ่งที่เห็นให้ลูกฟัง เช่น โอ้โหต้นไม้ต้นนี้มีนกเกาะอยู่เต็มเลย ดูสิลูกบนนั้นมีนกด้วย การบรรยายสิ่งแวดล้อมให้ลูกฟังสร้างโอกาสการเรียนรู้คำศัพท์ให้กับลูก

9.เสียงประหลาด ทำเสียงเป็นสัตว์ประหลาด คุ๊กคู ๆ หรือทำเสียงสูง ๆ เลียนแบบเสียงเวลาที่เด็ก ๆ พูด ทารกน้อยจะพยายามปรับการรับฟังเสียงให้เข้ากับเสียงต่าง ๆ จากพ่อแม่

10.ร้องเพลงแสนหรรษา สร้างเสียงและจังหวะส่วนตัวระหว่างเราและลูกน้อยขึ้นมา เช่น เวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ก็ร้องเพลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก อาจจะเป็นกลอนสั้น ๆ แล้วใส่เสียงสูงต่ำแบบการร้องเพลงเข้าไป หรืออีกทางคือเปิดเพลงชนิดต่าง ๆ ให้ลูกฟังบ้าง เช่น บางวันอาจจะเป็นลูกทุ่ง บางวันเป็นเพลงบรรเลง หรือเพลงป๊อปยอดฮิตทั่วไป มีนักวิจัยค้นพบว่า จังหวะดนตรีเกี่ยวพันกับการเรียนรู้คณิศาสตร์ของลูก

11.มี ค่ามากกว่าแค่อาบน้ำเวลาในการอาบน้ำสอวนให้ลูกรู้จักส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการอาบน้ำ การบรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่ากำลังทำอะไรและจะทำอะไรต่อไปเท่ากับเป็นการสอน คำศัพท์ และช่วยให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันไปในตัว

12.อุทิศตัวเป็นของเล่น ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเล่นราคาแพงไว้ให้ลูกบริหารร่างกาย เพียงแค่คุณพ่อหรือคุณแม่นอนราบลงไปบนพื้น และปล่อยให้หนูพยายามคลานข้ามตัวไป แค่นี้ร่างกายของคุณพ่อคุณแม่ก็จะกลายเป็นสนามเด็กเล่นที่ราคาถูกที่สุด และสนุกที่สุดสำหรับหนูน้อยได้พัฒนากล้ามเนื้อให้ทำงานสัมพันธ์ และเรียนรู้เรื่องการแก้ปัญหาไปพร้อมกัน

13.พาลูกไปช็อปปิ้ง นาน ๆ ครั้งพาลูกน้อยไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตด้วยก็ไม่เสียหาย ใบหน้าผู้คนอันหลากหลาย รวมถึงแสง สี เสียง ในห้างสรรพสินค้า คือ สิ่งบันเทิงใจสำหรับหนูน้อยเชียวล่ะ

14.ให้ลูกมีส่วนร่วม พยายามให้ลูกได้มีส่วนร่วมในกิจวัตรต่าง ๆ เช่น ถ้ากำลังจะปิดไฟก็อาจจะบอกลูกว่า แม่กำลังจะปิดแล้วนะ เสร็จแล้วจึงกดปิดสวิชต์ไฟ นี่จะเป็นการสอนให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุและผล ลูกน้อยจะเรียนรู้ว่าเมื่อคุณแม่กดสวิชต์ หลอดไฟจะปิดเป็นต้น

15.เสียงและสัมผัสจากลมหายใจช่วยให้ลูกน้อยกระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วยการเป่า ลมเบา ๆ ไปตาม ใบหน้า มือ แขน หรือท้องของลูก หาจังหวะในการเป่าของตัวเอง เช่น เป่าเร็ว ๆ สลับกับช้า หรือเป่าแล้วตามด้วยเสียงต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของคุณพ่อคุณแม่ แล้วรอดูปฏิกริยาตอบสนองจากลูก

16.ทิชชู่หรรษา ถ้าลูกชอบดึงกระดาษทิชชู่ออกจากม้วน ปล่อยเขาค่ะ อย่าห้าม แต่อาจใช้กระดาษทิชชู่ม้วนที่เราใช้ไปพอสมควรแล้ว จนเหลือกระดาษอยู่เพียงเล็กน้อย เพราะการที่เด็กน้อยได้ขยำหรือขยี้กระดาษให้ยับย่น หรือพับให้เรียบนั้นเป็นการฝึกประสาทสัมผัสและการใช้มือของลูกเป็นอย่างดี

17.อ่านหนังสือให้ลูกฟังการอ่านหนังสือช่วยให้ลูกเรียนรู้เรื่องภาษาได้จริง ๆ มีผลการวิจัยออกมาว่า แม้กระทั่งเด็กอายุ 8 เดือน สามารถเรียนรู้จดจำการเรียงลำดับคำในประโยคที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟังซ้ำ 2-3 ครั้งได้ ดังนั้น ควรจัดเวลาในแต่ละวันอ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำ

18.เล่นซ่อนหาจ๊ะเอ๋ การเล่นจ๊ะเอ๋นี้นอกจากจะทำให้ลูกหัวเราะแล้ว ยังช่วยให้ลูกเรียนรู้ว่าเมื่อสิ่งของหายไปแล้วสามารถกลับคืนมาได้อีก

19.สัมผัสที่แตกต่าง หาสิ่งของที่มีผิวสัมผัสแตกต่างกัน เช่น ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ไม้ หรือผ้าฝ้าย ค่อย ๆ นำพื้นผิวแต่ละอย่างไปสัมผัสแก้ม เท้า หรือท้องลูกเบา ๆ ระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ก็บรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่าความรู้สึกเมื่อถูกสัมผัส เป็นอย่างไร เช่น นี่จั๊กจี้นะลูก ส่วนอันนี้นุ๊ม นุ่ม ใช่ไหม เป็นต้น

