Group Blog
 
All blogs
 

คำถาม : ทำอย่างไร เมื่อใจตอกย้ำตัวเอง



มีคำถามมาถามค่ะ คือเป็นคนชอบตอกย้ำตัวเอง เช่นเวลาทำอะไรผิด

อย่างตอนสอบสัมภาษณ์เรียนต่อ ดันไปเถียงอาจารย์สอบ แถมเถียงแบบข้างๆคูๆ
คือ รู้ว่าผิดแต่อยากเอาชนะ กลายเป็นโชว์ความโง่ของตัวเองซะงั้น

จากนั้นมาก็ไม่สบายใจ ตอกย้ำตัวเองเรื่อยว่า ไม่น่าทำแบบนั้นเลย อาจาย์จะโกรธไหม เป็นแบบนี้ตลอด
ขนาดเรื่องที่ทำผิดไปเมื่อหลายปีก่อน อยู่ดีๆ ยังเก็บมาคิดว่าตอนนั้นไม่น่าทำแบบนั้นเลย

อยากให้ช่วยบอกวิธีเลิกตอกย้ำตัวเองซักที ทำอย่างไรจึงจะหยุดคิดได้

พยายามรู้ตัวเราเราตอกย้ำตัวเองอยู่ อาจจะคลายการตอกย้ำไปได้บ้าง
แต่ก็เกิดเป็นความกังวล และสุดท้ายก็กลับเป็นตอกย้ำตัวเองอีก เฮ้อ

แต่ว่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งถ้าได้อ่านธรรมะ จะดีขึ้น แต่ก็จะกลับมาคิดอีกอยู่ดี


ในบล็อกแรกๆที่ผมเขียน มีหัวข้อหนึ่งชื่อเรื่อง "ห้องเก็บของ"
พูดเรื่องการที่คนเราชอบเก็บอะไรที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ใส่ห้องเก็บของ หรือใส่ใจตัวเองไว้

ในหนังสือก็มีนะครับ ผมเอาไปรวมไว้ด้วย ลองไปหาอ่านดู

อีกอย่าง ที่อยากบอกคือ จิต กับการ "คิด" เป็นของคู่กัน

ถ้าการหายใจคือสัญญานการยังดำรงอยู่ของกาย
ความคิด ก็คือสัญญานที่บ่งบอกได้ว่า "จิต" ยังทำงานอยู่

คำถามจึงไม่ควรจะถามว่า จะทำอย่างไรไม่ให้คิด
เพราะจิตมันมีหน้าที่คิดโดยธรรมชาติ แต่ควรถามว่า

.. จะทำอย่างไร ให้จิตคิด แล้วไม่ทุกข์? น่าจะดีกว่านะครับ

ที่คุณพยายามหัดมีสติ ด้วยการตามรู้จิตว่ากำลังตอกย้ำ อันนั้นเป็นจุดเริ่มที่ดี
เพียงแต่ ที่คุณใช้คำว่า "ตอกย้ำ" มันมีนัยว่า คุณให้ค่าไปแล้วว่า ความคิดนั้นไม่ดี และคุณไม่ชอบมัน

คุณควรจะรู้ตั้งแต่มันกำลัง "คิด" ที่ดีกว่านั้น คือรู้ว่าจิตคุณมัน "ไม่ชอบ" ความคิดนั้น
และให้ตามรู้ลงปัจจุบันไปอีกว่า จิตกำลังมีความ "อยากหยุดคิด"

อันนี้ผมยกตัวอย่างให้เห็นกระบวนการตามรู้ และทำงานของจิตปกติทั่วๆไปนะครับ
ไม่ได้บอกว่าเวลาดูจิต ให้ไปนั่งท่องตามลำดับแบบที่ผมเขียน

ถ้าไม่เห็นแบบที่ผมว่ามา ก็ไม่ผิด เพียงแค่ จิตมันเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น ก็ใช้ได้แล้ว
มันจะดีไม่ดี จะมัวจะใส จะตอกย้ำไม่ตอกย้ำ ก็ไม่ใช่ประเด็น

