Group Blog
 
All blogs
 
มีคำถามทิ้งไว้ที่นี่นะครับ

มีคำถามทิ้งไว้ที่นี่นะครับ

ผมจะคอยแวะมาดู ถ้าตอบช้าก็ไปเตือนผมในบล็อกล่าสุดไว้ก็ได้ครับ

อันไหนตอบได้จะตอบให้ อันไหนตอบไม่ได้ ก็จะบอกว่าเกินปัญญานะครับ


Create Date : 10 กรกฎาคม 2551
Last Update : 10 กรกฎาคม 2551 0:04:28 น. 145 comments
Counter : 619 Pageviews.

 
คำถามมีเยอะแยะแต่เป็นเรื่องไร้สาระ เลยไม่กล้าถาม เอาเป็นว่าเข้ามาเยี่ยมก็แล้วกันนะคะ


โดย: แมงหวี่ (แมงหวี่@93 ) วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:17:22 น.  

 
งั้นถามเลย

หลับยังไงไม่ให้ฝันค่ะ

ฝันทุกคืนมาหลายสิบปีแล้ว


โดย: ทากชมพู วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:13:29 น.  

 
มาถามว่า


คุณเอ๊ด...สบายดีไหมค๊ะ???


พี่สบายมากๆค่ะ

กำลังจะไปล่องแพ

กะว่าจะนอนมองฟ้า มองแดด

ให้อิ่มตาอิ่มใจไปเลยยย

รักษาสุขภาพน๊ะค๊ะ


โดย: พี่แหม๋ว (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:27:44 น.  

 
ไม่มีคำถามค่า
แค่จะมารายงานตัวกับพี่เอ๊ดดี้เฉยๆ


โดย: ณ มน วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:50:49 น.  

 

อยากถามว่า...
เรื่องหนังสือไปถึงไหนแล้วอ๊ะค๊ะพี่

คำถามคงม่ายยากเกินไปนิ แฮ่~


โดย: myover วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:21:38 น.  

 
ชะอุ๊ย.. ทำไมคำถามมาไวจัง

คุณ แมงหวี่ งั้นก็ขอบคุณที่มาเจิมก็แล้วกันนะครับ

คุณ ทากชมพู ถามจริง หรือกวนเล่นครับ จะได้ทำตัวถูก

คือถามจริงก็จะตอบให้นะ มีคำตอบ

พี่แหม๋ว เที่ยวให้สนุกนะครับ แต่ถ้าจะนอนดูแดด อย่าลืมครีมกันแดดนะครับ

ณ มน รายงานตัว ก็รายงานมาเลยครับ จะรอฟัง

myover หนังสือเสร็จเดือนหน้า แน่นอนครับ ผมขอแก้คำนำนิดหน่อย เพราะมีการเปลี่ยนรายชื่อคนเขียนคำนิยมให้ เล็กน้อย


โดย: aston27 วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:52:34 น.  

 
กำลังจะถามเลยว่าหนังสือเสร็จเมื่อไหร่คะ

จริงๆแล้วมีคำถามอื่นหรอกค่ะ ข้างบนนั่นแหย่เล่น

คุณเอ๊ดจัดการอย่างไรกับความกลัวและความเบื่อคะ คำถามกว้างเป็นทะเลเกินไปหรือเปล่านะ


โดย: SevenDaffodils วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:50:20 น.  

 

ขอรบกวนนิดนึงนะคะพี่เอ๊ด..

คือว่า คำถามของคุณทากชมพู (ข้างบน)
ถ้าหลิวอยากรู้จริง ๆ ล่ะ ?

ระยะหลัง ๆ รู้สึกว่า คืนไหนถ้าฝัน
พอตื่นขึ้นมาจะเหนื่อย
เหมือนได้วิ่งรอบสนามหลวง
แต่คืนไหนที่ไม่ฝัน ตื่นขึ้นมาจะรู้สึกสดชื่น^^

ทีนี้มีอยู่คืนนึง ขณะที่กำลังฝัน เกิดรู้สึกตัวขึ้นมา
ว่ากำลังฝันอยู่ ภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
(ในความฝัน) หายวั๊บไปกับตา
แต่ครั้งนี้ ตอนที่ตื่นขึ้นมา ไม่เหนื่อยนะ..

แต่หลังจากนั้น ก้อกลับไปเหมืิอนเดิม
คือ ฝันก้อไม่รู้ตัวว่าำกำลังฝัน..

พี่บอกว่ามีคำตอบให้

พูดจริงหรือพูดเล่นค๊ะ



โดย: myover วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:09:25 น.  

 
K’Aston,

Guiness มีเรื่องรบกวนถามหน่อยนะคะ

ช่วงนี้ Guiness กำลังอยู่ในช่วงหาที่สิงสถิตย์ใหม่ (หางานอ่ะค่ะ)

เครียดเรื่องเรียนก็สุดๆแล้ว

ยังเครียดเรื่องหางานอีก

ตอนแรกที่เริ่มสมัครก็เครียดว่าจะหางานไม่ได้

พอตอนนี้เริ่มมี contact & offer เข้ามาก็ยิ่งเครียดหนักว่าจะเลือกที่ไหนดี

แต่ที่เครียดที่สุดกลับเป็นเครียดว่าจะ decline offer ยังไงดี



คือตอนนี้เนี่ยะมันยังไม่มีการ finalized อะไรทั้งนั้น

ดังนั้นไม่ว่ามีอะไร offer เข้ามา Guiness Draft ก็ต้อง say yesssssss ทุกครั้ง

แต่ที่แย่ที่สุดคือที่ Guiness Draft ต้องตอบคำถาม How serious you are? นะสิคะ

จะตอบอะไรได้ล่ะนอกจาก strongly interest

ใครมันจะไปตอบว่า not really, you’re just an option ล่ะ ไม่เข้าใจจริงๆจะถามไปทำไม


แต่คนที่แย่คือ Guiness

Guiness เป็นคนที่ค่อนข้าง serious กับคำพูด
แต่ตอนนี้ดันต้องมา bitching ทุกวัน…เครียด

แต่ถ้าไม่ทำคงตกงาน…กลุ้ม

แล้วที่แย่สุดๆคือ กว่า process จะ finalized ก็กลางปีหน้า

Guiness ต้องจมอยู่กับความคิด (การกระทำด้วย)ที่ตัวเองเป็นคนไร้สัจจะ ไม่รักษาคำพูดไปอีกเป็นปีเนี่ยะ

Guiness ควรจะทำยังไงดีละคะ


โดย: Guiness Draft วันที่: 15 กรกฎาคม 2551 เวลา:15:11:50 น.  

 
SevenDaffodils คุณแป๋วลองอ่านบล็อกใหม่ผมสิครับ อาจจะได้คำตอบนะ

คำถามคุณแป๋ว ไม่ได้กว้างเท่าคำตอบผมหรอก
เพราะผมก็ตอบแบบนักเรียนวิปัสสนา ว่า "ก็รู้จิตใจไปอย่างนั้น"

หลวงพ่อท่านสอนเสมอว่า เป็นลูกพระพุทธเจ้า จะเรียนวิปัสสนาให้ใจถึงๆ

ความรู้สึกบางอย่าง อย่างความกลัว เราเอาชนะมันไม่ได้ เพราะเราวิ่งหนีมัน
แล้วเราก็วาดภาพว่ามันใหญ่โต มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

จริงๆเราแค่ "รักตัวเอง" มากน่ะ คุณแป๋ว
รักมาก ก็กลัวมาก ว่าจะไม่ดี จะโดนทำร้าย จะลำบาก จะทุกข์

แต่ถ้าดูมันแบบวิปัสสนา ก็ต้องบอกว่า มันไม่มีอะไร นอกจากของชั่วคราว

กลัวอีก ก็รู้ลงไปซื่อๆ ที่ความรู้สึก
รู้แล้ว จิตมันมีปฏิกิริยายังไง มันยอมรับ หรือไปกดข่ม เกลียดมัน ชอบใจ หรือดีใจ เฉยๆ อันนี้ก็ให้รู้อีก

ตามรู้ ตามดูไปเรื่อยๆนะครับ พิสูจน์ให้เห็นไป ว่าความกลัวมันเที่ยง หรือไม่เที่ยง
ความกลัวมันขึ้นๆลงๆ หรือคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงเลย
แล้วมันบังคับได้ หรือบังคับไม่ได้

ความเบื่อ ก็เหมือนกันครับ อย่าไปให้ค่ามันมาก
เบื่อ รู้ว่าเบื่อ แต่ตัวนี้อาจจะต้องอาศัยตัวช่วยหน่อย

อันนี้เป็นอุบายส่วนตัว เวลาผมเบื่อ ผมจะภาวนาพุทโธไว้เป็น background แล้วคอยดูจิตไป

ดูเหมือนที่ผมแนะนำให้ดูความกลัวข้างบนนั่นแหละ

ที่ต้องภาวนาพุทโธ ไว้ด้วย เพราะความเบื่อเป็นกิเลสสามัญประจำบ้านของนักปฏฺิบัติ

ผมสังเกตว่า ถ้าไม่ทำสมถะไว้เป็นพื้น จะดูตัวนี้ลำบาก
เพราะจิตมันมักจะถลำลงไปอยู่กะความเบื่อ
คือดูไปแล้วก็ช่วยมันเบื่อตัวเบื่ออีกที

เลยต้องหาอารมณ์ที่เป็นกุศลไว้ให้มันเกาะนิดหน่อย ศัพท์เทคนิคหลวงพ่อเรียกว่ามี "วิหารธรรม"

อันนี้เป็นอุบายส่วนตัวนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:45:57 น.  

 
myover ถ้าฝันๆอยู่แล้วรู้สึกตัว รู้ว่านี่เป็นความฝันแล้วฝันดับไป

อันนี้แปลว่าคุณรู้สึกตัวเป็นแล้วนะ พี่ดีใจด้วย

แต่มันเป็นเรื่องของสติแบบอัตโนมัติ เราบังคับไม่ได้หรอก
เราทำได้แค่สร้างเหตุที่เอื้อต่อการมีสติที่ว่องไว

เช่นหมั่นคอยรู้ คอยตามดูใจตัวเอง ในระหว่างวัน ตอนที่ยังตื่น

ถ้าจะให้ตอบคุณทากชมพู พี่ก็จะตอบว่า
"ให้รู้ทันว่า ไม่อยากฝัน"

ฟังดูกำปั้นทุบดิน แต่เป็นความจริง
เพราะความฝัน คือความคิดหรือการทำงานของจิตในตอนที่ร่างกายหลับ

ถ้าอ่านบล็อกนี้มาระยะนึง คงพอจำได้ว่า พี่เคยเล่าว่า
จิตมันมีธรรมชาติ คิด นึก ปรุงแต่ง รู้สึก

เราไม่ได้เรียนวิปัสสนา เพื่อฝืนธรรมชาติ แต่เพื่อต้องการเห็นความจริง
ว่าธรรมชาติจริงๆ ของกาย และจิต เป็นยังไง

ต้องการพิสูจน์สิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่า
กายนี้ จิตนี้ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับไม่ได้เพราะไม่ใช่ตัวตนของเรา

ฉะนั้น จิตจะคิด หรือไม่คิด เราก็ห้ามไม่ได้หรอก
เราทำได้แค่ คอยหัดรู้สึกตัว เวลาตื่น เพื่อหวังว่าเวลาหลับแล้วจิตคิด จะมีจิตที่ประกอบด้วยสติคอยรู้ทัน

หลวงพ่อบอกว่า การรู้สึกตัวเวลาหลับ มีนัยสำคัญมาก
คือเป็นแนวโน้มที่บอกได้ว่า ตายแล้วจะไปสุขคติ

เพราะตอนคนเราใกล้จะตาย จิตมันมักจะลงภวังค์แบบเดียวกับตอนหลับฝัน
ถ้าเห็นอะไรเป็นนิมิตที่ไม่ดี จิตที่เคยชินกับการรู้สึกตัว จะมีสติทำงานอัตโนมัติ

ฉะนั้น จะบังคับจิตว่าหลับแล้วไม่ให้ฝัน ทำไม่ได้หรอก
เหมือนที่เราก็บังคับมันตอนตื่นไม่ได้ ว่า.. ให้ตื่นอยู่โดยไม่คิดนั่นแหละ

แต่เราทำได้แค่สร้างเหตุที่ดี ให้เกิดสติอัตโนมัติ คือคอยรู้สึกตัว ในชีวิตประจำวัน

นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:12:02:41 น.  

 
Guiness Draft
การจะดูว่าผิดศีลข้อมุสาวาทหรือไม่ ต้องเริ่มดูที่เจตนาต้นทางก่อน

เจตนาเราคืออะไร ถ้าเป็นการพูดตามมารยาท ก็อย่างนึง

เช่นมีคนถามว่าวันนี้เขาทำผมใหม่มา สวยมั้ย
ถ้าตอบว่าไม่สวย เขาก็จะเสียความมั่นใจไปทั้งวัน

การจะตอบว่า ทรงนี้ก็ดูสดใสดีนะแต่ชอบทรงเดิมมากกว่า ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

คือไม่ได้โกหก แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายจิตใจเขา

แต่ผมเข้าใจคุณนะ เพราะจริงๆผมก็ไม่ค่อยชอบคำถามแบบนั้นเหมือนกัน

มองในแง่นึง เขาอาจจะอยากรู้ปฏฺิกิริยาเวลาคุณเจอคำถามที่ดู "โง่ๆ" ก็ได้นะ

ถ้าลำบากใจและไม่อยากแบกไว้ ก็น่าจะบอกคนที่มาทาบทามว่า เราได้รับข้อเสนอจากหลายที่ ซึ่งเราคงต้องพิจารณาเลือกอันที่เราเห็นว่าดี และเหมาะกับเรามากที่สุด หวังว่าเขาจะเข้าใจ แต่ที่ยังไม่ได้ปฏฺิเสธทางเขาไป ก็เพราะเรายังมีเวลาจะตัดสินใจอีกนาน และเราก็เห็นว่าเขาน่าทำงานด้วยจริงๆ

ถ้าจะอยู่กับความจริงแล้วมันไม่ต้องแบก ก็น่าจะดีกว่า

อาจจะเสี่ยงบ้าง ที่บางที่ จะไม่เข้าใจ แต่ก็ต้องถือว่า เราจริงใจที่บอกไปอย่างนั้น ไม่เอาเปรียบกัน

ศีล 5 มีไว้เพื่อรักษาใจของคน ให้เป็นสุขดังนี้แล


โดย: aston27 วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:12:13:43 น.  

 

รูปสวย น่ารัก glitter emoticon //www.yenta4.com


จะพยายามต่อไปค่ะ ..
บล็อคพี่อ่านครบหมดแล้ว

ตอนนี้ก้อ..รออ่านหนังสือ^^
อ่านบล็อคพี่แล้วได้รู้อะไรขึ้นเยอะเลย
ขอให้หนังสือเสร็จสำเร็จไปได้ด้วยดีนะคะ
สู้ ๆๆ..



โดย: myover วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:31:14 น.  

 
ผมเป็นคนรู้น้อยไม่รู้แม้ว่าจะเอาความอึดอัดออกจากใจได้ไง มันวนเวียนอยู่ในใจตลอดเลย แต่ศิลปะเป็นสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงชีวิตผมไว้เลี้ยงปากท้องครอบครัวพ่อแม่ แต่ไม่วายที่ความอึดอัดจะแวะมาเยี่ยมผมเหมือนมัมเป็นเพื่อนสนิทใกล้ชิดกัน แล้วคุณพี่มีทางจัดการกับมันยังไงครับ


โดย: ศ ธรรมมา IP: 124.120.85.221 วันที่: 14 กันยายน 2551 เวลา:10:21:25 น.  

 
พี่ไม่เคยมีคำถามนี้ในใจ
จนเมื่ออาทิตย์ก่อนมีคนมาถามว่า
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเคยเกิดมาแล้ว

แต่จริงๆ การที่ไม่รู้อาจเป็นสิ่งดี
คง hurt น่าดู หากเรารู้ว่าเจ้าหมาตัวนี้
เคยเป็นสามีเรา หรือเจ้าไก่ที่เรากำลังจะกินเคยเป็นพ่อแม่เรามาก่อน


โดย: pikky IP: 58.8.242.93 วันที่: 14 กันยายน 2551 เวลา:15:25:23 น.  

 
ผมกำลังทำหนังสือการ์ตูนธรรมะเล่มนึงคับ ขออนุญาตินำบทความบางเรื่องไปลงในหนังสือได้ไหมครับ เพราะอ่านแล้วชอบ รู้สึกว่าจะเป็นประโยชน์กับใครอีกหลายๆคน ขออนุญาติเลยแล้วกันนะครับ เผื่อผมไม่ได้เข้ามาอ่านคุณตอบกระทู้ เพราะคิดว่าคุณคงอนุญาติแน่ๆ มัดมือชกไปหรือป่าวเนี่ยะ จริงๆยังอ่านได้ไม่กี่เรื่องเองครับ ยังไงจะเข้ามาติดตามอ่านไปเรื่อยๆ และขอให้คุณพระรัตนตรัยคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมทุกท่านครับ


โดย: พิศิษฐ์ IP: 58.9.172.173 วันที่: 16 กันยายน 2551 เวลา:1:10:55 น.  

