Group Blog
 
All blogs
 
อยากพูดคุย หรือมีคำถามรบกวนอ่านทางนี้ครับ

เรียนทุกท่านครับ

เนื่องจากผมมีเวลาเข้ามาในนี้ไม่บ่อยนัก ส่วนมากจะวนเวียนอยู่ใน Twitter และ Facebook มากกว่า

เลยจะแนะนำว่า ให้ท่านที่มีคำถาม รบกวนไปแอดผม แล้วถามผ่าน Facebook ได้ที่ Eddy Aston Leelapatra

หรือ ทวิตเตอร์ แอด @aston_ed ครับ




Create Date : 10 สิงหาคม 2552
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2554 17:20:01 น. 189 comments
Counter : 1664 Pageviews.

 
แหะแหะ จริงๆ ไม่มีคำถามค่ะ
แต่กลัวผิดวัตถุประสงค์ของหน้านี้
เลยถามว่า ธนาคารความสุข สาขา 2
ตั้งอยู่ที่ไหน ที่ใจป่าวคะ :D

แล้วก็นึกไปถึงหนังสือฟาสต์ฟู้ดธุรกิจของหนุ่มเมืองจันทน์ ที่ตอนแรกก็ 2 3 4
หลังๆ ก็ตั้งชื่อให้ใหม่ แล้วใส่ วงเล็บฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 2 3 4 กำกับไว้ข้างล่างอีกที
อยากเห็น อยากอ่าน เอ๊ะ แต่คงเคยอ่านไปบ้างแล้ว
^^


โดย: am^^ IP: 58.8.237.166 วันที่: 10 สิงหาคม 2552 เวลา:10:29:00 น.  

 
อิอิ ทักทายยามสายหล่ะกันครับ
เมื่อคืนผมดูเทวดาสาธุ เค้าฉายซ้ำอ่ะ


โดย: rugby34 วันที่: 10 สิงหาคม 2552 เวลา:10:51:33 น.  

 
แวะมาอ่านไปด้วย ภาวนาเงียบๆไปเรื่อยๆด้วยโดยอาศัยฟังซีดีพระอ.ปราโมทย์เอาค่ะ ก็รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง พอทำไปเรื่อยๆตามที่ท่านสอน เรื่องที่ไม่รู้เรื่องกลับมารู้เรื่องก็มีค่ะ บางเรื่องที่เคยรู้เรื่องแล้ว อยู่ดีๆกลับมาไม่รู้เรื่องอีกก็มี แต่รู้สึกว่าภาวนาได้อย่างสบายๆขึ้นเยอะค่ะ วันนี้อยากรู้แบบไม่รอให้รู้เองค่ะ ที่หลวงพ่อเทศน์สอนว่า มันอยู่นอกๆ มันอยู่ในๆ มันหมายความว่าอะไรคะ อะไรอยู่นอก และอยู่นอกอะไรคะ คิดว่าพี่เอต น่าจะให้คำตอบได้ เมตตาด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ


โดย: เปลวเทียน IP: 203.155.245.172 วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:11:32:20 น.  

 
คุณเปลวเทียนครับ
นอกๆ ในๆ ก็เป็นอย่างหนึ่งที่อธิบายยากครับ

ท่านจะบอกว่า จิตบางคน ที่ว่ารู้จิต ดูจิต มันไม่รู้ถึงจิตจริงๆ มันไปอยู่นอกๆ รู้นอกๆ

บางทีท่านก็เรียกว่า จิตไม่ถึงฐาน ก็มี ความหมายเดียวกันครับ

เหตุที่รู้นอกๆ รู้ไม่ถึงฐาน ก็เพราะจิตมันไม่มีกำลัง ไม่มีแรง ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่งคือ บางคนไปติดภาวะที่จิตมันว่างๆ แล้วชอบใจ เพราะมันสบาย มันนิ่งดี ก็เลยไปติดคาอยู่ตรงนั้น

ไม่รู้จะเข้าใจมากขึ้นไหม แต่ลองดูๆไป จิตเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น รับรองไม่พลาดครับ


โดย: aston27 วันที่: 13 สิงหาคม 2552 เวลา:19:32:08 น.  

 
ขอบคุณนะคะสำหรับคำตอบ แล้วก็ขอโทษที่จะบอกว่า ก็ไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง แต่ช่างมันเถอะค่ะ มันคงเป็นสภาวะที่อธิบายได้ยากอย่างที่ว่า บางทีไม่รู้ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้ารู้ก็จะไปพยายามสร้างมันขึ้นมาอีก แล้วก็คิดว่าเรารู้อย่างที่อาจารย์สอน แต่จริงๆกลับหลงทางไปแล้ว โดยไม่รู้ตัว เอาเป็นว่าทำเหตุไปเรื่อยๆดีกว่า เดี๋ยวผลมันก็ตามมาเอง...แบบนี้สบายใจ สบายกายดีค่ะ ขอบคุณค่ะ


โดย: เปลวเทียน IP: 203.155.245.196 วันที่: 14 สิงหาคม 2552 เวลา:9:26:50 น.  

 
คุณ Aston คะ ดิฉันต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้รู้สึกหดหู่ในเรื่องงานค่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานไม่ดีนัก ซึ่งทำให้ต้องเปลี่ยนงานใหม่ ตอนนี้สภาพจิตใจอ่อนแอและกำลังใจเริ่มถดถอย การเริ่มต้นใหม่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อพิจารณาแล้วต้นเหตุส่วนใหญ่ก็เป็นการควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ค่ะ ทำให้งานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ตอนนี้กำลังมองหางานที่ใหม่อยู่ แต่ก็ต้องทนอยู่ในสภาพที่อึดอัดกับที่เก่าดิฉันจะผ่านพ้นสภาวะนี้ไปได้อย่างไรคะ พยายามไม่คิด แต่ก็อดกังวลต่างๆ นานา ความกลัวในเรื่องต่างๆ ก็วนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ ยอมรับค่ะว่าฟุ้งซ่านมาก รบกวนคุณ aston ช่วยแนะนำด้วยค่ะ


โดย: คนคิดไม่รู้ IP: 58.9.5.190 วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:18:52:49 น.  

 
คนคิดไม่รู้ ครับ

ผมเขียนบล็อกใหม่ไว้เมื่อวาน คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคุณนะครับ

พยายามอยู่กับปัจจุบันอย่างมีสติไว้

มีสติ ไม่ได้แปลว่าปฏิเสธ แต่ให้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น อย่างเป็นกลาง ด้วยการยอมรับ

มันอาจจะดี หรือไม่ดี ก็เพราะมีเหตุอันสมควร

ใครจะดีกับเรา ไม่ดีกับเรา ช่างเขานะครับ
เราคอยรู้สึกตัว ดูจิตดูใจของเราไป

ท่านพุทธทาส ท่านเคยเขียนกลอนว่า
ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครเชิด ใครแช่ง ช่างเขา
ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

ถ้าถามว่า จะผ่านพ้นสภาวะไปได้อย่างไร
ตอบว่า ก็ด้วยสติ และความอดทน

จะทุกข์บ้าง ยากบ้าง ลำบากบ้าง ก็อดทน
มีสติแล้วจะลดความฟุ้งซ่านได้ มีสติแล้วจะพอเห็นทางออกได้

อย่างน้อย เราก็ยังหายใจได้ มีที่นอน มีข้าวกิน
ที่เหลือก็ค่อยๆหาทางกันไปนะครับ อย่าใจร้อน

สู้ๆนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:8:31:18 น.  

 
ชื่นชอบ พี่aston มาค่ะ บทความของพี่ทำให้สบายใจขึ้น เพราะตอนนี้มีปัญหาเรื่องความรัก
สามเศร้าอยู่ค่ะ ที่เศร้าคือเขาไม่ได้เลือกเราค่ะ จึงขอคำแนะนำพี่หน่อยค่ะ ว่าควรจะทำใจอย่างไรให้ทุกข์น้อยที่สุดค่ะ


โดย: nara IP: 58.8.167.120 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:11:51:39 น.  

 
ผมรักกับแฟนมา8ปี และจะแต่งงานกัน แต่ แฟนผมมายอมรับว่าไปนอนกับชายอื่นมา ผมสับสนมาก เค้าขอไม่ให้ผมให้อภัย แต่เค้าก็ยังรักผม ผมจึงกลับมารักเค้า แต่ผมไม่มั่นใจเค้าอีกแล้ว รักที่ผมให้เค้าก็เปลี่ยนไป เค้าก็ยอมรับสภาพนั้นและไม่เรียกร้อง มันจริงเหรอครับ ผมอยากจะรัก แต่ผมกลัว เพราะผมไว้ใจเค้ามาก......ผมทำอย่างไรดี


โดย: คนที่ผ่านมาพอดี IP: 112.142.227.167 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:22:49:57 น.  

 
สวัสดีคะคุณ Aston

หนูมีปัญหาใหญ่สำหรับตัวเองคือ ค้นหาตัวเองไม่เจอคะ ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร ชอบอะไร ถนัดอะไร และไม่มีความสุขกับสิ่งที่เรียนอยู่และสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน พยายามค้นหามาหลายปี แต่ก็มืดมน คิดว่าเรียนๆไปเถอะ รอดมาถึงขนาดนี้ จะเลิกเรียน หรือย้ายไปก็เสียดายเวลาและความรู้ที่ผ่านมา

เพราะไม่ถนัดแต่เลือกเรียนเพราะหน้าที่การงานอนาคต

เราควรจะเลือกเส้นทางที่เราถนัดและมีความสุขกับมันใช่มั้ยคะ แต่จะทำอย่างไรถึงจะค้นหาเจอ เข็นตัวเองจนจะเรียนจบแล้วก็จริง แต่กลับรู้สึกที่เรียนมานั้นไม่ใช่ตัวหนูเลย ไม่มีความสุขเลยคะ

ช่วยตอบปัญหาหนูด้วยนะคะ อยากพบเส้นทางชีวิตของตัวเองก่อนจะเรียนจบสักที

ขอบคุณคะ


โดย: นักศึกษาเทอมสุดท้าย IP: 115.67.158.164 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:2:16:35 น.  

 
อยากเป็นสมาชิกทำไงค่ะ


โดย: ple IP: 114.128.72.139 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:22:02:55 น.  

 
เคยอ่านหนังสือ เดอะซีเคร็ทค่ะ แล้วเค้าบอกว่า คิดมากๆ แล้วเรื่องนั้นจะถูกดึงดูดให้กลายเป็นจริง คุณแอสตั้น เชื่อในเรื่องนี้มั้ยคะ มันคล้ายๆ กับการภาวนาหรือป่าว และที่สำคัญถ้าเราคิดมากไป จะกลายเป็นหมกมุ่นหรือป่าวคะ? ^^


โดย: yuy55 IP: 124.121.206.105 วันที่: 26 สิงหาคม 2552 เวลา:22:59:26 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณ aston27

ติดตามงานเขียนของคุณมาจากลานธรรมค่ะ
ตอนนี้กำลังทยอยอ่านหัวข้อต่างๆย้อนหลังอยู่ ชอบทุกๆเรื่องเลยค่ะ :)

ที่เขียนมาวันนี้ มีปัญหารบกวนปรึกษา + ขอมุมมองของคุณด้วยนะคะ

คือ เป็นคนที่ชอบผู้หญิงด้วยกันค่ะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยทำใจให้ชอบผู้ชายได้สักครั้ง (คงเป็นกรรมเก่ามั้งคะ...)

ที่ผ่านมาเคยคบกับแฟนคนนึงจริงจังมาก ถึงขั้นวางแผนอนาคตด้วยกัน แต่สุดท้ายเขาก็นอกใจเรา ไปมีกิ๊กเป็นผู้ชาย ความเสียใจคราวนั้นยังฝังแน่นติดทนนานมาถึงวันนี้...แต่ก็ไม่ได้คิดแค้นอะไรนะคะ เรียกว่ากลัวจะดีกว่า

หลังจากอยู่คนเดียวมาเป็นปี ตอนนี้มีคนอีกคนนึงเดินเข้ามาในชีวิต แล้วเค้าก็รู้สึกดีกับเรา ตกลงคบหากันเรียบร้อยแล้ว

ปัญหาคือความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจเราเองค่ะ คบๆไปก็รู้สึกว่าวันนึงประวัติศาสตร์คงซ้ำรอยแน่ แฟนคนปัจจุบันนั้น ต้องขอบอกว่าเป็นคนหน้าตาดีถึงดีมากด้วย วันนึงเค้าก็คงจากลาเราไปมีชีวิตแบบผู้หญิงปกติ (เพราะเค้าก็เคยมีแฟนผู้ชายมาก่อน)

คบไปก็ทุกข์ไป รู้ทั้งรู้ว่าคนเราไม่จากเป็นก็ต้องจากตาย
แต่อันนี้มันเหมือนเห็นประตูแห่งการจากลา ชัดเจน และอยู่ใกล้มากๆ

ไม่ทราบว่าจะมีวิธีคิด และวิธีทำใจอย่างไรดีคะ??

ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ


โดย: ก้าวแรก IP: 58.9.100.168 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:12:35:13 น.  

 
พี่เอ๊ดอายุเท่าไหร่แล้ววว
อิอิ

สุขสันต์วันเกิดค่ะพี่
หน้าหลักคนเยอะ
หนูเลยหลบมาหน้านี้

^^


โดย: I am just fine^^ วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:13:46:23 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีดีที่มีให้อ่านนะคะ

ตอนนี้กำลังสับสนไม่เข้าใจว่าแฟนเก่าต้องการอะไร ทั้งที่เค้ามีแฟนใหม่ไปแล้วรวมกับคนที่บ้านเค้าอีก1คน สรุปแล้วเค้ามี2คน แต่เค้ายังกลับมาบอกว่าอยากให้กลับไปอยู่ด้วยแบบไม่ผูกมัด ไม่ต้องมีอะไรกัน ใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนเดิม ยอมรับว่าอาการเขวไปบ้างเล็กน้อยเพราะยังรู้สึกรักอยู่มาก แต่พอเริ่มกลับมาคิดมันก็รู้สึกว่าไม่ได้สิ อย่าทำแบบนั้น ไม่รู้ว่ากลับไปอยู่กับเค้าแล้วเราจะอยู่ตรงไหน

อยากรู้ว่าเค้าต้องการอะไร แล้วเราควรคิดยังไงเพื่อตัดเค้าให้ขาดซะที

ขอบคุณล่วงหน้ามากมายสำหรับคำแนะนำนะคะ


โดย: ka-pook-look IP: 118.172.192.26 วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:12:12:47 น.  

 
คุณ nara ลองไปอ่านบล็อกก่อนๆที่ผมเขียนไว้ หลายอันน่าจะช่วยได้นะครับ

อย่างเรื่อง "รักแบบม้าหมุน" หรือ "He's Just Not That Into You" ก็ได้

ที่จริงผมเพิ่งเขียนบทความให้ Marie Claire ไป ฉบับตุลาคม คงได้ลง อันนั้นก็พูดเรื่องคล้ายๆกัน

หนังสือ ธนาคาความสุข สาขา 2 ก็มีหลายบทบทพูดเรื่องนี้ ถ้าไม่มีหนังสือลองหาบล็อกชื่อ "ทางสายกลางของความรัก" อ่านดูนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:19:23:08 น.  

 
คุณคนที่ผ่านมาพอดีครับ

ผมเคยเขียนบล็อกชื่อ "ความสบายใจ" ลองหาอ่านดูนะครับ

ผมคงแนะนำให้คุณแบบฟันธงอะไรไม่ได้ เพราะทุกอย่าง มันเป็นเรื่อง "ความสบายใจ" ของคุณเอง

คนเรามีไม้บรรทัดไม่เหมือนกัน ผมอาจจะบอกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ คุณอาจจะว่ามันเรื่องเล็ก แต่เรื่องที่ผมว่าเล็ก คุณอาจจะมองว่าเป็นเรื่องใหญ่

แต่ถ้าจะกลับมา ลองดูว่า เรากับเขาเข้ากันได้ไหมในเรื่อง ศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา

ผมมีลิงค์ที่ให้สัมภาษณ์ผู้จัดการออนไลน์ไว้พอดี แต่คงทำให้คุณคลิกไม่ได้ เพราะทำไม่เป็น
คงต้องรบกวน copy ไปใส่ในช่อง // ข้างบนเองนะครับ

//www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9520000094672


โดย: aston27 วันที่: 29 สิงหาคม 2552 เวลา:19:37:55 น.  

 
ขอบคุณครับ ด้วยเหตุการณ์นี้มัน็ทำให้ผมรู้จักรพะอาจารย์ปราโมทย์และเข้าใจจิตเค้ามากขึ้นครับ แต่ยังละอัตตา และวิบากกรรมทุกข์ คือ ความเจ็บปวดและความมีอดีตที่คอยทำร้าย ทำให้ผมภาวนายากมากครับ
ช่วย แนะนำผมต่อด้วยครับ


โดย: คนที่ผ่านมาพอดี IP: 125.24.156.78 วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:11:40:09 น.  

 
คุณ นักศึกษาปีสุดท้าย และคุณ pleครับ

พี่เอาคำถามของคุณไปตอบไว้ในบล็อกใหม่แล้วนะครับ อยู่ในหมวด "มุมมองของ aston27 part2"

ชื่อเรื่อง "ค้นหาตัวเอง จากเรื่องธรรมดา ว่าด้วยกายใจ"

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aston27&month=01-09-2009&group=10&gblog=138



คุณ yuy 55 ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แบบผิวเผินแค่บทสองบท เลยไม่อยากวิจารณ์

แต่เคยเจอพี่จิรนันท์ พิตรปรีชา เธอบอกว่า มันก็คล้ายๆหลักเรื่อง อิทธิบาท 4 แหละ ว่าด้วยการจะทำอะไรก็ต้องมี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

คือต้องเห็นประโยชน์ เห็นดีเห็นงาม แล้วจะได้ทำด้วยความตั้งใจ มีความเพียร มีใจจดจ่อเคล้าเคลีย มีสมาธิอยู่กับเรื่องงานนั้น

เพียงแต่หนังสือเล่มนี้ เอามาแปลงในกรอบความคิดแบบฝรั่ง ที่มุ่งหวังความสำเร็จแบบโลกๆ เพื่อชื่อเสียง เงินทอง เป็นสำคัญ

เรื่องความคิด ถ้าคิดอยู่เรื่องเดียวบ่อยๆ มันก็เหมือนการทำสมถะ ทำมากๆ มันมีพลังจากการสะกดจิตได้

แต่ไม่ได้ทำกันง่ายๆได้ทุกคนหรอกครับ


โดย: aston27 วันที่: 2 กันยายน 2552 เวลา:12:15:30 น.  

 
คุณก้าวแรก

กรณีของคุณคล้ายกับเรื่องนึงที่อยู่ในหนังสือธนาคารความสุข 2 บทที่ชื่อ "รักขม"

ถ้าไม่มีหนังสือ ลองค้นดูจากบล็อกนี้ในหมวด "มุมมองของ aston27 part2" นะครับ

โดยย่อ สั้นๆ.. หัดฝึกมีสติ มีความสุขอยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเอง ดีกว่าเอาความสุข ไปฝากไว้กับความคิด การกระทำของคนอื่น

ถ้าเรายังบังคับตัวเองให้มีความสุขทุกวันไม่ได้ นับประสาอะไร กับการบังคับให้คนอื่น เป็นอย่างที่เราชอบ เราต้องการล่ะครับ


โดย: aston27 วันที่: 2 กันยายน 2552 เวลา:12:21:31 น.  

 
คุณ kapooklook

เวลาสับสน ให้รู้ทันจิตที่กำลังสับสนครับ

ดูจิต รู้สึกตัว ดูตัวเองไปเรื่อยๆ อย่าไปสนใจเรื่องของคนอื่น

อย่าเสียเวลาไปหาคำตอบว่า เขาคิดอะไรอยู่ เพราะตอนที่เราสงสัย นั่นเราก็คิดอยู่ แต่ไม่รู้ตัว

ผมว่าบางที คนๆนั้น เขาก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เลย ว่าเขาเป็นแบบนี้เพราะอะไร เขาคิดอะไร

แต่ผมตอบได้ว่าเขาเป็นทาสกิเลสตัวเองอยู่ มักมากในสตรี อยากมีเยอะๆ จะเอาแต่สนุก แต่ไม่รู้ว่ากำลังจะมีทุกข์รออยู่ข้างหน้า

สำหรับกรณ๊แบบนี้ ตอบไม่ยากหรอกครับ คำตอบมีคำเดียวว่า..

"แค่คิดก็ผิดแล้วพี่"


โดย: aston27 วันที่: 2 กันยายน 2552 เวลา:12:46:20 น.  

 
พี่เอ็ดคะ

เพิ่งทำงานที่ใหม่ได้ 1 เดือน พยายามปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ แต่รู้สึกว่าเข้ากับคนเก่าๆ ที่นั่นไม่ได้ การใช้ชีวิตค่อนข้างต่างกันมาก พยายามตามน้ำหลายที แต่ก็รู้สึกว่าฝืนตัวตนและไม่มีความสุข และด้วยลักษณะงาน จำเป็นต้องทำเป็นทีม อึดอัดอย่างบอกไม่ถูกนะคะ ชีวิตคนเราใช้เวลาอยู่ที่ทำงานนานกว่าอยู่บ้าน ทุกวันนี้จึงไปทำงานแบบไม่มีความสุขเลย อ้อ..อีกอย่างคือ ได้มาอยู่ในตำแหน่งงานที่ต่ำกว่าวัยวุฒิและคุณวุฒิ (เนื้องานจึงทำได้ดี ไม่มีปัญหาเลยค่ะ) ท้อใจจังค่ะ แต่ใจก็ไม่กล้าพอที่จะลาออก เพราะงานหายากเหลือเกินค่ะ ควรทำใจรับกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไรดีคะ ?


โดย: นุ๊ก IP: 124.120.81.178 วันที่: 2 กันยายน 2552 เวลา:23:55:39 น.  

 
วันนี้ไม่มีปัญหาจะถาม แต่มีเรื่องจะเล่าให้ฟังค่ะ
ใช้ชีวิตทำงานเป็น พนง.บริษัทฯ มานาน 17 ปี จนยึดติดว่าเป็นบริษัทของเรา ที่ทำงานมีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ ก็หลงไปยึดติดว่าเป็นของตัวเอง เมื่อก่อนถ้ามีคนมาเปิดใช้คอมฯเรา ก็ไม่พอใจ ไม่อยากให้ใครมายุ่ง ปกติแล้วจะมีโลกส่วนตัว จะรักษาระยะห่างจากเพื่อนร่วมงานประมาณหนึ่ง แต่พอตอนหลัง ไม่รู้ว่าแก่ลงก็เลยได้คิด หรือว่าได้มาเปิดสมองรับรู้ความเป็นจริง ที่มันเป็นไป ในบล็อกของคุณเอ๊ดดี้.. ก็เริ่มปล่อยวางลงได้บ้าง แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งในใจว่า งานที่เรารับผิดชอบทำค้างอยู่ในคอมฯ ถ้าเกิดมันหายไป เพราะมีคนอื่นมายุ่ง มันก็ไม่ดี แต่มาคิดดูอีกที ถ้ามันจะหาย เราก็แค่..ทำใหม่แค่นั้นเอง ... บางทีก็เผลอ หลงไปกับความโกรธ ยึดตึดไปกับหลายๆอย่าง ..จากนี้ไปคิดว่าจะฝึก ตามดูจิตรู้ให้เท่าทันอารมณ์ต่างๆ ให้มากขึ้น
ขอบคุณที่คุณเอ๊ดดี้เขียนเรื่องราวดีๆให้อ่าน
ชื่นชมกับความช่างสังเกตุ และความเอื้ออารีของคุณที่มาให้ความกระจ่างกับคนอื่นๆ..
จะตามอ่าน และฝึกจิตตามไปเรื่อยๆค่ะ


โดย: noi IP: 61.91.248.100 วันที่: 3 กันยายน 2552 เวลา:8:50:55 น.  

 
คุฯแอสตันคะ รบกวนช่วยชี้ทางคนสับสนด้วยค่ะ เคยมีคนที่คงมีกรรมเก่ากันมา สร้างความหงุดหงิด รำคาญใจ ทำให้รู้สึกอายที่มีคนมาจีบ เราก็เลยไม่เคยดีด้วยเลย แถมร้ายอีกต่างหาก ตัดรอนทุกอย่างให้เลิกคิดแบบนี้ ตอนนั้นยังเด็กมาก ไม่เคยทำอะไรร้ายๆ แรงๆ กับใครมาก่อนเลยในชีวิตนี้ แล้วเราก็ห่างกันไปแบบนั้น ตอนนี้ต่างดำเนินชีวิต มีครอบครัวกันไป จนเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากได้รับรู้-อ่าน-ฟัง เรืองกรรมมากขึ้น อยู่ๆเขากลับเข้ามาในความคิดอย่างรุนแรง อยากขออโหสิกรรม ไม่อยากให้ติดตามไปชดใช้กันในภายภาคหน้า แต่อีกใจก็คิดว่าปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน อย่าไปรื้อฟื้นเลย เขาก็อาจจะไม่ได้ใส่ใจกับมันหรอก ถ้าเขาไม่สบายใจขึ้นมาเราก็จะบาปเพิ่มขึ้นไปอีก ความสับสนแบบนี้แว้ปเข้ามาบุ่อยๆค่ะช่วงนี้ รู้ว่าฟุ้งซ่าน รู้ว่าอยากหายค่ะ หายไปสักระยะก็มาอีก ควรสร้างกรรมปัจจุบันอย่างไรดีคะ มันควรจบอย่างไรดีคะ
ไม่ว่าจะจบหรือไม่จบยังไงก็ขอขอบคุณ-คุณแอสตันมากๆๆ เลยนะคะ ที่ถ่ายทอดธรรมะมาให้คนไกลวัดและคนไปวัดแต่ไม่พบธรรมะ (พบแต่บ่อปลา) ได้มีโอกาสศึกษาแนวทางดำเนินชีวิตให้ถึงทางดับทุกข์ อนุโมทนาบุญนะคะ


โดย: กล้วยไข่ IP: 192.168.51.30, 124.157.185.87 วันที่: 3 กันยายน 2552 เวลา:21:58:11 น.  

 
คุณนุ๊กครับ

ผมเคยอยู่ในที่บริษัทโฆษณา ที่มีเพื่อนร่วมงานไปจนถึงเจ้านายที่มีวิถีชีวิตต่างกันมากมายหลายแบบ

ส่วนมากเขาจะเฮฮาปาร์ตี้ หลายคนดื่มบ่อย สูบบุหรี่จัด แต่ผมกับอีกหลายคนก็ไม่เป็น ก็ไม่มีใครว่าอะไรนะครับ

ท้ายที่สุด ผมก็อยู่ได้ตั้งเกือบๆ 5 ปี อย่างมีความสุขพอควร และที่ออกก็เพราะเรื่องอยากทำงานอื่นมากกว่าเรื่องส่วนตัวนะ

คำแนะนำคือ อยากให้คุณมองแยกกัน ระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว เวลางานก็ทำเต็มที่ แต่นอกเวลางานอันนี้ไม่จำเป็นต้องไหลตามกัน

ผมเองทุกวันนี้ ต้องไปทานมื้อค่ำเพื่อธุรกิจบ่อยๆ วันก่อนก็ไปกับเจ้านาย และหุ้นส่วนจากต่างประเทศทั้งหมด 6 คน เขาดื่มไวน์กันหมด มีผมคนเดียว ดื่มน้ำเปล่า

ครั้งแรกๆ ก็จะมีคำถามบ้าง แต่ถ้าเราปฏฺิเสธแบบสุภาพ หลังๆ เขาก็จะชินไปเอง ว่าเราเป็นแบบนี้

อันนี้แค่ตัวอย่างนะครับ เพราะผมก็ไม่ทราบว่า สังคมใหม่ที่ว่าของคุณมันเป็นอย่างไร

ส่วนเรื่องวัยวุฒิ คุณวุฒิ อันนี้มันเป็นหัวโขนนะ ผมไม่อยากให้ใส่ใจมากในเรื่องนั้น สำคัญที่ว่า งานนี้มันชูชีพก่อน ชูใจว่ากันอีกที

เว้นแต่คุณมีฐานะมั่นคง ไม่ต้องพึ่งรายได้ส่วนนี้ จะมองหางานใหม่ที่ชูใจไว้ ก็ไม่มีใครว่า

ใจเย็นๆ ถ้ามีทางไปแล้วค่อยไป ถ้ายังไม่มีทางที่ดีกว่า ก็ต้องอดทน และมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ให้มากที่สุด

แล้วคอยมาอ่านบล็อกผม ปฏฺิบัติธรรมไปเรื่อยๆ เราจะเห็นเองว่า งานทางโลก มันของที่ทำเพื่อยังชีพ งานทางธรรมคืองานหลักของชีวิต


โดย: aston27 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:10:23:37 น.  

 
คุณ noi ครับ

อนุโมทนานะครับ ที่ใจเปิดรับธรรมะ แล้วปรับใช้ได้กับชีวิตจริง

หมั่นภาวนาไปเรื่อยๆนะครับ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะเลย


คุณกล้วยไข่ครับ

อยู่กับปัจจุบันดีกว่าครับ เรื่องสมัยเด็กๆน่ะ บางทีเขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้

เกิดไปรื้อฟื้นขึ้นตอนนี้ ภรรยาเขาเข้าใจผิด จะกลายเป็นเรื่องราวขึ้นมาอีก บาปกรรมเปล่าๆ

สมัยเด็กๆ ผมจีบสาวไม่ค่อยสำเร็จครับ มีทั้งที่เขาไม่เอา ไม่สน ไม่ยุ่ง ไปจนแบบ เป็นเพื่อนเป็นพี่น่ะดีแล้ว

โตมา ผมไม่ค่อยจำใครได้มากมายเลย รายที่เคยดุด่าว่ากล่าว คล้ายๆกรณีคุณน่ะ ผมก็ไม่เคยรู้สึกแค้นเคืองอะไรเลย

เจอกันเมื่อปีสองปีที่ผ่านมา ยังนึกในใจว่า เออ.. ขอบคุณนะ ที่ตอนนั้นไม่เอาฉัน ไม่งั้นตอนนี้ฉันคงเศร้า


อย่าคิดมากนะครับ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดไปเถอะครับ



โดย: aston27 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:10:32:11 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณแอสตัน ได้อ่านธนาคารความสุขของคุณทั้งสาขาหนึ่งและสองเลย แต่ที่ได้อ่านเป็นเพราะว่าไม่สบายหนักค่ะ แถมมาโดนทิ้งอีก พยายามรู้สึกกายรู้สึกใจนะคะ แต่ว่าความทุกข์มันก็ยังมาแว๊ปๆ หรือบางทีมันก็ทำให้ร้องไห้ได้เลยอ่ะค่ะ คำถามคือ คุณแอสตันมีวิธีแนะนำไม๊คะเวลาที่เรานึกถึงคำพูดของเขาที่กำลังทำร้ายเราอยู่แล้วมันจะเจ็บขึ้นมาทำยังไงกับมันดี ตอนนี้เหมือนทั้งป่วยกายแล้วก็อป่วยใจด้วย มีหลายปัญหาเข้ามา คือไม่อยากอยู่ในสภาพนี้เลย มีทางไหนช่วยให้ทุกข์มันเบาลงอีกไม๊คะ ขอบคุณค่า


โดย: อุ้มหมี IP: 58.9.186.145 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:10:43:57 น.  

 
ขอบคุณพี่เอ็ดมากค่ะ


โดย: นุ๊ก IP: 124.120.85.63 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:11:04:23 น.  

 
ขอบคุณมากๆค่ะคุณแอสตัน ที่ให้คำแนะนำและเตือนสติไม่ให้ไปทำเรื่องที่เงียบๆดีอยู่แล้วให้เป็นเรื่องใหม่ บาปใหม่ไปอีก อ่านบล็อกไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจขึ้นเรื่อยๆแล้วค่ะ ว่าอยู่กับปัจจุบันดีที่สุด ทำตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันก็ยากแล้ว อย่าไปทำให้ปัจจุบันของคนอื่นยากไปด้วยอีกเลยนะคะ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ (จะรอธนาคารสาขา 3 นะคะ)


โดย: กล้วยไข่ IP: 192.168.51.30, 124.157.185.87 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:14:45:16 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แอ๊ด
พึ่งเลิกกับแฟนเพราะจับได้ว่าอยู่กับผู้หญิงอื่นใหม่ ๆ ก็กลุ้มใจแต่ตอนนี้ดีขึ้นแต่กลัวว่าเค้าจะมาขอคืนดีกลัวจะใจอ่อนเพราะคิดว่าจะไปทางธรรมดีกว่าเพราะสบายใจขึ้นกว่าเก่า ใครๆก็บอกว่าแฟนไม่ดีแต่เรากลับไปแก้ตัวให้ตลอดทำไงดีถ้าจะตัดใจให้ได้จริงค่ะ


โดย: ple IP: 117.47.180.5 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:23:13:14 น.  