ประเด็นคือ รู้ หรือไม่รู้ รู้แล้วเป็นกลางหรือไม่เป็นกลาง
พอถึงตรงนี้ ประเด็นต่อมาคือ รู้ทันความเป็นกลาง ไม่เป็นกลางนั้นไหม

ถ้าหัดรู้ทันว่าจิตคิด ไว้บ่อยๆ อีกหน่อยจิตจะเคยชินในการรู้ทันความคิด
พอไหลไปคิดแว๊บ ก็จะรู้สึกตัว แว๊บ รู้สึก แว๊บ รู้สึก

ถึงจุดนั้นจริงๆ มันจะตอกย้ำ ไม่ตอกย้ำ ก็ไม่มีปัญหา เพราะจิตจะมีสติรู้ทันความคิด
ความ(หลง)คิดก็จะดับไป

แต่เน้นว่า ขั้นที่เริ่มหัดตามรู้ อย่าทำแบบโลภนะ โลภแล้วก็ต้องรู้ทัน
ทำแบบโลภ คือจงใจเข้าไปรู้ เพื่อให้มันหยุดคิด หยุดตอกย้ำ

วิปัสสนา ที่เราทำแล้วได้มรรค ได้ผล ได้ปัญญา เพราะเราเห็นความจริงแห่งธรรมชาติ
ว่าสิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุ มันมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ

ไม่ใช่เกิดหรือดับ เพราะเราอยากหรือไม่อยาก เพราะเราชอบหรือไม่ชอบ
ที่มันตอกย้ำ ก็เพราะ หนึ่ง เราไม่ชอบ คือถ้าเราเฉยๆ มันก็ไม่ตอกย้ำหรอก
สองคือเพราะเราหลงไปให้ค่ามัน ว่าอันนี้เรียกว่าตอกย้ำ

แต่ถ้ามีสติ เห็นจิตไหลแว๊บ ไปคิด รู้ทัน
อันนี้ จะหมดปัญหาไปโดยอัตโนมัติ ในที่สุดครับ

ฉะนั้น ว่าโดยย่อ เรามีปัญญาจากการที่ "จิต" เขาเห็นจริงตามที่เป็น
ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิด สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

ไม่ใช่เกิดปัญญา เพราะสามารถเข้าไปบังคับไม่ให้จิตคิด
เพราะต่อให้ฝึกสมถะเก่งๆ จนจิตหยุดคิด ดับเงียบได้ ก็แค่ชั่วคราว
แล้วจิตหยุดคิด ก็ไม่มีความจริงให้เห็น เพราะไม่เป็นธรรมชาติ

ฝึกไว้นะครับ




 

Create Date : 20 กันยายน 2551    
Last Update : 21 กันยายน 2551 6:43:30 น.
Counter : 1151 Pageviews.  

มีคำถามทิ้งไว้ที่นี่นะครับ

มีคำถามทิ้งไว้ที่นี่นะครับ

ผมจะคอยแวะมาดู ถ้าตอบช้าก็ไปเตือนผมในบล็อกล่าสุดไว้ก็ได้ครับ

อันไหนตอบได้จะตอบให้ อันไหนตอบไม่ได้ ก็จะบอกว่าเกินปัญญานะครับ




 

Create Date : 10 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 10 กรกฎาคม 2551 0:04:28 น.
Counter : 617 Pageviews.  

คำถาม: สิ่งที่ใช่สำหรับชีวิต



ผมยกคำถามของคุณ llm มาไว้เป็นบล็อคใหม่ เพราะเห็นว่าน่าสนใจดี

มีคำถามมาสอบถามคุณเอ๊ดครับ

หลายเดือนที่ผ่านมา กำลังสงสัยกับชีวิตมาก ๆ ว่าสิ่งที่ทำอยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่ใช่รึเปล่า ควรที่จะกำหนดเส้นทางของชีวิตยังไงดี อะไรเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับชีวิต

ผมคิดว่าคุณเอ๊ดน่าจะเคยรู้สึกแบบนี้บ้าง เลยอยากจะขอคำแนะนำว่าควรจะทำยังไงดีครับ

ปล. 1 คิดถึงบรรยากาศ เดอะ รีวายเดอร์ จริง ๆ
ปล. 2 พึ่ง อายุผ่าน 25 มา รึว่านี่เป็นวิกฤตของการผ่านเข้าสู่อายุ 30 ครับ

โดย: llm IP: 203.149.46.168 วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:11:57 น.