 

สวัสดีวันอากาศแจ่มใสคะพี่เอ๊ด :)

สภาวะที่เหมือนหมอกลงนี่มันอะไรคะพี่

มันประมาณเหมือนหมอกค่อย ๆ ลง
จะรู้ตอนที่ค่อยๆเริ่มมัว
แบบนั่นน่ะ เอ่ออ..อธิบายได้แค่นี้อ่ะคะ - -"

ว่างแล้วค่อยตอบก้อได้คะ


โดย: myover วันที่: 18 กันยายน 2551 เวลา:9:33:01 น.  

 
ขอถามว่า.. เราจะรู้ว่าคนอื่น "จริงใจ" ต่อเรา ได้อย่างไร


โดย: หมีน้อย IP: 202.44.7.68 วันที่: 18 กันยายน 2551 เวลา:11:44:03 น.  

 
คุณ ศ ธรรมา
ผมมีคติว่า คนเราจะมีความสุขถ้าอยู่กับ ปัจจุบัน ยอมรับปัจจุบันได้

ผมไม่แน่ใจว่าความอึดอัดของคุณ ศ มีอะไรเป็นเหตุ
แต่ถ้าเกี่ยวกับอาชีพ ผมอยากแนะนำว่า คนเราจะอยู่ได้ดี มีสุข ต้องมีทั้ง "ชูชีพ" และ "ชูใจ"

ชูชีพ คืองานที่ช่วยประคับประคองให้เราเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัวได้
ชูใจ คืองานที่ทำแล้วให้ความสุขทางใจ แม้จะไม่ได้เป็นตัวเงิน

ส่วนความอึดอัด ถ้ามันเกิดแล้ว อันนี้เป็นผลจากการคิดฟุ้งซ่าน แล้วไม่ได้อย่างใจ
สิ่งที่เป็นผล ทำได้แค่รู้ตามไป แก้ไม่ได้นะครับ

แต่วางใจไว้ว่า มันเป็นแค่ของชั่วคราว ไม่ถาวรหรอก

เห็นความอึดอัดแล้วเป็นกลาง หรือไม่เป็นกลาง ก็รู้ทัน
ถ้าเห็นแล้วไม่ชอบใจ รู้ว่าไม่ชอบ อยากกำจัดรู้ว่าอยาก

หรือเห็นแล้วดีใจที่เห็น รู้ว่าดีใจ รู้สึกว่ากูเก่ง ก็รู้ทัน


พี่ Pikky ครับ
อย่างที่ผมเขียนไว้ในบล็อกนึง ซึ่งก็ไปอยู่ในหนังสือด้วย

ตอนที่ชื่อ "ชาติโน้น ชาตินี้ ชาติหน้า" น่ะครับ
โดยข้อจำกัดของความเป็นมนุษย์เราไม่รู้ได้ด้วยตัวเองหรอก ว่าชาติก่อนเป็นอะไร

แต่ถามว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริงไหม ผมก็ไม่รู้นะ แต่เชื่อ เพราะพระพุทธเจ้าคงไม่หลอกเรา

หลายๆอย่างมันก็แปลกเกินกว่าจะพูดว่ามันเป็น "ความบังเอิญ"

ลองไปหาอ่านดูนะครับ

คุณพิศิษฐ์
วานช่วยคุยกันก่อนหน่อยนะครับ ว่าจะเป็นหนังสืออย่างไร แจกใคร หรือจำหน่าย

คือถ้าแจกฟรี ก็ไม่น่ามีปัญหา แต่คงต้องขอทราบรายละเอียดนิดนึงก่อน จะได้เข้าใจกันแต่แรก

อีกอย่าง บางบท ผมมอบให้ทางสำนักพิมพ์เขาไปรวมเล่ม ถ้าโดยมารยาท จะมีคนเอาไปใช้ ก็ต้องบอกกล่าวและได้รับอนุญาตก่อนน่ะครับ

Myover จิตมัวๆ เป็นเรื่องธรรมชาติ
เรียกว่า จิตมีโมหะครอบ มักเป็นมากตอนเช้าๆ ที่ตื่นนอนใหม่ๆ และบ่ายๆ หลังมื้อเที่ยง

หมีน้อย อันนี้ถามแบบทางโลก หรือทางธรรมล่ะ

ถ้าทางโลก ก็ต้องบอกว่า ก็ต้องคอยสังเกตเอา
ทางธรรมก็ต้องบอกว่า อย่าไปใส่ใจมาก ว่าเขาจะจริงใจ หรือจิงโจ้

ให้ย้อนมาดูตัวเองบ่อยๆ แล้วจะรู้ว่า มนุษย์เรา มันก็เท่านี้
อีหรอบเดียวกัน คือมีรักโลภโกรธหลง อิจฉาริษยา แวะเวียนมามากบ้างน้อยบ้าง

ต่างกันด้วยศีล ด้วยความเป็น "ปกติ" ของการเลือกกระทำ ไม่กระทำ
แต่ไม่ได้ต่างกัน โดยพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ยังหนาไปด้วยกิเลส

ศึกษาตัวเองดีกว่านะ หมีน้อย


โดย: aston27 วันที่: 19 กันยายน 2551 เวลา:16:44:18 น.  

 


ขอบคุณคะพี่เอ๊ด


โดย: myover วันที่: 19 กันยายน 2551 เวลา:19:51:41 น.  

 
สวัสดีครับ เข้ามาอ่านบทความแล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์ครับ และตอนนี้ผมได้ทำเวปธรรมะขึ้นมาด้วยครับ แต่ยังไม่ลงตัวเท่าไร
จึงขออนุญาติสอบถามว่า บทความที่ลงในนี้สามารถขอนำไปเผยแพร่ในเวปไซค์ธรรมะเพื่อให้คนทั่วไปอ่านได้หรือไม่ครับ
ขอบคุณครับ



โดย: ธนการ IP: 124.120.180.233 วันที่: 19 กันยายน 2551 เวลา:23:43:54 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่เอ๊ด
ตอนนี้กำลังกลุ้มๆ น่ะค่ะ ไม่รู้จะทำยังไงดี ส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาเรื่องหัวใจน่ะค่ะ จริงๆ ก็ไม่กล้าที่จะถามหรอกค่ะ เพราะกลัวว่าพี่จะมองว่าเป็นปัญหาที่ไร้สาระ แต่ก็อยากลองถามและฟังคำแนะนำของพี่เอ๊ดดู ถ้าพี่เอ๊ดพอมีเวลาช่วยตอบปัญหาหนูด้วยนะคะ
.....
คือว่าหนูได้รู้จักกับพี่คนนึง เป็นคนที่อัธยาศัยดีมากเลยค่ะ แล้วเราก็สนิทกันมากขึ้น แต่เรื่องของเรื่องคือ พี่เค้ามีแฟนอยู่แล้ว และพี่เค้าดูค่อนข้างสับสนๆ ในชีวิตตัวเองอยู่เหมือนกัน เหมือนเค้าไม่รู้ว่าชีวิตเค้าต้องการอะไร หนูก็บอกไปว่าให้คบกันในฐานะพี่กับน้องก็พอ พี่เอ็ดคิดว่าสิ่งที่หนูแนะนำพี่เค้าไปแบบนั้นมันถูกต้องแล้วใช่มั้ยคะ แต่พี่เค้าก็ยังอยากคุยอยากเจอเราเหมือนเดิม เวลาเจอกันหนูก็ทำใจลำบากเหมือนกันค่ะ กลัวว่าจะชอบพี่เค้ามากขึ้น พี่เอ๊ดมีคำแนะนำอย่างอื่นอีกมั้ยคะว่าหนูควรทำตัวยังไงดี



โดย: Myria IP: 161.200.255.162 วันที่: 20 กันยายน 2551 เวลา:16:25:13 น.  

 
คุณธนการ ครับ ผมรบกวนขอดูรายละเอียดของเว็บธรรมะที่ว่าก่อนได้ไหมครับ

ว่าจะมีเนื้อหาอะไรอยู่บ้าง

คือถ้าจะทำเป็นลิงค์ มายังบทความแต่ละบท ผมยินดีครับ

แต่ถ้าจะเอาไปลงทั้งบท มันจะกลายเป็นบทความส่วนหนึ่งของเว็บ ซึ่งผมต้องขออภัยที่จะขอสงวนสิทธิไว้ก่อน เนื่องจากแนวการสอนธรรมะ สมัยนี้มันมีทั้งที่ผมเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย

สมมติว่าเวปของคุณธนการ ไม่ได้เป็นไปในแนวทางที่ผมเห็นด้วย ผมก็อาจจะต้องขออภัยที่จะไม่ยินดีจะไปมีส่วนร่วมในนั้น

แต่ผมอาจจะไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไร เพียงแต่ ขออยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็พอ

อันนี้ต้องขอสงวนสิทธิไว้ก่อน และต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ล่วงหน้านะครับ


Myria
พี่ว่าคุณถามตัวเองดูก็ได้นะ ว่าคุณสบายใจหรือไม่สบายใจ ถ้าเขามาใกล้ชิดอย่างที่เป็นอยู่

คนมีแฟนแล้ว มีเพื่อน มีน้องได้เป็นปกติ เพียงแต่ ต้องเป็นคนที่มั่นใจ หนักแน่นในจุดยืนของตัวเอง

ถ้าออกแนวสับสน อยากเป็นชาวประมง จับปลาสองมือ
อันนี้ถ้าพี่เป็นคุณ พี่จะถอยฉาก

จะอัธยาศัยดีไม่ดี ก็เรื่องนึง จะควรไม่ควรคบหา มันก็อีกเรื่อง

คือคุณแนะนำเขาไปมันถูกต้องแล้ว แต่คำพูด กับการกระทำ มันต้องไปด้วยกัน

ไม่ใช่ปากบอกว่าเป็นพี่เป็นน้อง แต่เจอกันสองต่อสองทุกสามวัน ห้าวัน โทรหากันทุกวัน

หรือมีจิตเอื้ออาทรกันมากกว่าเพื่อน พี่น้องปกติ
อันนี้ปากจะพูดยังไง ก็ไม่เกี่ยว

ยิ่งถ้าคุณมีแนวโน้ม จะชอบเขาอยู่แล้ว
ยิ่งไม่ควรนะ จะผิดศีลข้อสามเอาง่ายๆ

เรื่องของหัวใจ อย่าริเล่นกับมันครับ


โดย: aston27 วันที่: 20 กันยายน 2551 เวลา:18:59:10 น.  

 
ขอบคุณค่ะ..พี่เอ๊ด
ศึกษาตัวเองมาตลอด แล้วก็เชื่อว่าตัวเอง "จริงใจ" และ "หวังดี" ต่อเพื่อนมนุษย์เสมอ
ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะอยู่ในสถานภาพใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา...
แต่ดันมา "ตกม้าตาย" ตอนที่ชอบคาดหวังว่าจะได้รับสิ่งดีๆ กลับมา...
รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องแบบนี้ "หวัง" ไม่ได้
"ให้" แล้ว ไม่ควรหวังว่าจะ "รับ"...
บังเอิญ "ใจ" ยังไม่นิ่งพอ
เลยรู้สึก "เสียใจ" ง่ายจัง..
ยิ่งเป็นคนใกล้ตัว.. ยิ่งเสียใจง่ายๆ เลย

ไม่ควรเลย.. ไม่ควร.. นะคะ
อยากมีกำลังใจเยอะๆ แต้ต้องสร้างเองก่อนเนอะ...



โดย: หมีน้อย IP: 202.44.7.68 วันที่: 23 กันยายน 2551 เวลา:11:03:49 น.  

 
ชอบจังเลยค่ะ Blog ของพี่ จะบอกว่าเพิ่งรู้จัก blog นี้ค่ะ รู้สึกล้าหลังมากเลย
บทความ แต่ละเรื่องที่มีคนถามมา พี่ตอบไปแล้วรู้สึกดีจังค่ะ

จะเข้ามาอ่านเรื่อยๆ นะค่ะ
ตอนนี้ก็มีปัญหาหนักอกค่ะ หนีไม่พ้นเรื่องความรักแหละค่ะ อิอิ แต่ตอนนี้ก็ปลงๆ ปล่อยวางไปก่อนค่ะ


โดย: Nidnoii IP: 58.26.40.3 วันที่: 23 กันยายน 2551 เวลา:18:05:22 น.  

 
เรียนถามเรื่องของความคิด กับการรักษาศีลค่ะ

เวลาที่เรามีความคิดเกิดขึ้น เช่น อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา หรือเวลาโกรธแล้วคิดด่า คิดติเตียนผู้อื่นอยู่ในใจ มันเสี่ยงต่อการผิดศีลมากน้อยแค่ไหนคะ

เคยได้ฟังมาว่าศีลเป็นเรื่องของกายและวาจา พอดีวันนี้ฟัง CD หลวงพ่อเรื่องขอนไม้ลอยน้ำ ถ้าไม่ติดฝั่งซ้าย ขวา ไม่ถูกอนุษย์จับไว้ ไม่เน่าใน ก็จะไหลไปสู่จุดหมายได้ เลย(รู้ว่า)มีความกังวลว่า ความคิด(ที่บังคับไม่ได้ ไม่ใช่เราเนี่ย) จะเป็นมโนกรรมที่ทำให้เรากลายเป็นคนเน่าในได้หรือไม่คะ และคุณ aston มีคำแนะนำอย่างไรคะ

นอกจากให้ตามรู้ว่ายินร้ายกับความคิดนั้นให้ทัน :)


โดย: wankawaew IP: 222.123.58.5 วันที่: 28 กันยายน 2551 เวลา:22:21:52 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณ aston27
การทักทายคุณครั้งแรกก็มาพร้อมคำถามเลย
ไม่ใช่ปัญญาหนักอกมากมาย(เลยจริงๆ) ออกจะฮาๆนิดๆ จริตๆหน่อยๆ(เอ้อ ว่าแต่จริตมันแปลว่าไรคะ)
มันแว๊บคิดขึ้นมาสองสามครั้ง
แต่ก็ตอบตัวเองไม่ได้แต่ก็ไม่ได้เครียดอะไรเลย
เข้าเรื่อง(ซักที)

สัตว์ต่างๆ(ในที่นี้หมายถึงสัตว์เดรัจฉาน)
ในช่วงชีวิตของพวกเขาจะสั่งสมบุญได้อย่างไรบ้างคะ
ขำๆนะคะ สมมุติสุนัขหรือแมวที่เลี้ยงไว้ ให้อาหารมันเป็นอาหารเจหรือมังสวิรัติพวกใข่
หรือเนื้อเจ มันจะได้บุญไหมคะ
ป.ล.ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่เขียนให้ได้อ่านกันมานะคะ


โดย: Hall (TayoHall ) วันที่: 29 กันยายน 2551 เวลา:18:20:16 น.  

 
คุณ Hall

จริต แปลว่า ความถนัด ความเคยชิน

ดัดจริต ก็คือ ไปดัดแปลงทำในแบบที่ไม่เคยชิน ไม่ถนัด

เรื่องสัตว์เลี้ยง ที่อยากจะให้สะสมบุญ อันนี้ลำบากนะครับ
เพราะจิตใจเขาไม่พร้อมจะรับธรรม เหมือนมนุษย์

ครูบาอาจารย์ ท่านถึงสอนว่า สตินี่สำคัญ
เพราะขณะจิตที่ตาย แล้วจะไปจุติใหม่ จิตตอนนั้นมีผลมาก

แต่ที่แน่ๆ ให้เขาทานเจ ก็เท่านั้นแหละครับ
เพราะบุญทำ กรรมดีทั้งหลาย มันต้องเริ่มจากเจตนา

ถ้าไม่มีเจตนา กรรมนั้นก็ไม่สมบูรณ์

ผมไม่แน่ใจนะ ว่ามีวิธีอื่นหรือเปล่า แต่เท่าที่นึกออก ไม่มีครับ





โดย: aston27 วันที่: 29 กันยายน 2551 เวลา:22:42:33 น.  

