Bloggang.com : rajasit - หุ้น'52 หมีดุ กระทิงหงอย [31 ธ.ค. 51 - 18:44]

Bloggang.com : weblog for you and your gang

Bancha

Group Blog

All blogs

หุ้น'52 หมีดุ กระทิงหงอย [31 ธ.ค. 51 - 18:44]

หุ้น'52 หมีดุ กระทิงหงอย [31 ธ.ค. 51 - 18:44]

ลาทีปีเก่า 2551 ปีแห่งความบอบช้ำของนักลงทุนทั่วโลก ปีแห่งความหายนะของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งต้อง จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทยอีกปีหนึ่ง

จุดหักเหที่ส่งสัญญาณอันตรายและความเลวร้ายของดัชนีหุ้นไทย เริ่มต้นในช่วงกลางปี เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ในขณะที่บรรดาเซียนหุ้นและนักลงทุนกำลังลุ้นสุดตัวว่า ดัชนีหุ้นไทยจะทะยานขึ้นไปทำสถิติที่ระดับ 900-1,000 จุด

แต่จู่ๆเมื่อปัญหาการเมืองภายในประเทศได้ถึงจุดแตกหัก ดับฝันนักลงทุนไทยเมื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตยนัดชุมนุมขับไล่รัฐบาล และทวีความรุนแรงขึ้น จนถึงขั้นบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ก่อนจะยืดเยื้อบานปลายไปปิดล้อมรัฐสภา และยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างมหาศาล

ซ้ำเติมด้วยความล่มสลายของระบบการเงินในสหรัฐฯ การล้มละลายของสถาบันการเงินและวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ หลายแห่ง ได้ลากเอาภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ให้ล้มพังพาบตามมาอย่างไม่เป็นท่า กระชากเศรษฐกิจสหรัฐฯดำดิ่งเข้าสู่วิกฤติอย่าง รวดเร็ว และลุกลามไปจนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก

ดัชนีหุ้นไทยที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปีที่ระดับ 884 จุด เมื่อวันที่ 21 พ.ค. จึงได้ไหลลากดิ่งลงมาอย่างต่อเนื่องและ รุนแรง ลงไปต่ำสุดเหลือเพียง 384 จุด เมื่อ 29 ต.ค. ลดลงไปถึง 500 จุด นับจากจุดสูงสุด และลดลง 473.95 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีสิ้นปี 2550

ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ที่แสดงถึงความมั่งคั่งของนักลงทุนในตลาด หุ้นหดหายกระเป๋าแห้งไปกว่า 3.86 ล้านล้านบาท

และตลาดหลักทรัพย์ต้องนำมาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ มาใช้เพื่อหยุดการซื้อขายในระหว่างวัน เพราะดัชนีหุ้นดำดิ่ง ลงภายในวันเดียวมากกว่า 10% โดยปีนี้ต้องใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ถึง 2 ครั้ง ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย!!

และหากสำรวจนักลงทุนต่างชาติพบว่า ได้เดินหน้าเทขายหนีตายตลาดหุ้นไทยอย่างหนักตลอดทั้งปี โดยขายสุทธิไป กว่า 160,464 ล้านบาท และเมื่อบวกลบคูณหารเคาะตัวเลขออกมาแล้วพบว่า หุ้นที่ต่างชาติทยอยซื้อสะสมมาในช่วง 10 ปีนี้ ล่าสุด เหลือหุ้นในมือเพียง 49,254 ล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยปีหนูไฟ จึงถูกถล่มด้วยระเบิดปรมาณูลูกแล้วลูกเล่า ทั้งจากศึกในและศึกนอก จึงถือเป็นปีแห่ง หายนะและความบอบช้ำของนักลงทุนโดยแท้

คัมภีร์เซียน

และก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ปีวัว ท่ามกลางความเลวร้ายของวิกฤติเศรษฐกิจ ที่เพิ่งจะเริ่มต้นและไม่รู้ว่าจะลาก ยาวไปแค่ไหน หากหลุมดำของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลึกมืดและดำดิ่งเกินกว่าจะคาดเดาได้ เศรษฐกิจทั่วโลกจะเป็นเช่นไร