ผมว่าไอ้อาการแบบคุณ คนส่วนมากเขาก็เป็นกันทั้งนั้นแหละ

ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำอยู่ถูกต้อง เหมาะสมกับเรา ดีที่สุดหรือยัง
ไม่งั้นคงไม่มีคนนึกอยากไปหาหมอดูกันเยอะแยะ

คุณถามผมว่า อะไรคือสิ่งที่ใช่สำหรับชีวิต
ผมน่ะมีคำตอบของผม

แต่คำตอบของคุณมันต้องย้อนกลับไปถามว่า
อะไรคือสิ่งที่คุณเรียกว่า "ใช่" นั่นแหละ

เพราะสิ่งที่ "ใช่" ของแต่ละคนมันอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกัน
สิ่งที่ใช่สำหรับแต่ละคนในแต่ละช่วงชีวิต มันก็อาจจะเปลี่ยนไปด้วย

ตอนผมเรียนมัธยม ผมอยากเป็นดีเจ ผมก็คิดว่าดีเจคือสิ่งที่ใช่
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย สิ่งที่ใช่คือการเป็นนักดนตรี หรือครีเอทีพ
พอเรียนจบมา สิ่งที่ใช่ คือการเป็นนักการตลาด

ผมว่าคำถามที่ควรถาม ไม่ใช่ "อะไร" คือสิ่งที่ใช่
แต่ที่ควรสนใจคือ.. เราทำสิ่งที่ทำอยู่อย่างดีที่สุดหรือยัง

งานทางโลกสำหรับผมชั่วโมงนี้ เป็นแค่เครื่องยังชีพ
ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นอะไร ถ้าเป็นงานสุจริต ไม่ผิดศีลผิดธรรม
ทำแล้วสบายใจ ไม่เกินความรู้ ความสามารถจะเรียนรู้ ผมก็ทำได้

สิ่งที่ใช่สำหรับผมตอนนี้คือการเรียนรู้จักตัวเอง
หรือที่เรียกภาษาแขกว่าวิปัสสนานั่นแหละครับ

เพราะสิ่งที่ใช่ทางโลก มันไม่เคยเติมเต็มใจเราได้จริงๆ
มันให้ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็ดึงเราไปเข้าวงจรของการดิ้นรนใหม่

แต่ธรรมะนี่เรียนแล้ว มันอิ่มใจมากขึ้นเรื่อยๆ

พูดแบบนี้บางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมไม่ไปบวชซะเลย
ตอบว่า มันยังไม่จำเป็น

ประเด็นหนึ่ง ผมยังมีภาระทางโลก มีบางชีวิตที่ผมต้องดูแล
สองคือ ผมเชื่อว่าปุถุชนก็เป็นโสดาบัน สกิทาคามีได้
ถึงขั้นนั้นแล้วค่อยบวชก็ยังไม่สาย

สามคือ ผมยังมีกิเลสบางอย่างที่ต้องสู้กับมัน
อย่างเรื่องเห็นสาวขาวหมวย อย่างแพนเค้กแล้วจิตยังยินดี แฮปปี้
อันนี้ไม่ควรเข้าไปทำให้ตัวเองเสี่ยงต่อการอาบัติ

ว่าแต่.. สำหรับคุณ ผมตอบแทนไม่ได้นะ
ว่าสิ่งที่ใช่คืออะไร

ปล. 1 คิดถึงเหมือนกันครับ
ปล. 2 รู้ว่าหมั่นไส้ครับ เพิ่งอายุย่าง 26 จะมาพูดอะไรเรื่องผ่านเข้า 30 ล่ะพ่อคุณ





 

Create Date : 01 มีนาคม 2551    
Last Update : 1 มีนาคม 2551 11:37:47 น.
Counter : 692 Pageviews.  