 
คุณ aston 27 ครับ เกิดมาผมก็ไม่เคยจะถามคำถามชีวิตแบบซีเรียสกับใครหรอกครับ เพราะเป็นคนที่แก้ไขปัญหาตัวเองได้เสมอ แต่คราวนี้มันหนักหนาเกินกว่าที่ผมจะแก้ด้วยตัวเองได้จริงๆ ครับ เกริ่นก่อนนะครับ ปัญหาของผมก็เรื่องไร้สาระครับ เรื่องความรัก ผมเป็นเกย์นะครับคุณ aston ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าการที่ผมเป็นแบบนี้เลยเป็นสาเหตุที่ผมหาความรักมั่นคงๆ แบบชายจริงหญิงแท้ไม่ได้สักทีหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ผมมีแฟนมาคนนึงครับ เราคบกันมา 5 ปี ก่อนที่จะเลิกกันเพราะทิฐิและอีโก้ที่ไม่ยอมคนของผมเอง ผมจึงเสียเค้าไป สองปีต่อไปผมก็สนุกสนานกับชีวิตมีกิ๊กไปเรื่อย แต่สุดท้ายผมก็รู้สึกว่ายิ่งผมมีกิ๊กเยอะเท่าไหร่ ผมก็เหงามากขึ้นเท่านั้น จนผมถามตัวเองว่าตัวเองต้องการอะไร ผมตอบได้ในทันทีว่าผมต้องการความรักที่มั่นคง ผมอยากได้ความรักครั้งสุดท้าย เหมือนฟ้าได้ยินคำอธิฐานของผม ส่งผู้ชายคนนึงเข้ามาในชีวิต เขาเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ ชีวิตนิ่งๆ คาดเดาได้ตลอด ซึ่งเหมาะกับผมที่มีชีวิตเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาได้อย่างดี เพราะผมมีความกลัวอย่างหนึ่งครับว่าคนที่มีชีวิตคล้ายๆ กับผมจะไม่น่าไว้ใจเหมือนกับตัวผมเอง ความรักของเราสองคน perfect มากจนผมรู้สึกว่านี่แหละความรักครั้งสุดท้ายจริงๆ จนกระทั่งวันหนึ่งวันที่ผมไม่ได้ตั้งตัวและเตรียมใจ ผมบังเอิญและจับเขาได้ว่าเขากำลังวางแผนที่จะกลับไปคบกับแฟนเก่าที่เค้ารักมาก ความเจ็บปวดในครั้งนี้ได้ทำลายตัวตนของผมไปมหาศาลเลยครับ ผมกลายเป็นคนหวาดระแรง ไม่ไว้ใจคน ไม่ว่าใครเข้ามาในชีวิตผมจะตั้งแง่ไว้ก่อนเลยว่า คนคนนี้ไม่ได้ดีอย่างที่เห็นหรอก สักวันเขาก็ต้องทิ้งผม ผมรู้สึกเหนื่อยและอึดอัดกับสิ่งที่ผมเป็นครับ ผมอยากหาทางแก้ ผมต้องการ restart หัวใจช้ำๆ ของผมใหม่ เพราะตอนนี้มันส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ครั้งล่าสุดของผมเหมือนกันครับ เราทะเลาะกันบ่อยๆ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ส่วนใหญ่คือเรื่องที่ผมไม่ไว้ใจเขา กลัวว่าเขาจะไปมีคนอื่น หวาดระแวงตลอดเวลา วันๆ ได้แต่คอยโทรหาว่าไปไหน อยู่กับใคร จะมาเจอผมมั้ย ซึ่งผมไม่เคยเป็นคนแบบนี้เลย ก่อนหน้านี้ผมเคยเป็นคนอยู่และมีความสุขได้ด้วยตัวเองมาตลอด ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ครับ คุณ aston ช่วยแนะแนวทางให้ผมได้ตาสว่างขึ้นทีนะครับ เพราะผมไม่อยากจะสูญเสียคนดีๆ ไปเพราะความกลัวและความงี่เง่าของตัวเอง ง่ายๆ ผมไม่อยากแพ้ภัยตัวเองนะครับ


โดย: Guttzaa IP: 202.176.100.110 วันที่: 30 ตุลาคม 2551 เวลา:10:29:43 น.  

 
คุณ Guttzaa ผมเอาเรื่องของคุณไปขึ้นบล็อกใหม่เลยนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:42:46 น.  

 
เข้ามาเยี่ยมเป็นครั้งแรก หลังจากได้อ่านเรื่องคุณทางสกุลไทย สนใจที่คุณเป็นลูกศิษย์ยุวพุทธฯ และหลวงพ่อปราโมทย์ น่ะค่ะ ตอนนี้กำลังฟัง ซีดี หลวงพ่ออยู่ พยายามรู้ตัวอยู่ แต่ไม่ทราบว่ารู้ถูกไหม อยากเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ แต่เกรงใจท่าน เพราะลูกศิษย์หลวงพ่อมหาศาลเหลือเกิน และได้ยินท่านเปรยว่าเหนื่อยบ่อยครั้งในซีดี เราควรฝึกเองแค่ไหนถึงควรไปกวนหลวงพ่อคะ


โดย: bing bing IP: 58.8.187.58 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:30:08 น.  

 
แวะเข้ามาทักทายค่ะ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยรักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ


โดย: ปลาทองปุ้มปุ้ย (Mpum ) วันที่: 9 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:17:00 น.  

 
คุณ bing bing
ที่จริงถ้าฝึกจนเห็นกิเลสตัวเองบ่อยๆ เห็นทั้งวัน
เห็นว่าเราหลงไปคิด นึก ปรุงแต่ง บ่อยๆ

อันนั้นก็น่าจะถือได้ว่าถูกทาง

อย่างตอนที่ไม่แน่ใจ รู้ว่าไม่แน่ใจ
สงสัย แล้วเห็นว่าจิตกำลังสงสัย อันนั้นแปลว่ารู้สึกตัวเป็นแล้ว

แต่รู้สึกตัวเป็นแล้ว ก็ยังต้องคอยซ้อมอยู่บ่อยๆครับ จนกระทั่งจิตเขามีสติ ระลึกรู้สภาวะขึ้นได้เอง

เรื่องเกรงใจ อันนี้ตัดไปก่อน หลวงพ่อท่านก็บ่นไปงั้นเองแหละ
ผมตีความเอาว่า ท่านไม่อยากให้ลูกศิษย์มาติดท่าน แต่อยากให้แต่ละคนฟังท่านสอนจนเข้าใจหลักปฏิบัติแล้วก็ไปหัดรู้หัดดูเอาเอง

แต่ถ้ารู้สึกตัวเป็นแล้ว ไปพบท่าน ท่านจะดีใจครับ ^^

ถ้าเบื้องต้น ยังไม่แน่ใจเรื่องรู้สึกตัว ว่าถูกหรือยัง แนะนำว่า น่าจะลองไปเรียนกับอาจารย์สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา กับพี่หมอณัฐ ที่ห้องสมุดบ้านอารีย์ก่อนก็ได้ครับ

สองท่านนี้ หลวงพ่อรับรองไว้ว่าเรียนได้หายห่วง สอนแล้วจะไม่หลงทาง

ทั้งสองท่านจะสอนอยู่ทุกบ่ายวันเสาร์ ตั้งแต่บ่ายโมงสิบห้า โดยประมาณครับ

คุณปลาทองปุ้มปุ้ย สวัสดีครับ


โดย: aston27 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2551 เวลา:17:05:32 น.  

 
หลังจากที่พยายามหา ในที่สุดก็พบ...
ดิฉันเพิ่งหันมาสนใจในพุทธศาสนาได้ไม่นาน พอดีมีคนที่รู้จัก (ซึ่งเป็นคนที่เข้าวัด นุ่งห่มขาว ทำบุญ สร้างพระ กฐิน ผ้าป่ามิได้ขาด) บอกว่า การทำบุญก็เหมือนกับการนำเงินฝากธนาคารไว้ การทำพิธีที่เรียกว่า "เปิดบุญ" ก็เหมือนกับการไปเบิกเงินจากธนาคาร ดังนั้น คนที่ทำบุญไว้แต่ไม่ได้ทำพิธีเปิดบุญ ผลบุญก็จะไม่ตอบสนอง เช่นเดียวกับคนที่ฝากเงินไว้ในธนาคารแต่ไม่ได้เบิกเงิน ก็จะไม่มีเงินมาใช้จ่าย ดิฉันจึงเกิดความสงสัยว่า ความคิดเช่นนี้ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนาหรือไม่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เช่นนี้จริงหรือไม่
นี่เป็นข้อสงสัยข้อที่ 1 ค่ะ ขอบคุณค่ะ


โดย: กมลทิพย์ IP: 117.47.12.2 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2551 เวลา:17:02:11 น.  

 
ความจริงจะเป็นอย่างไรผมไม่ทราบนะครับ
ผมเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องลี้ลับ

แต่โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อและไม่เห็นด้วยกับความเชื่อนั้น
เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนไว้ว่าให้ทำพิธีเปิดบุญ ก็แปลว่าไม่จำเป็น

ผมเชื่อในกฏแห่งกรรมครับ เชื่อว่าทำสิ่งใด ก็ได้สิ่งนั้น
อะไรที่เกินจากหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ ผมไม่เห็นประโยชน์

อย่างเรื่องพิธีบูชาราหู บูชาเทพอื่นใด พระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้สอนไว้ แล้วคนที่พูดเรื่องเปิดบุญ จะรู้มากกว่าพระพุทธเจ้าหรือครับ :)

อีกอย่างนะครับ ในทางพุทธ เราทำบุญเพื่อสละออกซึ่งอัตตา ไม่ใช่เพื่อสะสมความร่ำรวย เพื่อเพิ่มกิเลส เพิ่มอัตตาตัวตน

ยิ่งทำบุญด้วยความ "อยากได้" ผลที่จะได้จริงๆ ก็กลับจะถูกเบียดบังด้วยกิเลส ตัณหา

อันนี้จะไม่เห็นด้วย ผมก็ไม่ว่าอะไรนะครับ แต่ถ้ามาถามผม ก็จะตอบอย่างนี้


โดย: aston27 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:10:46 น.  

 
พระพยอม วัดสวนแก้ว ยอมให้พวกเสื้อแดง(ทักษิณ) ใช้ที่วัดสวนแก้วจัดงานชุมนุมทางการเมือง สมควรหรือไม่ แสดงว่าเป็นพวกเดียวกันใช่หรือไม่ หากต่อไปจะไม่บริจาคของไม่ใช้ให้แก่วัดสวนแก้วอีกต่อไป ถือว่าคิดถูกหรือไม่


โดย: พันธมิตร(รักในหลวง) IP: 118.174.131.204 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:46:36 น.  

 
สวัสดีครับ คุณพันธมิตร

เรื่องการเมืองผมขอไม่ออกความเห็นดีกว่านะครับ

เรื่องทำบุญ เราต้องทำด้วยใจ ทำแล้ววางใจว่าเราทำเพื่อสละออก

ถ้าไม่สะดวกใจจะบริจาค ก็ไม่ควรบริจาคครับ เพราะบุญก็จะไม่สมบูรณ์

แต่ถ้ามองว่า เราทำบุญเพื่อสละความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน ยิ่งบริจาคให้คนที่เห็นตรงข้ามกับเรา ยิ่งได้บุญมากนะครับ

เหมือนหมอ พยาบาล ที่ สมมติบางท่านไม่ชอบพันธมิตร แต่เวลามีเหตุที่พันธมิตรได้รับบาดเจ็บ แล้วเขามีเมตตา ให้การรักษาพยาบาล ในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เกื้อกูลกัน อันนั้นกุศลของเขาจะสูงมากครับ

บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป จะทำบุญให้พระวัดไหน จะฝ่ายไหน ถ้าทำด้วยใจบริสุทธิ์ บุญนั้นย่อมสำเร็จได้เสมอกันครับ



โดย: aston27 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:26:24 น.  

 
ถามเรื่องการปฏิบัติค่ะพี่ ทำตามที่ฟัง CD ของหลวงพ่อแล้ว อ่านหนังสือของพี่ดังตฤณ อ่านของพี่ แต่ว่ารู้ปุ๊บก็มันก็อึดอัดทันที พอรู้ว่าอึดอัดยิ่งอึดอัดหนักกว่าเดิมเหมือนหายใจไม่ออก เป็นเพราะไปกดไว้รึเปล่าคะ พี่แนะนำหน่อย


โดย: OH IP: 125.25.57.118 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:31:55 น.  

 
สวัสดีคะ...พี่ aston27

เข้ามาอ่านตั้งแต่เริ่มอกหักคะ และก็อ่านและฟังธรรมะตลอด เพราะรู้สึกว่าทำให้ร้อนรนน้อยลง บางวันก็เข้าไปอ่าน link เพื่อดูว่ามีใครเค้าบ้าบอเหมือนเรารึเปล่า??? และอ่านคำตอบของผู้รู้หลายๆคนใน "แสงดาวส่องทาง" และฝึกดูจิตบ่อยขึ้นด้วย จนวันนี้...ก็ปาเข้าไป 3 เดือนแล้ว ใจยังอยากรู้คำตอบจากเค้า...อยู่เลย รู้ตัวอยู่คะ...ว่าความอยาก ทำให้เกิดทุกข์เพราะความอยากรู้ ถ้ารู้คำตอบจากเค้า จะทำให้เราดีขึ้น หลุดจากกรงที่ขังใจตัวเองอยู่หรือป่าว?? หรือให้หยุดแค่รู้ว่าอยากรู้ก็พอคะ



โดย: compass IP: 125.26.186.230 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2551 เวลา:13:56:42 น.  

 
คุณ Oh ครับ

ส่วนมากเวลามือใหม่ศรัทธาแรง เริ่มหัดรู้สึกตัวใหม่ๆ เห็นสภาวะอะไร มักจะจงใจไปรู้แบบออกแรงเยอะไปครับ

พอรู้แรงมาก จงใจ ตั้งใจแรงไป จิตมันเลยเกิดปฏฺกิริยาอัดแน่นๆขึ้นมา

วิธีแก้ไม่มีครับ แค่อยู่เฉยๆ อย่าไปคิดเรื่องการปฏิบัติสักพัก เดี๋ยวมันก็คลายไปเอง

แต่ถ้าเห็นมันแน่นๆ แล้วพยายามเข้าไปคลุก หาทางแก้ไข มันจะยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ

คราวนี้ล่ะคุณเอ๋ย .. ลำบาก

เวลารู้สึกตัว ให้รู้เล่นๆ ชิล ชิล อย่าคิดมาก อย่าเกร็ง ไม่ต้องไปดักรอกลัวว่าจะไม่รู้สึกตัว หรือกลัวจะหลง

เพราะตอนที่กลัวหลงแล้วไม่รู้ตัวว่ากลัวหลง ไม่อยากหลง นั่นแหละ หลงไปเรียบร้อยแล้ว

คุณ compass

เคยได้ยินคำที่เขาว่า ยิ่งอยากมาก ยิ่งไม่ได้ไหมครับ

ผมแอบรู้สึกว่าคุณฝึกดูจิต โดยมีแรงขับจากการ "อยากดีขึ้น" "อยากหายทุกข์" เพราะ "ไม่ชอบทุกข์"

เหล่านี้เป็นเบื้องหลังสำคัญ ที่คอยขัดขวางไม่ให้คุณได้รับดอกผลของการภาวนาครับ

เพราะสิ่งที่ผมแจกแจงมาทุกอย่าง เป็นกิเลสทั้งนั้น แม้บางตัวจะเป็นกิเลสฝ่ายดีอยู่ก็ตาม

ผมแนะนำว่า ลองตั้งเป้าหมาย วางใจใหม่ว่า ต่อไปนี้ เราจะไม่ปฏิเสธทุกข์นะครับ

เราจะยอมรับทุกข์ แบบไม่มีเงื่อนไข ข้อแม้ เพื่อจะศึกษาธรรมะ หรือความจริงจากทุกข์นั้นแหละ

ว่าทุกข์นั้น มันเป็นอนิจจัง แปรปรวน และบังคับไม่ได้ จริงไหม

และแม้แต่ตัวทุกข์เอง มันก็มีความบีบคั้น ไม่ให้มันคงที่อยู่อย่างนั้นเสมอต้น เสมอปลายไม่ได้

และที่สำคัญ ให้ตั้งเป้าว่า เราจะดูจิต เพื่อเรียนรู้ความจริง ไม่ใช่เพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อตัวเรา แต่เพื่อบูชาคุณของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และ พระพุทธเจ้า

เราไม่เอาอะไร เพราะที่จริงแล้ว ตัวเราเองก็ไม่มี มีแต่ความสำคัญผิด คิดว่ามีตัวเรา

ลองภาวนา ทำทาน ถือศีล เพื่อพระพุทธเจ้าดูนะครับ
แล้วจะรู้สึกว่าภาวนาด้วยความสบาย ปลอดโปร่ง และมีความสุขมากขึ้นอีกเยอะเลย



โดย: aston27 วันที่: 2 ธันวาคม 2551 เวลา:16:03:57 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณaston

ดิฉันเป็นแฟนบล็อกของคุณมาสองปีกว่า...เข้ามาอ่านบ่อยๆแต่ไม่เคยมีโอกาสได้คอมเมนท์เลย...ถ้าไม่รบกวนจนเกินไปดิฉันมีเรื่องรบกวนถามเกี่ยวกับการมีวิปัสสนา

ปกติเป็นคนชอบอ่านหนังสือธรรมะก่อนนอน และอ่านบล็อกของคุณประจำเพราะทำให้รู้สึกว่าจิตสงบ และเย็นดี จากนั้นก้อเริ่มลอง ปฎิบัติอย่างที่คุณบอกหรือแม้กระทั่งทำตามในหนังสือของคุณดังตฤณมาร่วมเกือบปี แต่ก้อเหมือนกับยืนอยู่ที่เดิมไม่มีความก้าวหน้า และก้อไม่รู้ว่าที่ทำมาถูกหรือผิด อาจเป็นเพราะว่าคนรอบๆตัวของดิฉันยังไม่มีใครสนใจทางด้านนี้มากนัก และดิฉันไม่มีโอกาสได้รู้จักกัลยาณมิตรมากนักเนื่องจากอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยมีโอกาสได้กลับเมืองไทย จึงอยากจะรบกวนคุณastonช่วยชี้แนะดิฉันด้วยค่ะ

เริ่มจากที่ดิฉันได้ทำงานในหน่วยงานของศูนย์ดูแลแม่ชี(ที่แก่ชราและรอความตาย)ของศาสนาคริสต์...มันทำให้ดิฉันกลัวความตายที่จะตายอย่างไม่รู้หรือตายอย่างหลงเหมือนๆกับแม่ชีที่นี้...มันทำให้ดิฉันอยากเริ่มปฎิบัติอย่างถูกต้องและเอาจริงจังมากกว่านี้ แต่ก้อไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ถูกหรือไม่

เวลาทำงานดิฉันจะมีสติได้ไม่นานก้อจะเผลอ หลงทำตามความเคยชิน แต่พอรู้ตัวก้อรู้สึกว่าเราหลงอีกแล้วหรือ...เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้งจนรู้ตัวว่าเหนื่อยอ่อน และถ้อบางครั้ง แต่พอคิดได้ก้อคิดว่าหรือก้อคิดว่าบางที่เราอาจจะทำผิดก้อได้...จึงอยากได้คำชี้แนะของผู้มีสติตั้งมั่นตลอดเวลาอย่างคุณastonค่ะ

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะที่ให้คำชี้แนะ


โดย: chalinee IP: 124.19.60.17 วันที่: 4 ธันวาคม 2551 เวลา:13:10:39 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะพี่ aston27

ช่วงแรกที่เริ่มมีปัญหา...ก็สวดมนต์และนั่งสมาธิมากขึ้น(ปกติก็สวดมนต์อยู่แล้วคะ)...ตอนแรกก็ดูไหวอ่ะคะ...แต่หลังๆรู้สึกจะเผลอและฟุ้งซ่านบ่อยขึ้น...เลยเริ่มรู้สึกว่าเรามาผิดทางรึเปล่า??
แต่ก็ไม่รู้ทำไง??? เลยนั่งสมาธิให้นานขึ้น แต่กลับทำให้แย่ลงๆ จนลองฟังซีดีพระอาจารย์ปราโมทย์ ครั้งแรกที่ฟังก็รู้สึกแค่ว่าเสียงหลวงพ่อฟังแล้วสบายใจ....หลังจากนั้นก็ลองเริ่มตามรู้กาย รู้จิต แต่ปล่อยสบายๆอย่างที่หลวงพ่อแนะ...แต่ในใจแอบคิดว่า...แค่รู้กายกับจิต...จะเปลี่ยนแปลงได้จริงเหรอ???(บาปป่าวเนี๊ยะ)
พอฟุ้งซ่านก็แค่รู้.....เสียใจก็แค่รู้
ทุกข์ใจก็แค่รู้....