ตลาดหุ้นดาวโจนส์และหุ้นทั่วโลก จะเป็นด่านหน้า และดัชนีชี้วัดผลกระทบจากมหันตภัยเศรษฐกิจครั้งนี้ ดัชนีจะ ถูกกระชากลงแรงแค่ไหน ต่างชาติจะขายล้างพอร์ตและลบชื่อตลาดหุ้นไทยออกไปจากบัญชีเลยหรือไม่ และนักลงทุนไทยจะสู้ต่อเพื่ออยู่ รอดได้อย่างไร

“ทีมเศรษฐกิจ” จึงขอนำเสนอแง่มุมการวิเคราะห์ของ “วิศิษฐ์ องค์พิพัฒน์กุล” กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ นักวิเคราะห์ชั้นเซียน ที่เก็บรวบรวมข้อมูลและปัจจัยต่างๆที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลก มาประเมิน ทิศทางตลาดและแนะกลยุทธ์การลงทุน ที่น่าจะนำมาใช้เป็นคัมภีร์ให้รู้เท่าทัน แคล้วคลาดและได้กำไรในตลาดหุ้นปีวัว ที่น่าจะไม่ใช่วัว กระทิง!!

วิศิษฐ์ฟันธงว่า ตลาดหุ้นไทยปีหน้า จะเคลื่อนไหวแกว่งตัวในลักษณะ W-Shape คือ สวิงตัวผันผวนขึ้น-ลงซิกแซ็ก เป็นฟันปลา ไม่ทะยานปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหรือดิ่งลงทางเดียว ซึ่งต่างจากทิศทางของเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวซึมยาวในลักษณะ U- Shape

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนของตลาดลักษณะนี้จึงต้อง “เทรดดิ้ง” หรือซื้อขายเป็นรอบๆมากกว่าที่จะซื้อเพื่อถือลงทุนยาว โดยจังหวะในการเข้าซื้อหรือขาย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะถ้าเข้า�ออกถูกช่วงถูกจังหวะก็มีโอกาสทำกำไรตุงกระเป๋าได้หลายรอบ แต่ ถ้าหากจับจังหวะไม่ถูก มีสิทธิขาดทุนบักโกรกหมดตัวได้เหมือนกัน

ดังนั้น วิศิษฐ์จึงแนะให้เข้าซื้อในช่วงท้ายๆที่มีข่าวร้ายหรือปัจจัยลบซึ่งจะมีเข้ามาเป็นระลอก กดให้ดัชนีหุ้นปรับตัวลง แรง และถือรอจังหวะขายทำกำไรออกมา ในช่วงที่ราคาหุ้นเริ่มขึ้น จากข่าวดีหรือปัจจัยบวกหรือเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจนได้ผลตอบ แทนในระดับหนึ่ง

โดยต้องมีวินัยในการลงทุน เพราะเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นมาถึงเป้าที่ตั้งไว้แล้ว ต้องขายทันที โดยเป้ากำไรที่ตั้งไว้ต้องไม่ สูงเกินไป เพราะโอกาสที่ราคาหุ้นจะเด้งขึ้นแรงในแต่ละรอบนั้นมีไม่มาก ดังนั้นจึง “อย่าโลภ” ไม่ควรตั้งเป้ากำไรไว้สูงเกินไป แค่ 5-15% ก็น่าจะได้ เพื่อรอโอกาสในการกลับเข้าเก็บหุ้นอีกครั้ง เมื่อมีข่าวร้ายหรือปัจจัยลบที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลง

หุ้นลงลึกอย่าถอดใจ

วิศิษฐ์ยังระบุว่า หากประเมินทางด้านเทคนิคผสมปัจจัยพื้นฐาน ที่ตลาดหุ้นปีหน้าต้องใช้การวิเคราะห์ชั้นสูงเข้ามาช่วย โดยนำสถิติข้อมูล 4 ปีย้อนหลังมาประเมินทิศทางตลาด พบว่าตลาดหุ้นครึ่งปีแรก มีโอกาสที่จะปรับขึ้นมากกว่าครึ่งปีหลัง

ขณะที่ตลอดทั้งปีดัชนีจะแกว่งตัวขึ้น-ลงในกรอบ 266-590 จุด โดยมีโอกาสเพียง 5% เท่านั้นที่ดัชนีจะ ทะลุขึ้นไปเกิน 590 จุด และมีโอกาสเพียง 5% เช่นกันที่ดัชนีจะทรุดตัวลงต่ำกว่า 266 จุด!!