20.ให้ลูกผ่อนคลายและอยู่กับตัวเองบ้างให้เวลาประมาณ 5-10 นาที ในแต่ละวัน นั่งเงียบ ๆ สบาย ๆ กับลูกน้อยบนพื้นบ้าน ไม่ต้องเปิดเพลง เปิดไฟ หรือเล่นอะไรกัน ปล่อยให้ลูกได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ ตามใจชอบ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องไปยุ่งกับลูกเลยและรอดูว่าใช้เวลาสักเท่าไรหนูน้อยจึงจะ คลานมาขอเล่นกับคุณพ่อคุณแม่อีกครั้ง นี่เป็นการฝึกความเป็นตัวของตัวเองให้ลูกขั้นแรก

21.ทำอัลบั้มรูปครอบครัวนำรูปภาพของญาติ ๆ มาใส่ไว้ในอัลบั้มเดียวกัน และนำออกมาให้ลูกดูบ่อย ๆ เพื่อให้จดจำชื่อญาติแต่ละคน แล้วเวลาที่คุณปู่ หรือคุณย่าโทรศัพท์มา ก็นำรูปท่านออกมาให้ลูกดูพร้อมกับที่ให้ลูกฟังเสียงของท่านจากโทรศัพท์ไป ด้วย

22.มื้ออาหารแสนสนุก เมื่อถึงเวลาที่ลูกสามารถกินอาหารเสริมที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว อย่าลืมจัดอาหารของลูกให้มีชนิด ขนาดและพื้นผิวที่หลากหลาย เช่น มีทั้งผลไม้ชิ้นเล็ก เส้นพาสต้า มักกะโรนี หรือซีเรียล ปล่อยให้ลูกน้อยใช้มือจับอาหารถ้าลูกอยากทำ เป็นการฝึกใช้นิ้ว และฝึกใช้ประสาทสัมผัสเมื่อได้สัมผัสกับอาหารที่มีลักษณะแตกต่างกัน

23.เด็กชอบทิ้งของ บางครั้งดูเหมือนเด็กชอบทิ้งของลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พฤติกรรมนี้เกิดจากเด็กทดสอบเรื่องแรงโน้มถ่วงว่าจะตกลงสู่พื้นทุกครั้งหรือ ไม่

24.กล่องมายากลหากล่องหรือตลับที่เหมือนกันมาสักสามอัน แล้วซ่อนของเล่นชิ้นโปรดของลูกไว้ในกล่องใบหนึ่ง สลับกล่องจนลูกจำไม่ได้ แล้วให้ลูกค้นหาของเล่นชิ้นนั้นจนเจอ นี่เป็นเกมฝึกสมองอย่างง่ายสำหรับเด็ก

25.สร้าง อุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆกระตุ้นทักษะการทำงานของกล้ามเนื้อให้ลูก โดยนำเบาะ โซฟา หมอน กล่อง หรือของเล่นวางขวางไว้บนพื้น แล้วพ่อแม่ก็แสดงวิธีคลานข้าม ลอด หรือคลานรอบ ๆ สิ่งกีดขวางเหล่านี้ได้อย่างไร

26.เลียนแบบลูก บ้างเด็กชอบให้พ่อแม่ทำอะไรตามเขาในบางครั้ง เช่น เลียนแบบท่าหาวของลูก แกล้งดูดขวดนมของลูก ทำเสียงเลียนแบบเวลาที่ลูกส่งเสียงอ้อแอ้ หรือคลานในแบบที่ลูกคลาน การทำอย่างนี้กระตุ้นให้ลูกแสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ออกมา เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของพ่อแม่ นี่คือก้าวแรกของลูกสู่การมีความคิดสร้างสรรค์

27.จับใบหน้าที่แปลก ไป ลองทำหน้าตาแปลก ๆ เช่น ขมวดคิ้ว แยกเขี้ยว แลบลิ้นให้ลูกดู เวลาลูกเห็นพ่อแม่ทำหน้าตาตลก หนูน้อยจะอยากลองจับ ปล่อยให้ลูกได้ลองจับต้องใบหน้าของพ่อแม่ แล้วสร้างเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมา เช่น ถ้าลูกจับจมูกจะทำเสียงแบบนี้ ถ้าจับแก้มจะทำเสียงอีกแบบหนึ่ง ทำแบบนี้ 3-4 รอบ แล้วจึงเปลี่ยนเงื่อนไขไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกแปลกใจ

28.วาง แผนคลานตามกัน ลองคลานเล่นไปกับลูกให้ทั่วบ้าน คลานช้าบ้าง เร็วบ้างและหยุดหรือพ่อแม่อาจจะวางของเล่นที่น่าสนใจ หรือจัดบ้านในบางมุมให้แปลกไปก่อนที่จะมาคลานเล่นกับลูกเพื่อไปสำรวจตามจุด ต่าง ๆ ที่จัดไว้ตามแผน

29.เส้นทางแห่งความรู้สึกอุ้มลูกน้อยเดินไป ทั่วบ้านในวันฝนตก จับมือลูกไปสัมผัสหน้าต่างที่เย็นชื้น หยดน้ำที่เกาะบนใบไม้ ต้นไม้ หรือสิ่งของอื่น ๆ ในบ้านที่จับต้องได้อย่างปลอดภัย เป็นการเปิดประสาทสัมผัสของลูกสู่ความรู้สึกต่าง ๆ เมื่อได้แตะต้องสิ่งของเย็น เปียก หรือความลื่น

30.เล่าเรื่องของลูก เลือกนิทานเรื่องโปรดของลูก แต่แทนที่จะเล่าอย่างที่เคยเล่า ลองใส่ชื่อของลูกลงไปแทนที่ชื่อตัวละครตัวสำคัญของเรื่อง เพื่อให้หนูน้อยรู้สึกแปลกใจและสนุกสนานไปกับชื่อของตัวเองในนิทาน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร at office issue 55 August 2008 p.30-34
โดย เป๊กกี้


ขอบคุณนะคะ บทความดีๆ คะ




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2554   
Last Update : 2 สิงหาคม 2554 23:04:03 น.   
Counter : 602 Pageviews.  


by JanE & IK เมื่อต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ถึงชอบบงการชีวิตลูก