 
สวัสดีคะ
ดิฉันมีปัญหามาถาม คนกับแฟนมา 15 ปี ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่มารู้เมื่อเดือนที่แล้วว่าเค้ามีแฟนและลูก และอยู่ด้วยกัน ดิฉันต้องการจะเลิกแต่แฟนไม่ยอม ยังโทรมาทุกวัน เหนื่อยใจมาก หลังๆ ดิฉันไม่รับโทรละ อยากจบปัญหา พยายามบอกเค้าว่าไม่ได้โกรธ ให้อภัยเค้า แต่เค้าไม่ยอมปล่อย เลยไม่รู้ทำไงดี มีคำแนะนำดีๆ มัยคะ ขอบคุณคะ แล้วต้องเข้ามาอ่านในนี้หรือป่าวคะ


โดย: yy IP: 203.146.206.66 วันที่: 8 กันยายน 2552 เวลา:8:27:20 น.  

 
..ขอถามคำถามสองข้อ (แต่ไม่เกี่ยวกับธรรมะนะคะคงไม่ว่ากัน) ตอบเท่าที่สะดวกใจจะตอบนะคะ คือ 1. อยากทราบว่าทำไมพี่แอสตั้นมีภูมิความรู้เรื่องเพลงเยอะจังคะ? 2. มีการเริ่มต้นอย่างไรคะ?
ปล.เพิ่งได้รู้จักหน้าพี่แอสตั้นค่ะ (ทางรายการฝรั่งจัง) หลังจากที่ฟังเสียงมานาน


โดย: helloeve IP: 203.209.96.103 วันที่: 9 กันยายน 2552 เวลา:0:37:16 น.  

 
หลังจากหัดปล่อยวางไม่ยึดติด มาได้ระยะหนึ่ง พอมองดูเพื่อนร่วมงานทุกวันนี้ ก็เห็นว่าการอยู่รวมกันของคนหลายคน ทำให้มีปัญหาความไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ละคนก็จะมาเล่าเรื่อง คนโน้นไม่ชอบคนนี้ ไม่ถูกชะตากับคนโน้น ทำไมคนโน้นเกี่ยงงาน ทำงานน้อย ฯลฯ สารพัดที่จะจับกลุ่มจุ๊กจิ๊กคุยกัน เราก็ฟังเฉยๆ ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ไปออกความเห็นอะไร รู้สึกเหมือนดูหนังดูละคร ไม่ใช่เรื่องของเรา ตอนนี้ก็เลยคิดว่า เอ๊ะ เราจะสุขเกินไปรึเปล่า เกิดลังเลว่าที่ทำอยู่ตอนนี้ถูกต้องหรือยังคะ


โดย: noi IP: 61.91.248.100 วันที่: 9 กันยายน 2552 เวลา:9:17:10 น.  

 
สวัสดีครับ พี่แอสตัน

รบกวนขอปรึกษาปัญหาครับ คิดว่าพี่น่าจะเข้าใจผมได้ดี เพราะปัญหาของผมคล้ายๆกับที่พี่เคยเขียนเรื่องของพี่ไว้ในบล็อกครับ

คือผมเป็นเกย์ครับ (อันนี้ไม่ใช่ปัญหาที่บอกว่าเหมือนกับพี่นะ..หุหุ) เพิ่งคบกับแฟนคนปัจจุบันได้ไม่นาน พ่อแม่ของเขารู้เรื่องครับ แล้วก็ออกอาการกีดกันอย่างรุนแรง เผลอๆจะบังคับแฟนผมให้ไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนึงอีกต่างหาก
(แฟนผมเป็นไบครับ ถ้าจำเป็นจริงๆ เขาก็สามารถแต่งงานกับผู้หญิงได้)
ผมลำบากใจมากเลยครับ เขาเองก็บอกว่ารักผม แต่ไม่รู้จะทำยังงัยดี

ผมควรจะตัดใจ เลิกรากับเขาไหมครับ บางทีผมก็คิดเหมือนที่พี่เขียน ว่าถ้าเขาจะไปมีชีวิตที่ดีกว่า (อย่างน้อยก็ไม่ต้องทะเลาะกับพ่อแม่) ผมก็ควรจะปล่อยเขาไป
...พูดง่าย แต่ทำยากจังเลยครับ

ขอบคุณครับ


โดย: บอย IP: 58.9.96.160 วันที่: 9 กันยายน 2552 เวลา:11:15:37 น.  

 
คุณ ple

อยากตัดใจให้ได้จริงๆ ก็ต้องฝึกรู้ทันใจตัวเองบ่อยๆครับ

เขาจะกลับมาคืนดีไม่คืนดี ไม่น่ากลัวครับ ที่น่ากลัวคือ เราไม่มีสติมากกว่า

ถ้ามีสติ รู้ทันความคิดตัวเอง การตัดสินใจมันก็ง่ายขึ้น
เพราะจะเห็นเหตุ เห็นผลได้ชัดเจนว่า อะไรควรไม่ควร

คุณ yy

อ่านในนี้ก็ได้ครับ

ส่ง sms ไปบอกเขาว่า เราไม่ได้โกรธ แต่เราแค่ไม่ต้องการผิดศีล

ในเมื่อเขามีครอบครัวไปแล้ว อันนั้นคือการเลือกทางเดินชีวิตของเขา ที่เขาพึงจะต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด

ส่วนเราก็มีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตตัวเอง เราก็ต้องเลือกในสิ่งที่ถูกที่ควร ที่ดีที่สุดให้ตัวเอง ไปพาตัวเองไปอยู่ในวังวนของคนบาป

ที่เหลือ ถ้าเขาติดต่อมา เราไม่รับก็อย่าว่ากัน จะปล่อยไม่ปล่อยอันนั้นปัญหาของเขา

ปัญหาของเราจบแล้ว

คุณ helloeve

ก็เริ่มด้วยการฟังรายการวิทยุดีๆ ที่เขาให้ข้อมูลดีๆนี่แหละครับ

ตามมาด้วยซื้อหนังสืออ่าน ซื้อเทป ซื้อซีดี ที่เขามีข้อมูลในปก
ฟังเพลงหลายๆแนว หมดยุคนี้ ก็ขุดไปฟังยุคเก่ากว่าเดิมไปเรื่อยๆ

ทำอย่างนี้อยู่สิบปี มันจะไม่รู้เยอะ ก็ไม่รู้จะว่ายังไง

แต่หลังๆมานี่ ผมไม่ค่อยได้สนใจเรื่องเพลงเลยนะ รู้แล้วก็งั้นๆแหละ สู้รู้เรื่องกายใจของตัวเองไม่ได้

สนุกกว่ากันเยอะเลย

คุณ noi

ที่ทำอยู่ มันก็ถูกแบบสมถะนะครับ มองคนอื่นด้วยความคิดดีๆ ทำได้ก็สบายใจดี อยู่กับโลกได้ง่ายขึ้น

แต่ที่อยากแนะนำให้ปฏิบัติไปอีกขั้น คือ ย้อนมาดูกาย ดูใจตัวเองบ่อยๆครับ

เขาพูดอะไรกัน เราไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ก็รู้ว่าไม่ชอบ ไม่ถูกใจ
มีอะไรมากระทบ เช่นไปเห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้กลิ่นอะไร ลิ้มรสอะไร จิตคิดนึกปรุงแต่งอะไร ให้ย้อนมาดูจิต ดูใจตัวเอง

จิตมันรู้สึกเฉยๆ ก็รู้ ชอบใจก็รู้ ไม่ชอบใจก็รู้ จิตเป็นอย่างไรก็รู้ไปอย่างนั้น ตามความเป็นจริง ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งดี ไม่ต้องกดข่มบังคับ

กระทั่ง ใจมันปล่อยวางแล้วมีความสุข ก็รู้นะครับ
เพราะความพอใจ ยินดีในความสุข ก็เป็นกิเลสตัวหนึ่ง ในหมวดราคะ

สงสัย ว่าเอ๊ะ ทำถูกไหม ตัวนี้ก็เป็นการทำงานของจิตอย่างหนึ่ง คือ "คิด" ก็ต้องรู้ทันว่า "สงสัย" อยู่นะ

รู้ไปอย่างนี้นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 11 กันยายน 2552 เวลา:16:34:47 น.  

 
..ขอบคุณค่ะที่ตอบคำถาม น่าเสียดายจริงๆ ที่รายการวิทยุดีๆที่มีดีเจเจ๋งๆ เขาไม่ได้จัดรายการแล้วค่ะ..ตอนนี้ก็คงต้องถือคติว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ค่ะ


โดย: helloeve IP: 203.209.96.252 วันที่: 11 กันยายน 2552 เวลา:19:52:17 น.  

 
..มีคำถามรบกวนพี่แอสตั้นอีกแล้วค่ะ คือเคยดูสารคดีชุด "น้ำพริก" ที่พี่เป็นผู้บรรยายค่ะ พ่ออยากได้ค่ะ ไม่ทราบว่ามีจำหน่ายเป็นหนังสือ หรือ ดีวีดี มั้ยคะ? ขอบคุณค่ะ


โดย: helloeve IP: 203.209.97.110 วันที่: 13 กันยายน 2552 เวลา:20:23:02 น.  

 
ขอบคุณค่ะ กระจ่างขึ้นมากเลยค่ะ เริ่มฝึกตามไปเรื่อยๆแล้วค่ะ รู้สึกเหมือนเริ่มออกเดินทาง โดยมีจุดหมายปลายทางแล้วค่ะ
เห็นแสงสว่างอยู่ไกลๆ เดินทางคราวนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ว่าจะไปถึงจุดหมายเมื่อไหร่
จากเมื่อก่อนที่ใช้ชีวิตแบบอยู่ไปวันๆ จะมีคำถามในใจบ่อยๆ ว่าเราเกิดมาทำไม พอคิดไม่ออกหรือมีภารกิจอื่นๆก็เลิกคิด พอว่างๆก็มาคิดใหม่อีก
แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ต้องคิดแล้วละค่ะ
ตามดูกายใจอย่างเดียว
ขอบคุณค่ะ
พี่aston ก็ดูแลสุขภาพร่างกายด้วยนะคะ
จะได้ชี้แนะให้คนเดินทางต่อไปอีกนานๆ


โดย: noi IP: 61.91.248.100 วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:10:04:49 น.  

 
เรียน คุณแอสตันค่ะ

มีคำถามคือ จะปล่อยวาง เลิก หรือให้อภัยดีคะ
สิบกว่าปีก่อนสามีไปมีคนอื่นแล้วพลาดท่า เกิดตั้งท้อง ตอนนี้เด็กอายุ 13 ครอบครัวเราอภัยให้แล้วรับมาอยู่ด้วยตอนโต อยู่ร่วมกันในครอบครัวเรา (สามี เรา และ ลูกสาว 1 คนค่ะ อายุ 13) เรื่องความเจ็บปวดไม่ต้องพูดถึง ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว รอยแผลยังไม่จางหาย
เมื่อวานก็เพิ่งได้รับรู้อีกว่า มีเด็กโผล่มาอีกคน อายุ 2 ขวบแทบล้มทั้งยืน
คงเป็นกรรมเก่าที่ทำร่วมกันไว้ ไม่รู้ว่าจะอภัยให้อีกดีมั้ย เค้าก็บอกว่าพลาดอีก เราคิดอะไรไม่ออกเลยค่ะ มึนไปหมด เมื่อคืนสวดมนต์ไปก็ร้องไห้ไป ยิ่งสวดบทอภัยทานรู้สึกว่าตัวเองน้ำตายิ่งไหลอาบแก้ม รู้สึกว่าธรรมะเป็นที่พึ่งได้อย่างเดียว
ตอนนี้จิตใจก็ยังไม่สงบ ตัดสินใจไม่ได้ว่า
จะดำรงชีวิตต่ออย่างไร จะปล่อยวาง แล้วอยู่กันไปเพื่อลูก ไม่ต้องพูดคุยกัน หรือ ให้อภัยแล้วทำทุกอย่างเหมือนเดิมดีคะ เราไม่รู้ว่าควรจะแยกห้องกันนอนหรือเปล่า เราไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเลยค่ะ มืดมนเหลือเกิน
แต่เราก็ปลอบตัวเองว่า คงไม่มีอะไรที่เลวร้ายและแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว
คุณแอสตันช่วยเป็นกำลังใจให้เราก้าวผ่านพ้นไปได้ด้วยนะคะ โลกมืดเหลือเกินแล้ว

ขอบพระคุณมากค่ะ

ดาวเหนือ


โดย: ดาวเหนือ IP: 58.137.171.78 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:9:08:39 น.  

 
ญาติเราแนะนำว่า ให้ทำหมางเมินไป เพื่อให้เค้ารู้สำนึกว่าที่เค้าทำมันผิด (ซึ่งเค้าก็รู้อยู่เต็มอกว่าเค้าผิด ) ซึ่งมันคือ ผิดแล้วผิดอีก

เราเป็นคนจิตใจโน้มเอียงในทางอภัยค่ะ รู้สึกว่าอภัยแล้วจิตใจเป็นสุขขึ้น แต่ญาติบอกว่า การให้อภัยจะทำให้เค้ารู้สึกว่าจะทำอะไรก็ได้ ถึงเวลาก็จะได้รับการให้อภัยจากภรรยา ญาติไม่ได้แนะให้เลิกกัน แต่แนะให้ทำวางเฉย ไม่สนใจว่าเค้าจะมาหรือไป แยกห้องนอน 1 เดือน

เรารู้ว่า ถ้าทำอย่างนั้น บ้านก็ไม่มีความสุข
ลูกจะสัมผัสได้ไหม ว่าความอบอุ่นในบ้านมันสูญหายไปแล้ว เราก็ไม่ได้อยากให้บ้านเป็นเช่นนั้นเลย เราเป็นคนใจอ่อนและอภัยคนง่ายเกินไปใช่มั้ยคะ ถึงถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เราจะวางตัวอย่างไรดี

ขอบคุณอีกครั้ง

ดาวเหนือ


โดย: ดาวเหนือ IP: 58.137.171.78 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:9:21:07 น.  

 
คุณแอสตันคะ
ด้วยความใกล้ชิดในที่ทำงาน ดิฉันก็ตกหลุมรักคนมีเจ้าของคนหนึ่ง...ก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ..ไม่ได้มีอะไรเกินเลย นอกจากเป็นทุกข์เพราะไปรักคนที่ไม่ควรรัก ปัจจุบันบริษัทปิดฯ เราต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ดิฉันก็ยังหางานทำไม่ได้..ผู้ชายเพื่อนร่วมงานคนนี้ก็ย้ายไปประจำต่างประเทศ เราก็ห่างกันไปโดยปริยาย...ซึ่งก็ทำให้สภาพจิตใจดิฉันดีขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ทรมานใจด้วยความที่ต้องเห็นกันทุกวันต่อไป แค่ทุกข์ใจเรื่องหางานไม่ได้นี่ก็แย่พออยู่แล้ว ปัญหาคือว่าเขาก็ยังติดต่อมาเป็นระยะ ถามไถ่ข่าวคราว..บางหนเขาก็อยากจะนัดเจอเมื่อเขามาเมืองไทย ดิฉันก็ตัดใจบอกไม่ว่าง ไม่ไปซักที..แต่ก็ยังตอบเมล์ (เพราะไม่รู้จะทำยังไง..) ลึกๆแล้วก็ยังเจ็บปวดอยู่..อยากจะเลิกติดต่อไปเลย แต่ก็ไม่กล้า รู้สึกไม่แฟร์กับเขา ก็เคยดีๆกันมา..ปัญหาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เขา เพราะเขาคงคิดกับเราแค่เพื่อน แต่เราสิ...ลำบากใจ...ไม่อยากติดต่อกันอีกต่อไป..เพราะมันจะเป็นความเจ็บปวดแบบเรื้อรัง ไม่หายเสียที คุณแอสตันช่วยแนะนำวิธีจัดการกับตัวเองให้หน่อยนะคะ เคยไปฝึกวิปัสสนา หวังให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ดีขึ้นก็พักนึง พอเขาติดต่อมาอีก ก็ฟุ้งซ่านอีก คิดเรื่องเก่าๆอีก มีความหวังอีก ก็เปลี่ยนมาสวดมนต์ ก็ยังไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นัก เพราะจิตไม่สงบ ขอบคุณมากค่ะ nara


โดย: nara IP: 124.120.134.175 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:19:35:24 น.  

 
คุณ helloeveครับ

สารคดีน้ำพริก ยังไม่มีขายเป็นวีดีโอครับ

แต่หนังสือน่าจะพอมี แม้จะหายากอยู่สักหน่อย
ลองถามหาจากร้านที่มีหนังสือของหม่อมคึกฤทธิ์ขายเยอะๆน่ะครับ

หรือติดต่อไปที่สำนักงานหนังสือพิมพ์สยามรัฐดูก็ได้ครับ


โดย: aston27 วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:18:26:13 น.  

 
คุณบอย
พี่ติดคำถามคุณไว้ก่อนนะครับ
ขอเป็นคิวถัดไปอีกสองคิวนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:18:34:27 น.  

 
ไม่เป็นไรครับพี่แอสตัน
ผมรอคำตอบดีๆจากพี่ได้เสมอ
ขอบคุณครับ


โดย: บอย IP: 58.9.237.236 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:10:43:39 น.  

 
..ขอบคุณค่ะสำหรับคำแนะนำเรื่องหนังสือ..เสียดายนิดเดียวที่จะไม่ได้ฟังเพลงเพราะๆ (หาฟังไม่ง่าย) ตอนอ่านบล็อก แต่ ก็ยังดีกว่า ไม่มีข้อเขียนดีๆ เช่นนี้ ให้อ่านเนอะ


โดย: helloeve IP: 203.209.96.49 วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:20:10:40 น.  

 
กำลังจะไปจัดรายการเพลงทางวิทยุอีกหรือเปล่าคะ
คอยอัพเดทข่าวด้วยค่ะ


โดย: i'm on.. IP: 58.8.197.86 วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:21:55:34 น.  

 
ภาพProfileของคุณastonทำจากที่ไหนคะ อยากทำให้คุณพ่อบ้าง

เลยจะขอคำแนะนำว่าจะเปิดเพลงสากลให้คุณพ่อในวันเกิด1เพลง...เพลงอะไรดีคะที่เกี่ยวกับความรักของพ่อลูก


โดย: Daughter IP: 58.8.189.68 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:19:14:46 น.  

 
พี่ค่ะ ขอบคุณที่แวะไปตอบคำถามให้ค่ะ ตอนนี้ไม่ติดนิ่งแล้ว ดูจิตทำงานไปเรื่อยๆค่ะ

เอาหนังสือธนาคารความสุขให้คุณพ่ออ่าน คุณพ่อชอบทั้งสองสาขาเลยค่ะ

วันก่อนน้องชายบอกว่าเพิ่งทราบว่าพี่จัด The Radio เค้าบอกว่าฟังตลอดตอนเรียนอยู่ (ตอนนี้ไปอยู่ตปท.แล้วค่ะ)


โดย: เป่าจิน วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:12:11:38 น.  

 
พี่เอ๊ดดี้คะ คือมีคำถามจะถามค่ะ
คบกับแฟนมา 8 ปี แต่วันนึงเค้าก้อห่างไปและไปมีคนใหม่โดยที่ไม่ได้บอกเรา เสียใจมากมายแต่ก้อคิดได้ค่ะว่ามันคงเป็นการใช้กรรม เราอาจจะเคยทำเค้ามาก่อน และคงใช้หมดแล้วจึงต้องเป็นแบบนี้ ก้อไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรเค้ายังคงมีความรู้สึกดี ๆให้และคิดอโหสิกรรมให้ คำถามคือว่าถ้าเราไม่ได้ขออโหสิกรรมกับเค้า ชาติหน้าเรากับเค้ายังจะต้องใช้กรรมกันอยู่แบบนี้หรือป่าวคะ
ขอบคุณค่ะ


โดย: jum IP: 58.8.183.98 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:17:31:41 น.  

 
สวัสดีครับ ติดตามงานของท่านมาพักใหญ่ และรู้สึกโชคดีที่ได้อ่านผลงานของท่าน วันนี้ผมมีเรื่องรบกวนขอความเห็นครับ

คบกับแฟนมา 10 ปี แต่ค่อนข้างแน่ใจว่า ผมไม่ชอบชีวิตคู่เมือ 2 ปีก่อน...ไม่ใช่กับเธอเท่านั้น ผมรู้สึกการมีครอบครัว ไม่ใช่วิถีทางที่ทำให้ชีวิตสงบ แต่รู้สึกผิดถ้าจะเลิกกันเนื่องจากคบกันมานาน (เธอบ่นเสียโอกาสที่จะไปตั้งต้นกับคนอื่น อายุเรา 40 แล้ว) และสงสารที่เธอเป็นคนดี แต่ชีวิตเธออาภัพ...เป็นม่ายลูกติด(ก่อนรู้จักผม) ต้องทำงานหนักเลี้ยงพ่อแม่
ตัวผมเองเอาเปรียบเธอมีอะไรกันมาตลอด เราเคยคุยกัน...เธอบอกไม่ต้องการแต่งงานและขอให้ผมดูแลเธอ แต่ผมคิดว่าจริงฯ เธออยากมีชีวิตครอบครัว
ผมควรจะเปลี่ยนความคิดและมีครอบครัว หรือ เลิกกันไปเพื่อเริ่มใหม่ดีครับ


โดย: หาวพระพราย IP: 125.24.192.111 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:2:08:57 น.  

 
ถ้าเราแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว แต่กับสามีเหมือนหมดรักกันแล้ว ไม่มีเพศสัมพันธ์(6ปีแล้วค่ะ) มีแต่ความผูกพัน อยู่กันเพื่อลูก เราสามารถไปรักคนอื่นอีกได้หรือไม่คะ เราควรจะไขว่คว้าหาความรักต่อไปหรือไม่ แต่บอกตรงๆ ดิฉันยังอยากมีคนมารัก หรือได้รักใครอีกค่ะ


โดย: จิดา IP: 124.120.28.69 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:12:33:31 น.  

 
กำลังจะไปจัดรายการเพลงทางวิทยุอีกหรือเปล่าคะ
คอยอัพเดทข่าวด้วยค่ะ

โดย: i'm on..


รายการเพลงคงยังไม่มีกำหนดนะครับ ไว้มีเมื่อไหร่ ก็บอกเมื่อนั้นแหละ


ภาพ Profile ของคุณastonทำจากที่ไหนคะ อยากทำให้คุณพ่อบ้าง

เลยจะขอคำแนะนำว่าจะเปิดเพลงสากลให้คุณพ่อในวันเกิด1เพลง...เพลงอะไรดีคะที่เกี่ยวกับความรักของพ่อลูก

โดย: Daughter


ภาพนี้ มีน้องคนหนึ่งที่ไปวัดด้วยกันแล้วแวะทานข้าว เขาถ่ายแล้วทำให้ครับ
ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำด้วยโปรแกรมอะไร

เพลงสากลที่เกี่ยวกับความรักของพ่อลูก มีหลายเพลงนะ แต่ถ้าลูกจะเปิดให้พ่อ แนะนำเพลงชื่อ Wind Beneath my wings ของ Bette Midler หรือถ้าหาฉบับของ Jean Fry Sidwell ได้ก็จะดีครับ


โดย: aston27 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:17:54:40 น.  

 
ขอบคุณค่ะ เพลงนี้"โดน"เลยค่ะ


โดย: Daughter IP: 58.11.68.66 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:21:40:55 น.  

 
สวัสดีค คุณแอสตัน
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำคะ
จะพยายามต่อไปคะ ตอนนี้หนักใจมากๆ


โดย: yy IP: 203.146.206.53 วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:17:04:34 น.  

 
คุณเอ็ดดี้เชื่อเรื่องคนที่มีญาณพิเศษสามารถมองเห็นถึงชีวิตของเราและคนรอบข้าง หรือแม้เห็นกระทั่งสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ที่อยู่ใกล้ๆเราไหมคะ โดยการดูแค่ชื่อและนามสกุลไม่ได้ใช้วันเดือนปีเกิดแต่อย่างไร

ที่ถามแบบนี้ เพราะว่า สงสัยค่ะ ส่วนตัวจริงๆไม่ใช่คนเชื่อเรื่องพวกนี้สักเท่าไร แต่เพื่อนสนิที่ไปมาเขามาชวน ก้อเลยไปกันเป็นกลุ่ม เลยคิดว่าลองดูละกัน.. เพื่อนทุกคนได้รับการทักการพูดถึงตัวเขาและคนรอบข้างอย่างที่เรียกว่า บางคนร้องไห้ถึงสิ่ง กรรมในอดีตที่เขาเคยทำมา เพราะพี่เขาสามารถทักขึ้นมาได้ บางคนแค่ เขียนชื่อ เจ้าตัวไม่มาแต่เขาสามารถ พูดถึงบุคคลนั้นได้อย่างละเอียดจนน่าประหลาดใจ

แต่สำหรับตัวดิฉัน พอได้เข้าไปดู เขาจะไม่ค่อยได้ทักอาไรมากนัก แต่ทักว่าชื่อดิฉันไปเปลี่ยนมา ซึ่งก้อถูกต้อง แต่ทักสิ่งที่คาใจดิฉันจนทุกวันนี้ ว่า ที่บ้านมีคนแท้งและมีวิญญาณลูกแท้งที่รอส่วนบุญ ซึ่งไม่เคยทำให้เลยใช่ไหม?
ดิฉันรุ้ว่า คุณแม่ เคยแท้งลูกสองครั้ง คือครั้งนึงนานมากแล้ว เกือบสามสิบปีได้ เป็นลูกเกิดมาได้สองวันก้อเสียชีวิต แล้วสมัยก่อนอาม่าอากงก้อจัดการให้มูลนิธิเก็บไปจัดการ - ซึ่งก้อเท่ากับเป็นศพไร้ญาติไป และคุณแม่ก้อมาแท้งอีกคน ซึ่งก้อ สิบกว่าปีได้แล้ว แต่แท้งตอนได้สองสามเดือน .. เขาทักว่า ที่ชีวิตที่บ้านวุ่นวายตอนนี้ -ซึ่งก้อมีวุ่นวายบ้างบางสิ่งแต่ไม่ถึงกับนักหนาสามหัส ..เขาว่าต้องทำบุญให้วิญญาณลูกแท้งของคุณแม่ ซึ่ง พวกเราไม่เคยได้นึกถึง และทำบุญให้เลยจริงๆ ..พี่เขาก้อแนะนำให้มาใส่บาตร สองอาทิตเลยต้องทำทุกเช้าและห้ามใส่ของมีเนื้อสัตว์ให้ใส่แต่ของเจ ซึ่งดิฉันก้อตั้งใจทำจนครบแล้ว เขาว่าจะทำให้ ทุกอย่างดีขึ้น ทันตาเห็น... พอดีพึ่งครบไปมะวาน เลยยังไม่ได้เห็นผลคะ

ที่คาใจก้อคือ .. สามสิบก่าปี และสิบก่าปีอีกคน ที่คุณแม่แท้งไป - เขาจะยังไม่ไปไหนอีกหรือคะ
แล้ว อาจจะเป็นคำถามที่เอ็ดดี้อาจจะเกาหัวหรือป่าวคะ แล้วถ้าดิฉันเริ่มระลึกถึงและ อุทิศบุญให้เขาเรื่อย โดยเรียกเป็นวิญญาณลูกแท้งของคุณแม่คิดว่าเขาสามารถได้รับไหม.

และยังทักเรื่องคุณพ่อดิฉันที่ยังไม่ไปไหน ยังอยู่ ทั้งๆที่ผ่านไปสิบก่าปีแล้ว และพวกเราทำบุญให้บ่อยมากทุกครั้งที่ สวดมนต์ นั่งสมาธิก้อจะอุทิศบุญกุศลไปให้เสมอๆ เขาว่าคุณพ่อยังไม่หมดอายุในโลกมนุษย์แต่โดนกรรมของโรคภัยไข้เจ็บมาทำให้จากไปก่อนหมดอายุขัยจิงๆ ..อันนี้ฟังแล้วก้อร้องไห้ทันที เพราะดิฉันคิดว่าคุณพ่อคงไปสบายแล้ว ..แล้วที่ทำบุญไปให้เสมอๆ ถ้าคุณพ่อยังอยู่ จะได้รับไหมคะ

...อาจจะเป็นคำถามที่ ค่อนข้างไปทางโลกวิญญาณ เยอะ .. ยังไงรบกวนคุณเอ็ดดี้ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ

ขอบคุณคะ



โดย: Sarah T. IP: 58.9.92.50 วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:23:20:50 น.  

 
ช่วงนี้รู้สึกว่าร่างกายนี้มันเป็นภาระยังไงไม่รู้ แบบว่าต้องดูแล เหมือนเราผ่อนบ้านอ่ะค่ะ แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่ของเรานะคะ มันก็ยังเนียนๆเป็นเราอยู่ แต่เวลาเราไปไหนมาไหน มันมีภาระนี้อยู่ เหมือนปูเสฉวนอ่ะค่ะ ทิ้งกระดองก็อยู่ไม่ได้ แบกไว้ก็เดินลำบาก ประมาณนั้น นี่เป็นการเพ้อเจ้อหรือเปล่าคะ? แต่ไม่ได้คิดวนเวียนอยู่ตลอดเวลานะคะ มันรู้สึกขึ้นมาเมื่อคืน ตอนนั่งสมาธิค่ะ


โดย: เปลวเทียน IP: 203.155.245.196 วันที่: 1 ตุลาคม 2552 เวลา:10:33:56 น.  

 
รู้สึกไม่ค่อยดีค่ะ สามีไปปฏิบัติวิปัสนาที่วัดแล้วก็นอนที่วัดด้วย ตอนไปก็ขอแล้วเราก็โอเค แต่พอเค้าไปบางครั้งก็นึกไม่สบายใจ คิดอกุศลไปว่าน่าจะอยู่ช่วยกันดูลูก เพราะมีลูกอ่อน 1คน กับอีกคนอยู่ ป.2 ต้องไปเรียนพิเศษก็ต้องวานเพื่อนมาขับรถไปส่งให้ พอเลี้ยงลูกคนเล็กเหนื่อยๆ ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีก แบบนี้จะบาปตกนรกมั้ยคะ คือพอคิดขึ้นมาก็นึกเลยเถิดไปว่าถ้าเขาปฏิบัติถึงขั้นปล่อยวางได้หมดทุกสิ่ง เขาจะทิ้งลูกทิ้งเมียไปบวชเหมือนพ่อเขาหรือเปล่า ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดปนกับรู้สึกกลัว เพราะเขาเป็นคนตั้งใจทำอะไรแล้วมักจะสำเร็จผล แล้วก็ตัดสินใจทำอะไรแล้วก็ไม่มีใครเปลี่ยนใจได้ แต่อดคิดไม่ได้เลย ทำยังไงดีคะ


โดย: chantra IP: 125.27.100.235 วันที่: 3 ตุลาคม 2552 เวลา:10:19:36 น.  

 
คุณ Sarahครับ

เรื่องญานพิเศษที่คุณถามมา ผมตอบตามความจริงว่าผมเชื่อ
เพราะพี่ๆเพื่อนๆที่ผมรู้จักอยู่หลายคน ก็มีญานที่ว่า

หมอดูที่ดูอะไรๆได้จากชื่อ นามสกุล ที่คุ้นเคยกันก็มีนะครับ
ใครอยากได้เบอร์โทร หลังไมค์ หรืออีเมล์ถามมาได้จะบอกให้

ส่วนเรื่องวิญญาน ผมก็ไม่ทราบว่ามันจะจริงไม่จริง
แต่ถ้าเราไปปรึกษาเขา แล้วเขาทักมา ถ้าเราต้องทำอะไร ที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ทำได้ก็ทำไปเถอะครับ

ยิ่งถ้าเป็นเรื่องทำบุญ หรือถือศีล เจริญสติภาวนาด้วยแล้ว

อันนี้ทำไปแล้วจะอุทิศไม่อุทิศ เขาจะรับได้หรือไม่ได้ เราก็ได้บุญแน่ๆนะครับ

เรื่องคนในอีกภพนึง จะได้รับส่วนกุศลหรือไม่
เคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า แล้วแต่ว่าจิตเขาจะเปิดรับหรือเปล่า

ตามความเข้าใจของผม เท่าที่เคยอ่าน เคยฟังมา (ไม่ได้เห็นเองนะครับ)
ธรรมดาคนเราตายจากร่างนี้ไป ก็จะต้องจุติไปเกิดในร่างใหม่ทันที
แต่ร่างใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นมนุษย์นะครับ

ฉะนั้น ถ้าไปจุติในภพของเปรต อสุรกาย หรือเรียกรวมๆว่า ผี นั่นแหละ ก็ต้องอยู่ไปจนกว่าจะครบวาระ หมดเวรหมดกรรมของตัวเอง

ส่วนมากถ้าตายแล้วห่วงสมบัติ แทนที่จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์เป็นเทวดา ก็จะเป็นผีมาเฝ้าสมบัติ ห่วงลูกหลานมาก ก็มาเฝ้าลูกหลาน อันนี้ไม่แปลกครับ

ผีนี่ ไม่ต้องกลัวมากนะครับ เขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่ง ที่อยู่คนละมิติกับเราเท่านั้นแหละ



โดย: aston27 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:0:56:06 น.  