ตอบปัญหา วันมาฆบูชา

มีผู้ฝากคำถามหลายอัน ขอเอามารวบตอบไว้ทีเดียวเลยก็แล้วกันนะครับ

1. ถ้าคุณได้ทำบางสิ่งบางอย่างลงไปอย่างเต็มที่แล้ว แต่คุณยังต้องเสียใจ และรู้สึกท้อ เพราะผลลัพธ์ของเรื่องนั้น ไม่ได้มีคุณเป็นตัวแปรเดียว คุณจะทำอย่างไรต่อไปคะ ?

ขอคำตอบแบบทางโลก แล้วค่อยตบท้ายด้วยทางธรรมได้มั้ยคะ คุณแอสตั้น

เข้าใจว่าคุณแอสตั้นชอบที่จะให้มุมมองทางธรรมมากกว่า แต่เราคิดว่าในขณะที่คุณมองโลกด้วยจิตใจที่เป็นกลาง คุณน่าจะสามารถให้มุมมองอีกมุมหนึ่งซึ่งเราอาจจะมองไม่เห็นก็ได้น่ะค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ

โดย: Sunnie IP: วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:40:36 น.


ตอบแบบทางโลกก็ได้ ถ้าคุณถามว่า ถ้าเป็นผม ผมจะทำอย่างไร
ผมจะตอบว่า ถ้าผมบอกตัวเองได้จริงๆว่า ผมทำดีที่สุดแล้ว เต็มที่แล้ว

ผมจะไม่เสียใจเลยครับ เพราะผมรู้ว่าเสียใจไปแล้วมันไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น
ถ้าผมยังสบายใจจะทำ ก็ทำต่อไป ถ้าไม่สบายใจจะทำ ก็เลิก

ผมไม่ค่อยชอบใช้ชีวิตแบบซับซ้อนครับ
เอาแบบง่ายๆ ซิมเปิ้ล ซิมเปิ้ล หิวก็กิน อิ่มก็หยุด สะดุดล้มก็ยืนขึ้นใหม่ อ่อนใจก็นอน

เช้ามาก็ว่ากันใหม่


2. คุณเอ็ดคะพอดีว่าไปอ่านเรื่องที่คุณตอบคำถาม เกี่ยวกับวิปัสสนา เลยอยากจะถามเรื่องการสวดมนต์บ้าง อยากทราบว่าการสวดมนต์อย่างที่แม่สอนไว้ ว่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สวดแล้วได้บุญ คุณเอ๊ดมีความเห็นว่าอย่างไรคะ
หรือการที่มีหลวงพ่อท่านหนึ่งสอนให้คนสวดมนต์แล้วอธิษฐาน เช่นสวดอิติปิโสเท่าอายุแล้วขอพรเนี่ย ความมุ่งมั่นในการสวดมันมีส่วนให้ความปรารถนาของเราเป็นจริงได้หรือเปล่า แล้วเราจะมีบุญได้อย่างไรคะ (ดิฉันคิดว่ามาจากจิตเราที่เป็นสมาธิถูกหรือเปล่าคะ) มีบางคนบอกว่าก็เหมือนกับคนที่นับถือศาสนาคริสต์แล้วขอพรพระเจ้าบ่อยๆ เค้าก็เชิ่อว่าทำแบบนี้แล้วพระเจ้าจะช่วยให้สมปรารถนา คุณเอ๊ดมีความคิดเห็นอย่างไรช่วยตอบทีนะคะ

โดย: กวาง IP: วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:57:13 น.