เมื่อต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ถึงชอบบงการชีวิตลูก













จากคุณ :
JanE & IK 
เขียนเมื่อ :
27 มิ.ย. 54 10:22:05 


//www.pantip.com/cafe/family/topic/N10738870/N10738870.html#68



มีครั้งนึงตอนที่เจนพาเด็กไปเข้าค่ายก็มีเด็กคนนึงสมมุติชื่อหนูไอซ์แล้วกันเข้ามาหามาปรึกษาเจน

หนูไอซ์บ่นให้ฟังบอกว่าพ่อกับแม่เธอวางแผน ตีกรอบ ชี้นำ (จริงๆก็คือบงการ)ชิวิตเธอแทบทุกอย่าง
พ่อ กำหนดไว้หมดว่าเธอจะต้องเรียนอนุบาลประถมมัธยมที่ไหน จบแล้วต้องไปต่ออะไร แม่เธอก็คอยกำหนดว่าต้องเริ่มเรียนบัลเลต์ เรียนเปียโนตอนอายุเท่านั้นเท่านี้ แล้วก็เรื่องอื่นๆอีกสารพัด

แล้วเธอก็ถามเจนว่า "ทำไมพ่อแม่ถึงชอบบงการชีวิตลูก พ่อแม่หนูปกติหรือเปล่าครู"

(หนู ไอซ์นั้นเจนเคยคุยกับเธอมาก่อนหน้าก็พอทราบว่าแม้พ่อกับแม่จะบงการชีวิตเธอ ในหลายเรื่อง และเธอเองรู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้มาก  แต่ในขณะเดียวพ่อและแม่และก็ทุ่มเทความรักและใจดีกับเธอในหลายเรื่องเช่น กัน โดยรวมก็ยังถือว่าเธอเป็นเด็กที่มีความสุขไม่ถึงขั้นเป็นเด็กมีปัญหาหรือต่อ ต้านพ่อแม่ตัวเองจนเกินไป และที่สำคัญคือเจนเคยคุยกับพ่อของเธอและสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการจะ เปลี่ยนแปลงความคิดของพ่อเธอนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือพูดให้เธอยอมรับและเข้าใจในตัวพ่อและแม่ของเธอจะดีกว่า)



เจนก็บอกเธอว่า "คุณพ่อคุณแม่ท่านรักท่านหวังดีกับหนูไงละลูก ท่านก็อยากให้สิ่งที่คิดว่าดีที่สุดกับหนู"

เจนยังไม่ทันจะพูดต่อเธอก็ตัดบททันที  "ใครๆก็ตอบแต่แบบนี้" น้ำเสียงเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พึงพอใจในคำตอบ

"ไอซ์ ถึงพ่อแม่จะชอบบังคับไอซ์แต่ทุกสิ่งที่พวกท่านทำลงไปสุดท้ายผลดีเหล่านั้นก็ตกกับตัวไอซ์เองไม่ใช่หรือ" เจนบอกเธอ

เธอ ยกมือไหว้ เจนคิดว่าเธอคงเริ่มเข้าใจแต่ที่ไหนได้ หนูไอซ์พูดต่อทันที "ขอโทษนะครูหนูไม่อยากได้คำตอบแบบอะไรๆก็เข้าข้างผู้ใหญ่ด้วยกัน แล้วหนูก็เบื่อคำตอบแบบเอะอะอะไรก็อ้างแต่รักแต่หวังดีแบบนี้เต็มทีแล้ว ด้วยเหตุนี้หนูถึงได้มาถามครูไง เพราเพื่อนๆเขาบอกว่าครูเจนสามารถอธิบายการกระทำทุกอย่างของมนุษย์ให้เข้าใจ ได้ถึงแม้บางทีมันฟังแล้วออกจะประหลาดๆหรือพิลึกๆก็ตาม"

(เออ ครูจะคิดว่าเป็นคำชมแล้วกันนะแล้วครูควรจะภูมิใจไหมนี่) เจนคิดในใจ

"เอา ละ ก็ได้งั้นครูจะอธิบายให้ไอซ์ฟังจากสิ่งที่ครูได้ศึกษามา ก่อนอื่นครูต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุดที่พ่อแม่จะชอบให้ลูกทำตาม ความปรารถนาของตัวเอง เพราะจริงๆคนเรามีลูกก็เพื่อสิ่งนี้แหละ"

เธออ้าปากและมองหน้าเจน

"ถ้าไอซ์อยากจะเข้าใจพ่อแม่  ไอซ์ก็ต้องเข้าใจมนุษย์ก่อน"

"ไอซ์คิดว่าคนเราอยากมีลูกเพราะอะไร"

"อยากให้ครอบครัวสมบูรณ์ อยากมีโซ่ทองคล้องใจ อะไรทำนองนั้นมั้ง"  เธอตอบ

เจน ส่ายหัวแล้วบอกเธอว่า "จริงแล้วมนุษย์มีลูกเพราะแรงผลักดันจากสัญชาตญาณภายใน สัญชาตญาณที่เป็นตัวผลักดันให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยที่แม้แต่เจ้าตัวเองบาง ทีก็ยังไม่รู้"

"มนุษย์มีลูกเพราะแรงผลักดันจากสัญชาตญาณภายในสามอย่าง"



อย่างแรกเพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ เหมือนสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกนี้  ข้อนี้ไอซ์น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก ใช่ไหม

"ค่ะ"  เธอตอบ


อย่าง ที่สอง จริงๆต้องบอกว่ามนุษย์ไม่ได้อยากมีลูกเลย สิ่งที่มนุษย์ต้องการจริงๆคืออยากเป็นอมตะแต่มนุษย์ทำไม่ได้มนุษย์เลยต้องมี ลูกเพื่อชดเชยความไม่เป็นอมตะ  ที่เป็นแบบนี้เพราะสัญชาตญาณภายในนั้นสอนให้มนุษย์รักตัวเองเหนือสิ่งอื่น ใด เมื่อมนุษย์รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองลงทุน ลงแรงทำลงไป เช่น กิจการ สูตรอาหาร ความสามารถด้านดนตรี กีฬา จะต้องสลายหายไปพร้อมกับความตายของตน มนุษย์รับไม่ได้  และยิ่งทุกข์มากขึ้นเมื่อคิดว่าตัวเองจะต้องถูกลืมหรือสิ่งที่ตัวเองหวงแหน นั้นต้องตกไปเป็นของคนอื่น  มนุษย์เลยต้องการคนซึ่งมีความใกล้เคียงกับตนเองมากที่สุดมาสืบมาทอดสิ่ง เหล่านั้นแทนซึ่งนั่นก็คือลูก