 
คุณเปลวเทียน
ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ จิตมันรู้สึกอะไร ก็รู้มันไปอย่างนั้น
ถ้าไม่ได้คิดวนเวียน ก็ไม่ถือเป็นการฟุ้งซ่านหรอก

ว่าแต่ก่อนมาถามนี่ ...
สงสัย แล้วได้รู้ว่าจิตสงสัยไหมครับ
อยากรู้ ก็ต้องรู้นะครับ

ธรรมดาของคนที่ภาวนาไป ก็จะรู้สึกได้หลายแบบ บางคนรู้สึกกลัว เวิ้งว้าง เหมือนตัวตนมันหายไปแล้วขาดที่ยึดเหนี่ยว

บางคนเบื่อหน่าย รู้สึกเบื่อโลก เบื่อธรรมะ เบื่อตัวเอง

บางคนเห็นว่ากายเป็นเหมือนคล้ายๆถ้ำ กลวงๆ มีจิตใจเป็นผู้อาศัย ก็มี

อันนี้เล่าให้ฟัง ไม่ต้องฟุ้งต่อนะ แค่จะบอกว่า มันเป็นอะไร มันรู้อะไร เราก็รู้ไปอย่างนั้นเองครับ

ตอนที่รู้สึก ไม่ได้ฟุ้งซ่าน แต่ตอนที่คิดสงสัย อยากหาคำตอบ

อันนี้แหละ... ฟุ้งซ่าน ของจริงล่ะ


โดย: aston27 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:1:01:53 น.  

 
ตอนที่สงสัยก็พิมพ์ถาม พิมพ์ยังไม่ทันเสร็จ ก็รู้ตัวค่ะว่าสงสัย ก็เลยลบที่เขียนทิ้งไป แล้วก็เกิดอยากรู้ขึ้นมาอีก ก็คิดว่าถามไปแล้วเขาจะเข้าใจเราไม๊ เขาจะตอบเราไม๊ ก็เลยคิดว่าลองดูละกัน พอพิมพ์เกือบเสร้จ เลยรู้สึกว่าฟุ้งซ่านไงคะ


โดย: เปลวเทียน IP: 203.155.245.197 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:9:09:46 น.  

 
คุณastonคะ ที่เขียนไว้เรื่องสามี ตอนนี้รู้สึกละอายใจ ไม่ต้องตอบก็ได้นะคะ จริงๆพอคิดไปแล้วรู้สึกตัวเองไม่เคยพอใจอะไรในปัจจุบันเลย เมื่อก่อนสามียังไม่ถือศีล5 ก็เป็นทุกข์ พอตอนนี้เค้ามีทั้งศีล5 มีทั้งปฏิบัติภาวนา ก็ยังหาเรื่องไม่พอใจได้อีก รู้สึกรังเกียจจิตใจตัวเองที่คิดแบบนี้จริงๆค่ะ


โดย: chantra IP: 125.27.97.60 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:9:33:57 น.  

 
สวัสดีค่ะ

ขอรบกวนปัญหาทางโลกเรื่องวิบากในที่ทำงานค่ะ ถูกอำนาจมืดจากคนที่มีแหน่งสูงกว่า ใส่ความในเรื่องไม่จริง ไม่มอบหมายงาน สั่งหัวหน้าแก้ผลการประเมิน ถูกกระทำมา 3 ปีแล้วยังไม่ยอมเลิก เนื่องจากเป็นพนักงานองค์กรของรัฐ จึงไม่ยอมลาออก แต่ทุกข์มากค่ะ ช่วยแนะนำการแก้ปัญหาแบบทางโลกด้วยค่ะ
ลูกศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์


โดย: huiming IP: 58.8.167.183 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:14:11:20 น.  

 
คุณ chantra ผมอนุโมทนาด้วยนะครับ ที่เห็นกิเลสของตัวเอง

เรื่องของคุณไม่มีปัญหาอะไรร้ายแรงหรอกครับ จิตคนเรามันฟุ้งซ่านไปได้เองทั้งวัน แต่ถ้าไม่รู้ทันว่ามันฟุ้ง มันมักจะคิดเรื่องไม่ค่อยดี

แค่คอยรู้ทันว่าจิตหลงไปคิดไว้บ่อยๆ คนเราวันๆหนึ่ง หลงกันแทบจะตลอดเวลาแหละครับ

แค่รู้ทัน แต่ไม่ต้องไปกล่าวโทษ ซ้ำเติมอะไรตัวเองนะครับ

คุณ huiming วิธีแก้ปัญหาทางโลก ก็คืออดทน และให้อภัย แล้วก็ใช้การทำงานของตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์นะครับ

ถ้าอดทนไม่ได้ ก็ต้องลาออก ขอย้ายไปทำงานใหม่ อะไรก็ว่าไป

แต่ถ้าทำใจได้ คิดเสียว่าเป็นกรรมของเรา ตั้งหน้าทำบุญกุศล ทำกรรมปัจจุบัน คือการทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด แล้วอย่าคิดมากซ้ำเติมตัวเองให้ทับถมปัญหา เราก็พอจะผ่านไปได้ในที่สุดนะครับ ไม่ช้าก็เร็ว

เขาแกล้งเราได้ ก็แต่การประเมิน ซึ่งมีผลแต่เฉพาะเรื่องขั้น เรื่องตำแหน่ง เงินเดือน

แต่ถ้าเราไม่ได้ทำงานโดยหวังลาภยศตำแหน่ง เงินเดือนอะไรมากมายล่ะครับ

เราทำงาน เพื่อรับใช้ประชาชน รับใช้ราชการ อะไรก็ว่าไป ทำเพื่อให้ได้ฝึกฝีมือ ทำเพื่อให้เราได้ภาวนา

ถ้าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจริงๆ ต้องมีสติ อยู่กับทุกข์เป็น แล้วจะเห็นเองว่า โลกนี้ไม่ได้มีสาระอะไรให้เราแบก ศัตรูก็เป็นครูสอนธรรมะเราได้นะครับ

ตอบทั้งทางโลก ทางธรรมครับ


โดย: aston27 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:22:26:21 น.  

 
..ได้ไปอ่านเรื่อง "ความจำสั้น ปลาทอง จราจร จลาจล" ค่ะ ก็รู้สึกโดนใจดี ได้คำตอบ (ที่คิดว่าจะถามพี่แอสตั้นอยู่พอดี) เกี่ยวกับการขับรถของคนเห็นแก่ตัว เพราะทุกวันนี้ทำงานขับรถทั้งวันก็จะเจอคนแบบนี้เยอะมาก แล้วก็ทำให้หงุดหงิดมากค่ะ บางครั้งแบบว่า เอาวะ ชนเป็นชน เลยก็มี หลังๆ นี้ก็ดีขึ้นค่ะ ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าควรจะจัดการกับ(จิต)ตัวเองยังไง ขอบคุณค่ะ


โดย: helloeve IP: 203.209.97.216 วันที่: 7 ตุลาคม 2552 เวลา:20:57:55 น.  

 
มีข้อสงสัยอยากจะถามคุณ astonค่ะ ว่า รู้ทันการ"คิด" หรือรู้ทันการทำงานของ"จิต" นี่มันจะเหมือนกับ เวลาที่อยู่ดีดี มีเรื่องแว่บเข้ามาในสมองของเราแล้ว เรารู้สึกตัวว่า "เรากำลังคิดเรื่องนี้อยู่" หรือเปล่าคะ? อย่างเรื่องบางเรื่องที่แว่บเข้ามาในสมอง มันทำให้เราเกิดอารมณ์ เช่น "พรุ่งนี้ต้องส่งงานอาจารย์แล้ว แต่ยังทำไม่เสร็จ" แค่แว่บเข้ามา มันก็ทำให้อารมณ์ของเราเปลี่ยนเป็นหดหู่ไปในทันตา

โยงกลับไปที่ "รู้ทันการ"คิด"" การที่เรารู้ทันการคิดในตัวอย่างข้างต้น มันเหมือนกับการที่เรารู้ทันอารมณ์"หดหู่" โดยการแยกความคิดของตัวเราออกมาอีกหนึ่งร่าง เหมือนเรายืนมองตัวเองที่กำลัง"หดหู่"อยู่ข้างหน้า แล้วก็ยืนพากย์ว่า ตอนนี้เรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ ที่พูดอย่างนี้ เป็นการเจริญสติที่ถูกทางแล้วหรือเปล่าคะ?

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ


โดย: นุนู๋ IP: 99.20.36.228 วันที่: 8 ตุลาคม 2552 เวลา:10:05:22 น.  

 
นุนู๋

เรื่องรู้ทันการคิด ด้วยการรู้สึกตัว อันนั้นถูกแล้วครับ
รู้แบบนี้บ่อยๆ แล้วจะค่อยๆรู้สึกว่า จิตคิด ไม่มีเรา

แต่ช่วงเริ่มต้นมันจะยังเหมือน "เราคิด" อยู่ ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆหัดรู้สึกตัวบ่อยๆ จะเห็นได้เอง

ความคิด ก็เป็นผัสสะอย่างหนึ่ง ที่มากระทบใจแล้วทำให้เกิดอารมณ์ตอบรับเรื่องที่คิด

ดังนั้นถ้าหัดรู้ทันความคิดได้บ่อยขึ้นเท่าไหร่ จิตจะรู้ทันได้ไวขึ้นเท่านั้น

พอรู้ทันหนึ่งครั้ง ก็คือรู้สึกตัวหนึ่งครั้ง ความคิดดับ แต่อารมณ์ถ้ามันเกิดแล้ว มันอาจจะยังมีตะกอนอยู่ เช่นโกรธไปแล้ว รู้ว่าโกรธ ความโกรธอาจจะดับไป แต่จะเห็นใจมันยังสั่นๆ ร้อนๆอยู่

จริงๆที่นุนู๋บรรยายในย่อหน้าสอง มันออกแนวฟุ้งซ่านนะ ^^"
ฟังดูเหมือนจะคล้ายๆเราแยกความคิด แต่ในความเป็นจริง มันไม่มี "เรา"

ดังนั้น ไม่ต้องจงใจแยก ไม่ต้องจงใจทำอะไร มากไปกว่า คอยหมั่นรู้สึกตัวไว้

ถ้าจิตมันจะเกิดตั้งมั่น แล้วมีจิตแยกออกมาเป็นผู้ดูผู้รู้ อันนั้นให้เขาทำเอง เป็นเอง ไม่ใช่ด้วยการจงใจแยกของเรานะครับ

อีกอย่าง รู้อย่างเดียว ไม่ต้องพากย์ครับ
ถ้าจิตพากย์เอง ก็ไม่เป็นไร แค่รู้ทันว่ามันพากย์ หรือคิด

เพราะการพากย์ ก็คือการ "คิด" ว่าอันนี้เรียกอย่างนี้ อันนี้เรียกอย่างนั้น ถ้าไม่คิด ก็ไม่รู้สิครับว่าจะพากย์ว่าอะไร

สรุปว่า เริ่มต้นมาได้ดีแล้ว แค่ต้องเรียนรู้หลักให้แม่นๆอีกนิดหน่อย ก็จะภาวนาได้สบายแน่นอนครับ

อนุโมทนานะครับ


โดย: aston27 วันที่: 8 ตุลาคม 2552 เวลา:13:16:55 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณaston
ติดตามคุณมาเกือบปีแล้วเคยอ่านสัมภาษณ์คุณในขวัญเรือน ตอนที่ธนาคารความสุข ออกใหม่ๆ เลยเข้าเนตคอยเช็คอ่านประจำ แต่ไม่เคยเข้ามาหน้านี้เลย เพิ่งเข้ามาอ่าน คุณน่ารักจัง พยายาม ตอบคำถามทุกคำถาม ได้กุศลเยอะนะคะ แต่ก่อนดิฉันไม่เคยคิดจะสนใจเกี่ยวกับธรรมะเลย แน่นอนว่าต้องมีเรื่องทุกข์ใจ อย่างแสนทรมาน จึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมคนเราต้องมีสติ ต้องฝึกสมาธิ จนฝึกดูกาย ดูจิต และขอเพียงให้รู้ อย่างที่คุณได้แนะนำอยู่บ่อยๆ ฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง ดีขึ้นมากแล้วค่ะ แต่ก็แวบๆ พยายามอย่างทรมาน ยังไม่สำเร็จค่ะ รู้สึกว่าการฝึก จะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์หรือ บุญกุศล ของแต่ละคนใช่มั้ยคะ เช่น บางคน ฝึกไม่นาน ก็เข้าใจและทำได้ดี อย่างดิฉันเกือบปี แล้วค่ะ ยังเลิกแวบไม่ได้เลย ก็ศีลข้อที่ดิฉันคิดว่าเป็นข้อที่ง่ายที่สุดที่ไม่คิดจะผิดเลยนี่แหละ แต่ก็แค่ทางใจนะคะ ไม่เผลอล่วงละเมิดทางกาย ตั้งใจว่าจะทำให้ได้ ไม่ยอมใจอ่อนแน่ๆ ขอบคุณสำหรับ บล็อคดีๆอย่างนี้นะคะ ดิฉันเป็นพลังเงียบอยู่ตั้งนานแล้วค่ะ อยากเข้ามาขอบคุณค่ะ


โดย: ป๊อป IP: 222.123.12.68 วันที่: 8 ตุลาคม 2552 เวลา:20:26:55 น.  

 
คุณป๊อบครับ

ตอนรู้ใจ แล้วมันทรมาน อันนี้เชื่อว่าคุณเห็นแล้ว

ว่าแต่ได้ตามรู้ด้วยไหมครับ ว่า พอรู้ว่าทรมานแล้ว ใจเราไม่เป็นกลาง ไม่ชอบความทรมานนั้น

ขอถือโอกาสปรับเป้าหมายการตามรู้กาย รู้ใจ ให้คุณป๊อบอีกนิดนะครับ ..ว่า...

.. เราไม่ได้ฝึกรู้ทันจิตที่แวบ เพื่อจะห้ามไม่ให้มันแวบนะครับ

อย่าไปเข้าใจ หรือตั้งเป้าว่า ถ้าฝึกจนมันไม่แวบได้แปลว่าสอบผ่าน
เพราะอันนั้น กำลังสอบตกอยู่

แต่ถ้าไม่ชอบที่มันแวบ แล้วรู้ทันว่าไม่ชอบ อันนี้สอบผ่าน
ถ้าอยากให้มันเลิกแวบ แล้วรู้ทันใจที่อยาก อันนี้สอบผ่าน

อยากแล้วมันแสดงธรรมะให้เราดู ชั้นไม่ใช่แกหรอก แกบังคับชั้นไม่ได้หรอก ชั้นจะแว่บ แกจะทำไม

ถ้าเรายอมรับได้ว่า จิตมันแวบของมันได้เอง เราไม่ได้สั่ง ห้ามก็ไม่ได้ มันไม่ใช่เรา คุณป๊อบจะทุกข์น้อยลง

แต่ถ้ายอมรับไม่ได้ มันก็จะยังแวบต่อไป แล้วเราก็จะทุกข์เองโดยไม่จำเป็น

ฉะนั้น ทำตัวเป็นคนดู เหมือนดูละครเวที ละครทีวีอะไรไปเฉยๆ มันจะเล่นบทโศก บทอะไร เราก็ดูลูกเดียว

อย่าทำตัวเป็นผู้กำกับ ไปคอยสั่งให้มันเป็นโน่นเป็นนี่ หรือเป็นดารา ไปช่วยมันแสดงไปเดือดร้อนกับมัน ไปช่วยมันเต้นแร้งเต้นกา

ใจถึงๆนะครับ มันจะทุกข์ ก็ยอมรับแล้วดูไป
ดูไปเลยครับ ว่ามันทุกข์นานมั้ย หรือแค่พอรู้สึกตัวแบบที่ผมบอก แล้วความทุกข์มันหล่นหายไปได้

มันจะเป็นยังไง จำไว้ว่า เราจะรู้อย่างที่มันเป็น รู้แค่ปัจจุบันที่เกิดสดๆร้อนๆ รู้โดยไม่แทรกแซง รู้แล้วยอมรับ เป็นกลาง

ไม่ได้ให้เลิกตามรู้ใจตัวเองนะครับ ผมเชียร์ให้อดทนคอยรู้คอยดูมันต่อไป ถ้าหยุดเมื่อไหร่กิเลสจะครอบเราได้

ศีลข้อสาม ยังไม่ได้ลงมือ ก็ตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว ถ้าลงมือด้วยจะขนาดไหน เตือนตัวเองไว้ จะได้ไม่ตกนรกนะครับ ^^"

อนุโมทนาครับ


โดย: aston27 วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:17:35:21 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณ aston
ได้อ่านธนาคารความสุขทั้ง 2 สาขาแล้วค่ะ ชอบมาก และแนะนำ + ซื้อเป็นของขวัญให้เพื่อน ๆ และคนที่เคารพนับถือได้อ่านด้วย
ได้ประโยชน์มากทีเดียวค่ะ

อาจมีเรื่องมาฝากถาม คุณ Aston คราวหน้าค่ะ


โดย: Pat IP: 115.67.145.5 วันที่: 14 ตุลาคม 2552 เวลา:22:12:38 น.  

 
สวัสดีค่ะ
ตอนนี้หนูรู้สึกไม่อยากพูดคุยกับเพื่อนในที่ทำงานค่ะ เพราะเมื่อเข้ากลุ่มคุยกันไปมักจะเข้าเรื่องของคนอื่นในทางไม่ดี มันอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่หนูก็รู้สึกไม่ดีที่จะร่วมวงคุยต่อ และจากการที่รู้จักกับเพื่อนกลุ่มนี้มาสองสามปี หนูคิดว่าส่วนใหญ่เรามีความคิดความเชื่อที่สวนทางกันค่ะ เวลาคุยกันหนูก็เถียงในใจตลอด หนูเคยอ่านหนังสือเขาบอกว่าคนเรามีความคิดที่ต่างกัน จะให้คิดเหมือนเราคงไม่ได้ หนูก็พยายามทำใจยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แต่หนูก็ทำใจไม่ได้ค่ะ ดังนั้นหนูจึงเปลี่ยนวิธีโดยทำเป็นไม่สนใจ ไม่เข้ากลุ่ม ก้มหน้าทำแต่งาน พูดเท่าที่จำเป็น แต่หูก็ยังไปฟังเรื่องที่เขาพูดคุยกันเรื่อยๆ ใจก็ทุกข์ตามสิ่งที่ได้ยิน หนูเคยฝึกภาวนามาบ้าง ได้ลองตามรู้ใจตัวเอง (แต่ได้วันละนิดหน่อยเท่านั้น)วันนี้หนูสังเกตว่าความคิดจะมาเร็วมากเลย ในเวลาแป๊บเดียว มีทั้งไม่พอใจ โกรธ อิจฉา ดีใจ จนหนูตามไม่ทันเลยค่ะ ดังนั้นจึงขอถามว่า
1. ตามรู้ความคิดไม่ทันนี่จะยังไงต่อดีค่ะ
2. การวางตัวของหนูแบบนี้ ดีหรือไม่ดีค่ะ ที่จริงหนูเบาสบายหูดีค่ะ แต่อีกใจก็คิดว่าเพื่อนร่วมงานจะรู้สึกไม่ดีรึเปล่า พี่คิดว่าไงคะ
3. พี่เคยบอกว่า คนดีก็มีทุกข์ของคนดี แล้วเราควรเป็นคนดีต่อไปด้วยเหตุผลอะไรดีคะ บางทีหนูก็ทำตัวเป็นคนไม่ดีแบบที่คนอื่นทำบ้าง มันก็รู้สึกยุติธรรมดีเหมือนกันนะคะ

ขอบคุณค่ะ


โดย: spwd IP: 127.0.0.1, 119.42.76.86 วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:18:39:14 น.  

 
ขอบคุณมากๆค่ะ
ดิฉันเพิ่งกลับจากวัดสุคะโตมา
ไปปฏิบัติมา 7 วัน
กำลังฟังธรรมของพระไพศาลอยู่ค่ะ


โดย: ป๊อบ IP: 117.47.14.199 วันที่: 18 ตุลาคม 2552 เวลา:19:41:32 น.  

 
ฝากคำถามค่ะพี่

เคยอีเมลล์ไปโดยตรง เพราะหาที่ add คำถามไม่เจอ เจอแล้ว ลุยเลยแล้วกัน

มีคำถามเกี่ยวกับการภาวนาแล้วก็คำถามเกี่ยวกับชีวิตค่ะ ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจาก คนอื่นๆที่เข้ามาถามมากนัก

อันแรกก็คือ ฝึกภาวนา ทั้งตามรูปแบบ และทั้งดูจิตมาเรื่อยๆค่ะ เรียกว่า เรื่อยๆซะจน หาหลักไมล์ไม่เจอว่า นี่เรามีความเจริญทางธรรมบ้างมั๊ย

เลยอยากถามว่า พี่วางแผนการภาวนาและมีการประเมินผลให้ตัวเองยังไงคะ ถามว่าทุกข์น้อยลงมั๊ย ก็บ้างค่ะ แต่บางครั้งมันก็ถาโถมขึ้นมาอีกค่ะ

สรุปว่า เราจะประเมินผลยังไงดีคะ

อันที่สองคำถามยอดฮิตของหนุ่มสาว ชายไม่จริงหญิงแท้ค่ะ คือว่า สนิทกับเพื่อนเกย์รุ่นพี่คนนึงค่ะ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนกลายเป็นความเคยชิน แล้วก็ยึดติดค่ะ แล้วเค้าก็มีรูปแบบชีวิตที่เราชื่นชมค่ะ อยากมีบ้าง เค้าก็ปฏิบัติธรรม ดึงเราให้สนใจทางนี้ด้วย เหมือนเรายึดเค้าเป็น role model ในเรื่องนี้ค่ะ แล้วเค้าก็มักจะพูดเสมอว่า รักแล้วทุกข์ อย่างงั้นอย่างงี้ ทำให้เราคิดว่าเค้าคงจะไม่มีใคร เราก็เป็นเพื่อนช่วยเหลือกันไป ไปไหน ไปกันอย่างนี้ค่ะ สักพัก อ่าว มาบอกว่า ชั้นมีเด็กมาจีบ ตอนนี้ ก็ไปกันได้ดี เด็กก็ติดเค้ามาก เราก็รู้สึก hurt ค่ะ

สรุปก็คือว่า เห็นกิเลสตัวเองเยอะมากค่ะ เสียใจ น้อยใจ หงุดหงิด อิจฉา ก็ดูกันไปค่ะ แต่ตอนนี้ที่แย่ไปกว่า ก็คือ จิตค่ะ จิตมันอกุศลอย่างแรงค่ะ มันแอบคิดให้เค้าเลิกกันค่ะ คิดเฉยๆค่ะ ไม่มี acting ยุยงอะไรทั้งสิ้น แหมแต่รับตัวเองไม่ได้เลยค่ะที่ไปคิดแบบนี้ เอาไงดีค่ะพี่

ตอบทางไหนก็ได้ค่ะ ติดตามพี่ทุกช่องทางเลยค่ะ

aristoPLE



โดย: aristoPLE IP: 192.168.100.119, 192.168.100.119, 127.0.0.1, 203.121.135.141 วันที่: 20 ตุลาคม 2552 เวลา:15:43:47 น.  

 
อยากจะถามว่า เวลาดูจิตแล้วปวดหัว ปวดท้องเป็นเพราะอะไรค่ะ


โดย: พิม IP: 192.168.98.58, 203.146.175.238 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:18:51:08 น.  

 
คุณพิม

เอ.. อันนี้ก็ไม่ทราบนะครับ ว่าเหตุจริงๆมาจากอะไร

แต่ผมเคยทำกรรมฐานแล้วปวดหัว เพราะเพ่งจนจิตมันเครียด แล้วไปแสดงออกที่กาย ด้วยการปวดหัว

ถ้าเป็นกรณีนี้ ก็ต้องเลิกทำรูปแบบที่ทำอยู่ไปก่อน เลิกคิดเรื่องภาวนาปฏิบัติ ฯลฯ ลืมไปก่อน

กลับไปเป็นคนธรรมดาๆ ไปเดินเล่น ปล่อยปลา ดูนก ชมไม้ หรือไปทำงานบ้าน อ่านหนังสือ

แล้วค่อยๆรู้สึกตัวเบาๆ สบายๆ อย่าตั้งใจแรงเกินนะครับ

คุณ Pat ขอบคุณครับ



โดย: aston27 วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:7:59:34 น.  

 
..พี่แอสตั้นคะ รบกวนถามนิดนึงค่ะ ดูรายการฝรั่งจังทำไมบางสัปดาห์ถึงซ้ำกับสัปดาห์ก่อนหน้านั้นคะ?


โดย: helloeve IP: 203.209.96.208 วันที่: 27 ตุลาคม 2552 เวลา:17:16:34 น.  

 
ขอถามเรื่องการส่งการบ้านค่ะ

ถ้าเราปฏิบัติตามแนสทางของหลวงพ่อปราโมทย์ และฟังซีดี ทำตามรูปแบบรวมทั้งเจริญสติในชีวิตประจำวันแล้วถ้าเราไม่ได้รู้สึกติดขัด ไม่พัก และไม่เพียร ไม่ต้องไปส่งการบ้านบ่อยๆหรือมีครูที่สอบอารมณ์เรา ทำดังนี้จะบรรลุธรรมได้มั๊ยคะ ขอบคุณค่ะ/บี


โดย: Bnoi IP: 118.174.44.11 วันที่: 27 ตุลาคม 2552 เวลา:22:34:25 น.  

 
คุณ helloeve
เพราะรายการเขายังไม่มีสปอนเซอร์ เลยประหยัดต้นทุนด้วยการออกเทปละสองสัปดาห์ น่ะครับ

Bnoi ถามว่าได้ไหม ก็เป็นไปได้ แต่ยากมากน่ะครับ อาจจะมีหนึ่งในสองแสนห้ามั้งครับ

ขนาดคนที่ภาวนามามาก อินทรีย์แก่กล้า ก็ยังต้องอาศัยครูบาอาจารย์คอยช่วยขัดเกลาอยู่บ้าง

แต่ถามว่าจำเป็นต้องไปหาครูบาอาจารย์บ่อยๆทุปสัปดาห์ไหม อันนี้ก็ไม่จำเป็นครับ


โดย: aston27 วันที่: 30 ตุลาคม 2552 เวลา:0:06:28 น.  

 
ขอโทษ นะคะ
มือใหม่จริงๆ ภาวนา ของคุณแอสตั้น
ในแนวทางหลวงพ่อ ปราโมทย์คือทำอย่างไรคะ
คนละอย่างกับการฝึกการเจริญสติ ใช่มั้ยคะ
ขอบคุณค่ะ


โดย: คนเดิม IP: 192.168.107.19, 61.19.127.147 วันที่: 30 ตุลาคม 2552 เวลา:18:09:33 น.  

 
อ๋อ เจอแล้วค่ะ ตามเข้าไปอ่านในวิธีเจริญภาวนา ของหลวงปู่ดุลย์ใช่มั้ยคะ
เดี๋ยวปริ๊นมาอ่านนะคะ
น่าอายจริงๆเนาะ ไมรอบคอบ รู้ว่าไม่รอบคอบ
งั้นถามคำถามใหม่ค่ะ
ถ้าเราโมโหคนนึงที่เขาไม่ชอบฟังความคิดเห็นคนอื่น เราต้องบอกว่าเราโมโห รู้ว่าโมโหใช่มั้ยคะ รำคาญเขา หงุดหงิดเขา ช่างไม่ยอมฟังอะไรซะเลย ใช่รู้สึกไปอย่างนี้คือพยายามคิดว่าเรารู้สึกอย่างไร ตีโจทย์ให้แตก ใช่มั้ยคะ เฮ้อ..ฟุ้งซ่าน ค่ะ อ่านเฉยๆไม่ตอบก็ได้นะคะ
เกรงใจค่ะ(รู้ว่าเกรงใจ นะคะ )


โดย: คนเดิม IP: 192.168.107.19, 61.19.127.147 วันที่: 30 ตุลาคม 2552 เวลา:18:16:41 น.  

 
..อืมม.. เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะที่ช่วยไขข้อข้องใจ หวังใจว่าคงจะมีรายการนี้ให้ดูนานๆนะคะ


โดย: helloeve IP: 203.209.97.20 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:32:53 น.  

 
คุณคนเดิม

หลวงพ่อปราโมทย์ท่านสอนเจริญสติปัฏฐาน นั่นแหละครับ

เพียงแต่ท่านสอนตั้งแต่เริ่มเลยว่า สติตัวจริงๆแท้ๆ มันเริ่มเกิดขึ้นได้อย่างไร (จากการหัดรู้สึกตัว จนจิตมันจดจำสภาวะได้)

ถ้าไม่มีความรู้สึกตัว ก็ไม่มีสติ

เวลาเราโมโห ให้รู้สึกตัว รู้ที่ความรู้สึกโมโห รู้ทันว่า "จิต" กำลังโมโห ไม่ใช่ดูว่า "เรา" โมโห

วิธีดูให้ได้อย่างนั้น ก็ต้องใช้การรู้ซื่อๆ รู้ง่ายๆ รู้สึกเอา รู้สึก รู้สึก

ไม่ใช่การบอกตัวเองว่าเราโมโห ด้วยความคิด หรือคำพูด อันนั้นคือการคิดเอา

รู้สึก ไม่ใช่คิด รู้สึก ไม่ใช่การบรรยาย ไม่ต้องมีคำบรรยาย แค่รู้สึก รู้สึก

อยากตีโจทย์ให้แตก รู้ว่าจิตอยาก ไม่ใช่เราอยาก
สงสัย รู้ว่าจิตสงสัย ไม่ใช่เราสงสัย เกรงใจ รู้ว่าจิตเกรงใจ ฟุ้งซ่าน รู้ว่าจิตฟุ้ง เราเป็นคนดู ไม่ใช่คนฟุ้ง


โดย: aston27 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:24:42 น.  

 
คุณastonคะ
ฟังซีดีหลวงพ่ออยู่ เห็นแต่ละคนก็มีจริตต่างกัน อยากขอคำแนะนำว่าดิฉันควรจะดูยังไง เพราะมักจะเผลอลืมดูจิตอยู่เรื่อย ปกติอยู่บ้านเลี้ยงลูกทำงานบ้านค่ะ นิสัยค่อนข้างคิดมาก ฟุ้งซ่าน โทสะเยอะโดยเฉพาะกับลูกคนโต แบบนี้ควรดูจิตหรือดูกาย หรือว่าอยู่กับลมหายใจพุทโธดีคะ


โดย: nichapa IP: 125.27.98.111 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:38:11 น.  

 
คุณ nichapa

คนโทสะเยอะ โชคดีนะครับ เพราะโทสะเป็นกิเลสที่หยาบ เห็นชัด ดูง่าย

คนโทสะเยอะ กับคิดมากฟุ้งซ่าน เป็นของคู่กัน เพราะถ้าไม่หลงคิดฟุ้งซ่าน ก็จะไม่ค่อยมีโทสะหรอกครับ โทสะมันเกิดเพราะจิตหลงไปคิดให้ค่านั่นแหละ

ผมไม่ได้มีความสามารถเรื่องการอ่านจิตคนเหมือนครูบาอาจารย์ท่านนะครับ อาศัยว่าตัวเองก็มีโทสะมากเหมือนกัน เลยพอแนะนำได้ว่า ให้คอยรู้สึกกายบ่อยๆ กายเคลื่อนไหวคอยรู้สึก ทำงานบ้าน จะรู้สึกกายได้ง่ายครับ

กวาดบ้าน ก็คอยรู้สึกตัว รู้กายที่เคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู ล้างจานก็ดูได้ ถูบ้าน ก็รู้สึกตัว เลี้ยงลูกก็ต้องเคลื่อนไหว ก็คอยรู้สึกตัวนะ

อาศัยกายเป็นเครื่องอยู่ เวลาจิตมันเคลื่อนไหว ไปทำงาน เช่นฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้ง มันแว้บไปคิด รู้สึกตัวว่าจิตมันขยับไปคิด รู้สึกเฉยๆ ไม่ต้องห้ามนะครับ

รู้สึกตัว ให้รู้แบบเป็นกลาง รู้แบบคนนอก ไม่ต้องแทรกแซงหรือบังคับ ถ้ารู้แล้วจิตมันไม่ชอบเอง รู้ว่าไม่ชอบ ก็พอแล้วครับ

ถ้าทำแบบนี้ได้บ่อยๆ ทำทุกวัน ทำวันละนานๆ เท่าที่ทำได้ จะรู้สึกว่า ความรู้สึกตัวมันคล่องแคล่ว จิตเราเบาขึ้น เวลามีโทสะ จะเห็นได้ว่องไว

เวลามีโทสะ เรารู้สึกตัว ถ้ารู้แล้วเป็นกลาง ความโกรธจะดับครับ แต่ถ้ารู้แล้วไม่เป็นกลาง โทสะจะเกิดซ้อนๆๆๆกัน

อีกอย่างคือ ถ้าจิตมันไปสนใจเรื่องที่ทำให้โกรธ เช่นสิ่งที่ลูกทำ โทสะที่ดับไปแล้ว จะเกิดใหม่ได้อย่างรวดเร็วนะครับ อย่าแปลกใจ

อนุโมทนาครับ


โดย: aston27 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:0:46:31 น.  