ทุกข์น้อยลง...ยังกะปาฏิหาริย์คะ

สุขสันต์วันเสาร์คะพี่ aston27


โดย: compass IP: 125.26.185.193 วันที่: 6 ธันวาคม 2551 เวลา:17:00:34 น.  

 
ผมเพิ่งได้มาศึกษาปฎิบัติธรรมไม่นาน เริ่มจากศึกษาปฎิบัติเอง แล้วไปตามสถานที่ปฎิบัติธรรมต่าง ๆ ตอนนี้เริ่มสับสนคับ เพราะตอนฝึกดูลมหายใจ ไม่แน่ใจว่าเรียกว่า สมถสมาธิ หรือป่าว แต่ไปสถานที่ปฏิบัติธรรมเป็น วิปัสสนาสมาธิ เลยทำให้รู้สึกสับสนคับ ที่สนใจสมาธิเพราะได้เจอกับกลุ่มผู้ปฎิบัติรวมทั้งได้อ่านหนังสือ เพื่อทำให้ตัวเองดีขึ้นบ้าง นึกแค่นั่นไม่ได้คิดไกลครับ ทำไงดีครับ ขอคำแนะนำหน่อย จะได้ลดความสับสนครับ ขอบคุณครับ ผมรู้จักคุณจากธนาคารความสุข ครับ ชอบครับเลยติดตามมาในเวปนี้อีก


โดย: 1 IP: 202.12.118.61 วันที่: 9 ธันวาคม 2551 เวลา:8:12:04 น.  

 
คุณ Chalinee ออกตัวก่อนครับว่าผมยังไม่ถึงขั้น "มีสติตั้งมั่นตลอดเวลา" เพราะผู้ที่เป็นเช่นนั้นได้ มีแต่พระอรหันต์นะครับ

เบื้องต้น ผมอยากแนะนำให้คุณ Chalinee ลองแบ่งเวลาปฏิบัติในรูปแบบบ้าง คือสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ

สวดมนต์ บทไหนก็ได้ บทสวดของศาสนาอะไรก็ได้ ไม่ว่ากันครับ
แต่ขณะที่สวดอยู่ ขอให้รู้สึกตัว รู้การเคลื่อนไหวของจิต หรือคลื่นความคิด ที่ผุดขึ้นมาๆๆๆ ระหว่างที่สวดมนต์อยู่นั้น

เดินจงกรม อันที่จริงแปลว่า เดินทุกก้าวด้วยความรู้สึกตัวครับ ไม่ต้องสนใจท่าเดิน ให้สนใจการเคลื่อนไหวของกาย ทุกย่างก้าว

แล้วที่สำคัญ หลักการเดียวกับการสวดมนต์ คือขอให้รู้สึกตัว รู้การเคลื่อนไหวของจิต หรือคลื่นความคิด ที่ผุดขึ้นมาๆๆๆ ระหว่างที่เดินอยู่นั้น

ส่วนรายละเอียดไปโหลดไฟล์เสียงของอาจารย์ผมมาฟังเพิ่มเติมที่นี่นะครับ

//www.wimutti.net/pramote/

compass พี่อนุโมทนาด้วยครับ

คุณ 1 ครับ
คุณหนึ่งลองไปหาอ่านบล็อกของผมที่ชื่อ "FAQ วิปัสสนา" นะครับ

ผมอธิบายความเข้าใจเบื้องต้นเรื่องนี้ไว้พอควร

อีกทางคือ ให้ลองไปโหลดไฟล์เสียง หลวงพ่อปราโมทย์มานั่งฟังเล่นๆ ท่านสอนฟังง่าย ฟังสนุก แล้วคอยรู้สึกตัวตามไป จะเข้าใจเองครับ

ผมทำลิงค์ไม่ได้ คุณ 1 copy ไปใส่ช่อง address แล้ว enter เอานะครับ //www.wimutti.net/pramote/




โดย: aston27 วันที่: 11 ธันวาคม 2551 เวลา:22:18:53 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณaston27

ยังไงก้อต้องขอขอบคุณสำหรับคำชี้แนะที่ให้มา

สำหรับการสวดมนต์ดิฉันทำเป็นกิจวัตรมาหลายปีแล้วตั้งแต่มาอยู่ที่นี้ .. เคยฝึกเดินจงกรมกับการนั่งสมาธิแต่ทำได้ไม่นานนักเพราะบ้างที่ก้อฟุ้งหรือรู้สึกตัวว่าใจกำลังลอยๆ..เลยทำได้แต่สวดมนต์ในตอนเช้าเท่านั้น...ส่วนเว็ปที่ให้มาดิฉันพึ่งจะเข้าไปอ่านได้ไม่นานนัก(ระหว่างที่รอคำชี้แนะจากคุณaston27)ตอนนี้ก้ออ่านไปเรื่อยๆ(เป็นคนชอบอ่านมากกว่าฟังค่ะ)

ยังไงก้อจะลองพยายามนำมาปฎิบัติดู..แต่ถ้าดิฉันติดขัดเช่นไรก้อขอรบกวนอีกนะค่ะ

ขอบคุณค่ะอีกครั้งสำหรับคำชี้แนะที่ให้มา


โดย: chalinee IP: 124.19.60.17 วันที่: 12 ธันวาคม 2551 เวลา:10:32:59 น.  

 
คุณ Chalinee ครับ

ที่ผมแนะให้สวดมนต์ หรือเดินจงกรม วัตถุประสงค์ก็เพื่อให้คุณ Chalinee ได้สังเกต ได้ตามรู้ตามดู ความฟุ้ง ความลอยของจิต นั่นแหละครับ

วิปัสสนา มันง่ายตรงที่ เราไม่ได้ฝึกเพื่อบังคับไม่ให้จิตฟุ้ง หรือห้ามไม่ให้มันลอย

แต่เราฝึกเพื่อจะรู้ทันว่า จิตเรามันฟุ้งซ่าน มันลอยไป ตามธรรมชาติ ไม่มีใครสั่ง ไม่มีใครบังคับมันได้ มันจะลอย มันก็ลอยเอง

เราดูตัวนี้ เพื่อจะเข้าใจปัญญาตัวที่ว่า จิตเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ได้ทำงานตามการสั่งการของเราเท่านั้น แต่เขาทำงานได้เองด้วย

ฉะนั้น ถ้าสวดมนต์แล้วเห็นว่าฟุ้งซ่าน ดีแล้วครับ เดินจงกรม แล้วเห็นว่าใจลอย ดีแล้วครับ

ทำไปนะครับ อย่าท้อ แล้วอย่าไปตั้งเป้าหมายผิดว่า จะต้องทำเพื่อไม่ให้หลง ไม่ให้ฟุ้ง ที่เห็นว่าจิตฟุ้ง จิตหลงไปใจลอยนั่นแหละ เราปฏิบัติเสร็จไปหนึ่งครั้ง

หลังจากนั้น คอยสังเกตว่า รู้สึกตัว เห็นความฟุ้ง ความใจลอยแล้ว จิตมันเป็นอย่างไร มันเป็นกลาง หรือไม่เป็นกลาง ยินดีชอบใจ หรือยินร้ายไม่ชอบใจ ก็รู้ทัน

เราปฏิบัติอย่างนี้นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 12 ธันวาคม 2551 เวลา:14:03:21 น.  

 
ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยแนะทางสว่างให้เดิน...

ต่อจากนี้ไปคงต้องขึ้นอยู่กับความวิริยะ พากเพียรของดิฉันที่จะรู้ตัวสึกตัวเองให้บ่อยๆได้มากน้อยแค่ไหน...แต่ก้อจะพยายามค่ะ

ขอบคุณอีกครั้ง

สุขสันต์วันเสาร์ค่ะ


โดย: chalinee IP: 124.19.60.17 วันที่: 13 ธันวาคม 2551 เวลา:8:06:26 น.  

 
พอดีกลับมาหน้านี้อีกครั้งเพราะลืมบอกไปในสิ่งที่อยากบอกคุณaston27มานานแล้วค่ะว่าคุณเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาดีมากๆเท่าที่ดิฉันรู้จักมา(คล้ายๆกับคุณดังตฤณ)เพราะเห็นได้จากการที่คุณสามารถตอบปัญหาให้กับผู้ที่มีทุกข์ในเรื่องต่างๆตลอดมา...

ตลอดจนวาทะที่ใช้ในการเขียน ที่อ่านแล้วสะกดใจคนอ่านหยุดคิดตามที่คุณแนะแนวทางการแก้ปัญหาให้...

ยังไงก้อขอชื่นชมคุณaston27ที่ได้ทำบล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยตอบปัญหาให้ใครต่อใครอีกหลายคนที่ยังต้องทุกข์กับปัญหาชีวิตอยู่

ขออนุโมทานบุญด้วยค่ะ

ps อ่านบล็อกของคุณทีไรต้องมีเรื่องให้อมยิ้มทุกที


โดย: chalinee IP: 124.19.60.17 วันที่: 13 ธันวาคม 2551 เวลา:8:35:34 น.  

 
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ...พี่ aston27

มีเรื่องอยากถามอีกแล้วคะ

คือว่า...เวลาแม่จะทำบุญที่วัดดังๆ และทำบุญด้วยเงินจำนวนมากๆ...จะรู้สึกไม่ค่อยดีแถมยังบอกแม่ว่าให้ทำบุญกับเด็กกำพร้า+คนชราหรือมูลนิธิบ้าง เพราะวัดดังๆท่านมีคนบริจาคเยอะมากอยู่แล้ว บางวัดเวลาทอดกฐินทีได้เป็นสิบล้าน...การคิดและรู้สึกแบบนี้เป็นบาปรึเปล่าคะ??






โดย: compass IP: 125.26.184.200 วันที่: 16 ธันวาคม 2551 เวลา:14:18:01 น.  

 
คุณ chalinee คำชมทั้งหลาย ผมขออุทิศบูชาคุณพระพุทธเจ้า กับอาจารย์ผม คือหลวงพ่อปราโมทย์นะครับ

ไม่มีสองท่านนี้ ผมก็คงไม่มีสติปัญญา จะตอบอะไรใครได้เลย

compass ความคิดที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ค่อยทำให้ใครบาปนะครับ

เป็นเรื่องความซนของจิต ที่เขาทำงานของเขาเอง เอาแค่ว่าเราอย่าไปช่วยเขาคิด

การที่คอยรู้เท่าทัน ว่าจิตมีความคิดดี เป็นกุศล หรือจิตมีความคิดไม่ดี ไม่เป็นกุศล อันนั้นถือว่าดี มีประโยชน์เสมอกัน

ความไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย ไม่ถูกใจไม่ยินดี ในสิ่งที่ผู้อื่นทำ อันนั้นเป็นสิ่งที่เราควรจะรู้ทันเป็นเบื้องต้น

แต่หลังจากนั้น ก็เป็นเรื่องของเหตุและผล ถ้าเจตนาเราคืออยากให้แม่มีโอกาสทำบุญ ในทางอื่นบ้าง แปลว่าเรามีเจตนาดี ไม่บาปนะครับ

แต่การมีเจตนาดี ก็ต้องฉลาดพูด ไม่พูดด้วยอัตตา ด้วยความเห็นที่เป็นอคติว่าแม่ทำไม่ถูก แม่ทำไม่ดี

มีอัตตาขึ้นมาแล้ว ก็ให้รู้ทันก่อน รู้ทันอัตตา ความยึดมั่นในความคิด ความเห็นของตัวเองว่าถูก ว่าดีกว่าแม่ แล้วพออัตตาดับ ก็พูดด้วยเหตุด้วยผล

พูดด้วยความปรารถนาดี อยากชวนให้แม่ลองไปทำบุญในทางอื่นบ้าง อันนี้ไม่เป็นไรครับ กลับจะได้บุญ

แต่ชวนแล้วก็ต้องมีอุเบกขา ถ้าแม่ไม่เห็นชอบ ไม่เห็นดีกับความคิดเรา ก็ต้องทำใจไว้ว่า มันเงินของแม่นะ แม่สบายใจที่จะทำบุญวิธีไหน ก็ต้องเคารพสิทธิของท่านอย่างนั้น อย่าไปทุกข์ เพราะท่านเองท่านยังไม่ทุกข์เลยแล้วเราจะทุกข์แทนท่านไปทำไม

ประโยชน์อย่างแรกของการทำบุญ คือความสบายใจนะครับ ถ้าไม่สบายใจ ก็ไม่ควรทำ ฉะนั้น ถ้าแม่สบายใจที่จะได้ทำบุญ แบบของท่าน ก็ต้องปล่อยท่าน ตราบใดที่มันยังพอดี พองาม ไม่เดือดร้อนครอบครัว ไม่สร้างความล่มจมให้ทางบ้าน

ต้องวางใจอย่างนี้นะครับ จะได้สบายใจ


โดย: aston27 วันที่: 16 ธันวาคม 2551 เวลา:17:13:04 น.  

 
ไม่สบายใจเลยค่ะ ปีนี้ขับรถชนแมวตายโดยไม่ได้เจตนา 2 ตัวแล้ว ตัวแรกกระโดดพุ่งออกมา เบรคไม่ทัน ไปตายที่รพ. อีกตัวน่าเศร้ากว่าเพราะมันติดเรามาก เป็นแมวมีเจ้าของแต่หนีเจ้าของมาอยู่บ้านเรา เจ้าของเอากลับไปหลายครั้ง แต่ก็หนีมาอยู่บ้านเราทุกครั้ง เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ถูกชะตากัน เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่บางทีเราก็รำคาญ บางทีก็แกล้งมันบ้างเพราะมันดื้อและขี้อ้อนมากๆ วันที่ขับรถชน มันนอนอยู่ดีๆ แต่เรามองไม่เห็น ถอยชนตอนมันหลับ มารู้ตัวอีกก็ตอนได้ยินเสียงดิ้นทุรนทุรายใต้รถ คิดว่าก่อนตายมันคงทรมาณมาก เพราะเป็นแมวตัวใหญ่ ตายตาไม่ปิด ตอนนี้รู้สึกเสียใจมากค่ะ มีความรู้สึกเหมือนมันมารอชดใช้กรรมกับเรายังไงก็ไม่รู้ เคยไปต่างจังหวัดนานหลายวัน คิดว่ามันคงหายไปแล้ว แต่กลับมาก็เห็นมันนอนรออยู่ ไม่เคยหนีไปไหน ตอนนี้ภาพที่เห็นตอนมันดิ้น ไม่เคยจางหาย ยังจำได้ติดตา และได้กลิ่นคาวเลือดอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา นอนไม่เคยหลับ รู้สึกผิดและแย่มาก ที่ตอนมันมีชีวิตอยู่ เราชอบแกล้งมันบ้าง แหย่มันบ้าง และรู้มาว่า แมวเป็นสัตว์ตายยากมาก เราควรทำใจกับเรื่องนี้ยังไงดีคะ ได้แต่คิดวนไปวนมาว่า ถ้าเราระวังตัวมากกว่านี้ คงจะไม่ทับมันตาย ขับรถช้ามาก ไม่เร็วเลยค่ะ เรื่องแบบนี้เป็นเหตุบังเอิญ หรือกรรมเก่า ?