อย่างที่สาม จริงแล้วมนุษย์อยากย้อนอดีตได้แต่ก็ทำไม่ได้อีกเช่นกันมนุษย์เลยต้องมีลูกเพื่อชดเชยที่ตัวเองไม่สามารถย้อนอดีตได้  

"เหตุการณ์อะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและทำไอซ์คิดว่าไอซ์มีความทุกข์" เจนถามเธอ

เธอคิดสักพักก่อนตอบออกมา "อกหัก มือถือหาย แล้วก็โดนแม่ตี"  

"แล้วตอนนี้มีเพื่อนใหม่ มีมือถือใหม่และหายเจ็บแล้วยัง"

"มีแล้วๆก็หายเจ็บตั้งนานแล้วค่ะ"

"แล้วตอนนี้ยังเศร้ากับเรื่องพวกนั้นอยู่อีกไหม" เจนถามต่อ

"ถ้าไม่คิดก็ไม่เศร้าแต่ถ้าย้อนคิดหรือมีอะไรมาสะกิดให้ต้องคิดก็ยังเศร้าอยู่นะ" หนูไอซ์ตอบ

"มนุษย์เจ็บปวดจากความทุกข์แค่ครั้งเดียว แต่เจ็บปวดจากความคิดเป็นล้านครั้ง" เจนบอกเธอ

"คน ทุกคนมีบาดแผลทางใจจากอดีตด้วยกันทั้งนั้นแม้แต่คนที่มีความสุขที่สุด และบาดแผลที่ลึกและมีผลกระทบต่อชีวิตมากที่สุดคือบาดแผลในวัยเด็ก ความสุขบางอย่างนั้นมีเงินมากเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือความทุกข์ความไม่สมหวังในวัยเด็ก"  


ไอซ์ลอง สมมุติว่ามีผู้หญิงคนนึงฐานะปานกลางวันดีคืนดีเธอถูกล็อตโต้ได้เงินมาพัน ล้าน  เธอก้าวเท้าเข้าไปในพารากอนและคิดว่าจะซื้อทุกอย่างที่เธออยากได้โดยไม่ สนใจราคาและเชื่อว่าวันนี้เธอจะกลับออกไปด้วยความสุขแบบสุดๆ  แต่แล้วเมื่อเธอเดินผ่านแผนกของเล่นแล้วเห็นเด็กกำลังกอดขาขอให้แม่ซื้อ ตุ๊กตาหมีให้ สักพักแม่ก็ใจอ่อนและยอมตามใจ  สุดท้ายลูกก็กอดตุ๊กตาหมีเดินออกมาด้วยแววตาที่มีความสุขอย่างที่สุด

ทัน ใดนั้นจิตใต้สำนึกก็ส่งสัญญาณเข้ามาในสมอง ภาพในวัยเด็กที่ตัวเธอเองเกาะตู้กระจกร้องไห้ขอให้แม่ซื้อตุ๊กตาหมีให้ก็ ปรากฎตรงหน้า  น่าเศร้าแม่เธอจนเกินกว่าที่จะซื้อให้ไหว สุดท้ายเธอก็ได้แต่กลับมานอนร้องไห้กับความว่างเปล่า   ถามว่าตอนนี้เธอมีเงินพอซื้อตุ๊กตาหมีไหม แน่นอนอย่าว่าแค่ตัวเดียวเลยทั้งโรงงานก็ซื้อได้  แต่ปัญหาคือต่อให้มีตุ๊กตาหมีพันตัวมากองตรงหน้าแต่ความสุขที่ได้มันไม่ถึง เสี้ยวเลยด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับความสุขที่เธอเชื่อว่าเธอจะได้ถ้าเธอได้เป็น เจ้าของตุ๊กตาหมีในวันนั้น

สิ่งเดียวที่ใกล้เคียงที่สุดที่จะลบความ ทรงจำอันเลวร้ายหรือพอจะเยียวยาได้บ้างคือมอบความสุขแบบนั้นให้กับคนที่ใกล้ เคียงกับตัวเธอมากที่สุดซึ่งนั่นก็คือลูก

เพราะฉะนั้นครูก็ ต้องบอกว่ามนุษย์ทุกคนนั้นคาดหวังอยากให้ลูกมาสืบทอดสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่า มีคุณค่า มาชดเชยความไม่สมหวังในวัยเด็กของตนด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเธอจะบอกว่าพ่อแม่ อย่ามาบังคับ อย่าตีกรอบ อย่าบงการ ชีวิตลูกเลยคงเป็นไปได้ยากเพราะคนที่สามารถสู้กับแรงผลักดันจากสัญชาตญาณภาย ในเหล่านี้หรือมีแรงผลักดันเหล่านี้น้อยกว่าคนส่วนใหญ่ พวกเขาก็มักจะไม่มีลูก เราทำได้ดีที่สุดก็แค่ลด หรือหาแนวทางประณีประนอม แต่การกำจัดไม่ให้มีเลยนั้นครูบอกเลยว่าทำได้ยากมากๆ

และถ้าไอซ์ลอง พิจารณาดูดีๆจะเห็นได้ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมีจุดกำเนิดมาจากความปรารถดี แต่ที่ปัญหามันเกิดเพราะคนเรานั้นชอบสิ่งต่างๆไม่เหมือนกันและมักคิดเอาเอง ว่าสิ่งที่ตัวชอบนั้นถูกนั้นดีและก็เที่ยวไปบังคับให้คนอื่นชอบตาม

ครูไม่ได้บอกว่าพ่อแม่ไอซ์ทำถูกหรือครูเห็นด้วยกับสิ่งที่พ่อแม่ไอซ์ทำ เพียงแต่อยากบอกให้เข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์