ผมเคยได้ยินครูบาอาจารย์อธิบายว่า ในมงคล 38 ประการ ไม่เคยมีบอกว่าสวดมนต์เป็นมงคล
ฉะนั้น ไอ้ความเชื่อเรื่อง สวดกี่จบแล้วขอพรจะสมหวัง อันนี้ถ้ามีจริงก็ไม่ใช่เรื่องของพุทธนะ

เพราะสำหรับชาวพุทธแท้ๆ ต้องถือว่า พรนี่ขอกัน ให้กันไม่ได้
จะมงคล ไม่มงคล สมหวังไม่สมหวัง โชคดี โชคร้าย ก็ขึ้นกับกรรมที่เราทำเองนั่นแหละ

อย่างขอพรให้รวย แต่ขี้เกียจทำงาน ใช้เงินเหมือนเททิ้งน้ำ
อันนี้สวดมนต์จนตายไม่หยุดพัก ก็ไม่มีทางรวย

หรือถ้าสวดมนต์เท่าอายุ แล้วขออะไรก็ได้
ผมจะบอกให้รัฐบาลนี้ สั่งให้ทุกคนหยุดทำงาน อยู่บ้านสวดมนต์

ที่พูดนี่ ไม่ได้บอกให้เลิกสวดมนต์นะครับ เพราะประโยชน์ของการสวดมนต์ยังมี

อย่างแรกคือช่วยให้จิตใจสงบรำงับ ลดความฟุ้งซ่าน เป็นการทำสมถะอย่างหนึ่ง จิตก็เป็นกุศล

อย่างสองคือช่วยน้อมนำให้จิตใกล้ชิดกับกุศล ความดีงาม เพราะได้รำลึกถึงพระรัตนตรัย

สามคือ ใช้เป็นเครื่องอยู่ หรือวิหารธรรม เพื่อดูการเคลื่อนไหว ไปทำงานของจิต พูดง่ายๆคือทำวิปัสสนานั่นเอง

เพียงแต่ประโยชน์ของการสวดมนต์ ไม่ใช่เรื่องขอโน่นขอนี่แน่นอนครับ

3. ตัวเองกำลังเริ่มฝึกหัดทำวิปัสสนา มีข้อส่งสัยอยู่ว่า ที่ว่ารู้ รู้ตามจิตเนี่ย มีขอบข่ายของการรู้แค่ไหนคะ เช่น ตัวเองเพิ่งเลิกกับแฟนได้ซักพักนึงแล้ว เพราะเขาไปมีคนอื่น รู้สึกว่าทำใจได้เยอะขึ้นมาก แต่ก็จะมีช่วงเวลาที่รู้สึกฟุ้งซ่านอยู่บ้าง เช่น เวลาจินตนาการว่า เขาจะมีความสุขกับคนใหม่ยังไง อารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่คิด ก็จะมีทั้งอารมณ์โกรธ เกลียด และ พยาบาท ระคนกันไป คำถามก็คือ

1. ในเวลาที่จิตนาการมันโผล่ขึ้นมา เห็นภาพคนสองคนเดินจูงมือกัน ความรู้ของเราเองรู้ชัดเลยว่าโกรธ ถึงตอนนี้ให้รู้ว่าอะไรคะ ให้รู้สึกตัวว่ากำลังโกรธเฉยๆ หรือลงไปในรายละเอียดด้วยว่า รู้ตัวว่ากำลังโกรธโกรธอยู่นะ โกรธด้วยเรื่องอะไร คือในเวปแสงดาว คุณกรเคยตอบคำถาม (ของคนอื่นนะคะ)ว่า เอาแค่รู้ว่าโกรธ ไม่ต้องรู้ว่าโกรธเรื่องอะไร

ต่อนะคะ-- บางทีก้อฟุ้งซ่านว่าถ้าบังเอิญไปเจอเขาสองคนเดินจูงมือกันมา เราจะทำหน้ายังไง--ตอนที่มีความคิดอย่างนี้ขึ้นมา ให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน แล้วควรจะต่อด้วยไหมคะว่าฟุ้งซ่านด้วยเรื่องอะไร ยังไงรบกวดพี่เอ็ดดี้ --ที่เรียกว่าพี่เพราะแอบทราบอายุ ช่วยกรุณาให้ความกระจ่างด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าเลยนะคะ

โดย: ตั้งต้น IP: วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:5:35:23 น.