โดย: สิงหา IP: 124.120.72.183 วันที่: 22 ธันวาคม 2551 เวลา:22:42:30 น.  

 
รบกวนถามอีกเรื่องนึงนะคะ พยายามจะนั่งสมาธิ แต่เวลาหลับตาแล้วจะรู้สึกกลัว เราสามารถทำสมาธิโดยไม่หลับตาได้ไหมคะ ?


โดย: สิงหา IP: 124.120.72.183 วันที่: 22 ธันวาคม 2551 เวลา:22:54:37 น.  

 
ขออภัยที่ตอบช้าครับ คุณสิงหา

อยากให้คุณเข้าใจเรื่องหนึ่งว่า สัตว์โลกทั้งหลาย มีกรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เราเกิดเพราะมีกรรม เรามีอายุขัยสั้นหรือยืนยาวก็เพราะกรรม

แมวที่คุณไม่มีเจตนาจะทำร้าย ทำลายชีวิต เขาก็มีกรรมของเขาครับ บังเอิญเพียงแต่คุณไปอยู่ในที่ๆกรรมของเขาจะมาส่งผลพอดี

ถ้ามองในเรื่องบาป คุณสิงหามีบาปน้อยครับ ถ้ามองในเรื่องศีล ถือว่า ศีลของคุณไม่ขาด เพราะบาปนั้นมีองค์ประกอบสามอย่าง คือ เจตนา หนึ่ง การลงมือกระทำ สอง และสาม คือ ผลสำเร็จจากสองข้อแรก

คุณสิงหา ไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายเขา ไม่มีแม้แต่ใจยินดีที่ชีวิตเขาสูญไป องค์ประกอบของบาปกรรมนี้จึงไม่สมบูรณ์

สิ่งที่ทำได้ คือมีสติ คอยรู้ทันความรู้สึกผิด อันนี้เป็นวิธีแบบวิปัสสนา

อีกอย่างที่แนะนำคือ ไปทำบุญ ปล่อยปลา ไถ่ชีวิต หรือทำบุญกับพระสงฆ์อาพาธ แล้วตั้งจิตรำลึกถึงแมวทั้งสองตัว

ผมก็ไม่ทราบนะครับ ว่าแมวทั้งสองตัว ตอนนี้จะจุติไปเกิดเป็นอะไรหรือยัง แล้วจิตจะเปิดพอจะรับบุญกุศลของคุณได้ไหม แต่ก็ไม่สำคัญ เพราะบุญกุศลนั้น ใครทำ ก็ได้ผลเป็นความสุขแก่ตัวเองอยู่แล้วครับ

เรื่องสมาธิ ไม่มีความจำเป็นต้องหลับตาครับ ไม่จำเป็นกระทั่งว่าต้องนั่งขัดสมาธิ นั่งเก้าอี้ก็ทำได้ หรือแม้แต่เดินก็ทำสมาธิได้

เพียงแต่ว่า การหลับตาเป็นตัวช่วยให้จิตสงบได้ง่ายขึ้น เพราะลดการกระทบทางตาออกไป

คำถามคือ คุณสิงหา ต้องการนั่งสมาธิเพื่อทำสมถะ หรือวิปัสสนา เพราะสองแนวทางนี้ต่างวัตถุประสงค์ และมีเทคนิคต่างกันครับ

สมถะ ถ้าทำถูกต้อง จะทำเพื่อความสุข ความสงบ ความสบาย ความนิ่ง

วิปัสสนา เบื้องต้นทำเพื่อให้จิตมีสติ เบื้องปลาย เพื่อให้จิตมีปัญญา

เล่าคร่าวๆนะครับ ผมเคยเขียนไว้หลายๆบล็อกแล้วครับ

สวัสดีปีใหม่ครับ


โดย: aston27 วันที่: 30 ธันวาคม 2551 เวลา:11:20:42 น.  

 
ขอบคุณมากๆ เลยค่ะสำหรับคำตอบ (ตอบช้าไม่เป็นไรค่ะ ขอให้ตอบก็พอ) อ่านแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ตอนนี้ก็พยายามใส่บาตรบ่อยๆ และแผ่เมตตาให้แมวที่ตายไปแล้ว

ป.ล ปีนี้ คุณ aston27 จะเขียนพ็อกเก็ตบุคส์อีกไหมคะ แล้วจะรอติดตามอ่านนะคะ

สวัสดีปีใหม่ค่ะ




โดย: สิงหา IP: 118.174.6.180 วันที่: 3 มกราคม 2552 เวลา:10:57:39 น.  

 
สวัสดีค่ะ
มีคำถามที่ถามแบบจะพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่สงสัยค่ะ

1. ถ้าเราเชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง เราจะไปเกิดใหม่ในชาติภพหน้า (หมายถึงเกิดเป็นมนุษย์ หรือสัตว์แล้วแต่บุญกรรมของแต่ละคน ไม่รวม พรหม,เทวดา) แล้วถ้าดาวโลกดวงนี้ถึงกาลดับสูญ แล้วยังหาดาวดวงใหม่ที่สภาพใกล้เคียงดาวโลกไม่ได้ จิตต่างๆ จะไปเกิดกันได้ยังงัยคะ หรือว่าต้องล่องลอยไปในอวกาศ

2. ถ้าคนที่เกิดมาถูกสอนว่าตายแล้วไม่เกิดใหม่ ชีวิตนี้มีเพียงชีวิตเดียว แล้วเค้าก็มีความเชื่อแบบนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย หรือบางศาสนาบอกว่าตายแล้วจะไปอยู่กะพระเจ้า หรือคนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย หรือคนที่มีความศรัทธาไปคนละแบบกับที่ศาสนาพุทธสอน สรุปแล้วคนที่มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เค้าศรัทธาก็ยังต้องไปเวียนว่ายตายเกิดด้วยหรือคะ ถ้าคำตอบบอกว่าก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด แล้วเค้าเถียงว่าก็ฉันเชื่อของฉันแบบนี้ ฉันมีเพียงชีวิตเดียว จะไปเกิดใหม่ได้ยังงัย จะตอบเค้าไปว่างัยดีคะ

3. อันนี้ไม่ได้ลบหลู่นะคะ เชื่อว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่จริง แต่อาจเป็นได้มั้ยคะ ว่า "การเวียนว่ายตายเกิด" เป็นเพียงกุศโลบายให้ผู้คนเพียรสะสมกรรมดี ละกรรมชั่ว กลัวบาป

4. ถ้ามนุษย์ต่างดาวมีจริง พวกนี้จะอยู่นอกเหนือกฎการเวียนว่ายตายเกิดรึเปล่าคะ

รบกวนตอบด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ


โดย: joyful IP: 58.136.61.159 วันที่: 16 มกราคม 2552 เวลา:10:40:33 น.  

 
คุณสิงหาครับ

หนังสือเล่มที่สองกำลังอยู่ในระหว่างขัดเกลาต้นฉบับ รอสักสามเดือนนะครับ

คุณ Joyful
ที่จริงไม่อยากตอบคำถามคุณเลย เพราะเป็นคำถามที่อยู่เหนือความรู้ของผม ผมยังไม่เคยเห็นหน้าตาของจักรวาลนอกโลกน่ะครับ แต่ที่เคยฟังครูบาอาจารย์ท่านเล่ามา พอประมวลได้ว่า

1. โลกที่เราอยู่ ไม่ใช่ดาวดวงเดียวในสากลจักรวาล เหมือนกรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่เมืองเดียวบนโลกนี้

แต่คนที่ตลอดชีวิตอยู่แต่ในกรุงเทพฯ ก็มักจะนึกไม่ออกว่าจะมีเมืองอื่นได้อย่างไร มากมายขนาดนั้นบนโลก

นี่พูดเฉพาะในโลกมนุษย์นะครับ ลองนึกว่าในแกแล็กซี่นี้ ในจักรวาลนี้ จะมีแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตอื่นๆมากมายขนาดไหน

ที่สำคัญ ธรรมะ มันครอบโลกครอบจักรวาลอยู่นะครับ ไม่ได้ครอบเฉพาะเมืองไทย :) ฉะนั้น ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ธรรมชาติยุติธรรมเสมอ เพียงแต่เราไม่เก่งพอจะเห็นกระบวนการจัดสรรการเกิด ได้ทันความซับซ้อนของกรรมที่เราทำสะสมมา

2. เรื่องนี้ผมเคยพูดไว้แล้วครับ ผมบอกว่า ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ใช่ประเด็นเลย

ไม่ต้องไปนั่งเถียงอะไรกับใครให้เหนื่อยหรอกครับ เพราะกระบวนการให้ผลของกรรม มันเป็นความจริงของธรรมชาติ

ธรรมชาติเขามีวิถีทาง เขาเป็นไปของเขาตามเหตุตามปัจจัย และยุติธรรมกับทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร จะเชื่ออะไร ไม่เชื่ออะไร ถึงเวลาก็ได้ผลตามสมควรเอง แหละครับ

ตอนนี้ ผมเองก็ไม่ได้เก่งกาจสามารถขนาดจะเห็นอะไรได้ว่าวิถีจิตของคนที่ตายเป็นอย่างไรจริงๆ จะให้ผมไปนั่งเถียงกับใครก็ไม่ได้ เพราะผมก็ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เราเชื่อพระพุทธเจ้า เพราะที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเรื่องไหน ผมพบว่าท่านพูดจริงทุกเรื่อง ไม่ขาด ไม่เกิน

ผมเลยไม่ลำบากใจที่จะเชื่อท่านว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่แจ้งอริยสัจจ์ เราจะต้องเกิดแล้วตายไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุดนะครับ

3. ตอบเหมือนข้อ 2. นะครับ

4. กฏแห่งกรรม เป็นเรื่องครอบโลกครอบจักรวาลครับ ผมเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง อยู่ภายใต้กฏนี้ครับ


โดย: aston27 วันที่: 16 มกราคม 2552 เวลา:14:19:40 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ พี่เอ็ดดี้ ^^


โดย: joyful IP: 58.136.61.159 วันที่: 17 มกราคม 2552 เวลา:10:17:08 น.  

 
คุณ Aston27 ครับ ผมได้อ่านอะไรหลายๆ อย่างที่คุณเขียนหรือตอบแล้วรู้สึกชอบและทำให้คิดและยอมรับอะไรได้หลายอย่าง แต่ผมก็ยังมีํัปัญหาที่คิดไม่ตกและต้องการคนแนะนำว่าจะแก้้ไขอย่างไร

1.มันเป็นความรู้สึก หรือเป็นนิสัยไปแล้วก็ไม่รู้ แต่รู้ว่าเมื่อก่อนผมไม่เป็นแบบนี้ ผมเคยคบ ญ มาแล้ว 3 คน จบลงด้วย ผมเป็นคนถูกทิ้ง ทุกครั้ง แต่ครั้งที่สองนั้นแรงสุด เพราะ ผมทั้งถูกหลอก โกหก และถูกเล่นกับความรู้สึกรักของเอา ผมคิดไม่ได้ เมามายอยู๋เกือบสองเดือน แล้วก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้น มีอยู่คืนหนึ่งผมกลับเข้าบ้าน แล้วเจอแม่นั่งร้องไห้ รอผมกลับบ้านอยู่ ทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า ผมจะไปเสียใจกับคนที่เค้าไม่ได้รักเราทำไม แต่คนที่รักเราที่สุดเรากลับไม่สนใจเค้า พอคิดได้ผมก็ให้ความสำคัญกับครอบครัว พ่อแม่พี่น้องมากขึ้น จนมาเสียคุณแม่ไปในเวลาใกล้ๆ กัน ทำให้ผมเสียใจมากๆ ว่า ตอนที่แม่อยู่ผมไม่ได้ให้ความรักกับแม่เลย มั่วแต่เสียเวลาให้กับคนที่ไม่ได้รักเราจริง

หลังจากนั่นไม่ว่าผมจะคบใคร ไม่ว่า ญ หรือเพื่อน ผมจะเป็นคนที่คิดเสมอ ว่า ใครดีกับผม ผมก็จะดีด้วย คุณให้ใจจริงกับผม ผมก็ตอบแทนด้วยการให้ใจ แต่เมื่อไรที่คุณทำร้ายผม หรือทำไม่ดีกับผม ผมก็จะทำไม่ดีกับคุณบ้าง
ทำไม ผมถึงเป็นคนแบบนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมไม่ได้เป็นคนแบบนี้เลย ผมจะเป็นคนที่ให้มากกว่า ที่คิดจะรับ แต่ตอนนี้ผมก็เริ่มที่คิดจะเป็นคนที่รับบ้างแล้ว เพราะคิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดีหรือเปล่าครับ

และทุกวันนี้ ผมคบกับ ญ คนหนึ่ง แต่ผมแทบไม่รู้สึกเลยว่า ความรักคืออะไร รู้สึกอย่างไร และจะทำยังไงให้รู้สึกว่ารัก ผมรู้สึกแค่ว่า คุณดีกับผม ผมก็ดีกับคุณ เท่านั้นเอง

ผมเห็นแก่ตัว และเป็นคนไม่ดีไปแล้วหรือเปล่าครับ
ผมถือคติว่า " You Get What You Give " หรือเปล่ามันก็เป็นแบบนี้ ซึ่งทำให้ผมไม่สบายใจ ว่าเวลาผมคบกับใครแล้วมันจะกลายเป็นความไม่จริงใจกัน ให้เค้ารักเราฝ่ายเดี่ยว แต่เราไม่รักตอบเลย มันเห็นแก่ตัวและกลายเป็นทำร้ายจิตใจ คนที่เค้ารักเราไปแล้ว

ขอบคุณ คุณ Aston27 ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ


โดย: ongie IP: 58.9.18.182 วันที่: 17 มกราคม 2552 เวลา:10:22:43 น.  

 
คุณ Ongie ครับ

คำถามคุณน่าสนใจนะครับ บังเอิญผมยังไม่มีเวลาเขียนให้ยาวๆ

ไว้จะยกคำถามคุณไปขึ้นบล็อกใหม่เลย รอหน่อยนะครับ

ช่วงนี้ผมฝากการบ้านไว้ข้อนึงนะครับ ให้คุณไปโหลดเสียงหลวงพ่อปราโมทย์มาฟัง จากเว็บนี้

//www.wimutti.net/pramote/

ฟังแล้วคอยรู้ทันความคิดตัวเองนะครับ แล้วไว้เราคุยกัน


โดย: aston27 วันที่: 19 มกราคม 2552 เวลา:17:16:25 น.  

 
ขอบคุณมากๆ ครับสำหรับ link แต่ผมไม่แน่ใจว่า จะโหลด file ไหน ครับ เพราะเยอะเหมือนกันนะครับ พอจะแนะนำผมได้มั้ยครับ


โดย: Ongie IP: 58.9.18.61 วันที่: 20 มกราคม 2552 เวลา:12:18:40 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แอสตัน (ขออนุญาติเรียกพี่นะค่ะ)

ตามอ่านบล๊อคพี่มาซักพักแล้วค่ะ ขอบคุณและอนุโมทนาสำหรับบทความดีดีเสมอมา

พยายามตามรู้ตามดูจิตมาพักใหญ่ๆแล้วค่ะ ก็สงสัยค่ะว่าบางช่วงก็ตามรู้ตามดูได้ถี่และมีความสบายใจ แต่บางช่วงพอกระทบผัสสะอะไรแรงๆ ก็เหมือนคนทำอะไรไม่เป็น หลง เผลอ งงไปหมด เหมือนดูอะไรไม่ออกเลย แล้วซักพักก็กลับมาดูได้อีก การปฎิบัติก็เหมือนลุ่มๆดอนๆ แบบนี้ต้องอาศัยสมถะไม๊คะ (คือปรกตินอกจากสวดมนต์เป็นเครื่องอยู่ ก็ไม่ได้ทำอย่างอื่น เพราะดูลมหายใจก็ฟุ้ง ท่องพุธโธก็เหมือนมีภาระ จิตไม่ชอบท่อง ดูกายพอได้ค่ะเป็นพักๆ)

ขอบคุณมากค่ะ



โดย: เป่าจิน IP: 61.47.19.72 วันที่: 20 มกราคม 2552 เวลา:13:11:13 น.  