"แม่ ชอบเล่าว่าตอนเด็กๆแม่อยากเรียนเปียโนมากแต่ตาไม่ให้เรียนบอกฟุ่มเฟือยไร้ สาระ มิน่าทำไมแม่ถึงบังคับให้หนูเรียนเปียโน ที่แท้แม่บังคับหนูให้เรียนก็เพื่อความสุขของตัวแม่เอง" เธอพูดขึ้นมา

"ไอซ์ จะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ผิด แต่จะดีกว่าไหมถ้าไอซ์จะคิดว่าการที่ไอซ์เรียนเปียโนเป็นการช่วยให้แม่มี ความสุข เป็นการช่วยเยียวบาดแผลทางใจในวัยเด็กของคุณแม่"

"ที่สำคัญ สิ่งที่ไอซ์ทำเป็นสิ่งที่ไม่มีใครในโลกนี้ทำได้นอกจากไอซ์เพียงคนเดียว และครูถามจริงๆเถอะว่าไอซ์เองเกลียดการเล่นเปียโนจริงๆหรือว่าไอซ์ชอบเล่น เปียโนเพียงแต่พอรู้สึกว่าจุดเริ่มต้นมันมาจากการถูกบังคับก็เลยพาลคิดว่า ฉันจะต้องเกลียดมัน" เจนถามเธอ

เธอเงียบ ก้มหน้าและหลบตา สักพักเธอก็พูดต่อว่า

"ตั้งแต่เกิดมาหนูพึ่งเคยได้ยินอะไรแบบนี้  แต่จะว่าไปตอนที่หนูไปแข่งเปียโนแล้วได้รางวัล แม่ดีใจๆมากกว่าหนูซะอีก"

"พ่อ ก็เหมือนกันชอบบ่นพี่ชายหนูว่าทำงานกงสีไม่ได้เรื่อง ถ้าพ่อตายไปกิจการที่บ้านคงเจ็งเป็นแน่  พี่ชายหนูก็บอกว่าถ้าพ่อไม่อยู่แล้วก็จะขายไม่ทำต่อหรอก พอบอกแบบนั้นนะพ่อด่าใหญ่เลย พี่ก็มาถามหนูว่าป๊าแกจะเดือดร้อนอะไร(ก็ตอนนั้นป๊าไม่อยู่แล้ว) ก็อาจจะเป็นเพราะแบบนี้ เดี๋ยวกลับไปหนูไปเล่าให้พี่ชายฟังดีกว่าเผื่อจะได้เข้าใจอะไรๆมากขึ้น"

แล้ว เธอก็ขอตัวไปหาเพื่อน เจนก็ไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยแววตาตอนที่เธอจากไปก็ดูอ่อนโยนไม่แข็งกร้าวมากเท่ากับตอนที่ เริ่มคุยกันใหม่ๆ

(สิ่งที่เจนอธิบายให้เด็กฟังนั้นเป็นความรู้ที่มา จากการศึกษาวิชาที่เป็นความเชื่อเฉพาะบุคคล คุณพ่อคุณแม่จะคิดเห็นเช่นไรนั้นขอได้โปรดใช้วิจารณญาณตัดสินใจด้วยตัวเอง)


เจน Smiley





 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2554   
Last Update : 3 กรกฎาคม 2554 2:18:40 น.   
Counter : 423 Pageviews.  


จริงไหมที่ว่าลูกเลี้ยงได้แต่ตัว โดยคุณ JanE & IK

ที่มา //www.pantip.com/cafe/family/topic/N10591059/N10591059.html#32

จากคุณ : JanE & IK
เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 09:43:22


ครั้งนึงมีคุณพ่อท่านนึงมาบ่นเรื่องพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของลูกสาวกับเจนแล้วบอกว่า "ที่เขาว่าลูก เลี้ยงได้แต่ตัวมันก็จริงละ"


ถ้า ถามว่าเด็กจะดีหรือไม่เพียงใดนั้นขึ้นกับการเลี้ยงดูหรือว่าเป็นสิ่งที่ถูก กำหนดมาแล้ว (ทางศาสนาอาจเรียกว่า กรรมเก่า ทางวิทยาศาสตร์ก็คงเกี่ยวข้องกับยีนหรือโครโมโซม)

เรื่องนี้ถ้าถกกัน ก็ต้องบอกว่าไม่มีทางได้ข้อยุติ ถามเจนๆก็คิดเหมือนคนส่วนใหญ่ว่าก็ทั้งคู่ แต่เจนเชื่อว่าการเลี้ยงดูมีผลมากกว่าและไม่น่าจะน้อยกว่าร้อยละ 70 (ความคิดเห็นส่วนตัว)


เจนบอกคุณพ่อว่า ที่บ้านคุณแม่เจนมีมะม่วงอยู่ต้นนึง จริงๆก็ไม่รู้ว่าพันธุ์อะไร แต่ที่บ้านจะเรียกว่า มะม่วง "มัน" ซึ่งย่อมาจาก "ตามใจมัน" เนื่องจากคุณแม่เจนท่านรดน้ำใส่ปุ๋ยเหมือนกันทุกปีตลอด แต่บางปีลูกมะม่วงรสชาติก็ออกมัน บางปีก็ออกเปรี้ยว บางปีก็ออกลูกเยอะ บางปีก็ออกน้อย แต่ที่แน่ๆคือมะม่วงต้นนี้ไม่เคยออกลูกเป็นมะนาว ไม่เคยออกลูกเป็นมะพร้าวและไม่เคยออกลูกเป็นส้มโอ

ถ้าเปรียบเด็กเป็น ต้นมะม่วงก็หมายความว่าต่อให้เด็กได้รับความรัก การอบรมสั่งสอน การศึกษามาเท่าๆกันก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กจะ "ได้ดี" เท่ากันในทุกๆอย่าง แต่สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยกำหนดขีดจำกัด พื้นฐานทางจิตใจ ความสามารถในด้านต่างๆรวมทั้งความฉลาดทางอารมณ์ของพวกเขา

เจนบอกคุณพ่อว่า เจนไม่ได้คิดตำหนิอะไรคุณพ่อเลยนะ แต่ที่คุณพ่อบอกเจนว่า "ลูกเลี้ยงได้แต่ตัว"