ดังนั้น หากเกิดเหตุพลิกผัน ดัชนีลงลึกต่ำกว่า 266 จุด จึงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่ม แต่หากดัชนีทะยานขึ้นไปเกิน 590 จุด อย่าชะล่าใจ ให้รีบฉวยโอกาสขายหุ้นออกมาทันที นอกจากจะมีกรณีพิเศษ คือมีเงินทุน (fund flow) ไหลทะลักเข้ามาลงทุน ในหุ้นไทยจำนวนมหาศาล ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ตอนนั้นต้องกลับมากำหนดท่าทีและวางกลยุทธ์การลงทุนกันใหม่อีกครั้ง

“ภาวะที่ตลาดปรับตัวลงลึกอย่าเพิ่งถอดใจ แต่ให้รวบรวมกำลังกลับเข้าไปซื้อ โดย เฉพาะหากดัชนีหุ้นปรับตัวลงมาต่ำกว่า 350 จุด เพราะทิศทางตลาดที่มีลักษณะผันผวนหรือสวิงตัว เมื่อดัชนีปรับลงมาแล้ว จะมีจังหวะให้ปรับตัวขึ้นได้แน่นอน ดังนั้น จึงต้องกันหรือสำรองเงินสดไว้ในมือตลอด ต้องมีเงินสดไว้รอซื้อด้วย อย่าถือหุ้นจนเต็ม พอร์ต”

เกาะติดสถานการณ์

“วิศิษฐ์” ย้ำว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือต้องติดตามข่าวสารหรือสถานการณ์ทั้งในและนอกประเทศ ที่เป็นปัจจัยที่มีผลมี อิทธิพลต่อการแกว่งตัวของตลาดอย่างใกล้ชิด

โดยปัจจัยบวกที่จะเป็นสาเหตุหนุนให้ตลาดหุ้นไทย บางช่วงเวลาปรับขึ้นได้ คือ การที่ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ติดลบ ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น

อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในอัตราต่ำจนกระทั่งติดลบเช่นนี้ ยังส่งผลต่อเนื่องให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตร รัฐบาลสหรัฐฯ ร่วงลงต่ำสุดในรอบ 80 ปี นับจากปี 1930

ดังนั้น จึงทำให้นักลงทุนไม่ลงทุนในตลาดเงิน หรือตลาดพันธบัตร แต่จะโยกเงินไปลงทุนในสินค้าอื่นที่ให้ผลตอบ แทนสูงกว่า เช่น ตลาดหุ้น ที่ขณะนี้หุ้นทั่วโลกราคาปรับตัวลงต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก

และเมื่อโฟกัสที่ตลาดหุ้นไทย พบว่า ขณะนี้มูลค่าหรือราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำจนใกล้เคียงกับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ทั้งที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปีนี้และคาดการณ์ปีหน้ายังจะมีกำไรสูงกว่าช่วงปี 40 มาก ซึ่งวิกฤติครั้งนั้นแทบ ทุกบริษัทในตลาดหุ้นต่างขาดทุนมโหฬาร

นอกจากนี้ ปัจจุบันตัวเลขหนี้สินของบริษัทในตลาดหุ้นก็มีน้อยมาก ขณะที่ยังพบว่า มีหุ้นร่วม 80% ในตลาดหุ้นไทยที่ ราคาซื้อขายขณะนี้ต่ำกว่าบุ๊ก แวลลู หรือมูลค่าทางบัญชี

และยังมีหุ้นอีกมากกว่า 18% ที่ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าเลิกกิจการ ซึ่งหมายความว่า หากบริษัทต้องปิดกิจการและขาย สินทรัพย์เพื่อใช้หนี้และคืนเงินให้ผู้ถือหุ้นแล้ว ผู้ถือหุ้นจะได้เงินคืนมากกว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดขณะนี้

ดังนั้น การซื้อหุ้นช่วงนี้ จึงถือเป็นการซื้อที่ได้ราคาต่ำมาก ขณะที่ฐานะและผลประกอบการของบริษัทยัง แข็งแกร่งกว่าครั้งวิกฤติต้มยำกุ้งอย่างมาก ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้น ผลักดันให้ตลาดในภาพรวมปรับตัวขึ้นได้!!