 
ใช่อย่างที่บอกจริงๆแหละค่ะ พอดูโทสะแล้วแต่ยังไม่เป็นกลาง คือจิตมันไม่ทันรู้ตัวเลยว่าไม่เป็นกลาง จะลองใหม่ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ


โดย: nichapa IP: 125.27.94.57 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:36:21 น.  

 
ขอบคุณนะคะ
ต้องฝึกๆ จะได้เก่งๆ สมเป็นลูกศิษย์คุณแอสตั้น
ขอถามอีกนิด
คุณให้สัมภาษณ์ในขวัญเรือนเล่มไหนนะคะ
จะได้ตามไปอ่านค่ะ
ขอบคุณค่ะ


โดย: คนเดิม IP: 192.168.107.19, 61.19.127.147 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:11:35 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณaston ตอนนี้กำลังมีปัญหาหัวใจ ที่คิดไม่ตก แต่ไม่มั่นใจว่าส่งมาถามจะเหมาะหรือไม่ ก็เลยไม่กล้าส่งเรื่องราวมาให้อ่าน
ช่วงนี้กำลังสับสนมากค่ะ ว่าจะสู้ดี หรือจะถอยดี
แต่ตอนนี้ใจมันเอนเอียงให้สู้ต่อไป เผื่อว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีทางเป็นไปได้หรือไม่ ระหว่างนี้ก็ยอมรับว่าเครียด เหนื่อย และใจไม่เป็นสุขเลย
แต่ถ้าถอยตอนนี้ คงเครียดน้อยกว่านี้ แต่ก็คิดว่านั่นเท่ากับเราไม่ได้แก้ปัญหา แต่เรากลับหนีปัญหา และทุกอย่างคงจะจบสิ้น
อยากให้คุณแอสตัน แนะนำว่า ควรจะทำใจยังไงดีคะ อยากสู้ แต่ไม่อยากเครียดค่ะ งานการไม่เป็นอันทำแล้วค่ะ


โดย: แสงดาว IP: 122.154.23.3 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:09:00 น.  

 
คุณ nichapa
ลองไปสังเกตดู ดูเล่นๆ อย่าดูแรง ดูสบายๆ แล้วจะเห็น ถ้ายังไม่เห็น ก็ไม่เป็นไร

กังวล รู้ว่าจิตมีกังวล
กระวนกระวาย รู้ว่าจิตกำลังกระวนกระวาย
สงสัย รู้ว่ามีความสงสัยเกิดขึ้นในจิต

จุดสำคัญไม่ใช่อยู่ที่ว่า "ต้องเห็นอะไร"
สำคัญที่ "มีอะไรบางอย่าง เกิดขึ้นและเป็นไป แล้วเราเห็นหรือเปล่า"


คุณคนเดิม

ขวัญเรือนนี่สัมภาษณ์ไว้นานแล้วนะครับ ตั้งแต่ปีที่แล้ว น่าจะเล่ม 887 เดือนพ.ย. ปี 2551 ครับ

อ่อ... แล้วไม่ต้องเป็นลูกศิษย์หรอกนะครับ ผมไม่ได้รับศิษย์ เพราะคุณสมบัติยังไม่เพียงพอจะเป็นอาจารย์ใคร

ถ้าอยากมีอาจารย์ แนะนำให้ไปเป็นศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ หรือคุณดังตฤณนะ

เราเป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตรที่เกื้อกูลกันในการภาวนาก็พอแล้วครับ


โดย: aston27 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:04:37 น.  

 
คุณแสงดาว

คนเราไม่ได้ทุกข์เพราะมีปัญหาเกิดขึ้นนะครับ

เราทุกข์เพราะมีปัญหาแล้วไม่ยอมรับมันต่างหาก
ความไม่เป็นกลางต่อปัญหา คือมูลเหตุที่แท้ของทุกข์

เช่นแฟนไปมีแฟนใหม่ ทิ้งเรา อันนี้เป็นปัญหา
ถ้ายอมรับได้ว่า เออ เขาก็คงมีเหตุผลของเขา
อาจจะเพราะคนนั้นสวยกว่า สาวกว่า ดีกว่า เข้ากันได้มากกว่า อยู่กันแล้วเขาสบายใจกว่า ฯลฯ

ถ้าเข้าใจเขาได้ ยอมรับได้ว่าสิ่งทั้งหลายเกิดเพราะมีเหตุ
ถ้าเข้าใจได้ว่า โลกนี้เป็นโลกของการพลัดพราก
คนเราเกิดมาพบกัน รู้จักกัน ท้ายที่สุดก็ต้องแยกจากกันไปตามกรรมของตัวเอง ไม่ช้าก็เร็ว

เราจะทุกข์น้อยมาก จนถึงไม่ทุกข์เลย

แต่ถ้ายังยึดมั่นถือมั่น ในความ "รักของเรา"
"แฟนของเรา" และอีกร้อยแปด "ของเรา"

"เรา" นั่นแหละ จะทุกข์

ลองตั้งสติ แล้วอ่านสิ่งที่ผมบอกหลายๆเที่ยวนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:42:59 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แอสตัน

สบายดีไม๊คะ

เป่าจินไม่ได้แวะมานานเลย

ไม่มีคำถามแต่มีเรื่องมาเล่าค่ะ

เมื่อวานแอบไปเห็นฝุ่นที่มันเกาะอยู่บนเคาท์เตอร์ครัว เห็นจิตหงุดหงิดไม่ชอบใจที่มีฝุ่นมาเกาะ แล้วก็เกิดความคิดแวบขึ้นมาว่า ถ้าบ้านเรามันไม่มีเคาท์เตอร์ครัวแล้วฝุ่นมันจะมาเกาะได้ไง.... ถ้าไม่มีภาชนะรองรับมัน ความทุกข์มันก็ไม่เกิดหรอก

อุปมาเหมือนกับจิตใจ หากไม่มีภาชนะรองรับทุกข์ หากรู้ว่าจิตใจไม่ใช่ของเรา ทุกข์จะเกิดได้อย่างไร

แวะมาเล่าให้ฟังแล้วก็ตั้งใจภาวนาต่อไปค่ะ อิ อิ

แต่..ตอนนี้หลงไปแล้ว...555


โดย: เป่าจิน IP: 61.47.19.72 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:14:24:10 น.  

 
ขอบคุณ คุณแอสตันค่ะ จะนำไปคิดทบทวนหลายๆ รอบให้กระจ่างค่ะ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังมีความสงสัยอยู่บ้าง
ทีนี้อยากถามคำถามสืบเนื่องจากคุณนิชาภาค่ะ คือว่า ตัวเองเป็นคนมีโทสะมากเหมือนกัน และเคยพยายามตามความรู้สึกตัวเอง ซึ่งก็รู้ตัวนะคะว่ากำลังมีอารมณ์อย่างไร แต่โทสะกลับไม่ดับลงไป แถมยังอยากจมอยู่กับอารมณ์นั้นต่อไปอีก เช่น อยากโกรธ อยากเศร้าต่อไป เพราะรู้สึกว่ามันได้ปล่อยอารมณ์ให้สุดๆ ไปเต็มที่ แบบนี้ควรทำอย่างไรดีคะ


โดย: แสงดาว IP: 58.11.19.183 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:22:06 น.  

 
คือหนูได้มีโอกาสไปฟังหลวงพ่อปราโมทย์ที่สวนสันติธรรมหลายครั้งแล้ว (ครั้งแรกที่ไปฟังเพราะช่วงนั้นมีความทุกข์ เป็นความทุกข์ที่ตอนนี้รู้สึกว่าไร้สาระมาก ไม่ควรทุกข์เลย) แต่เพิ่งจะได้ฟังCD จริงจังเมื่อไม่นานนี้ รู้สึกว่าอยากได้มรรคผลนิพพานค่ะ แต่ช่วงนี้ชีวิตค่อนข้างเรื่อยๆ มีความสุขดี ก็เลยไม่ได้เริ่มดูจิตจริงจังซักที (จริงแล้วไม่ได้เริ่มปฎิบัติอะไรเลยค่ะ)

อยากถามพี่astonว่าหนูควรเริ่มยังไงดีคะ


โดย: Pooky IP: 203.150.206.82 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:30:26 น.  

 
Pooky

ผมทึกทักเอาว่า คุณ Pooky รู้จัก ทำทาน และมี ศีล อยู่แล้วนะ

เริ่มด้วยการหัด "รู้สึกตัว" ก่อนครับ

กายเคลื่อนไหว ใจรู้สึก จิตเคลื่อนไหว ใจรู้สึก
รู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ทำงาน การเปลี่ยนแปลง

รู้สึกเท่าที่จะรู้ได้ ให้บ่อยที่สุด เท่าที่จะทำได้โดยไม่เครียด ในแต่ละวัน

จดไว้ก็ได้นะ ว่าแต่ละวัน เราเห็นความรู้สึกอะไร กี่ครั้ง จะได้รู้ว่าเรามีธรรมชาติแบบไหน

ขี้หงุดหงิดเจ้าโทสะ หรือชอบเหม่อใจลอย ฟุ้งซ่าน หรือขี้โลภ อยากโน่นอยากนี่

ตกเย็นมา ไหว้พระสวดมนต์ แล้วคอยรู้สึกตัวเช่นกัน
สวดๆไปใจแอบไปคิด ก็รู้สึกตัว

รู้สึก เพื่อจะรู้ทัน ไม่ใช่เพื่อจะห้ามนะครับ
จิตมันมีธรรมชาติยังไง ปล่อยให้มันแสดงความจริงออกมา

บอกตัวเองว่า เราจะเรียนรู้จักตัวเอง ด้วยการ "รู้สึกตัว" นี่แหละนะ

ลองดูสักสองอาทิตย์ หรือเดือนนึง แล้วค่อยมาบอกพี่นะครับ ว่าได้ผลยังไง


โดย: aston27 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:11:48 น.  

 
พี่astonนี่ทึกทักเก่งนะคะ แม่นเชียว อิ อิ

ขอบคุณค่ะ สำหรับคำแนะนำ

ถ้าเริ่มได้สำเร็จ จะมาเล่าให้ฟังนะคะ



โดย: Pooky IP: 58.8.90.236 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2552 เวลา:17:37:12 น.  

 
ถ้าเรารูสึกว่าไม่มีความจริงใจต่อสามี เช่น พูดชม ให้กำลังใจเขา ก็ด้วยความไม่จริงใจ เพราะตลอดเวลาที่ชม ในใจมักจะคิดว่า สักแต่ว่าชมเพื่อให้สถานการณ์มันดีขึ้น แบบว่าพูดดี คิดดี ทำดี ค่ะ แต่ติดตรงที่ว่าความคิดมันไม่ได้ดีไปตามที่พูดออกไป (เคยมีปํญหาถึงขั้นจะหย่ากันมาก่อน เนื่องจากสามีเคยนอกใจค่ะ) พยายามประคับประคองด้วยการชื่นชมให้กำลังใจ พูดอะไรก็ตามให้ออกแนว positive ไม่พูดอะไรที่ขัดแย้งกับความคิดเขาค่ะ เพราะไม่อยากทะเลาะกันค่ะ แต่ในใจรู้สึกขัดแย้งตลอด เช่น ปากบอกว่า yes แต่ในใจว่า no ค่ะ เลยรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้จริงใจกับสามีค่ะ ควรที่จะทำอย่างไรดีคะ


โดย: Thank you IP: 125.24.82.149 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:40:29 น.  

 
คุณ Thank you

ผมมีความเชื่อว่า คนเราถ้าจะจริงใจกับใครได้แล้วไซร้ ต้องเริ่มจากการจริงใจกับตัวเองก่อน

การพูดไม่ตรงกับสิ่งที่ใจเราเชื่อ นอกจากจะไม่เกิดพลังในใจของคนฟัง ก็ยังเหมือนเราโกหกตัวเอง

ความขัดแย้งในใจของคุณ พื้นฐานเป็นเรื่องของการมีอคติ เพราะเขาเคยนอกใจคุณมาก่อน ความรู้สึกดีๆที่เคยมี มันจึงขาดหายและไม่จูงใจให้มองเขาในแง่ดี

ในเมื่อคุณตั้งใจที่จะสร้างความปรองดอง เพื่อรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ สิ่งแรกที่จะต้องทำให้สำเร็จ คือการเปิดใจ ใส่ความกรุณาเข้าไป แล้วให้อภัยสามีให้เด็ดขาดชนิดไม่เหลือตะกอนของความเคืองอีก

ลองมองเขาเป็นเพื่อนร่วมโลกที่ยังท่วมท้นไปด้วยกิเลสตัณหาอุปาทาน เหมือนๆอย่างที่เราก็เป็นอยู่ อะไรที่เราทุกข์ เขาก็ไม่ต่างจากเรา

ถ้าเข้าใจได้ว่า คนเราเกิดมา ล้วนแต่เคยทำผิดคิดพลาด ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยผิดศีล โกหก จะมากจะน้อย เจตนาดี เจตนาร้าย ก็ชื่อว่าผิดศีล เราจะมองเขาด้วยสายตาที่มีเมตตา กรุณามากขึ้น

คนเราผิดศีล นอกใจคนรัก ก็เพราะมีแรงดันของตัณหา ที่ผลักดันให้ทะยานอยากไปทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร

เมื่อให้อภัยได้หมดใจแล้ว ใจคุณจะโล่งเบาสบาย เวลามองสิ่งที่เขาคิดเขาทำ มันจะไม่มีอคติมารบกวนจนผิดเพี้ยน

ถ้ามองด้วยเหตุผล แล้วคำตอบเป็น No ก็ไม่จำเป็นต้องพูด Yes ให้เราลำบากใจเอง

การพูด no สามารถพูดได้นะครับ เพียงแต่ต้องอาศัยศิลปะในการพูดเข้าช่วย เช่น แทนที่จะ No ไปตรงๆ เราก็พูดในมุมมองที่ต่างกันไป เช่น "มันก็จริงนะ ถ้ามองในมุมนั้น แต่ถ้ามองอีกมุมนึง ก็อาจจะมองได้ว่า....."

ถ้าทำได้แบบนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องพูดในสิ่งที่เราไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้หักล้างความคิดเขาจนเขาเสียหน้า

ที่อยากแนะนำอีกอย่างคือ การจะมีชีวิตที่ไม่โดนอคติครอบงำ ต้องฝึกหัดมีสติรู้ทันความรู้สึก ความคิดของใจตัวเองไว้บ่อยๆนะครับ



โดย: aston27 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:26:29 น.  

 
มีน้องคนหนึ่งเค้าบอกว่า เค้าไม่เคยโกหกลูกค้า
เราต้่องพูดความจริงกับลูกค้า
..เพียงแต่บางครั้งเค้าก็บอกไม่หมด
เค้าบอกว่า "บอกไม่หมดกับโกหก ไม่เหมือนกัน"
พอฟังแล้วก็รู้สึกแว๊บหนึ่งขึ้นมาว่าแล้วมันต่างกันตรงไหน
ในเมื่อมันก็ทำให้ลูกค้าเข้าใจผิดเหมือนกัน
หรือมันเป็นแค่การเลี่ยงบาลี
คิดเข้าข้างตัวเองว่าก็เค้าเข้าใจผิดไปเอง

แล้วคุณแอสตั้นคิดว่า "บอกไม่หมด" กับ "โกหก" เหมือนกันหรือเปล่า?


โดย: noi IP: 10.1.20.32, 61.91.248.100 วันที่: 11 ธันวาคม 2552 เวลา:14:03:28 น.  

 
noi

มันมีทั้งส่วนที่เหมือนกันและต่างกันครับ

เหมือนตรงเจตนา
ต่างตรงที่รูปแบบ

บอกไม่หมด อาจจะไม่ใช่โกหกตรงๆ แต่ถ้าเจตนาต้องการให้คนฟังเข้าใจเป็นอย่างอื่นที่เพี้ยนไปจากความจริง มันก็เป็นเจตนาเดียวกับโกหก

ส่วนสำคัญเลยไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ ว่าจะพูดความจริงไม่หมด หรือโกหก มันสำคัญที่เจตนา

เราถึงมีคำพูดว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา

ถ้าเราเจตนาดีจริงๆ ไม่ใช่คิดเข้าข้างเหตุผลหรืออัตตาตัวเอง เราก็ต้องทำกรรมดี ไม่ใช่กรรมชั่ว

ไม่ใช่ไปปิดสนามบิน กินอาหารดี ดนตรีเพราะ แต่ส่วนรวมเดือดร้อน หรือไปล้อมโรงแรม ทุบรถ สร้างจลาจลในเมืองหลวง

จะสีอะไร ใช้มือตบหรือเท้าตบ ต่างก็คิดว่าตัวเองเจตนาดีทั้งนั้นแหละครับ ไปถามดูได้

เพียงแต่กรรม หรือการกระทำต่างหาก ที่เป็นเครื่องชี้เจตนาที่แท้จริง

ไม่ใช่เรื่องที่คุณถามโดยตรง แต่ผมแถมให้ครับ ^^"


โดย: aston27 วันที่: 13 ธันวาคม 2552 เวลา:17:01:28 น.  

 
คุณแอสตัน มาอยู่หน้านี้เอง
ไม่ไปอัพ หน้าแรกเลยนะคะ
ก็เลย ไปนั่งอ่านเรื่องเก่าๆมา
ซื้อหนังสือ เล่ม2 ของคุณแล้วนะ...
โห ขีดเส้นใต้ไว้เต็มเลย ขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้เราสนใจธรรมะ หนังสือคุณดีมาก อ่านแล้วไอ้ที่งงๆเข้าใจขึ้นมาก จากที่อ่านผ่านๆในบล็อค ทำให้กลับมาอ่านทวนในบล็อคเพิ่มขึ้น(พูดเหมือนอ่านหนังสือสอบเนาะ) คุณไม่โฆษณาหนังสือในบล็อคเลย ไปเห็นใน หนังสือ the secret เขาโปรยไว้น่าซื้อ ก็เลยอุ่นหนุนซะหน่อย(ปกติ จะเหนียวค่ะ) ในฐานะแฟนคลับในบล็อค ดีค่ะชอบ ขอบคุณมากค่ะ


โดย: คนเก่าๆ IP: 222.123.63.155 วันที่: 13 ธันวาคม 2552 เวลา:20:32:01 น.  

 
ขอบคุณค่ะ
คุณแอสตั้นอธิบายแถมมาชนิดเห็นภาพได้แจ่มชัดเลยค่ะ
ไม่ทำเลยทั้ง 2 อย่างจะดีมาก..


โดย: noi IP: 10.1.20.32, 61.91.248.100 วันที่: 14 ธันวาคม 2552 เวลา:17:10:22 น.  

 
คุณคนเก่าๆครับ

ขอบคุณที่อุตส่าห์สละความเหนียวมาอุดหนุนหนังสือของผมนะครับ ^^ อันนี้เป็นจาคะอย่างหนึ่ง (ฮา)

ที่จริงถ้าอ่านบล็อกมาเรื่อยๆ ต่อเนื่อง ผมก็มีบอกข่าวเรื่องหนังสือผมไว้บ้างแล้วครับ

เขียนมากกว่านี้ ก็จะดูฮาร์ดเซลส์เกินไป และก็ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของบล็อกนี้ เพราะผมไม่ได้เขียนบล็อกเพื่อโปรโมทหนังสือ ^^" แต่ออกหนังสือด้วยอานิสงส์จากบล็อกนี่เอง

พูดง่ายๆ บล็อกมาก่อน หนังสือมาทีหลัง เลยไม่ได้ห่วงว่ามันจะขายได้มากได้น้อย

ถ้าจะห่วงอยู่บ้าง ก็ห่วงสำนักพิมพ์ที่เขาอุตส่าห์เชื่อในสิ่งที่ผมเขียนและมีศรัทธาที่จะพิมพ์ เลยไม่อยากให้เขาขาดทุน ถ้ามีกำไรบ้างก็จะดี เผื่อจะได้ต่อยอดไปให้นักเขียนแนวธรรมะที่มีสัมมาทิฐิท่านอื่นๆบ้าง ของครูบาอาจารย์บ้าง

ก็เลยเอ่ยถึงแต่พอดี พองามก็พอเนาะ ที่เหลือก็แล้วแต่ความเมตตาของผู้อ่านทุกท่าน (ชักออกแนวนักร้องลูกทุ่งแฮะ)

เรื่องความเข้าใจธรรมะจากการอ่าน หรือฟัง ในแต่ละครั้ง มันจะไม่เท่ากันครับ อะไรที่เคยอ่านวันนี้ อีกปีนึงมาอ่าน ก็จะเข้าใจมากขึ้น ลึกซึ้งขึ้น ตามชั่วโมงบินการปฏิบัติ

แต่ต้องปฏิบัตินะครับ รู้กาย รู้ใจไป แล้วจะเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมะ ว่าสิ่งที่ธรรมดาที่สุดนี่แหละคือสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งนัก


โดย: aston27 วันที่: 15 ธันวาคม 2552 เวลา:15:46:13 น.  

 
มีลูกน้องที่รับเข้ามาใหม่ และมีทัศนคติที่เป็นลบกับองค์กร โดยเห็นว่าด้อยกว่าบริษัทคู่แข่งตลอดเวลา จึงมักจะตำหนิในเรื่อง product และ service ขององค์กรที่ตนเองอยู่ แต่ไม่ให้คำแนะนำหรือวิธีแก้ไข

ปัจจุบันลูกน้องคนดังกล่าวยังไม่ผ่านระยะทดลองงานของบริษัท ล่าสุดหัวหน้าได้มีการเรียกเข้าไปคุยเรื่องพฤติกรรมการมาสาย โดยส่วนใหญ่จะได้คำตอบว่ารถติด รอรถโดยสาร แล้วแต่กรณี จึงเป็นเหตุทำให้มาทำงานสายกว่าที่กำหนด ประมาณ 2 ครั้งต่ออาทิตย์ ซึ่งสายกว่าเจ้าหน้าที่ระดับเดียวกันและระดับล่างกว่า และสวยกว่าในบางกรณีค่ะ

ส่วนในเรื่องของเวลาทำงานนั้น ลูกน้องได้ให้เหตุผลว่า ทุกคนควรมีเวลาเป็นส่วนตัว ถ้าจะให้มาเข้างานทันเวลา ก็ต้องกลับเร็ว แต่เนื่องจากลักษณะของงานที่ทำอยู่ จะเป็นงานเอกสารค่อนข้างเยอะ ซึ่งต่างกับงานเดิม แต่เหตุผลที่เค้าได้เปลี่ยนงานจากที่เดิมมาที่ใหม่ก็เพราะต้องการรายได้ที่มั่นคง และมีอนาคตในองค์กร

หัวหน้าจึงให้คำแนะนำไปว่า หากต้องการกลับเร็ว ก็สามารถส่งงานผ่าน internet ไปทำต่อที่บ้านก็ได้ แต่ลูกน้องก็ให้ความเห็นว่า "ถ้าเอางานกลับไปทำที่บ้าน ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ต้องทำงานในที่ทำงาน และขาดเวลาความเป็นส่วนตัว"

นอกจากนี้ ลูกน้องคนที่รับมาใหม่ได้มีโอกาสเรียนรู้งานจากเจ้าหน้าที่คนก่อนประมาณ 2 เดือน ซึ่งปัจจุบันลูกน้องคนเดิมได้ย้ายเป็นอยู่อีกหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ผู้บริหารได้ให้การสนับสนุน และดูเหมือนว่าจะนำไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเพราะการแข่งขันในหน่วยงานดังกล่าว อาจจะมีไม่มากนัก แต่เข้าใจว่าลูกน้องคนใหม่ จะชื่นชม รุ่นพี่คนดังกล่าวมาก โดยจากคำบอกเล่าของรุ่นพี่คนดังกล่าว ได้พูดถึงว่าตัวรุ่นพี่เองได้มาเรียนรู้และศึกษางานด้วยตนเองมาตลอด โดยไม่มีหัวหน้าที่คอยสอนงาน ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วไม่ถูกต้องทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เจ้าหน้าที่เดิมจะย้าย เค้าก็ไม่มีความกระตือรือร้นในการทำงานเท่าไหร่นัก โดยหลังเวลาเลิกงาน ก็แทบจะหยุดทำงานเลย ทั้งๆ ที่บางครั้งอาจจะไม่เหมาะสมเท่าที่ควร แต่เนื่องจากสามารถส่งงานได้ทันเวลา เรื่องดังกล่าวจึงไม่ใช่ประเด็น

ดังนั้น ประเด็นหลักของลูกน้องคนใหม่นี้ ก็ต้องการมีชั่วโมงการทำงานที่ค่อนข้างแน่นอน พร้อมกับให้เหตุผลว่า งานที่ทำต้องมีการแก้ไขอีกหลายรอบ หรือ ต้องมีการ edit ภาษาไทยที่ใช้ ทำให้เขาเสียเวลา แต่ขอเพิ่มเติมข้อมูลว่า หัวหน้าได้ทำงานจำพวกดังกล่าวพร้อมๆ กับลูกน้อง

จากการพูดคุยกันมา 2 ชม. หัวหน้าจึงได้เสนอทางออกว่าจะฝากงานที่บริษัทใหม่อย่างที่ลูกน้องคนเดิมต้องการ เพราะไม่ต้องการคนที่ไม่มีใจให้กับงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน แต่ลูกน้องคนใหม่กลับให้เหตุผลว่า ประสงค์จะขอย้ายสายงานฯ ภายในองค์กร ในขณะที่ทำงานยังไม่ผ่าระยะทดลองงาน และมีการตำนิองค์กรตลอด

ขอคำปรึกษาว่า หัวหน้า ควรต้อง manage ลูกน้องคนใหม่นี้ได้อย่างไร หรือ ควรจะให้ความเห็นในใบทดลองงานของลูกหนี้คนใหม่อย่างไร ในลัษณะใดควรจะทำอย่างไรให้ลูกน้องเครารพ เกรงใจ และ comfortable หัวหน้าคนปัจจุบันได้อย่างไร

โดยการสนทนาจบลงด้วย การ cut off งานที่ค้างอยู่ โดยหัวหน้าจะรับผิดชอบเอง และขอให้ส่งประวัติการทำงานที่ผ่านมาให้ประกอบการจิรณาของฝ่ายบุคคล ให้เจ้าหน้าที่คนใหม่ได้มีเวลาคิดทบทวนในสิ่งที่คาดว่าได้รับง่ายจนไม่เห็นคุณค่า จึงขอเรียนปรึกษาว่าจะมีทางออกวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่ ขอบคุณค่ะ



โดย: ืNana IP: 58.9.151.21 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:2:16:17 น.  

 
การที่เราฝันทุกคืนเนี่ย เพราะว่า เราฟุ้งซ่านหรือเปล่าคะ หรือเป็นเพราะสารเคมีในแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ความฝันนี่ดูได้เลยว่า มันเป็นความคิดที่เกิดเอง ดับเอง บังคับให้ฝันก็ไม่ได้ บังคับไม่ให้ฝันก็ไม่ได้ ธรรมดาเป็นคนที่ฝันทุกคืน ทั้งๆที่นั่งสมาธิก่อนนอน 10 นาที ทุกคืนเลย อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนฟุ้งซ่านมากๆหรือเปล่าคะ


โดย: เปลวเทียน IP: 203.155.245.248 วันที่: 17 ธันวาคม 2552 เวลา:11:29:34 น.  

 
คุณ Nana

อ่านคำถามแล้วมึนครับ ยาวมาก และค่อนข้างเป็นเรื่องบริหารงานบุคคล

ผมไม่ใช่ฝ่ายบุคคลเสียด้วยสิ

เท่าที่อ่านดู ตัวน้องเขามีปัญหาเรื่องทัศนคตินะครับ ซึ่งอันนี้แก้ยาก และวิธีที่ทำอยู่ ผมว่าก็ประนีประนอมที่สุดแล้ว ใจดีมากแล้ว

ถ้าเขาไม่รู้สึกว่าปัญหามันอยู่ที่ตัวเขา เขาไปอยู่ที่ไหน ก็จะลำบาก

ฉะนั้น ผมไม่มีวิธีดีกว่านั้นครับ แต่ผมอาจจะเรียกมาคุย เพื่อสอนเขาตรงๆ ให้เขาย้อนมามองตัวเองมากว่ามองออกไปข้างนอก

ที่เหลือ มันแล้วแต่ว่าเขาจะเลือกอะไรให้ชีวิตเขาแล้วครับ

คุณเปลวเทียน

ผมเคยเข้าใจว่า นั่งสมาธิแล้วจะไม่ฝัน แต่มารู้ทีหลังว่า ไม่ใช่หรอกครับ

นั่งสมาธิ อาจจะช่วยให้หลับง่าย หลับสบาย แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องฝันไม่ฝัน

เพราะความฝัน คือความคิดของจิต ตอนที่ร่างกายหลับ นั่งสมาธิมันตอนเราตื่น ช่วยให้จิตและสมองได้พักผ่อน ไม่ได้แปลว่า ทำให้จิตไม่ทำงานตอนหลับ

ตรงกันข้าม จิตคนเราต้องการการพักผ่อนนิดเดียว อาจจะชั่วโมงเดียว ครึ่งชั่วโมง แล้วที่เหลือ เขาก็จะตื่นมาทำงาน

เพียงแต่การฝันบางที เราก็รู้ตัว บางทีเราก็ไม่รู้ตัว เหมือนตอนตื่น ที่จริง จิตเราก็คิดอยู่ตลอดเวลานะครับ ถามว่าเรารู้กันไหม ว่ามันคิด

น้อยมากเลยนะ คนหัดภาวนาแล้ว วันนึง รู้สักกี่ครั้งกัน ว่าจิตคิด

ถามว่า ฟุ้งซ่านไหม ก็ธรรมดาล่ะครับ จิตมันถูกใช้งานทั้งวัน มันก็ฟุ้งแน่

นั่งสมาธิก็ดีแล้วครับ แต่นั่งแล้วอย่าเอาแต่สงบอย่างเดียว

พอจิตรวม จิตสงบแล้ว ให้คอยรู้สึกตัวไว้ ตอนถอนออกจากสมาธิ ก็คอยรู้สึกตัวอีก ถ้ากายเคลื่อนไหว ใจรู้ จิตเคลื่อนไหว ใจก็รู้อีก

รู้แบบเป็นคนรู้ คนดู ไม่ต้องไปช่วยมันปรุงแต่งนะครับ ไม่ต้องห้าม แต่ไม่ต้องช่วยมัน

เหมือนดูหมามันกัดกัน ไม่ต้องเอาน้ำไปสาด ไม่ต้องเอาไม้ไปตี ไม่ต้องไปช่วยแยก

ดูไปลูกเดียวนะครับ แล้วจะได้ของดี


โดย: aston27 วันที่: 20 ธันวาคม 2552 เวลา:12:39:47 น.  

 
อืมม์ เข้าใจละ...เพราะตอนแรกเข้าใจว่าถ้าร่างกายหลับ จิตก็หลับด้วย แต่ถ้าจิตเขาต้องการพักแค่ทีละไม่นาน ก็พอเข้าใจตัวเองแล้วค่ะ เพราะ ธรรมดาตอนตื่นนี่ก็หลงคิดตลอด ทั้งๆที่ยังรู้ตัวอยู่ แต่หลับแล้วเราไม่รู้ตัว มันก็ต้องยิ่งเตลิดกว่าตอนตื่นอยู่เป็นธรรมดา ... ขอบคุณค่ะ
ทุกวันนี้นั่งสมาธิไปก็เผลอบ้าง เพ่งบ้าง สงบบ้าง สลับกันอยู่เนี่ย ก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่ จะเมื่อนั้น


โดย: เปลวเทียน IP: 203.155.245.147 วันที่: 21 ธันวาคม 2552 เวลา:10:17:59 น.  

 
สวัสดีปีใหม่คุณเอ็ดดี้

มีเรื่องอยากจะปรึกษาครับ คือแม่ผมอายุ 76 ปีแล้ว เป็นโรคซึมเศร้า เป็นๆ หายๆ ส่วนหนึ่งก็ต้องกินยาเพื่อรักษา แต่บางครั้งก็มีสุขภาพจิตที่ดี ร่าเริง (แต่ยามที่แม่เครียดมันทำให้สิ่งแวดล้อมเครียดไปด้วย ผมเห็นชัดเลยว่าจิตของแม่ปรุงแต่ง) ผมว่าการอยู่กับปัจจุบันขณะ การเจริญสติภาวนา คือสิ่งที่จะช่วยแม่ได้ มีคำแนะนำเบื้องต้นสำหรับผู้สูงอายุมั้ยครับ อยากให้แม่มีความสุขที่แท้จริง สำหรับช่วงท้ายๆของชีวิต (ผมว่าแม่ผมน่าจะเปิดรับเรื่องนี้ได้ง่าย) รบกวนด้วยครับ

บุญรักษาครับ


โดย: อ้น IP: 58.64.83.172 วันที่: 31 ธันวาคม 2552 เวลา:10:49:30 น.  