คุณตั้งต้นครับ คุณกรแนะนำถูกแล้วว่า โกรธก็ให้รู้ว่าโกรธ ไม่ต้องสนใจว่าโกรธเรื่องอะไร โกรธเพราะอะไร

แต่ถ้าคุณสังเกต คุณจะเห็นว่า ก่อนจะโกรธ จิตมันไปทำงานอย่างหนึ่งก่อนคือ "คิด"

ไอ้จินตนาการที่คุณว่านั่นแหละ คือการคิด ที่จริงควรจะฝึกรู้ทันความคิด รู้ว่าจิตคิด ไม่ต้องรู้ว่าคิดเรื่องอะไร

หลวงปู่ดูลย์บอกว่า คนเราทุกวันนี้ เป็นทุกข์เพราะความคิด
เราห้ามความคิดไม่ได้ แต่ฝึกรู้ทันความคิดได้


4. จะเบื่อไหมคะ ถ้าเป็นอีกคนที่มีปัญหาหัวใจ
ใช้เวลามาหลายเดือนแล้ว
มันผ่านไปและเริ่มเดินตามเส้นทางของตัวเองไม่ได้สักที
เรื่องราวคงลงไม่ได้ มันเลวร้าย น่าอับอายเกินกว่าจะให้ทุกคนรับรู้

โดย: ying IP: วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:10:31 น.


อันนี้ไม่ได้บอกว่าจะถามอะไร เลยได้แต่ให้กำลังใจ
วางไวไวนะครับ อย่าแบกเลย




 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2551 0:18:54 น.
Counter : 936 Pageviews.  

คำถาม : วิธีจัดการกับจิตใต้สำนึก




วันนี้ผมงดมื้อเที่ยง ด้วยความสมัครใจ
เลยมีเวลาแวะเข้าไปย้อนอ่านสมุดเยี่ยม

มีคำถามอันนึง จากคุณส้มโอ ที่ผมลืมตอบ
ขอถือโอกาสยกมาตอบไว้ตรงนี้นะครับ
คุณส้มโอเขียนไว้แบบนี้ครับ

แอบเอาเรื่องการรู้ การเข้าใจ เรื่องก้อนหินที่คุณแอสตันเขียนไว้ ไปแบ่งปันให้เืพื่อนคนอินโดที่เค้ากำลังมีปัญหาครอบครัวค่ะ

อธิบายไปแบบพยายามที่สุดเท่าที่เราเข้าใจ และแปลให้มันได้เรื่องเป็นภาษาอังกฤษ
เพื่อนส้มโอก็เป็นคริสต์เหมือนกัน แปลกที่เค้าบอกว่า เค้าก็แอบศึกษาแนวทางพุทธอยู่ เค้าสบายใจขึ้นค่ะ ถึงแม้รู้เลยว่า เราคงถ่ายทอดได้ไม่ดีเท่าไหร่ จริงๆถ้าไม่ได้มาอ่านเมื่อคืน คงไม่ได้ให้คำตอบเพื่อนแบบนี้

เคยไปถามจิตแพทย์ว่า ทำไงจะชนะใจตัวเองได้ คุณหมอบอกเรื่องนี้แหละยากที่สุด เพราะจริงๆคือการเอาชนะจิตใต้สำนึก จิตเหนือการควบคุม เวลาที่เราขาดสติ

การรู้ว่าเราสุข การรู้ว่าเราทุกข์ อันนี้คือตอนเรามีสติถูกมั๊ยคะ แล้วจิตใต้สำนึกละคะ จะทำกับมันยังไงดี

เป็นคนช่างสงสัยค่ะ คงได้เข้ามาทักทายกันบ่อยๆนะคะ หวังว่าจะไม่เืบื่อซะก่อน ขอบคุณค่ะ

โดย: ส้มโอ


ท้าวความให้ท่านอื่นทราบนิดนึงว่า.. คุณส้มโอนับถือศาสนาอื่นอยู่ครับ

แต่ผมก็บอกไปแล้วว่า.. ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นของสากล