 
คุณ Ongie โหลดอันไหนก็ได้ครับ ลองดูสักสามไฟล์ ก็พอแล้ว

คุณเป่าจิน นักเรียนวิปัสสนาพอเริ่มรู้กาย รู้ใจได้สักพัก ก็จะมีภาวะแบบนี้ทุกคน คือจิตมันเจริญ แล้วก็เสื่อมให้เห็น

อันนี้เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ที่สอนเราว่า จิตดี ก็เป็นอนิจจัง จิตเสื่อม ก็เป็นอนิจจัง

บางวัน ผมก็มีภาวะเหมือนเด็กหัดดูหัดรู้ใหม่ๆเหมือนกันครับ ดูอะไร ก็เบลอๆ ง่อยๆ ไม่ค่อยมีแรง ก็รู้ไปอย่างนั้นแหละครับ ว่าเบลอๆ ฟุ้งซ่าน ไม่มีแรง

สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่จิตมันเจริญ หรือเสื่อม มันสำคัญที่ เรารู้ทันไหมเวลาที่จิตมันเป็นกลาง และไม่เป็นกลางต่อความเจริญหรือเสื่อมนั้น

เราไม่ได้เจริญสติ เพื่อจะให้จิตดีตลอดเวลานะครับ แต่เพื่อจะได้รู้ว่า จิตเป็นอนัตตา มันจะดี จะแย่ จะเจริญ จะเสื่อม ก็เป็นของมันเอง เราสั่งมันตามใจไม่ได้

เราเรียนรู้กาย เรียนรู้จิต เพื่อจะเข้าใจไตรลักษณ์ เข้าใจความจริงของมัน และเพื่อจะได้ยอมรับว่า สิ่งทั้งหลาย มันก็เป็นของมันอย่างนั้นเอง ควารู้ตัวนี้จะช่วยให้เราค่อยๆเป็นกลาง และปล่อยวางกับเรื่องต่างๆได้มากขึ้นๆ จนพ้นจากความยึดมั่นในที่สุด

พอเข้าใจไหมครับ :)


โดย: aston27 วันที่: 21 มกราคม 2552 เวลา:13:58:07 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำตอบ ^_^

ขอตอบคำถามนี้ก่อน "เรารู้ทันไหมเวลาที่จิตมันเป็นกลาง และไม่เป็นกลางต่อความเจริญหรือเสื่อมนั้น"

ตอนนี้รู้ว่าจิตมันไม่เป็นกลางค่ะ เพราะไม่อยากและไม่ชอบให้มันเสื่อม อิ อิ

ตอนแรกตั้งใจจะเขียนบรรยายเรื่องดูจิตของตัวเอง แต่พอเขียนไปเขียนมา เริ่มเห็นความฟุ้งซ่าน ก็เลยไม่เขียนดีกว่า กลับไปดูจิตดีกว่าค่ะ เบลอก็ดูไปทั้งเบลอๆนี่แหล่ะ อิ อิ

ถ้ามีคำถามจะมาถามใหม่นะค่ะ อนุโมทนาค่ะพี่ ^_^


โดย: เป่าจิน IP: 61.47.19.72 วันที่: 22 มกราคม 2552 เวลา:9:41:49 น.  

 
อ่านคำถามของคุณ Ongie แล้วโดนค่ะ เพราะว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์เหมือนผู้หญิงคนที่กำลังรัก คุณ Ongie อยู่ค่ะ รู้สึกสับสนมาก ไม่รู้ว่าจะมีวันที่เค้าจะรักเราได้จริงๆหรือเปล่า เค้าก็บอกว่าเค้าก็พยายามอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมยังไม่รักเราสักที (แล้วไม่รู้จะมาคบกับเราทำไมนิ) บางทีก็รู้สึกว่าเค้าคบกับเราเพราะเค้าแค่ต้องการใครสักคนที่ทำให้เค้ารู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า เหมือนเค้าไม่จริงใจกับเราหรือเปล่า สารพัดที่จะคิดค่ะ พยายามตามรู้ดูจิตตัวเองไป แต่มันเหมือนกรรมค่ะก็ต้องวนเวียนกลับมาคิดเรื่องเดิมๆอีกเพราะปฏิกิริยาหรือการกระทำของเค้าทำให้เราคิดได้บ่อยๆ

เป็นคนผิดหวังเรื่องความรักบ่อยๆค่ะ รักคนง่าย ไม่ต้องพิสูจน์อะไร พอรักแล้วก็ให้ใจไปเลย รักแบบบริสุทธ์ใจและเราจะแคร์ความรู้สึกเค้ามาก บางคนบอกว่าผู้ชายจะไม่ชอบอะไรที่ได้มาง่าย (อันนี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องทางกายนะคะ) มันไม่ตื่นเต้น แต่ไม่รู้เป็นกรรมอะไรเป็นอย่างนี้บ่อยๆคบกันหรือรู้จักกันไม่นานก็ต้องต่างคนต่างไป ส่วนคนที่เคยคบจริงจังก็มีไม่เกินสามคน ก็มักจะทุกข์มากกว่าสุข และจบลงด้วยความเศร้า

ดิฉันเป็นคนที่มีรูปสมบัติและคุณสมบัติไม่ได้น้อยหน้าใครเลยค่ะ ถ้ารู้จักแบบเพื่อนที่ไม่ใช่ทางชู้สาว จัดว่าเป็นคนที่มีบุคลิกภาพดี มีเสน่ห์พอสมควร มีหนุ่มๆมาชอบบ้างแต่มักเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว หรือบางทีไม่ได้มีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับเรา แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงผิดหวังเรื่องความรักบ่อยๆ พอเริ่มรู้สึกทางชู้สาวกับใครก็จะมีความคาดหวังตามมาเป็นเงาซึ่งก็คือจุดเริ่มต้นของความทุกข์เลยค่ะ

เขียนมาซะนานบอกตรงๆว่าไม่รู้ว่าจะถามอะไรดีค่ะ เอาเป็นว่ารบกวนคุณแอสตันชี้แนะวิธีปฏิบัติธรรมเพื่อให้เราไม่ต้องวนเวียนมาทุกข์ซ้ำซาก หรือทุกข์น้อยลงค่ะ (แฮ่ะ ทราบอยู่เหมือนกันค่ะในขณะที่พิมพ์ว่าเรากำลังอยากออกจากทุกข์)

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ


โดย: เหนือยใจ IP: 125.27.98.131 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:40:31 น.  

 
ขอรบกวนเวลาคุณแอสตั้นถามปัญหาหน่อยนะคะ
ดิฉันเป็นลูกศิษย์ที่ปฏิบัติตามแนวคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์มาประมาณ 5 ปี ฟังCDหลวงพ่อเกือบทุกวัน(ฟังมาไม่น้อยกว่า 2 ปีและทุกวันนี้ยังฟังอยู่) แต่คำถามที่อยากถามนี้ไม่กล้าถามหลวงพ่อเพราะเวลาถามต้องถามออกไมค์ ก็เลยขอแอบกระซิบถามคุณแอสตั้นแทนค่ะ คือว่า ปัจจุบันนี้ดิฉันจะไม่ค่อยได้ฟังเทศน์คำสอนของครูบาอาจารย์องค์อื่น เพราะรู้สึกไม่ถึงอกถึงใจเลย ไม่ทราบว่าความคิดนี้เป็นความคิดแบบคนคิดคับแคบ แบบชาล้นถ้วยหรือไม่ค่ะ และเป็นการปรามาสครูบาอาจารย์อื่นหรือไม่คะ


โดย: พิณวรา IP: 125.27.113.5 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:0:28:31 น.  

 
คุณเหนื่อยใจครับ

ผมขออนุญาตเอาเรื่องของคุณไปขึ้นเป็นบล็อกในหน้าหลักนะครับ

แต่ระหว่างนี้ ถ้ายังไม่รู้จะปฏิบัติธรรมยังไง ลองไปโหลดไฟล์เสียงของอาจารย์ผมมานั่งฟังเล่นๆไปก่อน ฟังแล้วจะสบายใจขึ้นครับ ผมรับรอง //www.wimutti.net/pramote/

คุณพิณวราครับ

ผมเองก็คล้ายคุณอยู่ ตรงที่ไม่เคยไปเรียนกับครูบาอาจารย์ที่ไหน แล้วมันเข้าใจ ถึงใจ เหมือนที่เรียนกับพระอาจารย์ปราโมทย์เลย

พูดอย่างนี้ ไม่ได้บอกว่าท่านอื่นสอนไม่เก่งเท่า สอนไม่ดีเท่านะครับ เป็นแต่เพียงว่า เราเรียนกับท่านไหน เราเห็นผล เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน เราก็พอใจ

เรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องความถนัด ความชอบ เรียกง่ายๆว่า จริต ของใครของมันน่ะครับ

ถ้าเราเพียงแต่รู้สึกว่า เราชอบใจ แล้วรู้ทันว่าชอบใจ ก็พอแล้วครับ

อีกอย่างเราไม่ได้กล่าวโทษหรือให้ร้ายครูบาอาจารย์ท่านใด อันนี้ไม่มีปัญหาอะไรครับ

ถ้าเราเรียนกับครูบาอาจารย์ท่านไหน แล้วถูกจริต แล้วจะเรียนอยู่กับท่านเดียว ไม่เสาะแสวงหาอีก ก็ไม่แปลกนะครับ ผมเองก็เป็นอย่างนั้น คือก่อนหน้านี้เคยเสาะหามาบ้างแล้วยังไม่ลงตัว พอเจอแล้วก็พอใจจะเรียนกับอาจารย์ท่านเดียว

แต่ถ้ามีโอกาสได้เจอครูบาอาจารย์ท่านอื่น ผมก็กราบท่านนะครับ เคยไปลองฟังอยู่บ้าง ก็พบว่า ท่านก็สอนเรื่องเดียวกัน คือสติปัฎฐาน ให้รู้กายรู้ใจด้วยสติ ความรู้สึกตัว นี่แหละ

ก็ในเมื่อเรียนกับครูบาอาจารย์ที่สอนให้เราเห็นถูก เห็นชอบแล้ว เรียนกับรูปไหนก็ได้ จะหลายรูป หรือรูปเดียว ก็ไม่ผิดหรอกครับ


โดย: aston27 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:55:51 น.  

 
สวัสดียามดึกคืนวันมาฆบูชาค่ะ

ขอบคุณสำหรับคำตอบครั้งก่อนค่ะ ชอบใจจัง เลยอยากเขียนมาถามใหม่ คราวนี้หลายคำถามเลยนะคะ
1. ต่อเนื่องจากคำถามครั้งก่อนค่ะ คือพิณไม่ได้เป็นแค่ไม่ฟังเทศน์พระอื่นนะคะ แต่ไม่รู้สึกตื่นเต้น ไม่รู้สึกว่าต้องขวนขวายเดินทางไปกราบครูบาอาจารย์ในที่ไกลๆ ไม่สนใจไปร่วมงานบุญ(ที่ต้องไปพบเจอกับคนมากๆ)เช่น งานเททองหล่อพระ หรือแม้แต่ว่าจะต้องติดตามไปฟังเทศน์ของหลวงพ่อปราโมทย์ในที่อื่นๆที่หลวงพ่อไปเทศน์(ที่เขานิยมทำกัน) พิณก็ไม่รู้สึกว่าต้องติดตามไป (แต่พิณจะไปที่สวนสันติธรรมค่อนข้างบ่อยค่ะ) เห็นใครๆเขาก็คุยกันว่าตามหลวงพ่อไปที่นั่นที่นี่
ตอนแรกก็ตั้งใจจะถามว่า เป็นคนผิดปกติมากไหม? แต่ระหว่างพิมพ์อยู่ก็ได้คำตอบของตัวเองว่า "ทางใครทางมัน" ก็เลยไม่รู้ว่าจะเรียกว่าข้อนี้เป็นคำถามหรือไม่ เพราะน่าจะได้คำตอบด้วยตัวเองอยู่แล้วค่ะ แต่เสียเวลาพิมพ์มาตั้งนานแล้วเลยรบกวนคุณช่วย Comment แนวคิดด้วยค่ะ
2.อ่านมุมมองแนวคิดของคุณแอสตันมาได้ระยะหนึ่ง รู้สึกชื่นชมในความเป็นคน Positive Thinking จึงอยากถามว่าถ้าอยากเป็นคน Positive Thinkingบ้าง จะฝึกได้ไหม ฝึกอย่างไรคะ
3.จะเป็นสมาชิกต้องทำอย่างไรคะ? (อยากใช้ code html ตกแต่งข้อความบ้างน่ะ)
ขอบคุณมากค่ะ


โดย: พิณวรา IP: 125.27.116.111 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:26:43 น.  

 
ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าบล็อกในหน้าหลักนี่ไปดูที่ตรงไหนคะ พยายามหาอยู่แต่ไม่เจอค่ะ

ขอบคุณค่ะ ซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ดิฉันฟังอยู่เป็นระยะอยู่แล้วค่ะ ชอบแนวของหลวงพ่อมากค่ะ รู้สึกว่าถูกจริตตั้งแต่ได้ฟังครั้งแรกค่ะ แต่ตอนนี้พอเริ่มมีเรื่องความรักเข้ามา จิตใจก็กลับมาฟุ้งซ่านค่ะ รู้สึกว่ามันไม่สุขสงบเหมือนตอนที่ไม่มีความรักเลยค่ะ


โดย: เหนื่อยใจ IP: 125.27.80.147 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:37:25 น.  

 
คุณพิณวราครับ
1. มีหลายท่านก็ไม่ได้ตามท่านไปหรอกนะครับ

ผมอยากให้คุณพิณวราลองสังเกตตัวอัตตาดู สิ่งที่คุณเขียน มันยังมีเรา มีเขา อยู่ เอาตัวเราไปเปรียบเทียบคนอื่น

2. ผมได้ positive thinking จากการเจริญสตินี่แหละครับ

3. เป็นสมาชิกต้องไปสมัครกับทาง Bloggang นะครับ ผมไม่ได้รับสมาชิกอะไรเลย ^^"



โดย: aston27 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:0:21:50 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แอสตัน เพิ่งอ่านหนังสือ ธนาคารความสุขจบไป อ่านแล้วสบายใจขึ้นค่ะ ชอบที่พี่เขียนอ่านเข้าใจง่ายดี ไม่ทราบว่าพี่จะมีเล่ม 2 ออกมาอีกมั้ยค่ะ แล้วพี่เขียนคอลัม ประจำอยู่ที่หนังสือเล่มไหนบ้างค่ะ และมีทำรายการทีวี บ้างรึเปล่าค่ะ

แล้วจะติดตามผลงานค่ะ


โดย: ต้นหลิว IP: 61.47.1.194 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:56:16 น.  

 
คุณแอสตันค่ะ การที่สามีหรือภรรยาคุยและส่งข้อความถึง เพศตรงข้าม ไปกินข้าวด้วยกันสองต่อสอง หรือบางครั้งก็มีเพื่อนไปด้วย ผิดหรือไม่ค่ะ


โดย: ์Nico IP: 202.5.83.12 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:20:05:28 น.  

 
เรียนคุณ Aston27 ครับ

ไม่ทราบว่าคุณ Aston27 ได้ตอบเรื่องของผมไปหรือยังครับ เพราะว่าผมยังหาไม่เจอว่า ได้เอาไปลงไว้ใน blog ไหนอ่ะคับ

ผมอยากได้คำแนะนำมากๆ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกว่า อยากจะมีความรักเหมือนคนอื่นๆ เค้าบ้าง อยากจะรู้สึกโลกเป็นสีชมพูเวลามีความรักอีกครั้ง แต่ตอนนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะรัก ผู้หญิง ที่รักผม และผมก็ไม่รู้ว่าทำถูกหรือเปล่าที่เลือกที่จะแยกทางกับคนที่ผมรัก ทุกวันนี้ รู้สึกเป็นห่วง อยากทำอะไรดีๆ ให้ แต่ไม่อยากผูกพันและไม่อยากอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บางทีอยากอยู่คนเด่ว ทำอะไรคนเด่ว แต่บางครั้งก็อยากมีคนอยู่ด้วย จะว่าเหงาก็ว่าได้ครับ ยอมรับ แต่ไ่ม่กล้าที่จะเริ่มอีกแล้ว เพราะทำมามากแล้วสำหรับการให้ ที่อาจจะน้ำเน่า

ขอบคุณมากๆ ครับ


โดย: Ongie IP: 115.67.160.55 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:25:02 น.  