คุณ พ่อก็ลองคิดดูว่าที่ผ่านมาคุณพ่อเลี้ยง "ใจ" ของน้องเขาด้วยหรือเปล่า คุณพ่อไม่ต้องตอบเจนก็ได้ แต่ลองคิดดูว่าที่ผ่านมาตั้งแต่ลูกเกิดเราเลี้ยงลูกกันเองหรือส่งไปให้คน อื่นเลี้ยง (เจนไม่ได้ตำหนิคนที่ส่งลูกไปให้คนอื่นเลี้ยงและเข้าใจว่าทุกคนมีข้อจำกัด แตกต่างกัน แต่ต้องการบอกว่าสิ่งนี้มีผลกับเด็ก) เราให้แค่เงินกับหาโรงเรียนให้ หรือว่าเอาใจใส่ทางจิตใจลูกไปด้วย ลูกสุข ทุกข์ เหงา เศร้าเราสัมผัสและใส่ใจมากน้อยแค่ไหน เคยแสดงความรักกับลูกไหม เคยลงโทษลูกด้วยอารมณ์ไหม เวลาลูกร้องไห้ทำยังไง เคยบอกลูกว่า เขาเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตพ่อแม่ หรือ ถ้าย้อนเวลาได้ฉันจะเอาขี้เถ้ายัดปากแก สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเป็นคำตอบได้ว่าเราเลี้ยงใจเขามากแค่ไหนและเราจะ "ได้ใจ"เขามากแค่ไหนเช่นเดียวกัน

เจนเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนรักลูกและ ลูกทุกคนก็รักพ่อแม่ แต่ต่างฝ่ายจะรักกันมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการประ พฤติปฎิบัติตัวของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย

และถ้าเชื่อว่าลูกไม่ดีเพราะกรรมเก่า แล้วกรรมอันนั้นเล่าใครเป็นคนสร้างขึ้นมา

ถ้า ลูกไม่ดีเพราะยีน หรือโครโมโซมในตัวลูก แล้วลูกถือกำเนิดจากอะไรไม่ใช่อสุจิตัวที่แข็งแรงที่สุดผสมกับไข่ของคนที่ คุณรักที่สุดหรอกหรือ



อีกอย่างคือจากประสบการณ์ที่ได้ดูแล เด็กๆมาต้องบอกว่าเด็กทุกคนล้วนมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้นมากบ้าง น้อยบ้าง สาหัสบ้าง เบาๆบ้างแตกต่างกันไป

แต่สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายคือหลายต่อหลายครั้งปัญหาเหล่านี้ของเด็กไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรือคอขาดบาดตายอะไร

พฤติกรรมบางอย่างของเด็กนั้นแม้อาจจะไม่เหมาสมแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายถึงขนาดปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้

แต่ ปัญหาหรือพฤติกรรมเหล่านี้เมื่อผู้ใหญ่เข้ามาจัดการโดยขาดความเข้าใจ จากเรื่องเล็กๆ เรื่องที่อีกไม่นานพวกเขาก็จะผ่านพ้นไปได้อยู่แล้ว กลับกลายเป็นปัญหาใหญ่โต หรือแม้ปัญหานี้จะหมดไปแต่กลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่อีกหลายสิบอย่างแทน

สิ่งที่เจนอยากบอกคือ


"อย่าเพิ่มปัญหาโดยการแก้ปัญหา"


มี คนเคยถามเจนว่าการที่เจนทำโทษเด็กที่มาสาย,เอาขนมมากินบนห้อง,แต่งตัวตาม อำเภอใจ โดยการให้กระโดดตบ,คัดลายมือ หรือคุกเข่า(ในห้องแอร์) มันลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ได้จริงหรือ

ก็ต้องบอกว่าได้ในระดับหนึ่งแต่ไม่ใช้ทั้งหมดและจริงๆเจนเชื่อว่าผลที่ได้นั้นมาจากการอบรมสั่งสอนที่เราทำควบคู่กันไปเสียมากกว่า

บางคนก็บอกว่าปัญหาเหล่านี้แก้ไม่เห็นยากเลยแค่เปลี่ยนเป็นลงโทษแบบประจาน คุกเข่าตากแดด หรือฟาด แค่นี้ก็แก้ได้แล้ว

เจนก็เชื่อว่าถ้าทำแบบนั้นปัญหาสามอย่างนี้จะหมดไป แต่ปัญหาใหม่อีกหลายสิบอย่างจะเข้ามาแทน
หนี เรียน โกหก เก็บกด ต่อต้านสังคม มองโลกในแง่ร้าย เจ้าคิดเจ้าแค้น หัวรุนแรง บ้าอำนาจ หรือพอมีอิสระก็ใช้ไม่เป็นจนทำลายชีวิตตัวเองและคนรอบข้างจะวิ่งเข้ามาแทน แม้ปัญหาเหล่านี้อาจไม่เกิดกับเด็กทุกคน(และหลายคนเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ ตัว)และอาจไม่ส่งผลกระทบกับเจนโดยตรงแต่เจนคิดว่าสิ่งที่ได้นั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องเสี่ยงและเป็นการไม่ยุติธรรมที่เราจะผลักปัญหา เหล่านี้ไปให้สังคมแทน

หรืออย่างลูกเจนเอง ตอนเด็กๆน้องอิ๊กชอบดูดนิ้วโป้ง พลิกตำราก็แล้ว ใช้สารพัดวิธีก็แล้ว (ถึงขนาดแฟนเจนเอานิ้วลูกมาลองดูดบ้าง บอกมันอาจจะมีสารเคมีอะไรบางอย่างที่อร่อยมากๆซึมออกมาจนลูกติดใจ) สุดท้ายก็แก้ไม่ได้ ก็ได้แค่ดุลูกเวลาที่เห็น

บางคนก็บอกว่าแก้ไม่ยากให้เอาน้ำพริกเผาทา บางคนก็บอกให้ตบปาก หรือถือไม้ไว้ดูดเมื่อไหร่ก็ฟาดได้เลย