เงินฝรั่งเล่นสั้น

ส่วนสภาพคล่องในตลาดโลกนั้น ประเมินว่าจะกลับมาได้ในไตรมาส 1 ปี 2552 หลังต้องเผชิญกับความฝืดเคืองอย่าง หนัก เพราะขณะนี้บรรดาธนาคารกลางชาติต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด ทุ่มอัดฉีดเงินเข้าระบบอย่างสุดตัว ผ่านการ ปล่อยกู้ให้สถาบันการเงิน เห็นได้จากการลดอัตราดอกเบี้ยลงต่ำใกล้ 0% และขณะนี้พบว่าธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯต่างเก็บเงินสดไว้ เยอะมากกว่า 260,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งที่ต้องสำรองไว้เพียง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯก็เพียงพอ

เมื่อเก็บเงินสดไว้เกินความจำเป็น จึงมีโอกาสสูงที่สภาพคล่องเหล่านี้จะไหลออกจากธนาคารพาณิชย์ เพื่อปล่อยสินเชื่อ หรือลงทุนในเรียลเซ็คเตอร์ หรือสินทรัพย์ที่ราคาลดลงมาต่ำมาก ทั้งในอสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน รวมทั้งตลาดหุ้นที่ ขณะนี้ราคาตกต่ำทั่วโลก

แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ รวมทั้งตลาดหุ้น จะเป็นเพียงการเข้ามาซื้อเก็งกำไร ระยะสั้นเท่านั้น เพราะภาพรวมเศรษฐกิจที่แท้จริงจะยังคงถดถอยอยู่ ดังนั้น แม้จะเข้ามาซื้อทำให้หุ้นขึ้นได้ แต่ก็จะถูกเทขายทำกำไร ออกมาเป็นรอบๆเช่นกัน ดังนั้นจึงทำให้หุ้นขึ้นได้ไม่นานและไปได้ไม่ไกล

นี่จึงเป็นคำตอบว่าต่างชาติจะยังกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทย แต่จะเป็นเพียงการเข้ามาซื้อเก็งกำไรระยะสั้นๆ เท่า นั้น

ขณะที่ปัจจัยบวกในประเทศไทย มาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ความคืบหน้าในโครงการลง ทุนขนาดใหญ่ จะช่วยให้ตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นเป็นระยะ ให้โอกาสได้ “เล่นรอบ” ซื้อขาย

ยาขมตลาดหุ้น

ส่วนปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ และการแตกแยกเป็น 2 ขั้ว 2 สี ของคนไทย ที่ฝังลึกอยู่ในสังคม ไทยขณะนี้ จะยังเป็นตัวการ หรือเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายทำร้ายและทำลายเศรษฐกิจ และบรรยากาศการลงทุนใน ตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะระเบิดออกมาเป็นระยะ และนี่จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ต่างชาติขายทิ้งหุ้นไทย!!

ดังนั้น ปัจจัยลบการเมืองยังเป็น “ยาขมหม้อใหญ่” ที่นักลงทุนควรระวัง ซึ่งจะเป็นตัวกดดันให้ตลาดปรับตัวลงเป็น รอบๆแล้ว การที่ทุกสำนักวิเคราะห์ฟันธงว่า เศรษฐกิจทั่วโลกและเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวถึงขั้นถดถอย โดยเฉพาะจากการส่งออกที่จะ หดตัวรุนแรงจากปรากฏการณ์ Demand Shock คือความต้องการซื้อที่หดตัวอย่างรวดเร็ว

และจะนำไปสู่ Supply Destruction คือราคาสินค้าจะตกลง จนทำให้ผู้ผลิตไม่มีกำไร และสุดท้ายต้องเลิกผลิตไป ในที่สุด ประเด็นข่าวและผลกระทบจากปรากฏการณ์เหล่านี้จะเข้ามากระแทกกระทั้น ให้ตลาดปรับตัวลงระลอกแล้วระลอกเล่าตลอดทั้ง ปี