พุทธเรามีข้อดีตรงที่เราไม่หวงความรู้ เราไม่เดียดฉันท์คนต่างศาสนา

เรามองว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมสังสารวัฏเหมือนกัน

พระพุทธเจ้าสรรเสริญศิษย์ที่ปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านสอน
ไม่ได้สรรเสริญเพราะเขามากราบไหว้

อย่างที่เคยเล่าว่า.. ท่านเป็นศาสดา Alternative
เป็นองค์เดียวของโลกมั้ง ที่บอกลูกศิษย์ บอกคนต่างศาสนาว่า

อย่ามาเชื่อเรา.. แต่จงมาพิสูจน์สิ่งที่เราสอน
เราเป็นแค่ผู้บอกทาง แต่ท่านต้องเป็นผู้เดินบนทางนั้นเอง

ไม่ได้แปลว่ามีพระห้อยคอร้อยองค์ พันองค์ แล้วจะบรรลุธรรมได้
จะพ้นโลก พ้นทุกข์ ได้จริงๆ ต้องลงมือ ต้องทำ ต้องสร้าง ต้องสะสมปัญญากันเอง

ถามว่าแล้วจะเริ่มสร้างยังไง
ท่านไม่ได้บอกให้เราไปขึ้นเขาลงห้วยที่ไหน
ท่านบอกให้เราเพียงแต่ย้อนเข้ามาทำความรู้จักตัวเอง

ตัวเอง.. ซึ่งมีแค่ กาย กับใจ สองอย่างนี่แหละ
รู้แค่สองอย่าง แล้วจะรู้จักตัวเอง รู้จัก ธรรมชาติ รู้จักชีวิต รู้จักโลก

ธรรมะ คือธรรมชาติ นะครับ

ท่านให้เราศึกษาธรรมชาติ ของตัวเราเอง ไม่ต้องไปอยากรู้อะไรนอกตัว
เพราะเวลาสุข เวลาทุกข์ มันก็สุขทุกข์ ที่ตัวเรา ใจเรา

จะเข้าใจทุกข์ ก็ต้องเข้าใจกาย และจิตของเราเอง

ทีนี้ มาถึงคำถามเรื่องจิตใต้สำนึก ของคุณส้มโอ

เรื่องจิตใต้สำนึก พระพุทธเจ้าเคยแจกแจงเรื่องจิตไว้ละเอียดละออ
บางที ท่านอาจจะเป็นศาสดาองค์เดียว ที่มีความรู้แจ้งในเรื่องจิต มากกว่าใคร

ท่านบอกไว้ตั้งแต่สองพันกว่าปีก่อนว่า.. จิตมันไม่ใช่ตัวเรา
มันทำงานของมันเอง มันไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามเหตุปัจจัย
และที่สำคัญคือ.. มันบังคับไม่ได้

น่าเสียดายที่นักปฏิบัติในศาสนาพุทธเอง จำนวนมาก
พยายามทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับหลักการนี้

พระพุทธเจ้าบอกว่า จิตบังคับไม่ได้ ก็ไปพยายามฝึกสมถะเพื่อบังคับจิต

ท่านสอนว่า จิตมีธรรมชาติปรุงแต่ง ก็ไปพยายามฝึกให้จิต ไม่ปรุงแต่ง

บางคนฝึกจนเก่ง บังคับจิตได้ แต่ก็โดยอาศัยพลังของสมาธิ
พระท่านเคยเปรียบว่า เหมือนเราเอามือไปปิดปากเครื่องฉายหนัง
ภาพบนจอก็ดับไป แต่ถามว่าเครื่องฉายหนังหยุดไหม ไม่นะ

จิตก็ยังปรุงแต่ง ยังทำงาน แต่มันแค่ถูกกัก ถูกกด ถูกข่มไว้
รอเวลาให้เครื่องกัก เครื่องกั้น มันหมดกำลังเท่านั้นเอง

งั้นถามว่า แล้วจะเอาชนะมันยังไง
ก็ตอบว่า ต้องฝึกรู้สึกตัวบ่อยๆ ให้สติมันเจริญขึ้น