เจน ก็เชื่ออีกเช่นกันว่าถ้าทำแบบนั้นคงจะแก้ปัญหาเรื่องลูกดูดนิ้วได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งปัญหาใหม่ลงไปในหัวใจของลูก อีกเป็นสิบ

เรื่องดูดนิ้วสุดท้ายพอลูกโตขึ้นอาการนี้ก็หายไปเอง ถ้าถามว่าหายได้ยังไง เจนคิดว่าส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะ "วัย" ของลูก



สิ่ง หนึ่งที่เป็นกฎของธรรมชาติคือช่วงระยะเวลาต่างๆในชีวิตมนุษย์ ร่างกาย ฮอร์โมน หรือสัญชาตญาณภายในเองก็มีส่วนที่เป็นตัวทำให้เกิดปัญหา ยกตัวอย่างง่ายๆ เด็กเล็กๆอมข้าวมีไม่น้อย เด็กประถมอมข้าวนี่หายาก ส่วนเด็กมัธยมอมข้าวตั้งแต่ดูแลมายังไม่เคยเจอ

ซนเป็นลูกลิง (ในเด็กสองขวบ) ติดเพื่อน สนใจเพศตรงข้าม (ในวัยรุ่น) อาการเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็เพราะแรงผลักดันจากสัญชาตญาณภายในตามแต่ช่วงระยะ เวลา

การที่เด็กเล็กๆซนเป็นลูกลิง ไม่ใช่เพราะพวกเขาอยากลองดีหรือท้าทาย และการที่ตอนคุณสอนแล้วเขาพยักหน้ารับปากแต่สุดท้ายก็ไม่ทำตาม ไม่ใช่เพราะพวกเขาจงใจไม่รักษาสัญญา หรืออยากทำให้คุณเสียหน้า แต่เป็นเพราะสมองส่วนของเหตุและผลของพวกเขายังพัฒนาไม่เต็มที่

การ ที่ลูกสาววัยรุ่นเปลี่ยนไปจากเด็กที่เชื่อฟัง ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด กลายเป็นเด็กช่างเถียง ติดเพื่อน สนใจเพศตรงข้าม ไม่ใช่เพราะว่าเขาอยากทำให้คุณเสียใจ ไม่ใช่เพราะเขาเห็นเพื่อนสำคัญกว่าครอบครัว ไม่ใช่เพราะเขาอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นสัตว์มีนอที่ชอบดับไฟ แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนในตัว เด็ก

จริงอยู่ที่มนุษย์สามารถควบคุมสัญชาตญาณภายในหรือเอาชนะใจตัว เองได้ แต่ในช่วงระยะเวลาที่ต้องต่อสู้กับมัน บางครั้งเราก็ล้ม บางครั้งเราก็พลาด บางครั้งเราก็ปล่อยให้มันมีอำนาจเหนือเรา เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเป็นกำลังใจ คอยช่วยประคับประคองให้เด็กผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้ไป ไม่ใช่เอาแต่ด่าหรือพูดแต่ว่าลูกฉันต้องไปในทางที่เลวร้ายแน่ๆ และถ้าเด็กพลาดเราก็ต้องพร้อมที่จะให้อภัย ไม่ใช่พร้อมที่จะเหยียบย่ำซ้ำเติม และบอกลูกและตัวเองว่า "ถึงเราจะแพ้ศึกแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะแพ้สงคราม" (We Lost the Battle but not the War -- Charles De Gaulle)



การที่เจนบอกแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไม่ใส่ใจ ละเลย เพิกเฉยต่อพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของเด็กหรือยอมให้เด็กทำทุกอย่างตามอำเภอใจ หรือทำผิดต่อหน้าต่อตา แต่สิ่งที่อยากบอกคือปัญหาของเด็กทุกอย่างนั้นไม่ว่าเราจะแก้ด้วยวิธีไหนเรา ต้องคิดถึงผลกระทบที่จะตามมาด้วยไม่ใช่มุ่งหวังแค่จะกำจัดปัญหาแต่เพียง อย่างเดียว

ถ้าเปรียบเหมือนอาการปวดเข่า ถ้าเราเป็นเราก็ต้องกินยา ทายา ฝังเข็ม หาหมอหรืออะไรก็ตาม แต่คงไม่มีใครปวดเข่าปุ๊บก็บอกตัวเองว่า "ตัดขาเลยดีกว่าง่ายดี" และถ้าถึงขั้นจะต้องตัดขาเราก็ต้องแน่ใจว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นใดที่ดีกว่า นั้นแล้วๆมันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำจริงๆ



หลายครั้งเจนฟังเรื่องของผู้ปกครองที่บอกว่าลูกตัวเองมีปัญหาแต่สุดท้ายแล้วก็ได้ข้อสรุปว่า

ปัญหาเกิดจากการที่พ่อแม่คิดไปเองว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหาทั้งๆที่มันไม่ใช่ปัญหา

เช่น เด็กเล็กๆติดตุ๊กตา ลูกสาววัยรุ่นบ้าดารา ลูกชายบ้าฟุตบอล

สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาก็ต่อเมื่อเด็กสนใจสิ่งเหล่านี้จนละเลยกิจวัตรประจำวันและหน้าที่ของตัวเอง

ตราบใดที่เด็กยังรับผิดชอบชีวิตตัวเองในส่วนของเขาได้ และยังแยกแยะความฝันกับความจริงออก สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่ปัญหา

แต่มันจะเป็นปัญหาในทันทีเมื่อผู้ใหญ่คิดเอาเองว่านี่คือปัญหาและตั้งหน้าตั้งตาที่จะ "ซ่อมในสิ่งที่มันไม่ได้พัง"


(บท ความนี้เขียนขึ้นจากความรู้สึกและประสบการณ์ไม่ใช่งานวิจัยหรือเอกสารทาง วิชาการ คุณพ่อคุณแม่จะคิดเห็นเช่นไรนั้นขอได้โปรดใช้วิจารณญาณตัดสินใจด้วยตัวเอง)



เจน




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2554   
Last Update : 28 พฤษภาคม 2554 2:35:19 น.   
Counter : 457 Pageviews.  