 
คุณอ้น อนุโมทนาด้วยครับ เป็นบุญของแม่ที่มีลูกชายอยากจะให้ธรรมะกับแม่นะครับ

ถ้าพื้นฐานแม่เป็นคนไม่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน เอาซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ฯ ไปเปิดให้ท่านฟังเล่นๆก็ได้ครับ เปิดคลอๆทิ้งไว้ทั้งวัน ท่านอยากฟังก็ฟัง อยากนอนก็นอน

อันนี้จะช่วยประเมินได้เบื้องต้น ว่าจิตท่านเปิดรับหรือเปล่า ถ้าท่านฟังแล้วอึดอัดรำคาญ ก็ปิดไว้ก่อน อย่าบังคับให้ท่านฟัง

คนที่มีอายุเกิน 50 แล้ว ครูบาอาจารย์ ท่านมักจะแนะให้ภาวนาด้วยการเคลื่อนไหวกาย แล้วคอยรู้สึกครับ

ท่านว่า.. คนมีอายุ ดูจิตยาก เพราะจะง่วงซึมได้ง่ายก็คนหนุ่ม คนสาว ต้องเอากายมาช่วย

ถ้าท่านแข็งแรง ก็ชวนท่านขยับมือ แกว่งแขน เดินเล่น แล้วชวนให้ท่านรู้สึกถึงกายที่เคลื่อนไหว

รู้สึก แค่รู้สึกว่ามีกายเคลื่อน ไม่ต้องเพ่งดูให้ชัดละเอียดอะไรนะครับ แค่รู้สึก รู้สึก รู้สึก

ถ้าไม่แข็งแรง แค่กำมือแล้วเหยียด กำแล้วเหยียด ก็ได้ ขยับมือ ขยับแขน ขา เท้า คอ หัว ได้หมดนะครับ

การเดินเล่น ก็รู้สึกตัวได้ดีสำหรับคนสูงอายุ และได้ออกกำลังกายด้วย แต่ถ้าเดินไปเรื่อยๆ จะได้ออกกำลังกาย แต่ไม่ได้เจริญสติ สมองจะไม่ถูกกระตุ้น

แต่ถ้าเดินไป รู้สึกตัวไป รู้สึกถึงรูปกายที่เคลื่อนไหว ใช้ใจเป็นคนดู การรู้สึกตัวแต่ละครั้ง มันจะกระตุ้นประสาทสมอง บางคนถ้าเซลส์สมองยังไม่ตาย ก็อาจจะหายได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่แย่ลง ได้ออกกำลังกาย ใจ และสมองด้วย

ลองดูนะครับ ซีดีจะโหลดจาก //www.wimutti.net หรือไปขอที่ห้องสมุดบ้านอารีย์ก็ได้ ถ้าไม่รู้จัก ค้นกาจากกูเกิลได้ครับ

อนุโมทนาอีกทีครับ คุณอ้น


โดย: aston27 วันที่: 31 ธันวาคม 2552 เวลา:12:02:18 น.  

 
ขอบคุณมากครับ แล้วจะรายงานความคืบหน้าครับ


โดย: อ้น IP: 58.64.83.172 วันที่: 31 ธันวาคม 2552 เวลา:12:28:03 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ค่ะ

มีเรื่องรบกวนค่ะ
คือดิฉันรักกับคนที่มีครอบครัวแล้ว ตอนแรกไม่ทราบว่าเขามีครอบครัว คบหากันไม่นานก็เกิดแรงดึงดูดอย่างรุนแรงจนทำผิดศีลไป เพิ่งมารู้ทีหลังเสียใจมากๆ แต่ก็เลิกไม่ได้ เคยเลิกกันไปพักนึงก็กลับมาคบกันอีก และยังคงทำผิดศีลอยู่เนืองๆ ทั้งที่ตัวเองก็ปฎิบัติภาวนาอยู่เสมอ แต่ขณะที่ทำผิดก็รู้ว่าขาดสติไปแล้ว บางครั้งจิตยังนึกสอนตัวเองว่าทำผิดอยู่ แต่มันห้ามตัวเองไม่ได้เลย อันนี้มันเป็นผลของกรรมเก่าหรือเปล่าคะ หรือผลจากกรรมปัจจุบัน ดิฉันมีวิบากกรรมเรื่องความรักมาตลอด ผิดหวังเรื่องรักมาตลอด คบมาหลายคนก้มีอันต้งจากพรากไปทุกราย ส่วนรายนี้ ทุกข์สาหัส แต่ยังเลิกไม่ได้ซักที ไม่ว่าจะเตือนตัวเองเท่าไหร่ก็ยังทำทั้งๆที่รู้ว่าผิด
จะหาทางออกจากบาปกรรมเหล่านี้ได้ยังไง

ขอความกรุณาด้วยค่ะ


โดย: มะลิ IP: 124.121.37.20 วันที่: 1 มกราคม 2553 เวลา:21:50:26 น.  

 
คุณมะลิครับ

ธรรมดาของคนที่หลุดเข้าไปติดอยู่ในบ่วงของตัณหา ส่วนมากเราจะโทษกรรมเก่า

แต่ในความเป็นจริง กรรมเก่า เป็นเพียงคนพาเราไปอยู่หน้าประตูนรก มากที่สุดก็เปิดประตูรอเท่านั้นนะครับ

แต่กรรมใหม่ คือกรรมปัจจุบันต่างหาก ที่จะเป็นตัวตัดสินว่า เราจะก้าวลงนรกนั้นไป หรือตัดใจเด็ดเดี่ยวหันหลัง และก้าวห่างออกจากปากเหวนั้น ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใด

เป็นความจริงที่ประตูบานนั้น มักจะมีแรงดึงดูดฝ่ายต่ำที่รุนแรง ให้เราเคลิบเคลิ้มและโอนอ่อนไปกับความเย้ายวนของรสกาม

เพราะถ้าตัณหาไม่แน่จริง พระพุทธเจ้าไม่เรียกว่าเป็นนายช่างผู้สร้างเรือนหรอกครับ และคนทั้งหลายคงจะพ้นจากบ่วงกรรม บรรลุมรรคผลนิพพานกันได้โดยง่ายแล้ว

และในความเป็นจริง มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่คนธรรมดา ที่ไม่เคยฝึกจิตใจให้มั่นคงแข็งแรงในศีล ในความตั้งใจดีใดๆ จะสามารถต้านทานแรงดึงดูดของตัณหาได้

สังเกตไหมครับ ว่าคุณรู้ดี ว่าการเดินบนทางสายนี้ มันเจ็บปวดทรมาน ไม่ต่างอะไรกับตกนรกทั้งเป็น แต่น่าแปลกที่เมื่อถึงเวลา คุณกลับไม่มีแรงต้านทานตัณหาเลย

ความหวังเดียวของตัวคุณตอนนี้ อยู่ที่จิตสำนึกของตัวเอง อยู่ที่ผลจากการปฏิบัติภาวนาของคุณ ทำให้คุณยังมีความละอายต่อบาปอยู่บ้าง และมีความปรารถนาจะพ้นจากบ่วงกรรมนี้

คำถามคือ คุณตั้งใจจริงหรือเปล่า ที่อยากจะพาตนให้พ้นจากหล่มของบาปอกุศลอันนี้

ถ้าตั้งใจจริง ก็ต้องฝึกจิตใจตัวเองให้เข้มแข็ง สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน ให้กำลังใจตัวเองไว้ ว่าคุณจะผ่านวิกฤตนี้ไป ทีละวัน ทีละวัน ควบคู่ไปกับการปิดโอกาสที่เขาจะเข้าถึงตัวคุณ

ถ้าคุณต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับเขา ถึงเวลาที่ควรจะมองหางานใหม่โดยเร็ว ถ้าไม่เกี่ยวกัน คุณอาจจะจำเป็นต้องเปลี่ยนเบอร์มือถือ หรือบล็อกหมายเลขเขาไป

อย่าพบปะ อย่าพูดคุย ในทุกกรณี

แล้วคอยดูกิเลสของตัวเองไว้ มันอยากโทร อยากคุย รู้ทันไว้ ทำแบบนี้ไปทีละวัน ทีละวัน
จนครบสัปดาห์ ครบเดือน คุณจะรู้สึกว่ามันยากน้อยลงเรื่อยๆ

แผ่เมตตาให้ตัวเองไว้นะครับ ตอนสวดมนต์น่ะ นึกถึงความทุกข์ที่ผ่านมาไว้ แล้วแผ่เมตตาให้ตัวเอง ที่ตกนรกมา ย่ำแย่มา

ถ้ามีความตั้งใจดีๆอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ที่คุณสามารถทำควบคู่ไปได้ ก็ให้ตั้งใจทำไปนะครับ เช่น ตั้งใจว่าจะสวดมนต์ก่อนนอน จะนั่งสมาธิหลังตื่นนอนวันละ 5 นาที จะสวดมนต์ตอนนั่งรถไปทำงาน เป็นต้น อะไรก็ได้ที่คุณไม่ได้ทำอยู่ประจำ และพอจะสามารถทำได้ไม่ลำบากเกินไป

การเริ่มตั้งใจทำความดีบางอย่าง และทำจริงอย่างที่ตั้งใจให้สำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็จะช่วยให้จิตใจเพิ่มความหนักแน่น ในการมั่นคงในสัจจะของตัวเอง ที่จะทำความดี

กิเลส อาจจะคอยมาปั่นหัวคุณ ด้วยการกระซิบว่า เธอทำไม่ได้หรอก แต่จำไว้นะครับ ว่าถ้าคุณไม่ใจอ่อน ก็ไม่มีอะไรบังคับคุณให้ล้มเหลวได้

คนเราล้มเหลว เพราะเราอ่อนแอต่อกิเลสของตัวเองนี่แหละ

ต้องสู้นะครับ ต้องเข้มแข็ง เพราะไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีใครช่วยคุณได้ คุณก็จะต้องวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้ไปอีกนานเท่านาน ข้ามภพข้ามชาติไป ก็ยังจะเจอปัญหาเดิมๆ

ทานรักษา ศีลรักษา บุญรักษา ครับ



โดย: aston27 วันที่: 1 มกราคม 2553 เวลา:23:29:11 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะคุณแอสตัน

ตอนนี้แค่รู้อย่างเดียวไม่พอจริงๆ
กุศลา ธรรมา อกุศลา ธรรมา
แต่ กิเลส มันเหมือนยางเหนียวที่ดิ้นรนให้หลุดยากเหลือเกิน

จะพยายามไม่อ่อนแอต่อกิเลสค่ะ


โดย: มะลิ IP: 124.121.34.29 วันที่: 3 มกราคม 2553 เวลา:0:17:38 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ครับ
หนึ่งปีเต็มๆที่ผมไม่ได้เข้ามาอ่านบล็อกของคุณ เพราะมัวแต่ไปแก้ปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวัน
มันเป็นช่วงจังหวะเวลาหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ที่ผมต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานจำพวก พระพุทธรูป เทพ หมอดู ร่างทรง-ลูกศิษย์ และนิมิตรต่างๆตลอดทั้งปี จนแทบเอาตัวไม่รอด
ไม่รับก็ไม่ได้เพราะเป็นอาชีพเดียวที่ทำเป็น ไม่รับก็ไม่ได้เพราะผู้ใหญ่ขอ แต่หลังจากจัดการงานเรียบร้อยแล้วก็กลับมานั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆดูพบว่า ตัวเองเข็ดมากกับอาชีพพวกนี้ พยายามหลีกเลี่ยงและปฏิเสธแต่ก็อยากที่จะพ้น ปีนี้ก็ทำท่าจะมีมาอีกเยอะเลย
สิ่งที่ทำได้ก็คือต้องเลือกรับงานที่ไม่ฝืนกับความรู้สึกตนเองและเป็นหมอดูจำเป็นดู โหงวเฮ้งของลูกค้าซะเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทนต่อสิ่งยั่วยุรอบตัวได้มากน้อยแค่ใหน
ขอบคุณสำหรับพื้นที่ตรงนี้ครับ
สวัสดี
แท็ก ธรรมดา






โดย: แท็ก ธรรมดา IP: 110.164.148.147 วันที่: 3 มกราคม 2553 เวลา:14:45:15 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ค่ะคุณแอสตันค่ะ
มีเรื่องอยากรบกวนถามค่ะ
พอดีว่าได้ทำงานที่รักและตรงกับใจที่อยากทำ แต่สังคมคนร่วมงานไม่ค่อยดีเลย (มากๆ) ชอบพูดเรื่องใต้สะดือจนเหมือนเป็นเรื่องปกติของพวกเขา และชอบแซวเล่นเรื่องความโสดซิงของเราอยู่ทุกๆ วัน พอดีอายุก็ค่อนข้างเยอะแล้วแต่ยังไม่เคยมีแฟน จนบางครั้งทำให้รู้สึกอึดอัดใจ จากที่ไม่เคยคิดมาก ก็เริ่มคิดมากเพราะคำพูดที่เสียดแทง ที่ฟังนานเข้าๆ มันก็ทำร้ายจิตใจ บางทีไม่มีสมาธิในการทำงานเพราะต้องมาฟังเรื่องแบบนี้ สุขภาพจิตเสื่อมเข้าไปทุกวัน อยากลาออก เพราะรู้สึกว่ายิ่งอยู่ไป จิตใจก็ยิ่งตกต่ำลงไปทุกที และต้องทำงานร่วมกันไปแบบนี้ตลอด เลี่ยงไม่ได้ อยากลาออก แต่ก็เสียดายงานที่กำลังไปได้ดี ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้ ควรทำใจอย่างไรดีคะ?
ป.ล การสกรีนคนในการรับเข้าทำงาน ก็เป็นเรื่องสำคัญมากๆ เหมือนกันนะคะ

จะรอฟังคำแนะนำจากคุณแอสตันนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ


โดย: น้ำหวาน IP: 124.120.78.242 วันที่: 8 มกราคม 2553 เวลา:23:38:09 น.  

 
สวัสดีคะพี่aston

ทุกข์ที่เห็นว่าเป็นเราทุกข์นี่ มันหนักหนาสาหัสจังเลยนะคะ

ทุกข์เพราะรักกับคนที่พ่อกับแม่ไม่เห็นด้วยเพราะเชื้อชาติ หน้าตาและฐานะต่างกันคะ แต่ก็ยังดันทุรังคบกันห่างๆ แค่ได้คุยโทรศัพท์กันก็ยังดี และแอบหวังว่าสักวันที่บ้านจะใจอ่อนเพราะลูกสาวเริ่มแก่ตัวลง 55 แต่ลึกๆในใจเองกลับหวั่นใจว่านิสัยของเราสองคนจะใช้ชีวิตครอบครัวด้วยกันได้รึป่าว?? เรียกว่าทุกข์ 2 ชั้นเลย...เพราะส่วนตัวเป็นคนเอาแต่ใจและขี้ใจน้อยมาก และบางครั้งก็เหมือนเค้ารับนิสัยแบบนี้ของเราไม่ค่อยจะได้ก็เคยทะเลาะกันบ้างน่ะคะ

ทุกวันนี้ก็ตามรู้กายรู้ใจ แต่ที่หนักก็ตรงที่คิดว่าถ้าทำแล้วจะทำให้หายทุกข์ หายคิดมาก
เวลาที่ไม่ทุกข์กลับตามรู้กายใจได้ดี แต่ช่วงนี้มีเรื่องให้ทุกข์กลับตามรู้ไม่ได้...เฮ้อ ช่วยด้วยยยยยยคะพี่ aston

ขอบคุณมากมายคะ


โดย: compass IP: 125.26.188.77 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:11:18:52 น.  

 
คุณแอสตั้นคะ ดิฉันมีพี่ชายหูหนวกเป็นใบ้อยู่กับแม่ตามลำพัง เค้าคงคิดเยอะและก็พูดให้ใครรับรู้ในสิ่งที่เค้าคิดก็ไม่ได้ ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ลูกๆ ส่วนใหญ่เสาร์/อาทิตย์ก็กลับไปอยู่ด้วยแหล่ะค่ะ ปัจจุบันพี่ชายคนนี้อายุ 41ปี ตอนนี้เค้าติดเที่ยวผู้หญิง พยายามสอนเค้าปฏิบัติเดินจงกลม ก้าวซ้ายให้พูดซ้าย ก้าวขวาให้พูดขวา ให้สวดมนต์บทง่ายๆ แล้วแผ่เมตตาให้ตัวเองและเจ้ากรรมนายเวร ซึ่งเค้าไม่ค่อยยอมทำหรอกค่ะ พฤติกรรมขอเงินแม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม่ไม่ให้ก็ทำร้ายแม่ ดิฉันเสียใจอย่างมากรีบบึ่งรถกลับดูแล ก็มีการทะเลาะกันใหญ่โต ดูเหมือนทุกอย่างสงบและเค้าคิดได้ว่าการทำร้ายแม่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ล่าสุดแม่ให้เงินเค้าไปเที่ยวแบบว่าอีก ดิฉันขอถามคุณแอสตั้นว่า มีวิธีการใดที่จะช่วยให้พี่ชายสงบไม่คิดเรื่องอย่างว่าและให้มีสิ่งทำให้เค้าเข้ามาในธรรมะเสียทีค่ะ สงสารแม่เพราะแม่รักเค้ามาก รบกวนแนะนำเพื่อที่จะช่วยให้เวลาที่เค้าเหลือนี้เข้ามาในสายธรรมะเร็วๆ ค่ะ


โดย: ลูกสาว IP: 115.87.130.139 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:19:25:12 น.  

 
คุณแท็ก ธรรมดา

สวัสดีปีใหม่ และขอให้ความตั้งใจดี ที่จะเลือกทางสว่างให้ชีวิตคุณบรรลุผลสำเร็จตามที่หวังไว้นะครับ


คุณน้ำหวาน

พูดในแง่หนึ่ง ก็อาจจะมองได้ว่า ถ้าเรามีกรรมเก่าที่เคยทำให้คนเจ็บช้ำ เดือดร้อนเพราะปากเรามาก่อน เรื่องแบบนี้ที่เจอ มันก็เป็นวิบากที่เราเลี่ยงยากนะครับ

ฉะนั้น เมื่อเราบังคับปากใครเขาให้พูดแต่คำที่เสนาะหูเราไม่ได้ ก็อย่าไปเสียเวลาสนใจสิ่งที่เขาพูด

เอาเวลามาสนใจอารมณ์ ความรู้สึกในใจของตัวเอง ณ ขณะนั้น ไว้ดีกว่านะครับ

ได้ยินเขาพูด เรารำคาญ รู้ว่าใจมีความรู้สึกรำคาญ
รำคาญ แล้ว มันยังพูดอีก ความโกรธผุดวาบขึ้นมา รู้ทันว่าใจโกรธ

หัดย้อนมารู้สึกตัว รู้ความรู้สึกของตัวเอง ด้วยความเป็นกลาง ไม่ฝืน ไม่ห้าม ไม่พยายามทำตัวเป็นแม่พระที่ไม่โกรธ

จิตจะโกรธ ก็เรื่องของมัน เรามีหน้าที่แค่คอยรู้สึก

ถ้าคุณรู้สึกตัว ด้วยความเป็นกลางจริงๆ ความรำคาญ ความโกรธ จะเสียดแทง ครอบงำคุณไม่ได้ ใจก็จะร่มเย็นลงโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องฝืนห้ามที่จะไม่โกรธ ให้เหนื่อยแรง

จำหลักไว้นะครับ หัดรู้สึกตัว ย้อนมาดูจิตใจตัวเองไว้ ใครว่าอะไร ก็ช่างเขา เราคอยรู้สึกตัว ใจมันปรุงความรู้สึกอะไร ก็ช่างมัน เรารู้ไปอย่างที่มันเป็น

แล้วจะเห็นว่า ใครจะพูดอะไร ก็ไม่ใช่เหตุให้เราทุกข์ ที่เราทุกข์ เพราะเราไปใส่ใจ สนใจ ให้ค่า ไม่ชอบ เกลียดชังสิ่งที่เขาพูดต่างหาก

ถ้าใจเราไม่แปลความหมายของสิ่งที่คนอื่นพูด เสียงที่ได้ยิน ก็เหมือนเสียงลม เสียงหมา เสียงแมวเราดีๆนี่เอง

ถ้าคอยมีสติรู้สึกตัว จะเห็นอีกว่า ความโกรธ ความรำคาญ ความไม่ชอบใจ มันจะมาก็มาเอง เราไม่ได้สั่ง

เวลามันจะไป มันก็ไปได้เอง เราก็ไม่ได้สั่งเช่นกัน

ที่เราดูตัวเอง ก็เพื่อจะได้เรียนรู้ความจริงพวกนี้แหละครับ ว่ามันไม่ได้มีสาระอะไร ให้เราไปยึด ไปแบก ไปเดือดร้อนอะไรมากมายนักหรอก

ตัวช่วยที่สามารถใช้ได้ ถ้าทนไม่ไหว แต่ไม่ค่อยแนะนำ คือการแผ่เมตตา

แผ่ให้ตัวเองก่อนนะครับ แผ่ลงไปที่ใจที่มันเร่าร้อน มันทรมาน มันโดนเสียดแทงอยู่นั่นแหละ

แล้วเมื่อมันสงบ ค่อยแผ่ให้คนอื่นทีหลัง

แล้วจะรู้สึกว่า ที่ทำงานเดิมๆ คนแวดล้อมเดิมๆ มันเย็นลงได้อย่างน่าประหลาดครับ


โดย: aston27 วันที่: 13 มกราคม 2553 เวลา:15:59:15 น.  

 
compass

เรื่องแฟน ก็ดูให้ดีนะครับ เพราะถ้าจะลงทุนดื้อแพ่งกับพ่อแม่จริงๆ ก็ควรแน่ใจว่าได้คนดีที่คุ้มค่ากับการลุงทุน

ส่วนเรื่องทุกข์ พี่เดาว่าคุณน่าจะพลาดไป ตรงที่เวลามีทุกข์ คุณไม่ได้รู้สึกตัวอย่างเป็นกลาง

เท่าที่อ่าน เหมือนคุณยังเกลียดทุกข์ อยากดิ้นหาสุข ดิ้นให้พ้นทุกข์ พวกนี้มันเป็นกิเลส ตัณหาทั้งนั้นนะครับ

รอบหน้า อยากรู้สึกตัว ก็รู้ว่าอยาก ไม่ชอบที่ใจมันทุกข์ ก็รู้ว่าใจไม่ชอบ ดูลงไปอย่างที่ใจมันเป็นนะครับ ถ้ารู้แล้วเป็นกลางในการรู้ มันจะหาย ถ้ายิ่งอยากหาย มันจะไม่หาย


โดย: aston27 วันที่: 13 มกราคม 2553 เวลา:16:07:45 น.  

 
คุณลูกสาว

ดูท่าทางปัญหาของคุณจะเป็นปัญหาแรกที่ผมจะต้องขอพูดอย่างเต็มปากว่า เกินสติปัญญาของผมนะครับ

ลำพังคนปกติครบ 32 จะสอนให้สนใจธรรมะ ก็ยากอยู่แล้ว อันนี้หูหนวก เป็นใบ้ ผมก็ยิ่งไม่ทราบวิธีไปใหญ่เลย

เรื่องพวกนี้ มันบังคับกันไม่ได้ ถ้าเขาไม่มีทุนเดิมมาก่อน ความสนใจก็จะน้อยมากครับ

ที่แนะนำได้ คือตัวคุณเอง ต้องมีสติ มีธรรมะ เพื่อจะได้ไม่ทุกข์มากและช่วยเหลือคุณแม่ได้

ต้องขออภัยด้วยที่ช่วยอะไรได้ไม่มากนักนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 13 มกราคม 2553 เวลา:16:15:07 น.  

 
ขอบคุณ...คุณแอสตั้นมากค่่ะ
อนุโมทนาบุญที่ตอบคำถามค่ะ สิ่งที่ได้คือการมีสติให้กับตัวเอง... นั่นแหล่ะเป็นสิ่งที่หลง หลง แล้วก็หลงที่จะหาคำตอบให้กับตัวเองจนลืมสติ เห็นด้วยค่ะเรื่องบุญทุนเดิม ถึงแม้จะเจือจางเหลือเกินแต่ก็จะพยายามเป็นกัลยาณมิตรให้กับเค้าค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ :)


โดย: ลูกสาว IP: 202.91.23.2 วันที่: 13 มกราคม 2553 เวลา:16:45:56 น.  

 
ขอบคุณคำแนะนำของคุณแอสตันมากๆ ค่ะ
อ่านแล้วน้ำตาปริ่มเลย รู้สึกว่าโดนใจจริงๆ
จะลองกลับไปทำตามที่พี่บอกนะคะ :)

ขอบคุณมากๆ ค่ะ



โดย: น้ำหวาน IP: 124.122.170.2 วันที่: 16 มกราคม 2553 เวลา:20:04:55 น.  

 
มีวิธีการเลี้ยง การอบรมสั่งสอน ลูกชายวัย 6 ขวบ ที่พ่อแม่หย่าร้างกัน อย่างไรดีค่ะ โดยไม่อยากให้ลูกมีปมด้อยเรื่องพ่อ หรือกลายเป็นเด็กที่มีปัญหาทีหลังด้วยจากสาเหตุนี้

ขอบคุณค่ะ


โดย: Meaw IP: 125.24.30.155 วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:16:35:23 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณแอสตัน รบกวนคุณแอสตันว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เกิดกรณีคล้ายของคุณมะลิแต่กลับกันค่ะคือเป็นภรรยาแต่งงานมาประมาณ10ปี แล้วเกิดมีผู้หญิงมายุ่งกับสามีโดยเราเองไม่ทราบมาทราบก็ตอนวันที่เขาคลอดลูก เสียใจมากๆๆค่ะชาไปทั้งตัว สามีบอกว่าเขาพลาดเอง แต่อยากได้ลูกเนื่องจากเราไม่มีลูกกัน ดิฉันไม่เคยตามไปต่อว่าหรือราวีผู้หญิงคนนั้นเลยกลับกันเขาพยายามหาทางโทรมาด่าว่า อยากให้สามีไปอยู่กับเขา สามีก็ไปดูลูกบ้าง ค่าใช้จ่ายเขาใจว่าสามีจ่ายให้ค่ะ เครียดค่ะเป็นเวลา2ปีกว่าแล้วค่ะ ดิฉันและผู้หญิงคนนั้นไม่เคยเจอหน้ากันเลย ก่อนหน้าที่ผู้หญิงคนนั้นจะมายุ่งกับสามีดิฉันเขาก็มีแฟนแล้วค่ะ และรู้ว่าสามีก็แต่งงานแล้ว รักสามีมากค่ะเลยไม่รู้จะทำยังไงดี


โดย: เล็ก IP: 110.164.166.109 วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:15:11:00 น.  

 
คุณ Meaw

ผมยกคำถามคุณไปขึ้นเป็นบล็อกใหม่ในหน้าหลักเลย

ตามไปอ่านได้ที่นั่นนะครับ

คุณเล็ก
ขอเวลาย่อยปัญหาคุณสักวันสองวัน แล้วจะตอบให้ครับ


โดย: aston27 วันที่: 19 มกราคม 2553 เวลา:15:20:25 น.  

 
เพียงต้องการระบายความรู้สึกของคนที่ไม่เอาไหนไร้สติเท่านั้นเองค่ะ คือว่าเข้าไปอ่านเว็บวิมุติมาค่ะ อ่านจบก็รู้สึกถึงจิตใจที่ร่ำไห้ เสียใจ (ก็รู้)ในผู้ที่ใจร้าย และหวาดกลัว(ก็รู้)ว่าวันหนึ่งซึ่งเรายังไปไม่ถึงไหน อาจไม่มีครูบาอาจารย์ดีๆคอยช่วยแก้ไขเมื่อติดขัด ฉับพลันมุมนึงที่เข้มแข็งก็เกิดขึ้นมาแทนที่ ตามประสาอนิจจัง ว่า..ก็คงมีแต่เพียงลูกศิษย์ที่ไม่เอาอ่าวเสียทีนี้แหละ จะช่วยพิสูจน์ความจริงและดำรงไว้ซึ่งคุณความดีของครูบาอาจารย์อย่างแจ่มชัดด้วยการสืบทอดและปฏิบัติจนเห็นผลจริงเอาจริงเสียที และปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ให้สมกับที่ฟัง CD หลวงพ่อมาไม่ต่ำกว่าร้อย tracks จนไม่มีจุดใดที่จะเข้าใจผิดคิดไปเองได้เลย คำสอนของหลวงพ่อนั้น ครบถ้วนทุกองค์ประกอบจริงๆแต่ก็ยังมีปุถุชนอีกมากมายเหลือเกินที่ฟังเพียงผิวเผินแล้วด่วนตัดสิน คิดไปเอง ตีความผิดเพี้ยนสอดใส่ความคิดเห็นตัวเองที่ขาดความรู้จริงเข้าไป เราไม่ต้องช่วยโปรโมทหรือโฆษณาชวนเชื่อใดๆ ผู้ใกล้ชิดเราย่อมเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ความเลื่อมใสศรัทธาที่ไม่คลอนแคลนของเขาเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นได้ ทว่า..ตัวข้าพเจ้าเองก็จักพยายามพัฒนาตัวเองเพื่อสนองคุณความดีของครูบาอาจารย์แม้ว่าท่านจะรับรู้หรือไม่ก็ตามอย่างหลวงพ่อปราโมทย์ และพระพุทธเจ้า ... สุขสันต์วันที่เรายังมีโอกาสได้พบได้เจอได้ยินได้ฟังธรรมะที่มีผู้ถ่ายทอดได้อย่างอัศจรรย์(เข้าใจง่าย) อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ค่ะ...


โดย: วิชชุลดา IP: 119.42.96.191 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:22:08:57 น.  

 
หลังจากเมื่อคืนที่ได้อ่านคำชี้แจงทางสวนสันติธรรมจนครบถ้วน เมื่อเช้าก็เลยแวะไปฟังธรรมด้วยค่ะ (ปกติไปเกือบทุกเช้าวันพฤหัสอยู่แล้ว) หลวงพ่อทักบรรดาโยมทั้งหลายที่มาวัดวันนี้คำแรกว่า ยังอยู่กันอีกหรือ (ประมาณว่า นึกว่าหนีหน้ากันไปหมดแล้ว ท่านตั้งใจพูดให้ขำน่ะค่ะ) วันนี้แอบร้องไห้ เมื่อหลวงพ่อกล่าวว่า ให้พวกเราจำไว้ หากหลวงพ่อเป็นอะไรไปหรือโดนใครลอบยิง ก็ให้ยึดหลักธรรมคำสอนเอาไว้ อย่ายึดติดที่ตัวหลวงพ่อ ก็เห็นใจตัวเองที่สะท้านไปหมดจนน้ำตาไหลด้วยใจที่ปรุงแต่งเรื่องเศร้าขึ้นในใจเองซะงั้นยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะหน่อย แต่หลังจากนั้น หลวงพ่อก็พาท่องหลักปฏิบัติเพื่อเป็นแนวทางให้ยึดไว้ โดยให้ทั้งศาลากล่าวตามพร้อมๆกันว่า "มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง" โอ๋เองรู้สึกว่าตั้งแต่เมื่อคืนหัวใจข้างในลึกๆมันเดี๋ยวๆก็ร้องไห้ เป็นพักๆจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ คงเพราะตัวเอง มักเอาพระพุทธเจ้า และหลวงพ่อเป็นเครื่องอยู่ให้ใจได้ผ่อนคลายได้สงบจากปัญหาในชีวิตประจำวัน เพราะยังรู้กายรู้ใจไม่ชำนิชำนาญค่ะ ดังนั้นพอเจอเรื่องแบบนี้มากระทบผู้ที่เราเลื่อมใสศรัทธา ก็เลยเสียใจค่ะ แต่ว่าหลวงพ่อก็เตือนแล้วนะคะ ว่าอย่ายึดที่ตัวหลวงพ่อ ก็จะพัฒนาตัวเองต่อไปตามสติกำลังค่ะ ให้คุ้มค่าที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์(ที่ไม่รวยไม่จนเกินไป) พบพระพุทธศาสนา อยู่ในประเทศที่ยังมีความน่ารักใจดีมีน้ำใจเหลืออยู่ ใต้ร่มบรมโพธิสมภาร ได้ฟังสัจธรรมจากครูบาอาจารญืที่ดี ได้ยินเรื่องวิปัสสนา เหลืออย่างเดียวจริงๆค่ะ คือปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมที่ได้รู้ได้ยินได้ฟัง
สุขสันต์วันนี้ที่พระพุทธศาสนายังเรืองแสงอยู่ค่ะ


โดย: วิชชุลดา IP: 220.232.58.247 วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:15:34:21 น.  