สติในขั้นแรก มันยังเป็นสติตัวปลอม
เป็นความรู้สึกตัว ที่เราต้องอาศัยการจงใจ เข้าไปรู้

แต่ก็ต้องฝึกอย่างนั้น เหมือนฝึกให้เด็กเรียนภาษา
ช่วงแรกๆ ก็ท่องเอา อาศัยการฝึกฝน จงใจ

แต่พอเรียนไป ใช้บ่อยๆ จนคล่อง
อีกหน่อยมันคิดเป็นภาษานั้นได้โดยอัตโนมัติ
ไม่ต้องมานั่งสะกด ทีละตัว

หรืออย่างเราหัดขับรถ ช่วงแรกๆ ใครยังจำได้บ้าง
ว่ามันขลุกขลัก เกร็ง ไม่เป็นธรรมชาติอย่างไร

ช่วงเริ่มต้นหัดรู้สึกตัว ก็เป็นเหมือนกันครับ

แต่พอฝึกบ่อยๆ ขับบ่อยๆ จนคล่อง จนชิน
มันหลับตาขับยังได้เลย ว่าเกียร์อยู่ไหน เบรกอยู่ไหน คันเร่งอยู่ไหน

สติที่เจริญแล้ว ก็คล้ายกัน
ถึงจุดที่มันสุกงอม เขาจะทำงานของเขาเองโดยอัตโนมัติ

ที่ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่าจิต "ตื่น" แล้ว เป็นอย่างนั้นเอง
มันจะว่องไว คล่องแคล่ว เบา สบาย ร่าเริง

ถึงเวลานั้น จิตใต้สำนึก จะทำงานอย่างไร
ก็จะมีสติเป็นตัวช่วย เป็นตัวคุมหางเสือ ไม่ให้มันหลงทาง

ถ้าไปถึงจุดนั้น กระบวนการสะสมปัญญา ระดับสู้กิเลสได้จริง จะเริ่มต้นขึ้นครับ

มันจะเห็นการเกิดดับของจิต และอารมณ์ต่างๆ สืบเนื่องกันบ่อยๆ
จิตจะเริ่มเข้าสู่ความเป็นกลาง
เริ่มให้ค่ากับสุข กับทุกข์น้อยลง

บางคนถามว่า.. แล้วยังจะมีสุข มีทุกข์ไหม
มีสิครับ มีอีกเยอะเลย มีเหมือนคนปกตินั่นแหละ

แล้วจิตมันก็จะหยิบมันมาถือเหมือนเดิม
เพียงแต่จากเดิมที่เคยถือสุขไว้นานๆ กอดมัน จูบมัน
ก็จะเห็นว่า มันไม่ใช่ของดี ของวิเศษมากมายเท่าเดิม

จากที่เคยหยิบทุกข์มาแบก แล้วเอาแต่เกลียดมัน เบื่อมัน แต่ก็ยังแบก
ก็จะเห็นว่า มันไม่ใช่เรื่องต้องแบก ต้องบ่น
เพราะมันมา แล้วเดี๋ยวมันก็ไป

ที่เราทุกข์มากๆเวลามีทุกข์ มักจะเป็นเพราะทุกข์แล้วดิ้น
อยากหนีทุกข์ อยากกำจัด อยากบังคับใจ ไม่ให้ทุกข์

ยิ่งทุกข์ ก็ยิ่งดิ้น ยิ่งดิ้น ก็ยิ่งทุกข์
ทุกข์ที่เคยมีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ก็กลายเป็นภูกระดึงขึ้นมาซะงั้น

ไม่รู้จะตอบคำถามคุณส้มโอชัดเจนไหม
แต่อยากให้ลองทำดู

แล้วจะเข้าใจว่า.. คนที่ไม่ค่อยศรัทธาอะไรง่ายๆอย่างผม
ทำไมถึงยอมกราบพระพุทธเจ้าหมดหัวใจ







 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 12 กรกฎาคม 2550 13:33:13 น.
Counter : 1239 Pageviews.  

1  2  3  4  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.