นอกจากนี้ ข่าวผลการดำเนินงานที่จะขาดทุนต่อเนื่องของสถาบันการเงินสหรัฐฯ และลุกลามไปถึงภาค อุตสาหกรรม ที่จะยังคงทยอยปิดกิจการ ล้มหายตายจาก จะเข้ามาเป็นตัวกดดันบรรยากาศและการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งว่ากันว่า หลัง จากนี้จะได้เห็นธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯขาดทุนติดต่อกันอีก 3-4 ไตรมาส!!

ขอให้เฮงขอให้รวย

ก่อนจะถึงบทสุดท้าย คนที่มีเงินเย็นๆ และพร้อมจะรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น ยังไม่หมดหวังเลยเสียทีเดียว หุ้นที่บท วิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ชูให้เป็นหุ้นเด่นน่าลงทุนหรือเป็น Stock pick ดังนี้ หุ้นเชิงรับ (Defensive) ในช่วงวัฏจักรขาลง คือ BEC เหตุผลหลักๆ เช่น ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น, BECL ราคาหุ้นลดลงมากกว่า downside ต่อการใช้ทางด่วน, CPALL เติบโตทั้งจาก ยอดขายสาขาเดิมและการขยายสาขาต่อเนื่อง, DTAC มีการขยายตัวจากธุรกิจ 3G, การแข่งขันปานกลาง, TUF ราคาวัตถุดิบที่ถูกลง และความต้องการที่ฟื้นตัว และ TTW อัตราการเติบโตของปริมาณขายที่ยั่งยืน, ได้สัมปทานใหม่

หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากตลาดฟื้นตัวในไตรมาส 1 ปี 52 ในกลุ่มพลังงาน ธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ คือหุ้น LH มีจุดแข็งคือ สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง, BANPU ความเสี่ยง downside ที่จำกัดจากราคาถ่านหิน และ SCB ฐานอัตราการ ขยายตัวสินเชื่อที่ต่ำในปี 2551, เงินทุนและการตั้งสำรองที่แข็งแกร่ง

หุ้นกลุ่ม Super value watch list คือหุ้น BCP ผลประกอบการเพิ่มขึ้นในปี 52-53, TOP ผลประกอบการแย่ใน ไตรมาส 4 ปี 51 สมมุติฐานอัตราค่าการกลั่นปี 52 ที่ 4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และหุ้น HEMRAJ มีจุดเด่นคือ ราคาหุ้นต่ำกว่า มูลค่าเลิกกิจการ

ดังนั้น แม้ว่าตลาดหุ้นปีฉลูปีนี้ “กระทิง” จะไม่เริงร่า บรรดา “หมี” น้อยใหญ่ กลายเป็นเจ้าป่า แต่อยากจะ ฝากคำพูดที่ “ก้องเกียรติ โอภาสวงการ” รองประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เซียนเหนือเซียนตัวจริงเสียงจริงอีกคนที่ กล่าวไว้ว่า “ในช่วงที่ราคาหุ้นต่ำกว่า Book value หรือต่ำกว่าต้นทุนของเจ้าของกิจการ หากนักลงทุนเลือกลงทุนหุ้นถูกตัว และถือไว้ ภายใน 2 ปี อาจจะได้กำไรมากกว่า 100% แต่หากซื้อหุ้นผิดพลาด โอกาสที่จะช้ำหนักในปีนี้ก็มีอยู่มาก”

ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ จึงขอให้นักลงทุนเลือกหุ้นให้ถูกตัว ลงทุนให้ถูกจังหวะ จะได้เฮงเฮงรวยรวย กันทุกคน!!

ทีมเศรษฐกิจ

ที่มา

Create Date : 14 มกราคม 2552

Last Update : 14 มกราคม 2552 15:37:20 น.

0 comments

Counter : 315 Pageviews.

rajasit

Location :

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์

Smember

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]

Friends' blogs

[Add rajasit's blog to your web]

Links

BlogGang.com

Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.