 
ติดตามสถานการณ์อยู่เช่นกันค่ะ ยังคงปฏิบัติตามหลักสอนของหลวงพ่อและยังคงจดจำคำสอนของท่านตลอดไป


โดย: นกน้อย IP: 202.91.23.2 วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:12:32:42 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แอสตัน

ตอนนี้เห็นว่ามีคลื่นความคิดเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ไม่ออกมาเป็นความคิดที่เป็นเรื่องเป็นราว เหมือนเป็นความถี่ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นตลอด

เวลาเราหลงไป เราก็ไม่เห็นคลื่นนี้ แต่ถ้าเรากลับมาดู คลื่นนี้ก็ยังอยู่ เหมือนว่าจิตใจมันทำงานตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่ามันทำอะไร มันรับอารมณ์แล้วก็ไปทำงาน

ตอนแรกรู้สึกงงว่า เฮ้ย ฟุ้งซ่านตลอดเวลาเลยเหรอเนี่ย ดูแล้วเหนื่อย สงสารจิตด้วย ไม่หยุดเลย

ตอนนี้รู้สึกเฉยๆแล้ว เมื่อเช้าก็ขำมันว่า เออนะ อะไรมันจะขยันทำงานขนาดนี้ ไม่หยุดเลย

อยากทราบว่าเห็นแบบนี้แล้วทำยังไงต่อดีค่ะ ตอนนี้ก็แว๊บๆไหวๆไปหมดแล้ว ถ้าอยากพัก ทำสมาธิเพิ่มได้ไม๊ค่ะ

ขอบคุณค่ะ


โดย: เป่าจิน วันที่: 28 มกราคม 2553 เวลา:14:43:45 น.  

 
คุณ วิชชุลดา และคุณ นกน้อย

ผมอนุโมทนาด้วยครับ ^^

เป่าจิน

ก่อนอื่น พี่อนุโมทนาด้วยนะ เป่าจินภาวนาได้ก้าวหน้าดีแล้ว

ครูบาอาจารย์ ท่านสอนตรงกันหลายๆองค์ว่า ภาวนาไประยะหนึ่งแล้ว มันจะมีแต่ไหวๆ บางท่านเรียกว่า ยิบยับๆๆๆ

พี่เคยเห็นเป็นคลื่นๆๆๆ คล้ายๆคลื่นในทะเล มันมาเป็นระลอกๆๆๆ

จริงๆ ก็ไม่มีอะไรครับ ถ้าเหนื่อยแล้ว อยากทำสมถะ ก็เข้าไปพักได้ แล้วค่อยมาดูต่อ

อย่าลืมสังเกตความยินดี ยินร้ายของใจด้วยนะ

เช่นไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ กังวล รู้ว่ากังวล สงสัย รู้ว่าสงสัย รู้สึกมีอัตตาว่า กูเก่ง ก็รู้ทันอีกเช่นกันนะ

พี่ดีใจด้วยนะครับ



โดย: aston27 วันที่: 29 มกราคม 2553 เวลา:15:02:10 น.  

 
เริ่มอ่าน Blogของพี่ประมาณเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว
แต่เพิ่งไปถอยธนาคารความสุขทั้งสองเล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน
เอาไว้อ่านก่อนนอนให้เบิกบานใจ

ตรองอยู่นานกับเรื่องที่จะขอรบกวนปรึกษา
เพราะพี่ก็มีอะไรต้องทำเยอะอยู่แล้ว
ก็เรื่องธรรมดาโลกยอดฮิตแหละค่ะ ^_^

ตอนนี้ต้องกลายเป็นเพื่อนกับคนที่เคยเป็นคนรัก
เพราะความต้องการของฝ่ายชาย
ตอนแรกทุกข์มากกกกกกกกกกก
แต่หลังจากยอมรับความจริงว่าทุกอย่างมีเกิด ก็ต้องมีดับตามเหตุปัจจัย
ไม่ไปดิ้นรนอยากให้ความเศร้าเสียใจหมดไป จนเกิดทุกข์ซ้ำซ้อน
และสร้างความเคยชินใหม่ๆที่ดี โดยการให้จิตคุ้นเคยกับการรู้สึกตัว (อย่างที่พี่เคยบอกไว้)
ก็ทุกข์น้อยลง
ตอนแรกอยากเลิกคุยไปเลย เพราะทนเจ็บปวดไม่ไหว (เลยจะหนีทุกข์ )
แต่เค้าบอกว่าเราใจแคบ
ทุกวันนี้เลยต้องคอยเป็นเพื่อนคุยกับเค้า ทุกเรื่อง
เค้าจะหิว จะอิ่ม จะฝันดีฝันร้าย ก็โทรมา
(เพราะเค้าคุยกับเราได้สนิทใจที่สุด เพื่อนสมัยเรียนหรือทำงานก็ไม่ค่อยได้ติดต่อ)
รวมทั้งต้องรับฟังเรื่องที่เค้าไปชอบคนโน้น รักคนนี้
(แต่เค้ายังไม่ได้คบใครจริงจัง)
แรกๆ ปวดใจเหลือเกิน
แต่เมื่อตระหนักถึงกฎแห่งกรรม(คิดว่า เราคงเคยสร้างเหตุคล้ายๆกันไว้ เลยต้องมารับผลแบบนี้)
และกฎไตรลักษณ์ มันก็คลายความยึดลงไป
ทีนี้จะขอความเห็นพี่ค่ะว่า
การที่เราต้องคุยต้องเจอเค้าอยู่
โดยที่เราต้องมาปวดใจนิดๆ กับเรื่องความรักของเค้ากับคนอื่น (เพราะยังไงก็รู้สึกว่ายังยึดนิดๆ)
และเราก็รู้ว่าวันนึงเค้าก็ต้องไปแต่งงานกับคนอื่นอยู่ดี
มันจะเป็นการสั่งสมความเศร้าหมองให้กับจิตเรามั้ยคะ (เพราะตอนนี้สติตัวจริงยังไม่เกิด)
เคยได้ยินว่าจิตดวงสุดท้าย ถ้าเราระลึกถึงสิ่งไม่ดีก็ต้องไปอบายภูมิก่อนเลย
(หมายถึงถ้าตอนนั้นสติตัวจริงยังไม่เกิดด้วยนะคะ)
ใจนึงอยากจะเลิกติดต่อโดยการเปลี่ยนเบอร์โทร ไม่อยากรับรู้เรื่องของเค้าอีก
แต่พี่บอกว่าไม่ให้หนีทุกข์ ให้เรียนรู้ทุกข์ จนจิตเห็นไตรลักษณ์
ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า
เอาไงดีคะ

ขอบคุณค่ะ


โดย: น้ำฟ้า IP: 115.67.121.181 วันที่: 31 มกราคม 2553 เวลา:20:28:04 น.  

 
เรียน พี่แอสตั้นคะ
ดูจิตมาเกือบปีค่ะ ฟังซีดีหลวงพ่อไม่เคยส่งการบ้าน แต่เคยคุยเล็กน้อยกับคุณสุรวัฒน์ค่ะ และเมื่อกลางปีที่แล้วเจอปัญหาเสื่อมยศในหน้าที่การงาน ลูกน้องขอย้ายทีม แฟนก็เลิกไปซะงั้น ทำให้รู้สึกแย่มาก ทุกข์ คิดมาก แต่เหมือนมีภูมิหรือวัคซีนที่ฉีดไว้ เพราะสติเกิดเองตัดความฟุ้งซ่านเป็นท่อนๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นสั้นลงจนไม่ทันได้ซึมเข้ารอยหยักสมองเลย(จำเรื่องกระทบแรงๆได้ แต่ที่เหลือก็หายไป) ปัญหามันก็ผ่านไปแบบทุกข์สั้นๆ

ที่ผ่านเห็นอัตตาตัวตนเลยทำให้เรานิ่ง ใจเย็น ไม่เกรี้ยวกราด ใช้อารมณ์น้อยลงทั้งเรื่องงานและกับคนรอบข้างจนกลายเป็นอีกคนนึง(รู้สึกเอง ไม่เคยถามใคร แค่ตามรู้มันก็ดับไป) อยู่กับตัวเอง อยากน้อยลง(แต่ก็ยังชอบกินอยู่ค่ะ) ไม่ชอบสังสรรค์ พูดคุยพอประมาณ ไม่อยากเม้าท์ไม่อยากรู้เรื่องชาวบ้าน ใจมันไม่อยากเองค่ะ สังเกตุได้ว่าคนมาคุยกับเราดีขึ้น แต่ก็น้อยลงด้วย น้องๆที่ทำงานก็ไม่กล้าเล่นกับเรา (เป็นเพราะวิบากแหงๆ..ก็แค่รู้และยอมรับ) แต่ผลที่ไม่น่าพอใจคือนายมองเราไม่มี passion และ active น้อยลง ทำไงดีค่ะ (ตามรู้อยู่นะคะ แต่กลัวมันไม่เอาอะไรอีกนี่แหล่ะ)

สรุปขอถามพี่แอสตั้น 3 เรื่องค่ะ
1. มี Passion & Active น้อยลง มีผลต่อการทำงานไม่ดี
2. มีคนมาคุยดีๆ ด้วย แต่กลับน้อยลง มันคือวิบากที่เราเคยไปทำกับใครเค้าไว้ใช่มั้ยค่ะ
3. ใจคิดว่าทำงานเพราะหน้าที่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ใช่ชีวิตของเรา
ช่วยแนะนำด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
นกน้อย


โดย: นกน้อย IP: 202.91.23.2 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:15:26:34 น.  

 
เรียน คุณแอสตั้น ที่นับถือ
ว่าจะเข้าไปคอมเม้นในหน้าเข็มทิศชำรุด ก็ไม่ได้เป็นสมาชิก อยากเป็นสมาชิกวิธีการก็ยากเหลือหลาย ตามอ่านเรื่องราวของคุณทุกวัน เรียนรู้วิธีการตามที่อ่านทั้งในบล็อก และในหนังสือธนาคารแห่งความสุข แต่เมืออ่านที่มีคนมาเม้นในสวนสันติธรรม ก็เลยอยากจะเรียนถาม คุณสักนิดว่า ที่ สวนสันติธรรม (อยู่ชลบุรีใช่มั้ยคะ)หลังจากได้ฟังธรรมกับหลวงพ่อปราโมทย์แล้ว วิธีปฏิบัติ ที่นั่น ท่านให้ทำแบบใดคะ เช่นที่อื่นจะเป็นนั่งสมาธิ เดินจงกลม ทำจังหวะ ที่สวนสันติธรรมเราทำแบบไหนคะ ดิฉันสนใจ แต่คงจะไปถึงสวนไม่ได้แน่ แล้วหลวงพ่อท่านรับกิจนิมนต์มั้ยคะ แล้วรูปแบบหลวงพ่อปราโมทย์ มีที่วัดไหนมั้ยคะ แล้วคุณแอสตั้น เป็นดีเจใช่มั้ยคะ เคยรับเป็นวิทยากรเกี่ยวกับการดูกายดูใจตามแนวทางหลวงพ่อมั้ยคะ หากคำถามใดไม่เหมาะสมขออภัยด้วยค่ะ
ขอบพระคุณมากค่ะ



โดย: แฟนพันธ์แท้ คุณแอสตั้น IP: 192.168.107.19, 61.19.127.147 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:42:18 น.  

 
อ่าน 500 Summer จบ ก็มีคำถามผุดขึ้นในใจเกี่ยวกับความรักเพียบเลยค่ะ

แต่พอไปดูมันเข้า มันก็สลายตัวไปแถมแอบแทรกแทรงนิดหน่อยด้วยว่า

ถามไปก็รู้คำตอบดีแก่ใจนี่นา.. ก็เลย อยากเขียน.. รู้ว่า..อยากเขียน แล้วก็ลงมือเขียนคนละเรื่องไปเลย..หุหุ

แต่ถ่ายทอดเป็นคำพูดได้เท่านี่จริงๆ เพราะใจลึกๆมันรู้ดีว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์บ้างสุขบ้าง แต่โดยทางธรรมสุขแบบโลกก็คือทุกข์นี่เนอะ

รู้มาก..แต่ยังเอาตัวไม่รอด ก็ต้องหยุดพูดหยุดเขียนแล้วย้อนมาดูกายดูใจต่อ

ปิดท้ายด้วยคำขอบคุณงานเขียนคุณแอสตัน ที่ให้ข้อคิดดีๆเสมอนะคะ ชอบมากนะคะ เรื่องเข็มทิศชำรุด..โดนใจเพราะตัวเองเป็นคนประเภทเข็มทิศชำรุดและรู้ตัวว่ามันชำรุดค่ะ กำลังซ่อมแซม...

สุขสันต์วันวาเลนไทน์ เพราะมีรัก(เมตตา) โลกนี้จึงยังทรงอยู่ได้ ก็เพราะ เมตตาธรรมค้ำจุนโลกงัยยยยย


โดย: วิชชุลดา IP: 125.25.21.18 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:02:12 น.  

 
สวัสดีค่ะ มีปัญหารัก ๆ เหมือนคนอื่นมาถามค่ะ ฟังดูง่าย very simple รู้หลักการ ทฤษฎี หมดทุกอย่างแต่ปฏิบัติ ไม่ได้ซะ ที เฮ้อ ToT
เรื่องก้อคือ ชอบเค้า และเค้าก้อมาใจดีกะเรา ทำให้เราตีความ ทุกการกระทำที่เค้ามาใจดีว่าเค้าน่า อาจจะ ชอบเราด้วยเหมือนกัน แอบคิด เพ้อเจ้อ (ก้อมันมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงเค้า คิดถึงเค้า) เลยรวบรวมความกล้าบ้าบิ่น (ที่สุดของชีวิต ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะทำ) คือ.....
บอกเค้าไปว่าเราชอบเค้า ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเค้า อีกต่อไปไม่นาน เค้าจะเป็นหัวหน้างานเรา เป็นการกระทำ ที่ไร้ความคิดจิง ๆ ค่ะ ใช้สมองข้างซ้ายไตรตรองแล้วว่าไม่ควรบอกเค้า ตัดใจซะ แต่สมองข้างขวา มันก้อยังบ้าอยู่นั้นแหละ ไม่รู้ว่าจะทำงัย เลยหักดิบซะ บอกเค้าไปเลยว่า เราชอบนะ แล้วเค้าก้อตอบว่า ขอบคุณนะ แต่ผม bad ความรักที่ทำงานไม่workหรอก ไม่ควร ไม่ใช่... ช่างเป็นการปฏิเสธ ที่ฟังดูไพเราะ จิงๆ TT-TT คิดว่าหลังจากนั้นเรื่องคงจบ เพราะ จะได้เลิกเข้าข้างตัวเองซะทีว่าเค้า ก้อชอบเรา เพราะเค้าก้อตอบ No กลับมาซะอย่างนั้น....
แต่ความอ่อนแอของ พิกุล ......เค้าเป็นหัวหน้าเรา เค้าคุยก้บเราปกติ เรามีความสุข ดีใจทุกครั้ง จะเรียกว่าเพ้อก้อได้ คิดเข้าข้างตัวเองว่าเค้าดีกับเรา แต่จิง ๆเค้า ก้อดีกะทุกคนนะแหละ เค้าโทรมาคุยกับเราช่วง weekend บ้าง ก่อนหน้านี้ (ก่อนบอกว่าชอบ) เค้าไม่เคยโทรมาคุย weekend เลย แต่ หลังบอก โทรมาหาเราทำไม นะ ? คนยิ่งกะลัง จะตัดใจได้อยู่ ก้อเลยตัดไม่ได้ เพราะ ทุกครั้งที่เค้าโทรมา มัน...รู้สึกดีใจ สุขใจ อารมณ์ดี ทุกอย่างดูดี เราอยากให้เค้ามาอยู่ใกล้ ๆ อยาก อยาก นู่นนี่เยอะไปหมด (ที่เค้าโทรมาคุยไม่มี ประโยคไหนเลยที่ทำให้คิดว่าเค้าชอบเรา เนือหาที่คุย เป็นเรื่องสากะเบือยันเรือรบ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ฟังแล้วเค้าจะชอบเรา)... 3 years ago อกหัก ตอนนั้นยังไม่รู้สึกทรมานใจขนาดนี้เลย
ตัดใจจากอกหัก(แฟนทิ้ง)ทำไมมันง่ายกว่า ตัดใจจากชอบเค้า ล่ะ ????????? จะตัดอย่างไรดีค่ะ ที่สำคัญ บางทีกะลัง จะตัดใจได้ละนะ ใกล้ละ...แต่ช่วง กริ๊งเดียว ที่เค้าโทรมา ทุกอย่างที่ ตั้งใจไว้ หายหมดเกลี้ยง กลับ มาวังวน แอบเพ้อหาเค้าเหมือนเดิม .......... ฟังแล้ว เรื่อง simple มากนะคะ แต่ตัดใจไม่ได้ซะที (ตัดใจไม่ได้ แอบชอบมา 2 yrs แล้ว อยากเลิกชอบเค้าแล้ว เพราะ เสียเวลาเปล่ามามากแล้ว) ฮือ ๆ ToT ทำไงดี เจอกันทุกวัน ทรมานใจจังค่ะ เราทำอะไรไม่ได้เลย ก้อเค้าเป็นห้วหน้างานเรา เราจะทำอะไรได้
คุณ Aston ช่วยหน่อยค่ะ ตัดใจจากคนที่เราชอบ โดย ที่เค้าก้อยังใจดีกับเรา ทำงัยค่ะ ???????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? ก้อชอบเค้าอ่ะ T-T"
ช่วยตอบด้วยนะคะ อยากเลิกชอบแล้ว T-T


โดย: Pikul IP: 192.168.50.162, 112.143.7.50 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:23:10:06 น.  

 
แค่ หนึ่งนาที นาที ที่เราพูดกัน
รู้ไว้เลยตอนนั้น
ว่าฉันไม่เคยจะลืมเธอได้ลง
......ขอแอบแซว คุณพิกุล...
ถ้าคุณพี่เอ๊ดดี้ ไม่มาตอบ
ดิฉันก็จะบอกคุณว่า เราต้องหากิจกรรมอื่นทำบ้าง เช่น ไปออกกำลังกาย คบเพื่อนใหม่ เปิดตัวเปิดใจ อย่าฟังเพลงเศร้า ฝึกเจริญภาวนาไปเรื่อยๆ รักตัวเองให้มาก ต้องใจแข็งๆ
หากคิดถึงเขา ก็ให้รู้สึกตัว รู้แล้วก็วาง เพราะถ้าเราไม่วาง เราก็มักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า เอ.หรือเขามีใจ ก็ไม่จบสักที..
ดิฉันตอบใช้ได้มั้ยคะ คุณแอสตั้น อิอิ


โดย: ผักบุ้ง IP: 222.123.14.79 วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:33:05 น.  

 
ปัจจุบันพยายามดูจิตอยู่ค่ะ เป็นคนนั่งสมาธิไม่ได้ เห็นแต่ฟุ้งซ่าน สักแต่รู้แต่ก็ทนไม่ไหว เพราะใจไม่เป็นกลาง รู้สึกว่าตัวเองรู้ทฤษฎีเยอะ แต่ด้านปฏิบัติไม่ค่อยคืบหน้า แก้ไม่ได้ไม่รู้จะทำอย่างไรค่ะ คือเวลารู้ พอเข้าไปรู้สภาวะแล้ว มันชอบไปรอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อ ก็เลยเกิดอาการแน่นๆ หนือไม่ก็ชอบเผลอไปวิเคราะห์จนฟุ้งซ่าน สภาวะสองอันหลังบางทีก็ดูตามทัน บางทีก็ไม่ทัน แต่ที่เบื่อคือมันเป็นอะไรที่พันนัวเนียกันอยู่อย่างนั้น คือรู้สภาวะ ตามด้วยรอดูผล หรือฟุ้งซ่าน (คิดต่อ) ตามรู้สภาวะ เพ่งหรือคิด ก็วนกลับไปกลับมา จนเหนื่อย บอกตรงๆ ค่ะ ว่าบางทีหมดกำลังใจ แต่ไม่วัน give up นะคะ คุณ aston มีคำแนะนำบ้างไหมคะ


โดย: Angkana IP: 203.144.144.164 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:49:01 น.  

 
แวะมาดูแทบทุกวันเลยค่ะ
ช่วงนี้พี่คงยุ่งๆนะคะ
ไม่มีอะไรมากค่ะ
แค่อยากบอกว่า ช่วงเวลาที่ผ่านไปนี้(ตั้งแต่วันที่เขียนมาถามครั้งก่อน) ก็เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ค่ะ
ตอนนี้เหมือนใจไม่ค่อยยึดกับเค้าเท่าไรแล้ว
ไม่รู้ทำไม ไม่ปวดใจเหมือน ณ วันนั้น
แล้วเค้าก็ยังไม่ได้ไปคบกับใครด้วย
แต่ก็อยากฟังความเห็นของพี่นะคะ ^^
ขอบคุณค่ะ


โดย: น้ำฟ้า IP: 115.67.6.72 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:23:39:19 น.  

 
ขออภัยครับ

ช่วงนี้ ยุ่งจริงๆ ^^"

เดี๋ยวยังไงวันสองวันนี้ จะตอบที่ค้างอยู่ให้หมดครับ ^^


โดย: aston27 วันที่: 13 มีนาคม 2553 เวลา:10:34:15 น.  

 
วันนี้เข้ามาแวะดูตามปกติค่ะ
ขยี้ตาซ้ำอีกที ^^
ดีใจจังที่เห็นพี่มาตอบ
เป็นนิมิตหมายอันดีค่ะ
แต่ถ้าพี่ต้องนอนดึกเพราะการตอบคำถาม ก็ไม่ค่อยสบายใจค่ะ ค่อยๆทยอยตอบก็ได้นะคะ

อ้อ ตอนนี้จิตวางจากคนเดิมได้เกือบสนิทแล้วล่ะค่ะ ทั้งที่เค้าก็ยังโทรมาวันละหลายครั้งทุกวัน เจอกันเกือบทุกสัปดาห์
แต่ทำไมไม่รู้ ความรู้สึกเราไม่เหมือนเดิม
สงสัยจิตจะเคยชินกับการเป็นเพื่อนแล้วมั้งค่ะ มันเลยไม่ยึดอย่างคนรักอีก
โล่งค่ะ รู้สึกจิตเป็นอิสระดี
ไม่ต้องพะวงว่าเค้าจะทำอะไรอยู่ หรืออยู่กับใคร ไม่ต้องนั่งมองนาฬิกา รอโทรศัพท์จากเค้าอีก
ตอนนี้มีคนจะเข้ามาในชีวิต แต่ก็ไม่อยากสร้างกรรมผูกพันกับใครแล้ว เพราะยังไงความรักของปุถุชนก็มักจะปนด้วยความยึดเสมอ จะรักแบบมีพรหมวิหารสี่ก็ไม่ง่าย
รู้ซึ้งเลยว่ายิ่งยึด ก็ยิ่งทุกข์ค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นคนดีแค่ไหน
แต่ที่สุดก็ต้องทุกข์เพราะความเปลี่ยนแปลงและการพลัดพรากอยู่ดีนะคะ
ไม่รู้อนาคตเหมือนกันว่าจะเป็นยังไงนะคะ


โดย: น้ำฟ้า IP: 111.84.125.73 วันที่: 14 มีนาคม 2553 เวลา:0:04:17 น.  

 
คุณน้ำฟ้า

พี่อ่านข้อความของคุณ ด้วยความยินดี ที่มีผู้ได้ประโยชน์จากธรรมะของพระพุทธองค์ในชีวิตจริง

พี่อนุโมทนา ที่ตุณเชื่อในคำแนะนำ ซึ่งพี่ก็จำมาจากคำของครูบาอาจารย์อีกที แล้วก็ไม่ใช่แค่อ่าน แต่ลงมือตามรู้ ตามดูจิตใจตัวเอง จนจิตคุณเริ่มยอมรับความจริง

คุณเห็นความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปรผันของจิตได้แล้ว อย่างอื่นก็ไม่ใช่ประเด็นต้องกังวลหรอกครับ

คำถามของคุณ ก็เห็นจะไม่จำเป็นแล้วมั้ง ก็คอยรู้สึกตัวไปเรื่อยๆนะครับ

อนึ่ง ที่บอกว่า อย่าวิ่งหนีทุกข์น่ะ ไม่ได้แปลว่า ไม่ได้ให้นิ่งเฉยกับเหตุและปัจจัยของทุกข์นะ

ที่จริง ถ้าคุณยังไม่ดีขึ้น ก็คงต้องแนะนำให้ทำอย่างที่คุณถามนั่นแหละ คือเอาตัวเองให้รอดก่อน พยายามอย่าติดต่อเขา แต่คุณผ่านจุดที่ยากสุดมาแล้ว ก็ไม่ค่อยจำเป็นแล้วครับ

ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า เรื่องนี้ มันสอนธรรมะให้คุณได้ เรื่องร้าย กลายเป็นเรื่องดีไป

อนุโมทนาอีกที แต่ต้องภาวนาอีกนะครับ อย่าหยุดนะ


โดย: aston27 วันที่: 15 มีนาคม 2553 เวลา:1:26:06 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่แอสตัน เพิ่งได้เข้ามาในบล็อกนี้เมื่อวันสองวันนี่เอง อ่านแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นมากจากความเครียด

ช่วงนี้กำลังเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อจะจบโทค่ะ ใกล้จะหมดเขตจบเข้ามาทุกทีแล้ว แต่ประเด็นคือ เขียนไม่ออก คิดไปคิดมาก็วนเวียนอยู่ในสมอง เหมือนเห็นทางลางๆ แต่ก็ไม่ชัด เหมือนว่าจะมีอะไรให้เขียนก็แต่ก็ไม่แตกฉาน มองไปในจิตเหมือนเป็นหนูติดจั่น วิ่งไปวิ่งมา ดูไปก็รู้ว่าอยากเขียนให้ออก ดูไปอีกทีก็เห็นความขี้เกียจรวมอยู่ในนั้น บางทีก็นั่งสมาธิแต่มันก็ช่วยให้หายเครียดได้ แต่ปัญหาไม่หายเพราะยังเขียนไม่ได้ เรียนยังไม่จบ

ไม่ทราบว่าพี่จะมีอุบายดีๆ แนะนำให้เกิดไอเดียได้ไหมคะ

รบกวนแนะนำหน่อยนะคะ ถ้าไม่เป็นการเสียเวลาพี่มากเกินไป
ขอบคุณค่ะ


โดย: ออน IP: 58.8.245.119 วันที่: 15 มีนาคม 2553 เวลา:12:48:58 น.  

 
คุณออน

คำว่าความคิดสร้างสรรค์ ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า ต้องสร้างสรรค์ อะไรที่มาจากการบีบคั้นเคี่ยวเข็ญ มันมักจะทุลักทุเลนะ

ถ้านั่งจมจ่อมแล้วจินตนาการมันไม่บังเกิด ก็ไปหาที่โล่งๆ ร้านกาแฟบรรยากาศดีๆ ไปสวนสาธารณะริมน้ำ ดูต้นไม้ ดูสายลม ดูสายน้ำ ดูนก ดูแมว แล้วก็ดูจิต

ลองวางความรู้สึกว่า "ต้องได้" ลงไปก่อน ให้จิตใจ ให้สมองมันได้พักบ้างนะ แล้วพอจิตสบายใจ อะไรๆมันจะมาเอง

ตอนนี้ มันขาดแรงบรรดาลใจน่ะ


โดย: aston27 วันที่: 15 มีนาคม 2553 เวลา:16:16:32 น.  

 
"สุขสันต์วันที่ยังมีคำสอนเพื่อทำลายอัตตาให้เราได้เรียนนะครับ"

ชอบประโยคนี้มากค่ะ วันนี้เขียนไปดูอัตตาตัวเองไปค่ะ เลยบางอ้อ
ว่าทำไมตัวเองถึงใช้ชื่อจริงเวลาเขียนข้อความลงที่นี่
ไม่ยักกะอยากใช้ชื่อสมมติหรือชื่อเล่น

ก็เพราะชอบชื่อตัวเองค่ะ เป็นชื่อที่คุณพ่อตั้งให้ (ลืมไปว่ามันก็สมมตินี่นา) อัตตา หรือความเป็นตัวเรา ชื่อนี้เป็นของเรา ตัวเบ้อเร่อเลยค่ะ

นี่ขนาดแค่ชื่อนะเนี่ยยยย

ขอบคุณที่ถ่ายทอดงานเขียนดีๆให้อ่านนะคะ

อ่านแล้วก็สบายใจสบายตาดีเสมอเลย

ขอเลียนแบบมั่งนะ... สุขสันต์วันพระค่ะ (วันนี้วันพระ)


โดย: วิชชุลดา IP: 125.25.161.79 วันที่: 15 มีนาคม 2553 เวลา:16:37:11 น.  

 
จริงของพี่แอสตันค่ะ ต้องวางความรู้สึกว่า "ต้องได้" ลง เคยคิดอยากโยนเรื่องงานออกไปจากหัว แต่ดันไปคิดว่าถ้าคิดอย่างนั้น จะเป็นการขี้เกียจไปหน่อย แต่ก็อย่างว่า พอเป็นคนนอกมอง ทริกง่ายนิดเดียว

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ


โดย: ออน IP: 203.144.144.164 วันที่: 15 มีนาคม 2553 เวลา:18:39:15 น.  

 
อิ่มใจ^^

ขอบคุณค่ะ _/\\_


โดย: น้ำฟ้า IP: 115.67.140.186 วันที่: 16 มีนาคม 2553 เวลา:0:57:09 น.  

 
"เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นคนอื่นว่าแตกต่างจากเรา
นั่นแหละ อัตตามันโผล่แล้ว ว่านี่เรา นั่นเขา
จะรู้สึกเหนือกว่า ด้อยกว่า หรือเสมอกัน ก็ชื่อว่าเป็นอัตตาทั้งนั้น"
ชอบค่ะ เอ๊ะ ทำไม มันไม่ไหว้เรา ทำไมมันไม่ให้เกียรติเรา คิดได้ ก็อัตตา ทั้งนั้น ละวางที่เรา ก็สบายแล้ว ขอบคุณค่ะ


โดย: ผักบุ้ง IP: 222.123.60.39 วันที่: 17 มีนาคม 2553 เวลา:20:35:03 น.  

 
ถามเลยนะครับ
1.ในทางพุทธศาสนาสอนให้เราคิดบวกไหมครับ
(การคิดคือการปรุงแต่ง) แล้วเราควรคิดปรุงแต่งในทางบวกมากน้อยแค่ไหน

2.อนิจจัง ทุกขัง ต่างกันอย่้างไรในความหมาย? ( บางคนบอกว่าเหมือนกัน แต่ถ้าเหมือนกันพระพุทธเจ้าท่านคงไม่แยกไว้ )

ขอบพระคุณ


โดย: ขอเห็นธรรม IP: 124.157.180.10 วันที่: 26 มีนาคม 2553 เวลา:18:34:14 น.  

 
คุณขอเห็นธรรม

1. อันนี้ตอบตามความเข้าใจด้วยความรู้เท่าหางอึ่งของผมนะครับ

พระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เรามองโลกตามความเป็นจริง ไม่ใช่คิดเอา ท่านสอนให้มีสติรู้ทันเวลาจิตคิด ไม่สนใจเรื่องที่คิด ว่าคิดบวก หรือลบ ท่านให้ค่าเท่าๆกัน

แต่ในการใช้ชีวิต เรายังต้องอาศัยคิด เพื่อดำรงชีพ ดังนั้น การมีสติสำคัญมากครับ เพื่อจะได้รู้ทันเวลาคิด เพื่อให้เราคิดเท่าที่จำเป็น ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระ

คนเราฟุ้งซ่าน หรือคิดลบได้ ก็เพราะไหลคิดไปตามกิเลสที่ชวนให้เราคิดไปโน่นนั่นนี่ คิดด้วยอัตตา และก็มีโทสะ มีโทสะ แล้วก็สร้างอัตตา เป็นวงจรวนเวียนกันไปเรื่อยๆ

พูดง่ายๆว่า ให้มีสติแล้วใช้ความคิดเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ตกเป็นเหยื่อความคิดนั่นแหละ

2. อนิจจัง กับทุกขัง ต่างกันสิครับ

เวลาพูดต้องพูดครบวงจร ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะได้ครบไตรลักษณ์

เวลาอธิบาย ครูบาอาจารย์ท่านจะพูดเป็นกระบวนการสืบเนื่องกันไป จนบางคนฟังแล้วคิดว่าเป็นอันเดียวกัน

ตามความเข้าใจ ที่ผมภาวนาศึกษามา ทุกขังเป็นเหตุของอนิจจังครับ

เพราะสิ่งทั้งหลายมีความเป็นทุกข์ มันจึงทนอยู่ คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง

ทุกขัง คือภาวะความเป็นทุกข์ ความบีบคั้น ให้สิ่งนั้นๆเสื่อมลง โทรมไป จางหายคลายไป

แล้วถามว่า อนัตตามาเกี่ยวตรงไหน ก็เกี่ยวตรงที่ กระบวนทั้งทุกขัง และอนิจจังนั้น มันเกิดตามเหตุปัจจัยครับ ไม่ได้เกิดเพราะเรากำหนด สั่งการได้ตรงๆ

อนัตตา คือลักษณะหรือความจริงที่ว่า สิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตน เป็นแค่กระบวนการที่เกิดขึ้น ดับไป ตามเหตุปัจจัยทั้งนั้น

กระทั่งอัตตา ก็ไม่เที่ยงนะครับ ^^ ถ้ามีเหตุอันพอเหมาะพอดี อัตตาก็หมดสูญไปได้

พอช่วยได้ไหมครับ ^^"


โดย: aston27 วันที่: 28 มีนาคม 2553 เวลา:19:24:55 น.  