มันเหมาะกับการใช้ชีวิตคู่มากๆ จากคุณ แมวสีขาวขนปุย

ขอแชร์สิ่งดีๆที่ได้รับจาก ฟอร์เวิร์ดเมลล์ เราว่า มันเหมาะกับการใช้ชีวิตคู่มากๆ

ที่มา //www.pantip.com/cafe/family/topic/N10538694/N10538694.html

จากคุณ : แมวสีขาวขนปุย
เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 13:41:28







อาจารย์พรหม หรือ พระวิสิทธิสังวรเถร เป็นชาวอังกฤษ

เป็นลูกศิษฐ์หลวงปู่ชา (เกจิอาจารย์ที่ท่านอาจารย์กมลวัลย์นับถือเป็นอย่างมาก)

ก่อนจะไปก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณใกล้เมืองเพิร์ธ ที่ออสเตรเลีย

ช่วงก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณเมื่อปี ๒๕๒๖ พระอาจารย์พรหม เล่าว่า””

หลังจากซื้อที่ดินแล้วเงินก็แทบไม่เหลือ ต้องสร้างวัดด้วยมือของตัวเอง
ตั้งแต่ผสมปูนจนถึงการก่อกำแพงอิฐ..



ท่านเล่าว่า.. ตอนที่ลงมือทำก็รู้สึกว่า ได้ทำอย่างประณีตที่สุด

จนกระทั่งกำแพงอิฐเสร็จสิ้นลง..

แต่พอถอยออกมายืนดู ก็พบว่า ก่ออิฐพลาดไป ๒ ก้อน..!!

อิฐกำแพงเรียงเรียบสวย แต่มีอยู่ ๒ ก้อนที่เอียง ๆ..
พระอาจารย์พรหมขอเจ้าอาวาสทุบกำแพงทิ้งเพื่อก่อใหม่

แต่เจ้าอาวาสไม่ยอม..


จากนั้นเป็นต้นมา.. ทุกครั้งที่พระอาจารย์พรหมพาแขกเยี่ยมวัด

ท่านจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พาแขกเดินผ่านกำแพงบริเวณนี้..
เพราะอายที่ก่ออิฐผิดพลาดไป ๒ ก้อน..

จนกระทั่งวันหนึ่ง.. พระอาจารย์พรหมกำลังเดินกับผู้มาเยี่ยมวัดคนหนึ่ง..
เขาเห็นกำแพงอิฐนี้แล้วก็เปรยขึ้นมาว่า "กำแพงนี่สวยดี"..

พระอาจารย์พรหมถามด้วยอารมณ์ขันว่า..

"คุณลืมแว่นสายตาไว้ที่รถหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่า

มีอิฐ ๒ ก้อนที่ก่อผิดพลาดจนกำแพงดูไม่ดี.."

แต่แล้ว ผู้มาเยี่ยมชมคนนี้ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้

พระอาจารย์พรหมเปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดที่เคยมีต่อกำแพงนี้
พร้อมกับเปลี่ยนแง่มุมที่มีต่อชีวิต..

ผู้เยี่ยมชมคนนั้นบอกว่า.. "ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น

แต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่า.. มีอิฐอีก ๙๙๘ ก้อนที่ก่อไว้อย่างสวยงาม"


"นับเป็นครั้งแรกในรอบ ๓ เดือน ที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่น ๆ

บนกำแพงนั้น นอกเหนือจากเจ้า ๒ ก้อนที่เป็นปัญหา..

ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย และด้านขวา

ของเจ้าอิฐ ๒ ก้อนนั้นล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ..


ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนอิฐที่ดี มีมากกว่าเจ้าอิฐไม่ดี ๒ ก้อนนั้น"

ช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา.. สายตาของพระอาจารย์พรหมเฝ้ามองแต่อิฐ ๒ ก้อนนั้น

ท่านยอมรับว่าสายตาของท่านมืดบอดต่อสิ่งอื่น ๆ..
ท่านอยากทลายกำแพง เพราะมองเห็นแต่อิฐ ๒ ก้อนที่ผิดพลาด..!!

แต่ทันทีที่ความรู้สึกเปิดกว้าง มองเห็นอิฐก้อนดี ๆ จำนวนมากบนกำแพงนี
กำแพงเดิมที่อยากทลาย ก็กลับงดงามขึ้นมาทันที..

"ใช่ ... กำแพงนี้สวยดี"
พระอาจารย์พรหมหันไปบอกกับผู้มาเยี่ยมคนนั้น


จนถึงวันนี้.. พระอาจารย์พรหมก็นึกไม่ออกแล้วว่า..

อิฐก้อนที่ผิดพลาด ๒ ก้อนนั้นอยู่ตรงไหนของกำแพง



“ทัศนคติ” ในการมองโลกที่เปลี่ยนแปลง

ทำให้อิฐ ๒ ก้อนนั้นเลือนหายจากความทรงจำ

พระอาจารย์พรหมเปรียบเปรยว่า คู่ชีวิตที่ตัดสัมพันธ์

หรือหย่าร้างกันก็เพราะทั้งคู่เพ่งมองแต่ "อิฐที่ไม่ดี ๒ ก้อน"

ในตัวคู่ชีวิตของเขา...

คนที่คิดท้อแท้ อยากฆ่าตัวตายก็เพราะเรามองเห็นแต่ "อิฐ ๒ ก้อน" ในตัวเราเอง

ทั้งที่ในความเป็นจริง นอกจาก "อิฐ ๒ ก้อน" ที่ผิดพลาดแล้ว

ยังมี "อิฐก้อนที่ดี" และ "อิฐก้อนที่ดีจนไม่มีที่ติ" มากมายอยู่ในตัวเรา
เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้น

ท่านอาจารย์พรหมเตือนสติว่า..

อย่าให้ความผิดพลาดของ "อิฐที่ไม่ดี" เพียง "๒ ก้อน"

ทำให้เราต้องทำลายกำแพงดี ๆ จนพัง..




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2554   
Last Update : 28 พฤษภาคม 2554 2:37:47 น.   
Counter : 471 Pageviews.  


1  2  3  4  

น้องออมบุญ
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add น้องออมบุญ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com