 
ได้ฟังเสียงของคุณ aston27 ที่ศาลาลุงชินอยู่สองสามครั้ง (ส่วนใหญ่ผมไปที่สวนสันติธรรม) ได้อ่านแนวคิด และวิธีตอบปัญหาของคุณ ได้เก็บเกี่ยวความคิดในการดำเนินชีวิตดีๆ ไปมากโขเลยครับ ขอบคุณมากๆ

ตอนนี้ผมก็มีเรื่องดีๆ มาแชร์ด้วยครับ

พ่อของผมเคยประสบความสำเร็จทางธุรกิจมาก่อน แต่ด้วยความที่ลึกๆ แล้ว เขาไม่ค่อยจะชอบทำธุรกิจ (อันนี้ผมรู้สึกได้) เมื่อธุรกิจเริ่มมั่นคง และเริ่มทำเงินให้แล้ว ก็ "โยน" ทั้งหมดให้น้องชาย ส่วนพ่อผมก็ไปทำสิ่งที่ชอบ คือ ก่อตั้งสมาคม กงเต็ก สอนสวดมนต์แบบจีน และอีกหลายอย่างที่เป็นไปในแนวนี้

แต่ดูเหมือนสังคมที่มีแต่การทำบุญนั้น ลึกๆ แล้วมันไม่ค่อยจะน่าอยู่เท่าไหร่กระมัง มาวันนี้เขาผันตัวเองไปเป็นเกษตรกร ชาวสวนลำไย และสวนยาง ก็ดูท่านจะมีความสุขขึ้นมาอีกระดับนึง

แต่เรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกดีๆ มากๆ เลยก็คือ ท่านมาคุยกับผมว่า "จากนี้ไปอีกไม่เกิน สามปี ท่านจะบวช เพราะชีวิตนี้เต็มไปด้วยทุกข์ ถ้าทำได้ก็ไม่อยากจะกลับมาเกิดแล้ว"

ผมเป็นคนเดียวในครอบครัว (บ้านผมอยู่แบบกงสี ที่มีหลายๆ ครอบครัวอยู่ด้วยกัน) ที่อนุโมทนา และดีใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ของพ่อแบบสุดๆ นอกนั้น คัดค้านกันทุกคน

มีความกังวลเล็กๆ อยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น (แต่ก็รู้อยู่ว่ากังวล) คือ วัดที่พ่อผมจะไปบวชนั้นเป็น "จีนนิกาย" ซึ่งก็เป็นที่รับทราบกันดีอยู่แล้วว่า แนวทางปฏิบัติไม่ชัดเจน และอุดมไปด้วย ไฮโซ ไฮซ้อ ที่ผมยังต้องรักษาระยะให้ห่างๆ ไว้เลย ผมก็ได้แต่ตะล่อมเล่นๆ ให้เปลี่ยนการตัดสินใจไปเข้าหา วัดป่า จะดีกว่ามั๊ย

ท่านก็เห็นด้วยว่า การปฏิบัติตามแนววัดป่านั้น "ปลอดภัย และลัดสั้นที่สุด" (โดยเฉพาะตามแนวการดูจิตของหลวงพ่อ ปราโมทย์ ซึ่งพ่อผมชอบฟังเทศน์ของท่านมาก) แต่ท่านก็กลัวว่า ความรู้ทางปริยัติในฝั่งมหายานที่สั่งสมมาทั้งชีวิตจะไร้ประโยชน์ และจะต้องไปเริ่มใหม่กับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ผมก็ได้แต่แย้งไปเล็กๆ ว่า เพิ่งเริ่มสิยิ่งดี ไม่ต้องไปติดกับความคิด หรือความรู้เก่าๆ ที่เคยมีมาก็น่าจะยิ่งทำให้ปฏิบัติง่ายเข้าไปอีก

แต่ดูเหมือนท่านก็ยังคงมีความตั้งใจมั่นที่จะบวชวัดมหายานให้ได้ ผมก็ไม่แย้งท่านอีก แล้วร่วมอนุโมทนากับการตัดสินใจครั้งนี้ของท่าน (จริงๆ ที่ดีใจมากก็เพราะมีวาระซ่อนเร้นนั่นแหละ คือ เมื่อถึงจุดที่ทุกอย่าง "อิ่มตัว" แล้ว การที่ตัวผมจะตัดสินใจบวชก็คงจะง่ายขึ้นมาก)

ก็หวังไว้ลึกๆ ว่าอย่างน้อยก่อนที่ท่านจะไปบวชในสองถึงสามปีข้างหน้านี้ ท่านจะมีทักษะในการเจริญสติอย่างคล่องแคล่วเสียก่อน มิฉะนั้น การบวชครั้งนี้อาจจะสูญเปล่า

พูดมาเสียยืดยาว อยากขอความเห็นของคุณ aston บ้างจังเลยครับ


โดย: him_aeng IP: 118.173.240.195 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:29:18 น.  

 
คุณต้นหลิว เล่ม 2 กำลังรอผมเกลาต้นฉบับอยู่นี่แหละครับ - -"

ปกติผมเขียนให้ Marie Claire ครับ คอลัมน์ Guru

มี Mix อีกเล่ม แต่อันนี้เขียนออกแนวทางโลกๆเสียมาก

คุณ Nico ผมรู้สึกว่าคำถามนี้อ่อนไหวมากครับ ขอทราบเบื้องลึกเบื้องหลังอีกหน่อยได้ไหมครับ ว่าเรื่องเป็นมายังไง

ถามแบบนี้กว้างๆ มันอันตรายครับ

คุณ Ongie ที่จริงผมตอบคำถามคุณไปแล้ว ในบล็อกนี้ครับ

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=aston27&date=24-01-2009&group=10&gblog=98

คุณอาจจะไม่ทันได้อ่านกระมัง

คุณ him aeng ที่จริงนิกาย ก็เป็นแค่เสื้อผ้าอาภรณ์ของผู้ปฏิบัตินะครับ

ถ้าเป็นนิกายที่ผู้ปฏิบัติอยู่ เข้าใจหลักการ เข้าใจวิธี เข้าใจเนื้อหาจริงๆ มันก็พอจะไปได้อยู่

นอกเสียจากเป็นนิกายที่สอนชนิด เข้ารกเข้าพง ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับกายใจ ไม่ได้สอนการเจริญสติ เพื่อให้เข้าใจ และเห็นไตรลักษณ์ อันนี้ก็ไม่ควร

แต่ที่สุดแล้ว ส่วนหนึ่งก็ต้องแล้วแต่บุญ วาสนา ของแต่ละคนที่ทำมานะครับ ถ้าเขาทำบุญมาแบบมหายาน ทางไปของเขาก็ต้องไปแบบนั้น

สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม อันนี้ยังเป็นวรรคทองที่ใช้ได้อยู่

ถ้าได้ศึกษา ได้เรียนวิปัสสนาที่ตรงทาง ถูกทาง อันนี้ก็เป็นบุญยิ่งใหญ่

ถ้าไม่ได้ ไปเรียนวิปัสสนา แล้วกลายเป็นสมถะ ก็น่าเสียดาย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เรียน ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย

ไม่ได้ปฏิบัติเลย มีศีล ทำทาน สม่ำเสมอ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ตั้งอยู่ในทาน ศีล

มีศีลไม่บริบูรณ์ มีบ้าง ไม่มีบ้าง แต่ยังรู้จักทำทาน ก็ยังดีนะครับ

ส่วนของพ่อแม่ คนใกล้ตัว เรากำหนดกฏเกณฑ์อะไรยากครับ

หน้าที่ชาวพุทธ คือช่วยตัวเองให้ได้ เรียนให้รู้หลัก แล้วลงมือภาวนาของตัวเอง ช่วยตัวเองได้แล้ว จึงช่วยคนอื่น

ผมมีหลักเท่านี้เองครับ


โดย: aston27 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:10:47 น.  

 
ครับผม ขอบคุณมากครับ

"หน้าที่ชาวพุทธ คือช่วยตัวเองให้ได้ เรียนให้รู้หลัก แล้วลงมือภาวนาของตัวเอง ช่วยตัวเองได้แล้ว จึงช่วยคนอื่น"

จะจำให้มั่นครับผม


โดย: him_aeng IP: 118.173.240.195 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:29:57 น.  

 
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นค่ะ จริงๆ มีเรื่องจะเล่า แต่ก็เกรงจะไร้สาระ เลยเปิดคำถามให้กว้างอย่างที่เห็น อยากถามเป็นการส่วนตัว แต่ก็ไม่อยากสมัครสมาชิก มีข้อความที่เคยถามหมอพีร์ แต่ไม่ได้รับคำตอบ ไม่ทราบว่าจะขอส่งผ่านอีเมลไ้ด้ไหมค่ะ ถ้าได้ จะทิ้งอีเมลของตัวเองไว้ แล้วรบกวนคุณแอสตั้นแจ้งกลับ แต่ถ้าไม่สะดวกไม่เป็นไรนะคะ

ขอบคุณค่ะ


โดย: Nico IP: 202.5.83.44 วันที่: 1 มีนาคม 2552 เวลา:21:00:25 น.  

 
คุณ Nico
ปัญหาชีวิตทั้งหลาย ตอบได้ด้วยการเจริญสติ วิปัสสนา ย้อนมาศึกษาตัวเองนี่แหละครับ

สติจะเกิดขึ้น ปัญญาจะตามมา แล้วทุกคำถาม จะมีคำตอบ ว่าอะไรควรไม่ควร แค่ไหน อย่างไร โดยไม่ต้องพึ่งการบอกกล่าวจากใคร

จะลองดูวิธีนี้ก่อนไหมครับ //www.wimutti.net


โดย: aston27 วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:12:34:15 น.  

 
มีคำถามอยากปรีกษาค่ะ มีเพื่อนสนิทอยู่หนึ่งคน สนิทกันมากคบมาสิบปี ตอนนี้เพื่อนมีแฟนเรารู้สึกไม่พอใจที่เขาต้องแบ่งเวลาไปให้แฟน โกรธ ทะเลาะกับเพื่อนเกือบตลอด แต่เราก็ไม่อยากเสียเพื่อนไป พยายามทำใจยอมใจความจริง แต่ก็ทำไม่ได้ซักที โกรธกันตลอด กลัวเสียเพื่อนไป


โดย: ดอกทานตะวัน IP: 58.10.65.94 วันที่: 6 มีนาคม 2552 เวลา:17:49:23 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แอสตัน

มีคำถาม..ตอนนี้ทีมพี่อันดับเท่าไหร่แล้ว อิ อิ ล้อเล่นค่ะ...^_^

อืม..คำถามจริงๆล่ะ

ดูจิตมาเรื่อยๆ รู้สึกพอใจค่ะ ไม่ค่อยจะหวั่นไหวกับทุกข์เท่าไหร่นัก แต่วันนี้รู้สึกจิตตก ไม่มีแรง

ช่วงก่อนมีเรื่องไม่สบายใจอยู่หลายอย่าง มันก็มาวนๆอยู่ในจิต แต่ตรงนั้นไม่ค่อยสำคัญค่ะ เพราะจะดูอาการทุกข์มันครอบจิต พอรู้ตัว มันก็ออกไป ครอบแล้วออกๆ เป็นแบบนี้ทั้งวัน เรื่องราวความทุกข์มันแทบไม่มีอยู่ มีแต่อาการแย่งชิงฐานจิต คิดว่าตัวเองเอาอยู่ แต่ตอนนี้รู้สึกเหนื่อย เหมือนว่าสู้กะมันมาอาทิตย์นึง เหนื่อยเลย คิดว่าจิตไม่เป็นกลางมันเลยเหนื่อยเวลาสู้กับกิเลส แต่ก็เอาล่ะ มันมีอาการเหนื่อยเฉยๆอ่ะค่ะ ความทุกข์มันห่างๆออกไปละ

มานั่งพิจารณาดู คงเหนื่อยเพราะไปคาดหวังว่าทุกข์จะหายไปมากกว่า พอไม่ไม่หายมันก็เลยหงุดหงิดเล็กๆน้อยๆแต่พอสะสมไปเรื่อยๆ ตื่นมาวันนี้มันกลายเป็นก้อนใหญ่โดยไม่รู้ตัว รู้สึกเหนื่อย เนือย เบื่อหน่าย โดนความทุกข์มันครอบแล้วออกไปๆ แบบนี้ทั้งวัน มันดูจิตได้นะคะ แต่มันเหนื่อย

คือ "เหนื่อย" แบบนี้ เราจะทำยังไงดีค่ะ ดูไปเรื่อยๆเหรอ

ขอบคุณค่ะ


โดย: เป่าจิน IP: 61.47.19.72 วันที่: 10 มีนาคม 2552 เวลา:11:43:10 น.  

 
คุณดอกทานตะวัน

รักเพื่อนไหมครับ

ถ้ารักเพื่อนจริงๆ อย่ารักตัวเองอย่างเดียวนะ

คนเราเวลามีความรัก เราต้องทำตัวเป็นพรหม
คือมีเมตตา อยากให้เขาเป็นสุข
กรุณา อยากให้เขาพ้นทุกข์
มุฑิตา ยินดีที่เขาเป็นสุข
อุเบกขา เป็นกลางวางเฉยได้ เมื่อเขาไม่เป็นอย่างที่เราหวัง

ตอนนี้ คุณทานตะวัน เป็นข้อไหนในสี่ข้อบ้างหรือเปล่า

ถ้ายังไม่เป็นเลย แปลว่า คุณยังไม่ได้รักเขาหรอกนะ คุณยังรักตัวเองอยู่ กลัวตัวเองจะสำคัญน้อยลง กลัวเขาจะรักคนอื่นมากกว่าคุณ

ลองพิจารณาดูนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 13 มีนาคม 2552 เวลา:15:44:53 น.  

 
ทักทายวันศุกร์ที่ 13 คะ พี่aston27

สงสัยอีกแล้วคะ

คือฝึกตามดูกายดูจิตอยู่
แล้วเมื่อวานตามดูจิตก็รู้นะคะว่าเริ่มจะอิน
เริ่มเศร้าแล้ว แต่ก็ยังตามดูต่อจนน้ำตาไหลออกมา การตามดูโดยไม่แทรกแซง ไม่ห้ามหรือกดตัวเองไม่ให้ร้องไห้แบบนี้ ถือเป็นการสุดโต่งไปทางเผลอรึเปล่าคะ???



โดย: Compass IP: 125.26.188.196 วันที่: 13 มีนาคม 2552 เวลา:17:24:42 น.  

 
พี่แอสตันค่ะ คำถามเบอร์ 79 ไม่ต้องตอบแล้วนะค่ะ ตอนนี้รู้คำตอบแล้วค่ะ

(กลับไปอ่านคำถามตัวเองรู้สึกงงๆบอกไม่ถูก อิ อิ)


โดย: เป่าจิน วันที่: 18 มีนาคม 2552 เวลา:17:41:14 น.  

 
คุณ Compass

ถ้ายังมีสติรู้ว่าจิตมันทำงานไปอย่างไร อันนั้นไม่ถือว่าเผลอนะครับ

แต่ถ้าอินไปในเรื่องที่คิด จิตก็มักจะขาดสติได้ง่าย

เวลาดูจิต อย่าพยายามทำให้ถูก เพราะทำอะไรก็ผิด หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านสอนมาอย่างนั้น

เอาแค่จิตมันเป็นยังไง ก็รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น
เพียงแต่ความรู้สึกตัว บางทีมันเกิดแป๊บเดียว
หลังจากนั้น จิตจะหลงไปตามเหตุปัจจัยอีก

ไม่คิด นึก ก็ปรุงสุข ทุกข์ ความชอบใจ ไม่ชอบใจขึ้นมา

แต่ถ้าจิตมันหลงไป รู้ว่าหลง ฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้ง อันนั้นใช้ได้แล้วครับ
จิตมันจะเศร้า จะร้องไห้ ก็รู้ทัน มันไปกดจิตเข้า ไม่ให้ร้อง ก็รู้ทันอีก

ลองค่อยๆสังเกตนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 20 มีนาคม 2552 เวลา:23:13:37 น.  

 
ขอบคุณอีกครั้งคะ
สำหรับคำแนะนำดีๆที่มีให้เสมอ

จะตามดูต่อไปคะ

สู้ สู้


โดย: Compass IP: 125.26.187.151 วันที่: 21 มีนาคม 2552 เวลา:14:25:27 น.  

 
จากคำถามที่ 78 ถ้าเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นสามี คำตอบที่ได้เป็นเหมือนที่ตอบหรือไม่ค่ะ


โดย: nn IP: 119.31.69.4 วันที่: 28 มีนาคม 2552 เวลา:23:08:01 น.  

 
คุณ nn

อันนั้นมันเปลี่ยนเป็นสามีลำบากนะครับ เพราะตัวเลือกมันคือเพื่อน กับแฟน

ถ้าเปลี่ยนเพื่อนเป็นสามี ก็จำกลายเป็นระหว่าง สามี กับแฟน ตัวเลือกมันประหลาดๆอยู่

แหะๆๆ


โดย: aston27 วันที่: 30 มีนาคม 2552 เวลา:17:49:41 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณแอสตัน

ติดตามอ่านมาตลอดค่ะ อนุโมทนาสำหรับเรื่องเล่าดีๆ อ่านแล้วได้ข้อคิดและมีประโยชน์ต่อชีวิตมากจริงๆค่ะ อย่างเช่น เรื่องที่เคยเขียนถามไปครั้งที่แล้ว คำตอบของคุณช่วยให้ดิฉันเข้าใจวิธีการดูจิตดูใจมากขึ้น และปรับนำไปปฏิบัติ ตอนใจสบายดีหายห่วง ถึงทุกข์จะแวะเข้ามาทักทายบ้าง แต่ก็นั่นแหละค่ะ "รู้ลูกเดียว" ขอบคุณมากจริงๆค่ะ...ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่คือยาทิพย์จริงๆนะคะ...ยิ่งได้คนจัดยาทีเก่งๆแล้ว ทำให้หายทุกข์ได้จริงค่ะ...