 
ไม่มีอะไรค่ะ
แค่จะบอกพี่ว่า แม้ไม่มีคำถาม
ก็แวะมาอ่านบ่อยๆค่ะ

หนังสือธนาคารความสุขทั้งสองเล่มที่ถอยมา
ก็ให้เป็นธรรมทานกับคนอื่นต่อไปแล้ว
ซึ่งเค้าก็ได้รับความสุข และจะส่งต่อความสุขนั้นเช่นกันค่ะ

อ่านถ้อยคำที่พี่เรียบเรียง
ช่วยชุบชูใจ และเป็นประโยชน์เกื้อกูลค่ะ

จะภาวนาต่อไป
แม้จะต้องนับหนึ่งใหม่แทบทุกวันค่ะ

ขอบคุณนะคะ
^^



โดย: น้ำฟ้า IP: 119.31.121.72 วันที่: 6 เมษายน 2553 เวลา:11:55:03 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณแอสตัน

ดิฉันมีปัญหาที่ไม่รู้ว่าจะหาทางออกให้ตัวเองอย่างไรดี

ดิฉันเปิดบริษัทกับแฟนมานานสิบกว่าปี ซึ่งก็มีปัญหาทะเลาะกันเรื่องงานปนกับเรื่องส่วนตัว จนต้องเลิกกัน แต่ก็ยังคงทำธุรกิจด้วยกันอยู่ (แต่ดิฉันยังไม่สามารถตัดใจจากเค้าได้ ซึ่งเค้าก็รู้อยู่)

จนตอนนี้เค้ามีแฟนใหม่ ซึ่งทำให้ดิฉันรู้สึกเสียใจและไม่สามารถที่จะทำงานกับเค้าอีกต่อไป เพราะไม่อยากรับรู้เรื่องราวของเค้า ถ้ายังทำอยู่ ต้องเห็นหน้ากันทุกวัน มันทรมาน ยิ่งเห็นเค้าคุยโทรศัพท์ รีบกลับบ้านทุกวัน ยิ่งทำให้จิตตก

แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเลิกทำธุรกิจกับเค้า ก็เหมือนตัวเองหมดสิ้นทุกอย่าง เงินเก็บก็ไม่ได้มีมากมาย เพราะเงินทั้งหมดเอาเข้าบริษัท จะไปเริ่มต้นใหม่ในวัยสี่สิบกว่า ก็รู้สึกว่าหมดแรงหมดพลังไปแล้ว

ตอนนี้ยังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้น่ะค่ะ รู้ว่าต้องเลือกซักทางที่ทำให้เราสามารถเดินต่อไปได้ แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้

- ทำงานต่อไป แล้วพยายามทำใจ อย่างน้อยก็ยังมีงานอยู่ : ก็พยายามแล้วค่ะแต่การที่ต้องเจอกันแบบนี้ ทำให้ความแค้นมันสะสมมากขึ้นทุกวัน หรือไม่ก็จิตตก หดหู่ ไม่อยากไปทำงาน

- ลาออก : ไม่ต้องพบกันอีกแล้วก็คงดี แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียทุกอย่าง การเริ่มต้นใหม่มันง่ายขนาดนั้นหรือคะ แล้วในวัยขนาดนี้จะหางานที่ไหนได้ง่ายๆหรือคะ

รบกวนขอความคิดเห็นในมุมมองของคุณแอสตันด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ


โดย: แคร์ IP: 118.174.55.17 วันที่: 8 เมษายน 2553 เวลา:9:40:03 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แอสตัน

ช่วงนี้เป่าจินก็ดูจิตไปเรื่อยๆค่ะ เหมือนไม่ได้ทำอะไรมากเท่าไหร่

ช่วงนี้ก็เห็นความยึดแล้วกิเลสต่อมาเป็นสายค่ะ น่ากลัวมาก แล้วก็เห็นว่าการปฎิบัติธรรมไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นนางฟ้า แต่เป็นนางมารที่รู้จักตัวเองค่ะ

รู้สึกดี เพราะไม่ต้องเป็นนางฟ้าก็ได้

การปฎิบัติสบายขึ้นค่ะ อะไรๆในโลกก็งั้นๆ แต่จะมีแบบฝึกหัดมาให้ปรี๊ดเรื่อยๆ ก็มันส์ดีค่ะ

เพิ่งผ่านแบบฝึกหัดไปบทนึง เกือบเอาตัวไม่รอด เพราะเป็นเรื่องความยึดอย่างเหนียวแน่น สุดท้ายรอดมาได้ เพราะสติที่ฝึกมา ต้องขออนุโมทนากัลยาณมิตรทุกๆท่านด้วย

สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ อาทิตย์หลังสงกรานต์เป่าจินจะไปส่งการบ้านหลวงพ่อค่ะ


โดย: เป่าจิน วันที่: 9 เมษายน 2553 เวลา:16:28:07 น.  

 
ขออนุญาตพี่ astonนะคะ

ขออนุโมทนากับคุณเป่าจินด้วยค่ะ


เมื่อก่อนก็ได้แต่ทำตามกิเลส แต่ไม่เห็นกิเลส


"เป็นนางมารที่รู้จักตัวเอง" ^^


โดย: น้ำฟ้า IP: 119.31.121.70 วันที่: 9 เมษายน 2553 เวลา:21:21:07 น.  

 
วันนี้รู้สึกหดหู่ สงสาร สงสารประเทศไทยดูข่าวแล้วน้ำตาก้อไหล เอ่อหนอชีวิตลิขิตไปตามกรรมจริงหรือ..ได้แต่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลกราบไหว้พระขอประเทศชาติได้ผ่านพ้นพ้นภัยพาลทั้งปวง..ในยามที่จิตไหวใจแก่วงมันเศ้ราอย่างบอกไม่ถูก..ถามตัวเองว่าร้องทำไม..มันอัดอั้นใจมันคงเป็นวิธีระบายอย่างหนึ่ง..มันสับสน..สับสนว่าทำไมคนดีถึงได้ตายง่ายดายนั
ก..อย่าบอกนะว่าเขาหมดกรรม..มันปวดหัวใจ
คุณช่วยตอบหน่อยว่าคนดีจะอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างไร


โดย: ananta IP: 125.27.216.64 วันที่: 14 เมษายน 2553 เวลา:21:47:09 น.  

 
**ผู้มีพระคุณ**

สวัสดีหลังวันสงกรานต์ค่ะคุณแอสตั้น^^

รู้สึกเกรงใจที่ต้องมีเรื่องไม่สบายใจมารบกวนปรึกษาคุณแอสตั้นจังค่ะ อย่างไรต้องขอขอบคุณ คุณแอสตั้นมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ส่วนตัวแล้ว ดิฉันเป็นคนที่ค่อนข้างจะปล่อยวางได้ง่ายและเร็ว เข้าใจสิ่งต่างๆ และมีอารมณ์ดีเป็นนิจค่ะ แต่มีเรื่องเดียวในชีวิตจริงๆ ที่คิดว่าตัวเองไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับตัวเองได้ซักที เวลาที่มีปัญหาเดิมๆนี้เกิดขึ้นมา แม้จะรู้เท่าทันจิตของตัวเองได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถควบคุมให้จิตไม่ฟุ้งกระจายได้ ยอมรับว่าปัญหานี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถกระทบจิตดิฉันได้มากทีเดียว อ่านแล้วอาจจะดูขำๆ นะคะ..แต่หนักๆ เข้ามันเริ่มขำไม่ออกแล้วล่ะค่ะ..55

สิ่งที่ดิฉันเป็นทุกข์ก็เนื่องมาจากความทุกข์ของคุณแม่ดิฉันอีกทีค่ะ..คุณแม่เป็นผู้หญิงที่เพรียบพร้อมในทุกๆ เรื่อง มีข้าทาสบริวารล้อมหน้าหลังมาตั้งแต่เล็ก และท่านคิดเสมอว่าความสุขคือการได้มีเงินจับจ่ายใช้สอยซื้อสิ่งฟุ่มเฟือย คือความสะดวกสบายที่มาจากการที่มีคนคอยบริการรับใช้อำนวยความสะดวก

ทุกครั้งที่มีแม่บ้านลาออกหรือกลับบ้าน..ท่านจะเป็นทุกข์มาก ว้าวุ่น ฉุนเฉียว หนักเข้าถึงกับโทษชะตาชีวิตตัวเองที่ต้องลำบาก ต้องล้างจานเอง ต้องกวาดบ้านเอง ต้องคลุกข้าวให้น้องหมาตัวเล็กๆ 2 ตัวทานทุกวัน ท่านรู้สึกว่าทำไมท่านถึงรู้สึกว่าต้องลำบากขนาดนี้(ดิฉันเป็นลูกคนเดียว แต่งงานและแยกไปอยู่กับสามีค่ะ)

ที่ผ่านมาเวลาแม่บ้านออก ดิฉันก็จะยืมแม่บ้านของญาติๆ มาบ้างค่ะ มาคอยดูแลเก็บกวาด เตรียมข้าวปลาให้ไม่ขาด แต่อัตราการ turnover ของแม่บ้านที่อยู่ประจำค่อนข้างสูง

ล่าสุดแม่บ้านที่อยู่ด้วยกันมาพักใหญ่ๆ ก็ขอลาออกเมื่อต้นเดือนเมษาฯ นี้เองล่ะค่ะ..อาการลำบากอย่างแสนสาหัสได้เข้ามาเยี่ยมเยือนคุณแม่ของดิฉันอีกครั้ง 55 (ดิฉันไม่ได้กล่าวอ้างว่าบุพการีที่เคารพเกินจริง..มีอีกหลายสิ่งที่คุณแม่ดิฉันน่ารักก็หลายเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียวเลยค่ะ)

ท่านคิดว่าชีวิตท่านตอนนี้ประสบถึงความยากลำบาก ท่านมักโทรมาบอกว่าท่านต้องตื่นเช้าขึ้นเพื่อที่จะต้องมาให้ข้าวน้องหมา ต้องมารดน้ำต้นไม้ ต้องเอาผ้าเข้าเครื่องซัก ต้องกวาดบ้านฯลฯ 555 ต้องไปซื้อกับข้าวเอง..ทำไมท่านต้องมาทำอะไรอย่างนี้ ท่านเป็นโรคหัวใจเหนื่อยมากไม่ได้ (ด้วยความสัตย์จริงว่าไม่ได้เสริมแต่งคำพูดประการใดค่ะ)

ปัญหาอาจจะเบาบางขึ้นถ้าดิฉันไม่ได้เพิ่งผ่าตัดหน้ามดลูกไปได้1อาทิตย์ ไม่เช่นนั้นก็คงไปคอยบริการท่าน หรือดิฉันสามารถหาแม่บ้านให้ใหม่มาทันเวลา..ซึ่งดิฉันยอมรับจริงๆ ว่าแม่บ้านสมัยนี้หายากเหลือเกิน ดิฉันเองก็ไม่ได้จ้างแม่บ้านมานานแล้วเหมือนกันค่ะ และส่วนตัวดิฉันก็คิดว่าปัญหาทุกอย่างน่าจะแก้ที่ตัวคุณแม่ท่านเองด้วย

ทุกวันนี้ดิฉันเริ่มเครียดกับความทุกข์(ที่ไม่น่าจะทุกข์ขนาดนั้น) ของคุณแม่แล้วล่ะค่ะ..เรื่องนี้เกิดขึ้นแทบทุกครั้งที่แม่บ้านลาออก เกือบๆ จะปล่อยวางได้ทุกครั้ง..แต่คุณแม่มักจะโทรมาบ่นเรื่องความลำบากนี้วันละ 3 รอบ

ดิฉันแนะนำคุณแม่ปล่อยวางดูบ้าง ให้อ่านหนังสือธรรมมะบ้าง ดูหนังซีรี่ย์บ้าง แต่เหมือนท่านจะปล่อยวางไม่ได้จริงๆ

เรื่องปฏิบัติธรรม ดิฉันได้สนับสนุนและผลักดันท่านในเรื่องนี้ตลอด แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ..ท่านบอกว่าท่านยังไม่พร้อม :) ดิฉันอยากให้ท่านมีความสงบในใจ มีสติ และอยากให้คิดได้จริงๆ ว่ามีคนที่ลำบากกว่าอีกมากมาย อยากให้ท่านทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายๆได้ และอีกอย่าง..ถ้าโลกนี้ไม่มีแม่บ้านอยู่บนโลกเหลือเลย..ท่านจะทำอย่างไร

ที่ผ่านมา..ดิฉันและครอบครัวได้ใช้อารมณ์ขัน การมองบวก เป็นตัวช่วยแก้ปัญหาของท่าน..ดูเหมือนท่านจะเข้าใจได้ดี..แต่เมื่อถึงสถานการณ์จริงๆ มันก็แย่เหมือนเดิมค่ะ^^

คุณแอสตั้นช่วยแนะนำหน่อยค่ะว่าดิฉันควรแก้ปัญหาอย่างไร..แก้ที่ตัวเองก็พยายามอยู่ค่ะ..มีคำแนะนำสำหรับคุณแม่ที่ไม่ถนัดเรื่องธรรมมะด้วยไม๊คะ

ขอขอบคุณ คุณแอสตั้นเป็นอย่างสูงค่ะ
น้องนวล


โดย: น้องนวล (Role of a Lifetime ) วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:20:23:15 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่ aston

ขอโทษนะคะมีเรื่องมารบกวนอีกแล้ว
คือรู้จักสมณะท่านนึงในweb ธรรมะค่ะ
ท่านเมตตาสูงมากต่อสหธรรมิกทั้งหลาย
มีหลายคนที่พ้นจากทุกข์ได้เพราะท่าน
(รวมทั้งตัวเองด้วย)
มีอะไรก็ปรึกษาท่านตลอด
ตอนนี้ก็เกือบปีแล้วที่ได้รับความเมตตาจากท่าน
(ทั้งทาง web mail msg โทรศัพท์ แต่อันสุดท้ายนับครั้งได้)
ส่วนใหญ่ท่านจะให้ข้อธรรมและตอบเรื่องสภาวธรรมค่ะ
แต่ยิ่งนานวัน ยิ่งรู้สึกยึดติด
จากความประทับใจ ซาบซึ้ง ชื่นชม กลายเป็นถูกกิเลสครอบงำซะ
จนตอนนี้จากจิตกุศลพลิกเป็นอกุศลแล้วค่ะ
ไม่ทันรู้ตัวตอนที่กิเลสยังตัวเล็กๆ
เลยให้อาหารมันอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้คิดจะตัดใยบาปนี้ซะที
เลยกราบลาท่าน
(จะไม่ติดต่อกับท่านอีก)
เพราะพี่เคยบอกว่าไม่ให้นิ่งเฉยต่อเหตุปัจจัย
ที่ทำให้เกิดทุกข์ใช่มั้ยคะ
แต่ท่านกลับแย้งว่า ยิ่งเราหนีจะยิ่งใกล้
เพราะนั่นคือวิภวตัณหา มันจะเกาะกินใจเราไปอีกนาน
ให้เราเจริญสติโดยอาศัยพรหมวิหาร4
ตั้งสติ ไม่ดึงไม่ผลัก ไม่สุดโต่ง
แล้วจะทำยังไงต่อไปดีคะ
จะทำตามที่ท่านแนะนำก็ยังทำไม่ได้
ไม่งั้นคงไม่ตัดสินใจแบบนี้

พี่ช่วยแนะด้วยนะคะ
เพราะไม่อยากสั่งสมอาจิณกรรมทางใจ
ทุกวันๆ จนต้องไปอบายภูมิอยู่แบบนี้ค่ะ เฮ้อ
ไม่ตั้งใจจะรบกวนพี่อีก
แต่เรื่องนี้ไม่รู้จะตัดสินใจยังไง
ท่านถามว่าท่านจะยังส่งอะไรมาให้อ่านอีก
ได้ใช่มั้ย แต่รู้ว่าตอนนี้จิตใจยังอ่อนแออยู่
ยังไม่ได้ตอบอะไรท่านไปค่ะ
ยิ่งท่านบอกว่าเรามาหักหาญลา
และพูดว่าเป็นห่วงหลายครั้ง
ยิ่งสะเทือนใจขึ้นอีก

บาปหนักหนานะคะ






โดย: น้ำฟ้า IP: 119.31.121.90 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:21:23:35 น.  

 
คุณแคร์ครับ

สภาวะที่เจอ มันก็เป็นวิบากอย่างหนึ่ง จากกรรมที่คุณเคยทำมา อยากให้คิดอันนี้ก่อน เพื่อจะได้ผ่อนคลายลง

ฉะนั้น ทุกข์ที่คุณต้องรับ มันก็คือการใช้หนี้กรรมเก่า
ใช้ไปแล้วก็ไม่ต้องบ่น จะได้หมดกรรมเวรเสียไวๆ

แต่ไม่ได้บอกว่า ให้ยอมรับว่าเป็นกรรมเก่าอย่างเดียว แล้วไม่ทำอะไร แบบนั้นก็ไม่ใช่พุทธสิ

ชาวพุทธ ต้องเชื่อในกรรมใหม่ กรรมปัจจุบันมากกว่า

ฉะนั้น ทางออก มันก็มีอยู่ถึงจะไม่เหลือวิสัยของมนุษย์ แต่รับรองได้ว่าไม่ง่าย

คือคุณต้องเลือก ว่าจะเอาอะไรสักอย่าง จะเอาสบายเงิน หรือสบายใจ

ถ้าถามผม ในกรณีนี้ ผมจะเลือกสบายเงิน เพราะผมคงไม่แคร์ว่าแฟนเก่าผมจะมีใคร

เพราะเขาจะมีหรือไม่มีแฟนใหม่ มันก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ถ้าเราไม่มีงาน ไม่มีเงินนี่ มันเรื่องของเรานะ ^^"

เลือกได้ แล้วก็ต้องหัดย้อนมาดูจิตใจตัวเองครับ ดูด้วยความรู้สึกตัวนะ มันโกรธ มันเกลียด ก็รู้ทัน รู้ทันไปลูกเดียว

แล้วก็ต้องไหว้ พระ สวดมนต์ ถือศีล ทำทาน แล้วหัดเจริญสติไว้

ที่สุดแล้ว จะสำเร็จไม่สำเร็จ ก็ขอให้โชคดีครับ


โดย: aston27 วันที่: 20 เมษายน 2553 เวลา:21:48:09 น.  

 
ขอบคุณมากนะคะ เพิ่งไปปฏิบัติธรรมมาค่ะ

ตอนนี้ก็กำลังพยายามฝึกเจริญสติอยู่ แม้ว่าเวลาไปทำงานก็ยังเตลิดเปิดเปิงอยู่บ่อย ๆ แต่ก็จะพยายามค่ะ


โดย: แคร์ IP: 125.24.89.64 วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:21:08:36 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่ aston

แหะๆ เหมือนเดิมค่ะ
ไม่รบกวนให้พี่ตอบแล้วดีกว่า
เพราะความทุกข์ก็ไม่เที่ยงนะคะ^^



โดย: น้ำฟ้า IP: 61.47.11.66 วันที่: 28 เมษายน 2553 เวลา:11:09:59 น.  

 
หวัดดีค่ะ
ก่อนอื่นต้องบอกว่าอ่านหนังสือพี่แล้ว ดีจัง เข้าใจง่ายด้วย ซื้อนะคะ ไม่ได้ยืมใครอ่าน ^ ^ (แต่ทำไมเวลาทำมันยากจังคะ หมายถึง เข้าใจทุกข์ ทำใจ รึแม้กระทั่งปล่อยวาง)
วันนี้หนูมีเรื่องที่คิดไม่ตกและกำลังสงสัยว่าตัวเองคิดผิดรึป่าว คือ การที่เราให้อภัยในความผิดของคนๆนึง เปนเพราะเรารักรึเราโง่คะ ?? แล้วเราควรจะเชื่อใจเค้าได้อีกมั๊ยคะว่าเค้าจะไม่ทำร้ายรึโกหกเราอีก..................

ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ค่ะ


โดย: สับสน IP: 125.26.252.240 วันที่: 1 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:02:29 น.  

 
น้ำฟ้า

นับหนึ่งไว้ :)

แคร์

ทำเล่นๆ แต่ขยันๆนะครับ ภาวนาอย่าเคร่งเครียด เตลิด รู้ว่าเตลิด แค่รู้สึก รู้แล้วไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ อยากหยุดเตลิด รู้ว่าอยาก

สับสน

เข้าใจด้วยการอ่านหรือฟัง มันเป็นปัญญาขั้นต้นครับ ส่วนการทำให้แจ้งในธรรม มันเป็นปัญญาขั้นปลาย

จิตมันเป็นอนัตตา มันไม่ใช่ตัวตนของเราจริงๆ เราสั่งให้มันวาง มันไม่เชื่อเราหรอก

เหมือนเรามีน้องคนนึง เขาดื้อของเขามาตั้งนานแล้ว วันนึง เราพบว่าเขาทำอะไรผิด เราจะไปสั่งไปบอกให้เลิก เขาไม่เชื่อเราง่ายๆหรอก

ต้องลงมือเอาความจริงไปให้เขาดูบ่อยๆว่า เนี่ย จริงๆสิ่งที่เขาทำมันไม่ดียังไง จนเขาเห็นความจริง แล้วเชื่อเอง

คิด รู้ทันว่าใจหลงไปคิด สงสัย รู้ว่าสงสัย ก่อนนะ

คนเราให้อภัยใคร มีสองแบบนะ แบบที่ให้อภัยเพื่อจะไม่ต้องบาดหมาง จองเวร ขุ่นเคืองต่อกัน อันนี้ทำด้วยเมตตาและปัญญาครับ ไม่เกี่ยวกับโง่หรือฉลาด

แต่ให้อภัย อีกแบบ คือให้อภัยในสิ่งที่เขาทำ เพื่อหวังผลว่าต่อไปเขาจะไม่ทำอีก แบบที่คุณทำอยู่ อันนี้ผมตอบไม่ได้ครับ ว่าผลจะเป็นยังไง
เพราะมันขึ้นกับจิตสำนึกของเขา

แต่ถ้าจะเลือกทางนี้ ก็ต้องเชื่อใจแหละครับ ไม่งั้นก็ไม่มีประโยชน์จะกลับไปคบกัน เพราะจะทำร้ายกันเปล่าๆ

แต่ในอีกทาง เชื่อใจเขา ก็ต้องหมั่นวางใจด้วยว่า โลกนี้มันไม่แน่นอน อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ คนเรารักตัวเองเป็นธรรมชาติ มนุษย์เราส่วนใหญ่อ่อนแอต่อกิเลสเพราะไม่คุ้นเคยต่อการมีสติ

ฉะนั้น ก็ต้องทำใจไว้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น วันหนึ่งเราก็ต้องเจอการสูญเสีย พลัดพราก จะด้วยเหตุใด ก็เหตุหนึ่ง

เราต้องฝึกจะอยู่อย่างมีสติ เข้าใจตัวเอง เข้าใจธรรมชาติ แล้วเราจะไม่ทุกข์ร้อน เวลาที่อะไรๆ มันไม่เป็นอย่างใจเราหวัง

มีสติ รู้สึกตัวไว้นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 3 พฤษภาคม 2553 เวลา:9:45:50 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่aston
มีปัญหาอยากรบกวนปรึกษาว่าจะทำใจยังไงดี
คือ หนูเรียนโทอยู่ค่ะปี 3 แล้ว งานก็ยังไม่ก้าวหน้านัก แต่มีรุ่นน้องที่เข้ามาที่หลังอาจารย์ที่ปรึกษาเดียวกันทำงานได้ก้าวหน้าไปมากแล้ว ก็ดีใจกับน้องเค้านะค่ะ ไม่อยากเครียดนะค่ะ ก็พยายามคิดว่างานไม่เหมือนกัน แต่มีบาง part ที่เหมือนกันเค้าก็ทำได้สำเร็จก่อน บางทีเลยแอบเครียด เจอเหตุการณ์แบบนี้เกือบทุกวันเลยท้อมากเลยค่ะ ไม่รู้จะคิดยังไงดี จะได้ไม่เครียด งานตัวเองจะได้ก้าวหน้าด้วย เพราะบางทีมีผลทำให้อยากหยุดทำงานไปเลยนะค่ะ
พอจะมีคำแนะนำไหมค่ะ ขอบคุณมากนะค่ะ


โดย: อ้อม IP: 10.105.1.253, 202.28.179.13 วันที่: 3 พฤษภาคม 2553 เวลา:15:32:00 น.  

 
ผมอยู่เชียงใหม่วันนี้ไปวัดอุโมงค์มา เดินรอบบริเวณแล้วถามตัวเองว่า มาทำไมแล้วได้อะไรกลับไปบ้าง บางคนมาเที่ยวถ่ายรูป มากับแฟนหรือคลายร้อนพักผ่อนก็ว่ากันไป แต่ผมมาค้นหาจิตและสัจธรรมเหมือนอย่างที่คุณastonว่าอยู่ไหนก็สามารถค้นหาจิตได้เพียงแต่เรารู้สภาวะจิตไม่กดข่มหรือปรุงแต่งมันปล่อยให้มันเป็นไปแต่ไม่ไหลตาม วางสถานะเป็นกลาง และจากการเดินดูโดยรอบผมก็ได้รู้ว่าทุกอย่างมันไม่เที่ยง พระพุทธรูปปูนปั้น สถูปเจดีย์ ปลาที่ลอยตาย หรือต้นไม้แห้งเฉา ทุกสิ่งอย่างสารพันล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปอันนี้ผมเอามาใช้ควบคุมตัวเองได้ด้วยนะคับจากที่เคยเป็นคนโมโหง่ายฉุนเฉียว ใจร้อนก็เย็นลงด้วยคิดว่าทุกอย่างที่มากระทบอารมณ์เดี๋ยวก็หายไปเหลือเพียงความว่างเปล่า มีสติขึ้นเยอะ
แต่จะถามว่าเวลาจะคุยกะใครเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยมีคนอยากจะคุยด้วยเลยอ่าคับ....เขาว่าผมเพี้ยนบอกให้ไปบวชซะ ผมบอกว่าผมบวชแล้วแต่ไม่ใช่ทางกาย แต่ผมบวชจิต แล้วคุณล่ะ...ทีนี้ว่าผมบ้าไปเลยอ่ะคับ


โดย: ต้นน้ำ สายฝาง IP: 118.172.6.136 วันที่: 4 พฤษภาคม 2553 เวลา:13:48:53 น.  

 
พี่aston คะ
อยากรบกวนถามว่าถ้าเราไม่มีเงินให้พ่อแม่ ทั้งที่อยากให้แต่เพราะไม่ได้ทำงาน แต่ก็โทรคุยประจำ แล้วพ่อแม่เราก็ไม่ได้เดือดร้อนเงินเพราะมีพี่น้องคนอื่นให้อยู่แล้ว เราจะบาปมั้ยคะ ขอบคุณที่สละเวลาตอบนะคะ


โดย: นิด IP: 125.27.81.75 วันที่: 19 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:45:23 น.  

 
คุณนิด
การทำบุญ พระท่านว่าต้องรู้จักประมาณตนด้วย
ถ้าทำมากเกินไป จนเบียดเบียนตัวเอง ก็ไม่ฉลาด

ในเมื่อคุณเองไม่ได้ทำงาน ไม่มีรายได้ เอาแค่ว่า
ไม่ทำตัวเป็นภาระท่าน ก็น่าจะพอแล้ว

ถามว่าบาปมั้ย ไม่บาปหรอก แต่ก็บุญน้อยหน่อย

อย่าคิดมาก แล้วรีบหางานสุจริตทำนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 28 มิถุนายน 2553 เวลา:20:15:59 น.  

 
เริ่มต้นด้วยคำถามเลยนะคะ ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

สงสัยที่หลวงพ่อปราโมทย์เทศน์ไว้ว่า ศึกษาธรรมะมามากแล้ว ต่อไปนี้ให้ศึกษาจิตใจตนเอง
- จะเริ่มศึกษาจิตใจตัวเองเมื่อศึกษารู้ธรรมะอะไรบ้าง
-การเริ่มปฏิบัติ สำหรับมือใหม่ ที่เป็นชาวบ้าน ไม่เป็นชาววัดเลยนั้น ควรจะต้องทำอย่างไรบ้างคะ

ขอบคุณมากค่ะ ^^


โดย: jern-jern IP: 124.121.247.112 วันที่: 19 กรกฎาคม 2553 เวลา:18:05:38 น.  

 
สวัสดีครับพี่ aston
ผมชอบศึกษาพุทธศาสนามาก อีกด้านนึงก็ชอบดูหนัง และฟังเพลงด้วย อยากทราบว่า
1. หนัง และ เพลงเป็นตัวก่อให้เกิดกิเลสรึเปล่า เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์คล้อยตาม หรือต้องใช้หลัก ทางสายกลางและสติในการดูหนัง ฟังเพลง ให้รู้เท่านรึปล่าวคับ
2.ศิลปิน นักแสดง นักร้อง อาจทำบาปได้ไหม เพราะเป็นอาชีพที่ทำให้คนหลงไหล


โดย: นายแสบ IP: 125.26.47.164 วันที่: 26 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:31:27 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แอสตัน ไม่ได้แวะมาถามนานมากสบายดีนะคะ

ช่วงนี้สังเกตุลมที่เกิดขึ้นกลางอกค่ะ เป็นแรงดัน บางทีก็แรง บางทีก็เบาๆ แผ่ๆ

ลมเหล่าเกิดขึ้นปั๊ป ความรู้สึกสุข ทุกข์ก็เกิดขึ้น จากนั้นมีกระบวนการตั้งชื่อให้ลม แล้วปรุงแต่งต่ออย่างรวดเร็ว คิดต่อไป ปรุงต่อไป แล้วก็ต่อไป ต่อไป เรื่อยๆ

เป่าจินจะรู้ทันตอนที่ลมมันกระแทกจนเกิดความรู้สึกแล้ว (คือปรุงไปแล้วนั่นเอง) แต่ก็สนุกดีค่ะ เพราะรู้ปั๊บ มันก็จะไม่ปรุงต่อแล้ว จิตจะวางไป เห็นว่าเป็นของไม่สำคัญ ไม่เอาไว้

ฝึกแบบนี้เรียกว่า"การละ" "การวาง" ใช่ไม๊ค่ะ ตอนนี้ก็ฝึกแบบนี้ไปก่อนค่ะ

ขอบคุณและสุขสันต์วันฝนตกค่ะ


โดย: เป่าจิน IP: 61.47.19.72 วันที่: 2 สิงหาคม 2553 เวลา:17:02:47 น.  

 
ไม่ชอบนิสัยบางอย่างของตัวเอง บางทีก็โดนมันควบคุม มีวิธีปฏิบัติกับมันยังไงดีครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครบ


โดย: อินุ IP: 125.26.240.124 วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:23:38:46 น.  

 
ระหว่างที่รออาบน้ำที่ใดที่หนึ่ง (ขอไม่เปิดเผยสถานที่ แบบว่าอาย) เลยเดินเข้าไปในร้านหนังสือ เลือกได้หลายเล่มมีแต่เจ๋งๆ ที่จริงบางเล่ม ยืนอ่านก็ได้เพราะเล่มไม่ได้หนามาก แต่มันก็ดีจนอยากเก็บไว้

เข้าคิวรอจ่ายเงิน พนักงานบอกว่า จ่ายเงินสด ด้านนี้ค่ะ

เดินเข้าไป แล้วหยิบบัตรเครดิต เพราะคิดว่าน่าจะจ่ายได้เหมือนกัน (คิดเอง เออเอง) ยังไม่เข้าใจว่าทำไมช่องนี้ถึงจ่ายบัตรไม่ได้

พนักงานเห็นบัตร ก็มองหน้า แล้วบอกว่า ก็บอกแล้วไงว่าจ่ายเงินสด พลางชักสีหน้า

ขอโทษค่ะ งั้นยังไม่จ่ายละกัน

ถามว่าโกรธไหม ก็ไม่โกรธนะ เฉย เฉย เดินออกมาจากหน้าเคาท์เตอร์ วางหน้งสือไว้ที่ข้างๆ เคาท์เตอร์ แล้วเดินออกจากร้านไปซื้อร้านข้างๆ

เพราะเพิ่งคิดได้ว่าเป็นสมาชิกอีกร้าน ซื้อได้ส่วนลดและสแตมป์ พร้อมคะแนน MCard (รุ้สึกช้าไปนิดนึง)

ถามว่าตอนนี้โกรธไหม คิดเองเออเองว่าไม่โกรธ

แต่หากไม่โกรธจะโพสต์เรื่องนี้ทำไม สงสัยจัง


กลับไปคิดถึงเรื่องนี้อีกที

ถามว่าโกรธไหมที่ไม่รับจ่ายด้วยบัตร

ตอบได้ว่าไม่โกรธ เพราะรู้อยู่แล้วว่ารับจ่ายเงินสด แต่อยากลองเสี่ยงดู เผื่อว่าเขาจะรับจ่าย ไม่ลองไม่รุ้

ถามต่อว่า งั่้นโกรธอะไร

ก็ตอบได้ว่า โกรธที่หนักงานพูดไม่ดี ชักสีหน้าใส่

ก็อย่างที่พระท่านบอก จิตเกิดดับตลอดเวลา เร็วจนตามไม่ทัน

ตอนนี้พยายามตามอารมณ์ให้ทัน ไม่รู้ว่าที่เล่ามาเนี่ย มันใช่หรือยังคะ ไปถูกทางไหมคะ



โดย: LittlePooh IP: 111.84.61.72 วันที่: 26 กันยายน 2553 เวลา:0:28:16 น.  

 
ขออภัยที่มาช้าไปหน่อยครับ พักหลังผมไปอยู่บน Twitter เสียนาน

ตอบคำถามเลยนะครับ
jern-jernครับ
สำหรับมือใหม่ ลองไปอ่านบล็อกนี้นะครับ
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aston27&month=19-05-2010&group=11&gblog=26

แต่ถ้าเอาเป็นคู่มือเลย ก็ไป //www.wimutti.net แล้วไปโหลดหนังสือ/ซีดี แผ่นที่ชื่อ "วิธีปฏิบัติธรรม" หรือ "4 วันในสวนสันติธรรม" มาอ่าน/ฟัง นะครับ

นายแสบครับ
1. ถามว่าก่อให้เกิดกิเลสไหม ก็ก่อครับ

แต่สมมติบอกว่า ต่อไปนี้มาปฏิบัติธรรมกันนะ แล้วเลิกดูหนังฟังเพลงให้หมด ผมว่าร้อยคน คงมีคนภาวนาไม่ถึง 5 คนนะ

อีกอย่าง ธรรมขั้นต้นๆ ยังไม่ถึงขั้นจะต้องละกามกันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดครับ เอาแค่ว่า ให้มีสติรู้ทันใจที่ปรุงแต่งไปกับเพลง และหนัง ก็พอ

เว้นแต่ว่า มั่นใจว่าจะปฏิบัติให้เสร็จงาน หมดกิจ พ้นทุกข์ ในปีเดียว ก็ต้องเลิกหมด

แต่ส่วนมาก พวกที่ตั้งเป้าแบบนั้น ไม่ค่อยมีใครสำเร็จจริง เพราะมันละกิเลสหยาบได้ แต่ละกิเลสขั้นละเอียดไม่ค่อยได้ครับ

2. ศิลปินนักร้อง ดีเจ ก็ทำบาปในส่วนที่ทำให้คนหลง คนมีความเพลิดเพลิน เรียกว่า นันทิราคะ น่ะครับ

อันนี้ผมก็โดนอยู่เหมือนกัน :)

เป่าจิน
อาการที่ว่า พี่ไม่เคยเป็นครับ ไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่ว่าตามหลักคือ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตตั้งมั่นและเป็นกลาง ก็ถูกแล้วครับ เพราะเป่าจิน ไม่ได้ทำอะไรนอกจากรู้

แต่เวลารู้แล้วสนุก ก็ต้องรู้ทันว่าสนุกนะ ^^"

ไม่ใช่ห้ามสนุกนะครับ ดูจิตมันสนุกอยู่แล้วล่ะ แค่อะไรเกิด ก็ต้องรู้ทัน แต่ไม่ห้ามครับ


อินุ หลักเดียวกันกับข้างบนเลยครับ
"รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตตั้งมั่นและเป็นกลาง"

มันจะดีไม่ดี เราก็รู้ทัน รู้แล้ว ชอบไม่ชอบ ก็รู้ทัน
มันครอบงำเราแล้ว ก็รู้ทันอีก

มีสติแล้ว ก็ตั้งใจรักษาศีลครับ ถ้าสิ่งที่เราไม่ชอบนั่น มันผิดศีลด้วย ก็ต้องตั้งใจที่จะไม่ทำ

แต่ถ้ามันไม่ได้ผิดศีล ก็ดูตามสมควรแก่เหตุ ถ้าเป้นสิ่งที่ทำแล้วดี ก็ทำ

เช่นอยากเดินจงกรม อยากไปวัด อยากทำบุญ อยากนั่งสมาธิ อยากทำทาน เราควรรู้ทันความอยากน่ะใช่ แต่ไม่ใช่รู้ทันแล้วไม่ทำเลย

รู้แล้ว ความอยากดับ แต่ควรทำ ทำแล้วดี ก็ทำนะครับ เราทำด้วยฉันทะ ยินดี พอใจ ตั้งใจดีในการทำ ด้วยเห็นเป็นประโยชน์

LittlePooh
ถ้าเห็นจิตเกิดดับได้อย่างนั้น ก็ถูกทางสิครับ

แต่สงสัย ว่าโพสต์ทำไม แล้วรู้ทันความสงสัยไหมครับ :)


โดย: aston27 วันที่: 1 ตุลาคม 2553 เวลา:18:13:46 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่เอ๊ด

รบกวนปรึกษาปัญหาเรื่องความรักหน่อยนะคะ

หนูมีแฟนเป็นทอมค่ะ เราคบกันมาหกปีแล้ว เค้าเป็นคนดีซื่อสัตย์และดูแลหนูดีมากค่ะ เราทั้งคู่เป็นลูกที่ดีและรับผิดชอบหน้าที่การงาน แต่หนูไม่สบายใจเลยที่ต้องปิดบังพ่อแม่(บางครั้งก็ต้องโกหกว่าเป็นเพื่อนกัน) แฟนหนูไปมาหาสู่ที่บ้านบ่อยๆ ในฐานะเพื่อนสนิท ที่บ้านรักเค้าทุกคนค่ะ
หนูสับสนมากว่าควรจะคบกันต่อไปดีไม๊ ถ้ายังต้องปิดบังพ่อแม่ต่อไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต

พี่ค่ะจริงมั๊ยค่ะที่รักร่วมเพศจะมีจุดจบที่ผิดหวังเสมอ เพราะละเมิดศีลข้อสามมาในชาติก่อนๆ

รบกวนตอบด้วยนะคะ


โดย: star IP: 125.24.89.26 วันที่: 5 ตุลาคม 2553 เวลา:20:45:35 น.  

 
มีเรื่องปรึกษาค่ะ มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน คือเพื่อนร่วมงานเป็นอารมณ์แรงโมโหแรง หวงงาน สอนงานแบบอารมณ์รุนแรง ปกติเขาเป็นคนดีคนหนึ่งค่ะ แต่พอคุยเรื่องงานเป็นออกอาการไม่สบอารมณ์ เราพยายามพูดคุยกับเขาแล้วแต่ไม่เป็นผล เขาก็รู้นะ แต่ไม่เปลี่ยนตัวเวลาคุยกับเขาตอนไม่โกรธก็รู้ตัวดี แต่พออารมณ์มาก็โกรธ มาลงที่เราทุกที ตอนนี้มีเรื่องกันค่ะ แต่พอเขาหายโกรธก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม คือดีค่ะ แต่ไม่รับประกันว่าอนาคตจะเป็นแบบนี้อีกหรือเปล่า ยอมรับกลัวอารมณ์เขามาก ๆ ค่ะ


โดย: น้ำ IP: 115.87.184.48 วันที่: 9 ตุลาคม 2553 เวลา:20:36:48 น.  

 
พี่แอสตั้นคะ
เป็นแฟน twitter ตัวยง ชอบอ่านนิทานก่อนนอนที่พี่ post ไว้1-3เรื่องก่อนนอนค่ะ :)
มีคำถามการปฏิบัติสั้นๆ 2 ข้อค่ะ
1. นั่งสมาธิ ถาม 3 อาการค่ะ
1.ใจตกวูบ สะดุ้งตื่นจากสมาิธิอันนี้เป็นบ่อยๆ คืออะไร ทำไมเกิดเช่นนี้ เป็นบ่อยครั้ง 2. นั่งสมาธิก่อนนอนแล้วรู้สึกตัวหายประมาณ 1-2 วิ ตามรู้ ตามสงสัย สู้ไม่ได้เลยลืมตาค่ะ 3.กระตุก อันนี้ชินแล้วค่ะ ตื่นจากสมาธิแต่ก็ปฏิบัติต่อได้ค่ะ

2. ความรู้สึกเมื่ออยู่กับปัจจุบันกับการเคลื่อนไหวเจอสภาวะแปลกๆ 2- 3 ครั้ง มันคืออะไร หรือแค่ตามรู้ค่ะื (อยากดี 1. เห็นขนขาแล้วรู้สึกเหมือนเห็นขนหมู 2. สระผมแล้วรู้สึกว่าหัวเราเป็นกลมๆ สีดำๆ เหมือนกะลา 3. เอามือจับจมูกแล้วรู้สึกถึงกระดูจมูก เห็นภาพลึกๆ ในขณะตื่นค่ะ 4. ยืนนิ่งทำสมาธิรู้ทั่วกายใจ มีลมพัดแล้วรู้สึกพัดเนื้อเราไปเจอแต่กระดูกค่ะ

3. ทำงานเกี่ยวกับโฆษณา สังคมเป็นอย่างไรพี่คงทราบ แต่เหมือนกับเราเดินสวนทางกับคนอื่นค่ะ ปฏิับัติธรรมตามรู้และสมาธิปีกว่า มาระยะหลังรู้สึกเพื่อนร่วมงานห่างๆ ออกไป แต่ก็ตามรู้นะคะ แถมเช็กตัวเองว่าอยู่ได้มั้ย ก็อยู่ได้ค่ะ แค่ไม่สบายใจบ่อยๆ :P


ทั้งหมดเป็นอาการแค่ชั่วพริบตาเดียวค่ะ (ยกเว้นข้อ 3 เริ่มรู้สึกแรงๆ ตอนครึ่งปีหลังนี้ค่ะ)
ตามรู้แล้วเมื่อเกิดขึ้นอีกก็ตามรู้ ตามสงสัย กิเลสอยากรู้ รบกวนด้วยค่ะ
อนุโมทนาบุญพี่ด้วยค่ะ


โดย: นกน้อย IP: 202.91.23.2 วันที่: 12 ตุลาคม 2553 เวลา:13:31:07 น.  

 
พี่เอ๊ดคะ ขอบคุณมากนะคะสำหรับคำแนะนำเรื่องความรักของหนู พี่คะที่หนูไม่กล้าบอกพ่อแม่เพราะหนูกลัวว่าพ่อแม่จะเสียใจที่หนูผิดปกติ พ่อแม่หนูเป็นคนหัวเก่าค่ะ มีคนแถวบ้านเป็นทอมดี้แต่งงานกัน แม่ก็พูดถึงตลอด และบอกว่าแม่เค้าคงเห็นแก่เงินเลยยอมให้ลูกแต่งงานกับทอม หนูเคยพยามแอบๆ ถามแม่หลายครั้งว่า ถ้าเป็นโสดแต่มีเพื่อนสนิทคอยดูแลกันไปได้มั้ย แต่คำตอบก็เหมือนเดิมว่าหนูควรหาคู่ครองดีๆ แต่งงานมีครอบครัว หนูเลยไม่กล้าบอกซักทีค่ะ จะลองรวบรวมความกล้าดูนะคะ


โดย: star IP: 182.52.93.55 วันที่: 12 ตุลาคม 2553 เวลา:20:22:51 น.  

 
มีปัญหากับแฟนจนเกือบจะเลิกกันเพราะแฟนไม่ชอบในเรื่องความคิดและการตัดสินใจของเราค่ะ เรื่องที่เป็นหนักๆเลยคือเรื่องเวลาอยากได้อะไรมากๆจะไม่มีสติแล้วก็ไม่สามารถทำตามคำแนะนำที่เค้าให้ได้

ปัญหาที่อยากปรึกษาคือ เวลาถ้าอยากได้อะไรมากๆ เช่น กระเป๋าแพงๆ ทั้งๆที่รู้ว่า ไม่ควรรีบซื้อค่อยตัดสินใจ แต่ ณ ตอนนั้นมันอยากได้ ถ้าไม่ได้ก็ทรมาณ ครั้งหลังสุดคือ ชอบทั้งสองสี ได้สีนึงแล้ว กลับรู้สึกอีกสีสวยกว่าก็สั่งมา พอได้มามันไม่สวยอย่างที่คิด กว่าจะได้กระเป๋ามันก็รู้ว่าทุกข์มากๆ พอได้มาแล้วก็สุขที่ได้มา แต่ก็ยังมีทุกข์ที่รู้สึกว่าทำให้แฟนผิดหวังเรื่องใช้เงิน แล้วก็รู้สึกผิดต่อครอบครัว แต่ถ้าไม่ได้มันมา มันก็ทุกข์เพราะอยากได้อยู่อย่างงั้น เหมือนมีความอยากในหัวตลอด จนตอนหลังก็แพ้กิเลสตัวเอง

กรณีแบบนี้ควรหัดยังไงคะ อยากจะใช้เงินแบบมีสติโดยที่ใจก็ไม่ทรมาณมากๆ ขอคำแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ


โดย: newnew IP: 124.120.91.58 วันที่: 24 ตุลาคม 2553 เวลา:18:52:39 น.  

 
ขอเพิ่มจากข้างบนหน่อยนะคะ คือครอบครัวเราก็ไม่ถึงกะลำบาก แต่ทุกคนก็ใช้เงินประหยัด แล้วพอแฟนไม่ให้ซื้อ ใจก็เห็นด้วย แต่พอความอยากมันไม่หมดไป ก็หาเหตุผลว่า คนอื่นก็เงินเดือนเท่าเราทำไมเค้าก็ซื้อ เริ่มรู้สึกแย่ว่าทำไมเราซื้อไม่ได้ทั้งๆที่ก็เงินหามาเอง ทำไมแฟนคนอื่นเค้าไม่ว่าไม่มีปัญหาขนาดนี้


โดย: newnew IP: 124.120.91.58 วันที่: 24 ตุลาคม 2553 เวลา:18:58:28 น.  

 
พี่เอ็ดคะ มีคนรักที่ชอบไปปฏิบัติธรรมในป่าค่ะ เขาชอบพูดว่าถ้ามีบุญพอก็อยากบวชตลอดชีวิต ซึ่งก็เชื่อว่าถ้ามีโอกาส เขาทำจริงแน่ เพราะเขามุ่งมั่นทำงานเพื่อศาสนาและเป็นคนตั้งใจสูง เวลากลับมาจากไปปฏิบัติก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกคน คือชอบทำตัวปลีกวิเวก และต่อต้านสังคมจนดูไม่สนใจคนรอบข้างรวมทั้งเราด้วย ทุกข์ใจค่ะ แทนที่จะอนุโมทนาไปกับเขา อีกอย่างคือ ดูเหมือนว่าเขาจะมุ่งไปทางนั้นมากกว่าจะคิดเรื่องสร้างครอบครัว จนอดคิดไม่ได้ว่า แล้วมาจีบชั้นทำไมหนอ


โดย: หนูนิด IP: 124.120.151.17 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2553 เวลา:23:02:28 น.  

 
พี่เอ็ดคะ มีปัญหาคิดไม่ตกมาปรึกษาค่ะ

ปัจจุบันทำงานอย่างหนึ่งอยู่ มั่นคงดี ไม่มีปัญหา แต่เนื่องจากพ่อแม่ รวมถึงตัวเรา อยากลองไปทำอีกงานหนึ่ง (งานเสริม) ซึ่งมีอนาคตดีกว่า

หลังจากได้ลองทำไป 1 วันแล้วรู้สึกอึดอัดมาก เหมือนอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ ไม่มีความสุขเลย จึงเลิกทำ และถอยกลับมาที่เดิม

เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นติดต่อกัน 2 ครั้งแล้ว

เลยเริ่มรู้สึกหมดศรัทธาในตัวเอง ไม่แน่ใจว่าเราเป็นคนไม่อดทน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อหรือเปล่า


โดย: ลม IP: 58.11.49.78 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2553 เวลา:14:33:21 น.  

 
อยากทราบความคิดเห็นของคุณaston เกี่ยวกับกฎแห่งแรงดึงดูด ที่ให้เราย้ำคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซ้ำๆ บ่อยๆ แล้วสิ่งที่เราคิดจะกลายเป็นจริงขึ้นมา อ้างอิงจาก
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=dcaregroup&month=29-11-2010&group=3&gblog=9

ในความคิดส่วนตัวของดิฉันเห็นว่า การทำเช่นนั้น จะเป็นการยึดติด สะสมกิเลส ไม่ปล่อยวาง ค่อนข้างจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่พุทธศาสนาสอนไว้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่ควรไปฝืนธรรมชาติ ซึ่งก็ปฏิบัติเช่นนั้นมาตลอด

แต่เมื่อมาย้อนกลับดูสิ่งที่ตัวเอง ประสบพบเจอมา ก็กลับไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ตัวเองปฏิบัติมาตลอดจะเรียกว่าเป็นการยอมแพ้ให้กับโชคชะตา ไม่ขวนขวาย หรือไม่
อยากฟังความคิดเห็นค่ะ ขอบคุณค่ะ



โดย: ขนม-ผิง วันที่: 30 พฤศจิกายน 2553 เวลา:0:20:33 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณ aston27 จริงๆ เราเคยอ่านบล็อคของคุณแล้ว โดยตามมาจาก เวปธรรมะค่ะ
บังเอิญว่า อาทิตย์ก่อนได้มีโอกาส ไปปฎิบัตธรรม ที่ศรีราชา กลุ่มจิตแพทย์หล่ะค่ะ
เพราะอยู่ในภาวะสูญญากาศ ก็ได้เจอคุณ aston ตัวเป็นๆแล้วค่ะ แต่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มพี่เลี้ยง เลยไม่ได้สนทนา พอดี อยู่กลุ่มอื่นค่ะ ขอบอกว่า เนี่ยเป็นครั้งแรกที่เข้า คอร์สอย่างนี้ เพราะคิดว่าเป็นงานที่หนัก แต่ครั้งนี้ทุกข์จริง ทุกข์จัง จนเหมือนหาทางออกจากเรื่องนี้ไม่เจอ สิ่งที่ทำคือคุยกับอาจารย์ผู้รู้ และก็พยายามเข้าใจ ให้อภัย ศึกษาธรรมะ เพื่อที่จะรู้ทุกข์และไม่ทุกข์มากไปกว่านี้ ต้องบอกว่า อกหัก ตอนแรกก็ยอมรับไม่ได้ค่ะ แต่ตอนนี้จำเป็นต้องยอมรับ เมื่อวานกลับจากคุยกะอาจารย์ที่รามา คือพูดง่ายๆ ก็รู้สึกว่า การthepapy นั้นช่วยใ้หคนบรรเทาทุกข์ แตุ่พุทธ นั้นคือการพ้นทุกข์ ตอนนี้ยังไม่ถึงกะพ้นทุกข์ ยังเหมือนน้ำที่มันแกว่งๆ ไปเดินเข้าไปนั่งในวัดปทุม ซักพัก ออกมาเดินร้านหนังสือ B2S central world แล้วก็เหลือบไปเห็น หนังสือธนาคารแห่งความสุข เลยเลือกซื้อเล่มสาขา2 มา เขียนได้ดีจับใจค่ะ ชอบนะคะ เพราะช่วงนี้ เสพหนังสือมาก โดยเฉพาะแนวธรรม และพวกจิตวิทยา ขอบอกว่าอ่านของคุณ aston แล้วถึงหน้า 102 วางไม่ลง ก็ยังนึกเสียดายว่าวันก่อนไม่ได้สนทนาธรรมของคนเก่งๆ (แต่พี่เลี้ยงที่คุยด้วยก็เก่งนะคะ) ตั้งใจว่าจะไปซื้อมาอ่านเพิ่มเติม และไม่ลืมติดตาม ธรรมะดีๆจากคุณคะ

ขอบคุณที่ได้มีส่วนร่วมในการทำให้คนมีความสุข สติ ขึ้นนะคะ ตอนกลับจากศรีราชา ยังคิดว่า ถึงจะเจอปัญหา แต่ก็พบว่าเราโชคดีที่ได้พบพระพุทธศาสนา

เกรงใจจัง เขียนซะยาว อยากเขียนเป็น email มากกว่า เพราะไม่เคยเขียนบล็อค ยาวๆ ขนาดนี้ ยังไง ก็แวะมาขอบคุณ และขอให้คุณพบเจอแต่สิ่งที่ดีๆแล้วกันนะคะ

อ้อ ชอบตรงที่เขียนเกี่ยวกับการให้อภัย มากๆค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
jan ค่ะ


โดย: i am saifon วันที่: 15 ธันวาคม 2553 เวลา:15:54:34 น.  

 
ทำยังไงให้ใจเป็นสุขคะ ขอบคุณค่ะ


โดย: วัน IP: 180.180.215.23 วันที่: 20 ธันวาคม 2553 เวลา:21:08:16 น.  

 
สวัสดีค่ะ เข้ามาอ่านได้ข้อคิดดีๆแต่ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ มีสามีเคยถึงขั้นหย่าร้างเพราะเขามีเราเป็นคนที่2ผูกมัดเราไว้ด้วยทะเบียนสมรส และลูก เคยทำใจได้ไม่คิดแย่งใคร แต่พอเขาล้มผู้หญิงคนนั้นก็ไป สงสารเลยเอาตัวเองไปผูกใหม่(แปลกดี) วันนี้มีลูกอีกคนรวมเป็นสอง ภาระเยอะ บ้านก็ชื่อเรา หนี้กู้รอบๆตัวก็มี เขาอยากมีรถอีกคนปัญหาคือ ต้องเป็นชื่อเราๆเครดิตดี อนาคตกลัวภาระหนี้ก้อนนี้จะตกเป็นของเรา เพราะไม่เคยมีความแน่นอนในชืวิต เปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ จะทำอย่างไร ห่วงลูกบวกกับอดีตที่เขาเคยทำหวนกลับมาคิดอีก เขาไม่เคยเชื่อกับความไม่แน่นอนของชีวิต แต่เราเจอมาหลายๆครั้งไม่อยากติดในวังวนนั้นอีกค่ะ


โดย: สุภาณี IP: 110.164.113.142 วันที่: 16 มกราคม 2554 เวลา:1:22:01 น.  

 
พระพุทธเจ้าตรัส"ความโศกย่อมเกิดจากความรัก ภัยย่อมเกิดจากความรัก ความโศกไม่มีแก่ผู้สิ้นแล้วซึ่งความรัก ภัยจะมีมาแต่ไหน"
ความรักเมื่อเริ่มก่อตัวลงหลักปักฐานแล้ว ก็ช่างเป็นปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนแก้ไขยากเสียเหลือเกิน,การมีความรักก็เปรียบเหมือนการเดินเล่นบนขอบหน้าผาเสี่ยงต่อการบาดเจ็บล้มตายหรือพิการเป็นอย่างยิ่ง,ทางที่ดีคืออย่าไปเดินเฉียดใกล้หน้าผาดีที่สุดดังที่พระพุทธเจ้าบอก"บัณฑิตพึงตั้งตนเป็นคนโสด..."แต่กระนั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถหักห้ามใจได้...นี่แหละเขาจึงเรียกโลกจักรวาลนี้ว่า"วัฏฏะแห่งสงสาร"อันน้อยนักที่มนุษย์จะก้าวข้ามหรือวิสุทธิ์หลุดพ้นได้


โดย: เขมัง IP: 125.26.69.86 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:5:29:32 น.  

 
คุณพิทยากรช่วยหาเหตุผลชี้แจงให้หน่อย...
1.เคยทราบในพระไตรปิฎกว่ามียุคหนึ่ง,พระพุทธเจ้าท่านหนึ่งพาสาวกเข้าไปในหุบเขาอันน่าสะพึงกลัวและให้อยู่ที่นั้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง,ปรากฏว่าสาวกได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด,ดีไม่ดีอย่างไร?เพราะเหตุใด?ถ้าได้ผลเช่นนั้น,น่าจะนำมาใช้กับชาวพุทธยุคนี้จะเป็นประการใด
2.ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ทรงห้ามองคุลีมาลย์ฆ่าคนตั้งแต่ยังฆ่าไม่ถึง999ศพ
3.วิญญาณธาตุหรือธาตุรู้ของพระอรหันต์เมื่อดับขันธ์แล้วอยู่ในสภาพใด?ยังสามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้หรือไม่?


โดย: วิ IP: 125.26.71.99 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:7:19:31 น.  

 
ฟังเรื่องเล่าของคุณ"เป่าจิน"(ความเห็น89,11-11-52)แล้วฮาขำกลิ้งเลย,นี่แหละเรียกว่าหลัก"เซ็น"ของแท้เลยหละ...ขอบคุณๆ


โดย: วิ IP: 125.26.71.99 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:18:03:04 น.  

 
ฟังเรื่องเล่าของคุณ"เป่าจิน"(ความเห็น89,11-11-52)แล้วฮาขำกลิ้งเลย,นี่แหละเรียกว่าหลัก"เซ็น"ของแท้เลยหละ...ขอบคุณๆ


โดย: วิ IP: 125.26.71.99 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:18:03:25 น.  

 
แผนที่เดินทาง:นิพพานเล็กๆคือการสร้างความเคยชินที่จะ"ไม่สำคัญมั่นหมาย"(ไม่ยึดมั่นสำคัญหมาย"ในสิ่งใดๆทีละเล็กทีละน้อยจน"ธาตุ(ธรรมชาติ)รู้"ในจิตเริ่มเกิด"ความคุ้นชิน"กับภาวะนิพพานชั่วคราวและเกิดจุตูฯ(เห็นการเกิดดับ),อาทีนฯ(เห็นโทสภัยการเกิดดับ),นิพพิทาฯ(เบื่อหน่ายการเกิดดับ),วิมุตติ(ความหลุดพ้น),วิมุตติญาณทัศนะ(รู้แจ้งการหลุดพ้นนั้น)จนเป็นสมุทเฉทวิมุตติ(หลุดพ้นอย่างสมบูรณ์)เป็น"นิพพานใหญ่"(ไม่สำคัญมั่นหมายตลอดไป)ในที่สุด:นี่คือโดยย่อ...


โดย: เขมัง IP: 125.26.71.99 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:18:59:00 น.  

 
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ"คห.97,13-12-52","โทษคนอื่นเท่าภูเขา,โทษของเราเท่าเส้นขน..."ปิดสนามบินเป็นเจตนาซ้อนเจตนา,เจตนาปิดแต่บอกเจตนาซ้อนว่าเพื่อชาติ;ตัวเจตนาปิดไม่พูดตามตรง(ใช่การโกหกไหม?)เพราะถ้าพูดตามตรงก็เท่ากับรับสารภาพตามกฎหมายรับโทษทันที;แต่พอนายกฯพูดต่างเงื่อนไขต่างเวลา,ก็ไปกล่าวหาบนเวทีถ่ายเดียว(ทำร้ายผู้อื่นด้วยคำพูด)ว่านายกฯพูดโกหก,โดยสถานะนายกฯก็ยากที่จะมาตอบโต้รายวันเพราะก็จะถูกหาว่าไม่ทำงานมาทะเลาะกับประชาชน;อีกอันหนึ่งว่านายกฯเนรคุณ,แล้วที่นายกฯพยายามช่วย5คน,พอออกมา,บางคนไปฟ้องจะเอาผิดนายกฯอย่างนี้ถือว่า...หรือเปล่า?(เข้าภาษิต"ว่าแต่เขา...")


โดย: วิ IP: 125.26.69.169 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:20:04:38 น.  

 
ปัญหาเรืองหมาขี้หน้าบ้านที่คุณพิทยากรพูดถึงได้ใจมาก,ขอแลกเปลี่ยน:-เดี๋ยวนี้บ้านจัดสรรทั่วไป,บางบ้านเลี้ยงหมา,ธรรมชาติหมาไม่ชอบขี้บ้านตัวเองแต่ชอบขี้หน้าบ้านบ้านอื่น,สมเป็นหมาจริงๆ,แต่ก่อนเคยโกรธ,เคยเขียนป้ายต่อว่าเพื่อนบ้านทำนองว่า"หมาไม่รู้ประสาแต่คนสอนหมาได้"สุดท้ายทะเลาะกันก็เลยเอาป้ายออก,ขายบ้านทิ้ง,ย้ายไปอยู่หมู่บ้านใหม่ก็เจอปัญหาเหมือนเดิม,พอดีปฏิบัติธรรมวิปัสสนาว่าถ้าโกรธก็ต้องโกรธตลอดชีวิตถ้ายังอยู่ในประเทศไทย,ก็เลยคิดว่าเป็นธรรมชาติของหมา,เจ้าของอาจไม่มีเวลาสอนหรือไม่รู้วิธีสอนให้หมาขี้ให้เป็นที่แต่เขาก็อยากเลี้ยงหมาไว้เห่าขโมยไว้ดูแลบ้านก็เลยคิดเข้าใจเห็นใจเพื่อนบ้าน,อยากอยู่กับเพื่อนบ้านด้วยดี,มีเพื่อนบ้านเป็นรั้ว,ถ้อยทีถ้อยอาศัย,ลดอัตตามานะส่วนตัวลงบ้าง,ก็เลยใช้ถุงก๊อบแก๊บเป็นถุงมือ,จับขี้หมาด้วยถุงมือเก็บขี้หมาด้วยถุงมือแล้วแพ็ควางไว้ริมรั้วหน้าบ้านรอรถขยะมาเก็บ(ทั้งๆที่ไม่ได้เลี้ยงหมาแต่ต้องเก็บขี้หมาที่บ้านคนอื่นเลี้ยงนะเนี่ย),ทำเรื่อยๆจนเพื่อนบ้านเห็นเอง,จนกระทั่งตื่นมาสายๆในบางวัน,เห็นหน้าบ้านถูกกวาดสะอาดไร้กองขี้หมาที่ยังไม่ทันเก็บที่ยังเห็นอยู่ตอนเมื่อวานแต่วันนี้ไม่เห็นแล้วโดยไม่รู้ว่าใครเป็นผู้มาเก็บกวาดให้,ขอเรียนว่านี่เป็นเรื่องจริงและจิตใจก็สงบกว่าการโวยวายเหมือนสมัยก่อน,ได้ข้อคิดอะไรเยอะ...


โดย: วิ IP: 125.26.69.254 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:22:28:36 น.  

 
เนื่องจากผมมีเวลาเข้ามาในนี้ไม่บ่อยนัก ส่วนมากจะวนเวียนอยู่ใน Twitter และ Facebook มากกว่า

เลยจะแนะนำว่า ให้ท่านที่มีคำถาม รบกวนไปแอดผม แล้วถามผ่าน Facebook ได้ที่ Eddy Aston Leelapatra

หรือ ทวิตเตอร์ แอด @aston_ed ครับ

แต่สำหรับท่านที่ผมตอบคำถามค้างไว้ ข้างบนนี้ ผมจะตอบให้ในบล็อกรวม ยังไงไปตามอ่านดูนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:17:24:15 น.  

 
คือได้เริ่มอ่าน blog คุณแอสตันมาระยะนึงแล้วค่ะ แล้วมันทำให้ชบารู้สึกคิดดีดีมากขึ้นเพราะชบาเองก้อเพิ่งเจอปัญหาชีวิตมาไม่นานเช่นกันค่ะ เลิกกับแฟนค่ะเพราะแฟนจะให้ไปอยู่ด้วยแต่มันไกลบ้านเรามากแล้วเราก็ยังไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้เพราะเราเป็นลูกคนเดียวซึ่งถ้าไปอยู่แล้ว พ่อกับแม่แก่แล้วค่ะ ส่วนแฟนก็ไม่ยอมที่จะมาอยู่กับเราเช่นกัน เหนื่อยใจมากเลยตัดสินใจเลิกโดยเหมือนเค้ากดดันเรามาก ที่จะให้เลือกโดยใช้คำพูดที่ว่า เราไม่เคยทำไรเพื่อเค้าเลย ตอนนี้เหมือนเราจิตตก คือบางครั้งสวดมนต์อโหสิกรรมให้แล้วทุกวัน แต่เหมือนใจลึกๆเรายังเกลียดอยู่ ยังเหมือนมีอะไรคาใจอยู่ เลยอยากขอคำแนะนำค่ะว่าเราควรดำเนินชีวิตอย่างไรในวันที่เราไม่มีเค้า และต้องทำใจยังงัยกับเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไปค่ะ ขอบคุณค่ะ


โดย: ชบาค่ะ IP: 111.84.39.102 วันที่: 8 พฤษภาคม 2554 เวลา:16:07:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.