จริงๆแล้วมีเรื่องรบกวนอยากปรึกษาอีกแล้วค่ะ เป็นเรื่องของน้องสาวสองคนที่รู้จักและสนิทด้วย...น้องทั้งสองมีปัญหาที่คล้ายกันคือ คุณแม่เลี้ยงลูกแบบเพื่อน...คือมีอะไรคุณแม่จะเล่าให้ฟังหมด ปัญหาครอบครัว ปัญหาการงาน และอีกร้อยแปดพันเก้าของปัญหาชีวิต เหมือนคุณแม่จะยึดไว้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเพียงสิ่งเดียวที่มีอยู่ แต่ด้วยวัยวุฒิแล้ว ดิฉันเห็นว่า น้องทั้งสอง ยังไม่พร้อมที่จะแบกรับปัญหาทั้งหมดไว้ น้องกำลังอยู่ในวัยเรียน น่าจะต้องใช้เวลาทุ่มเทกับการเรียนมากกว่าต้องมาแก้ไขปัญหาให้ที่บ้าน น้องสาวคนหนึ่ง หาทางออกด้วยธรรมะ ซึ่งตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่เมื่อคุณแม่มีทุกข์อะไรก็จะดึงเข้าไปเป็นทุกข์ด้วยกัน อุเบกขาได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนอีกคนหนึ่ง ประกาศตัวว่าเป็นคนไม่มีศาสนา พอมีเรื่องทุกข์ใจ ก็จะเก็บกดไว้...

สำหรับรายที่สองนี้ ดิฉันอยากช่วยปลอบ และชักนำเธอหันหน้าเข้ามทางธรรม แต่ต้องหาวิธีการพูด ทำ ให้เธอไม่รู้สึกต่อต้าน อยากขอคำแนะนำค่ะ...ดิฉันแนะนำให้เธอพยายามอุเบกขา แต่ก็รู้ว่าทำยากจริงๆ ค่ะ

ขอบคุณคุณแอสตันค่ะ

กะทะทองคำ


โดย: กะทะทองคำ IP: 83.152.239.3 วันที่: 12 เมษายน 2552 เวลา:21:26:51 น.  

 
หายหน้าไปนานเลยค่ะ พอดีงานยุ่ง และก็ต้องทำใจอยู่นานกับคำตอบของคุณ (คำตอบบล็อกที่ 69)ที่ว่า "ผมอยากให้คุณพิณวราลองสังเกตตัวอัตตาดู สิ่งที่คุณเขียน มันยังมีเรา มีเขา อยู่ เอาตัวเราไปเปรียบเทียบคนอื่น" อ่านคำตอบแล้วเหมือนโดนชกเข้าอย่างจัง และมีโทสะอย่างแรงด้วย เพราะตอนอ่านนั้นใส่"ตัวกู"เข้าไปแถมให้ค่า(ไม่เป็นกลาง)ไปอีกมาก ก็เลยมึนค่ะ แต่เมื่อพิจารณาทบทวนแล้วหลายคราวก็พบว่า"มานะ"ยังมีอยู่มากตามที่คุณแนะ ขอบคุณนะคะที่ชี้แนะแบบตรงไปตรงมาทำให้มองเห็นกิเลสของตัวเองได้ชัดเจนดี
วันนี้ไม่มีคำถามใหม่ แค่อยากแวะมาสารภาพ เปิดกิเลสของตัวต่อหน้าสาธารณะค่ะ
และก็อยากขอบคุณคุณแอสตันที่สามารถนำเอาผลจากการปฏิบัติของตน มาเอื้อประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ ขอเป็นกำลังใจให้ทำงานนี้ต่อไปอย่าท้อนะคะ


โดย: พิณวรา IP: 125.27.112.117 วันที่: 12 เมษายน 2552 เวลา:23:53:31 น.  

 
คุณกะทะทองคำ ผมยกคำถามไปขึ้นเป็นบล็อกใหม่เลยก็แล้วกันนะครับ

คุณพิณวรา อนุโมทนาด้วยที่เห็นมานะอัตตาของตัวเองนะครับ

หาได้ยากนะครับ ที่จะเห็นได้แบบนี้

เห็นเป็น เห็นได้แล้ว ก็คอยสังเกตดูไว้บ่อยๆนะครับ อัตตามันจะเป็นความคิดที่โผล่แทรกมาในแทบจะทุกกิจกรรมที่เราทำ



โดย: aston27 วันที่: 20 เมษายน 2552 เวลา:20:00:35 น.  

 
พี่ครับ พี่ครับ...

ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า ความรักที่ปลอกภัยที่สุดคือ ต้องรักด้วย พรหมวิหาร4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
หลายๆ ครั้ง "การที่เราปรารถนาให้คนที่รักมีความสุข ยินดีพร้อมจะช่วยเหลือเมื่อเค้าเป็นทุกข์" มันเป็นจุดอ่อนให้เราโดยเอาเปรียบจากคนที่เรารักเสมอๆ

พี่มีความเห็นเรื่องนี้อย่างไรครับ

ขอบคุณครับ
PongPanda


โดย: PongPanda IP: 58.64.93.105 วันที่: 23 เมษายน 2552 เวลา:19:39:36 น.  

 
คุณกะทะทองคำ

จะตอบให้ในบล็อกกลาง ก็อาจจะต้องรออีกสองสามวัน
งั้นตอบให้ในนี้ก็ได้ครับ

เรื่องชวนคนอื่นมาศึกษาธรรม อันนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากครับ

คือถ้าไปเจอคนที่เขามีบุญเก่าจะได้เรียน ได้ปฏิบัติ แค่รอคนไปสะกิดเขาก็จะเปิดรับ อันนี้ก็ง่าย

แต่ถ้าไปเจอคนที่ใจเขาปิด ไม่พร้อมจะรับ ไม่พร้อมจะเรียน อันนี้ยากครับ และไม่มีวิธีอะไรช่วยได้

ที่จะแนะนำได้ ก็แค่ หาซีดี หาหนังสือไปให้เขา
ที่เหลือก็ต้องแล้วแต่เขาเอง เพราะธรรมะเป็นเรื่องเฉพาะตัว

จะเดินก็ต้องเดินเอง บังคับกันไม่ได้
จะชวนใคร เราก็ต้องช่วยตัวเองให้ได้ก่อน

ที่สำคัญ คนชวนเองก็ต้องมีอุเบกขาธรรมนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 23 เมษายน 2552 เวลา:19:52:52 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณaston
พอดีเปิดมาเจอบล็อกของคุณโดยบังเอิญ พอได้อ่านแล้วต้องติดตามย้อนหลังกลับไปอ่านอีกทุกๆบล็อก ขอบคุณที่ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นกว่าการอ่านหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน เพราะอ่านเยอะเกินไปจนไม่รู้ว่าแล้วเราจะเริ่มยังไง อ่านมากยังไงก็ยังโกรธ ยังโลภ ยังหลงเหมือนเดิม แต่ตอนนี้พยายามจะรู้ให้ทันอยู่ค่ะ
มีเรื่องรบกวนอยากขอคำแนะนำหน่อยค่ะ ดิฉันมีลูกชายอยู่ป.1 เค้าโดนรุ่นพี่รังแกและขอร้องให้ดิฉันไปจัดการให้ ดิฉันก็เลยไปกำราบเจ้ารุ่นพี่คนนั้นให้เค้า คือทำไปด้วยความโกรธว่าบังอาจมาแกล้งลูกเรา แต่พอมาคิดอีกทีก็รู้สึกไม่สบายใจว่าทำถูกหรือเปล่า เคยตั้งใจว่าจะเลี้ยงลูกโดยไม่ยึดติดว่าเค้าเป็นของฉัน แต่สุดท้ายก็กลับมาพลาดเพราะความรักลูก(ของฉัน) ทนไม่ได้ที่เห็นเค้าร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน ทั้งๆที่พ่อเค้าก็บอกแล้วว่าให้ลูกแก้ปัญหาเอง ก็กลัวเหมือนกันว่าครั้งต่อไปถ้าเค้าเจอปัญหาอีกเค้าจะแก้ยังไง เพราะลูกชายเป็นเด็กเรียบร้อย ไม่ชอบความรุนแรง เค้าจะหลีกเลี่ยงที่จะเล่นกับเด็กเกเรตลอด อยากให้ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ


โดย: ganda IP: 125.27.86.21 วันที่: 24 เมษายน 2552 เวลา:11:16:33 น.  

 
คุณ Ganda ครับ

การเลี้ยงลูกแบบไม่ยึดติดว่าเขาเป็นของเรา ไม่ได้แปลว่าเลี้ยงแบบทิ้งๆขว้างๆนะครับ

ไม่ได้หมายความว่าเขามีปัญหาอะไร เราก็ไม่ต้องยุ่ง หรือไม่ต้องช่วย

แต่ต้องทำทั้งสองทาง ทางหนึ่งคือต้องฝึกให้ลูกเข้มแข็ง แก้ปัญหาเองได้ส่วนหนึ่งในเวลาที่เราไม่ได้อยู่กับเขาที่โรงเรียน

แต่อีกทางหนึ่ง ก็ต้องไปคุยกับเจ้าเด็กเกเร จะคุยเองหรือคุยต่อหน้าคุณครูก็ควรทำ

เพียงแต่ก็ต้องดูโทสะของตัวเองพอควร ไม่ใช่ไปถึงก็ด่าๆๆๆ ต้องเอาเหตุผลมากำราบเด็กด้วย

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าให้ชมคนที่สมควรชม ให้ข่มคนที่สมควรข่ม ไม่ได้บอกว่า ภาวนาแล้วต้องเป็นใบ้ ไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่ต้องไม่เป็นทาสของโทสะเสียเอง

ทำทุกอย่างบนพื้นฐานของเหตุผลน่ะครับ ถูกก็ว่าไปตามถูก ผิดก็ว่าไปตามผิด

แต่เทคนิคเวลาไปคุยกะเด็ก หรือจะสอนให้ลูกเข้มแข็งอย่างไร อันนี้คงต้องไปปรึกษานักจิตวิทยาเด็กนะครับ ผมไม่ชำนาญ

แต่วิธีหนึ่งที่เพื่อนๆผมเขาใช้ๆกัน ก็คือพาลูกไปหาครูบาอาจารย์ที่ดี ไปวัดที่ดีๆ แล้วให้ฟังซีดีหลวงพ่อปราโมทย์นี่แหละ แล้วคอยแนะให้เขาหัดรู้ทันจิตใจตัวเองไว้

คนมีสติดีๆ จะไม่กลัวอะไรง่ายๆ หรืออยู่ในสถานการณ์คับขัน ก็พอจะประคองตัวได้ ไม่ให้ย่ำแย่นัก

ขอให้โชคดีนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 26 เมษายน 2552 เวลา:10:08:22 น.  

 
สวัสดีค่ะ aston27
ขอบคุณมากๆค่ะ สำหรับคำแนะนำ พอจะเข้าใจได้แนวทางแล้ว ขอบคุณจริงๆค่ะ


โดย: ganda IP: 125.27.85.176 วันที่: 27 เมษายน 2552 เวลา:15:15:07 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณ Aston27

ตอนนี้กำลังทุกข์ใจอยู่ค่ะ เลยเข้ามาในกระดานชีวิตกับธรรมะ(ลานธรรมเสวนา)
เห็นกระทู้ของคนนึงคล้ายๆกัน เลยเข้าไปอ่าน มีคนตอบกระทู้แนะนำเค้าว่าให้ลองอ่าน blog ของคุณ เลยเข้ามาดูน่ะค่ะ
ขออนุญาตพิมพ์เก็บไว้อ่านนะคะ (และส่ง mail ไปให้เพื่อนด้วย)
ขอ share ความรู้สึกและถามหน่อยนะคะ

...ดิฉันเป็นเด็กดีของพ่อแม่มาตลอด เรียนดี และไม่เคยมีแฟน ชีวิตที่ผ่านมาสุขสงบ แต่ไม่เคยสนใจถือศีล สวดมนต์ ทำบุญบ้างนานๆครั้ง ยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งไม่เคยอยู่ในความคิด (เพราะที่บ้านก็ห่างวัด)
จนเข้ามหาวิทยาลัยปี 2 ดิฉันได้เข้าปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธ 7 วัน (เพราะเพื่อนชวน แต่สุดท้ายต้องไปคนเดียวเพราะเพื่อนไปไม่ได้)
ออกมาก็เจอคนมาสร้างกรรมผูกพัน หน้าตาดี พูดดี (และไม่ได้ปฏิบัติต่ออีกเลย) เราตกลงคบกันได้ 3 เดือน ดิฉันทราบว่าเขาคบสองคน (ดิฉันมาทีหลัง) จึงถอยออกมา
เขาเป็นคนที่ดิฉันคิดว่ารักคนแรกในชีวิต (แต่จริงๆคือหลง) เสียใจมาก ทุกข์ทรมานเหลือเกิน เกรดตก ทำให้พ่อแม่เสียใจ ดิฉันคิดถึงเขาทุกวันเป็นเวลา 2 ปี
หลังจากนั้นดิฉันก็คบกับอีกคนเพื่อจะให้ลืมคนแรก คนนี้เป็นคนจิตใจดี เราคบกันแบบเพื่อน ไม่มีหึงหวงเลย เป็นเวลาหลายปี
ระหว่างนั้นดิฉันก็มีคนเข้ามาในชีวิตอีก 3 คน (คนละช่วงเวลา) ดิฉันจึงคบสองคน มา 3 ช่วง โดยไม่ให้แฟนรู้
วันดีคืนดี รู้สึกสำนึกผิดกับแฟนเลยบอกเลิกทุกคน (แต่ก็จากกันด้วยดีทุกคน)
จนกระทั่งเดือนสิงหาปี 51 มีคนเข้ามาในชีวิตของดิฉันอีก 2 คน (1ในนั้นมีครอบครัวแล้วอยู่ฝ่ายเดียวกัน ซื้อของแพงๆให้ดิฉัน จนดิฉันเกือบหลงผิด)
ดิฉันจึงปรึกษากับคนที่ 3 กลายเป็นว่าคนที่ 3 กลับบอกว่าชอบดิฉันมานานแล้ว (และมีหลักฐานซึ่งดิฉันพิสูจน์ได้) อยู่บริษัทเดียวกัน
ดิฉันทราบว่าเขามีแฟนแล้ว(อยู่บริษัทเดียวกันเหมือนกัน แต่คนละฝ่าย) เดือนกันยาเขาบอกว่ารักดิฉันแบบไม่ครอบครอง เราต่างอ้างความบริสุทธิ์ใจมาบังหน้า
เขาเริ่มนัดพบดิฉันข้างนอก ไปทำบุญ ปล่อยปลา สวนรถไฟ เขาจะส่ง mail และ msg มาหาดิฉันวันละหลายครั้ง ล้วนแต่เป็นคำหวานๆที่ตอกย้ำความหวังร่วมกันในอนาคต
31 ตุลา แฟนดิฉันถามความรู้สึกที่มีต่อเขา ดิฉันบอกว่าคิดกับเขาแบบเพื่อน เขาเสียใจมากแต่ก็ยอมปล่อยดิฉันไป
ถึงตอนนี้ดิฉันเริ่มคิดครอบครองเขา คาดคั้นเขาเรื่องแฟนของเขา(ที่คนในฝ่ายดิฉันจะมาบอกเสมอว่าเขาอยู่ด้วยกันมา 4 ปีแล้ว และว่าดิฉันกัลงปีนต้นงิ้ว) เขากลับปฏิเสธซ้ำๆจนวันสุดท้ายก่อนรู้ความจริงว่าไม่ใช่แฟน เป็นเพื่อนที่คบกันมานาน
แล้วผู้หญิงมาชอบเขาก่อน เขาก็ไม่อยากให้เสียน้ำใจ และเขาก็พิสูจน์ในวันวาเลนไทน์โดยการชวนดิฉันไปทะเลกัน 2 คน และไม่ได้ทำลายดิฉัน บอกว่าถ้าเป็นคืนแรกที่เขาแต่งงานจะมีความสุขมาก
เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้ดิฉันไว้ใจ แต่พอวันรุ่งขึ้นดิฉันมีโอกาสทำบุญกับพระสายกรรมฐาน อธิษฐานว่าถ้าเป็นคู่กันก็ขอให้ราบรื่น แต่ถ้าไม่ใช่ขอให้ตาสว่าง
วันต่อมาแฟนเขาให้เพื่อนโทรมาถามดิฉันว่าลาไปเที่ยวหรือเปล่า (เพราะเขาก็โกหกแฟนว่าไปเที่ยวกับเพื่อนมาจากญี่ปุ่น แต่ไม่เนียนเพราะเป้นเพื่อนผู้ชายมานัดวันที่ 14 ก.พ.เนี่ยนะ) ในที่สุดดิฉันก็ได้คุยกับแฟนเขาและรู้ความจริง เขาโกหกเราทั้งคู่ โกหกมาตลอด แฟนเขาก็เสียใจเพราะที่ผ่านมาเขาก็ทำให้เชื่อใจมาตลอด ดิฉันเสียใจมาก และถอยออกมา
แต่เขาก็ขอคืนดี อ้างสุขภาพว่าขอให้เขาแข็งแรงก่อน (ดิฉันสังเกตว่าเขาเริ่มเข้าร.พ.บ่อยๆตั้งแต่เริ่มคบดิฉัน เป็นทั้งโรคเกี่ยวกับสมอง หัวใจ ไต ต้องกินยาวันละ 20 เม็ด ไม่รู้เป็นเพราะวิบากจะส่งผลเร็วเมื่อเขาผิดศีลข้อ 4 กับแฟนเขาบ่อยๆหรือเปล่า เพราะเขาก็ไม่ค่อยทำบุญ)
ดิฉันใจอ่อนเพราะรักเขามาก คิดว่าเขาเป็นคนที่ใช่มากกว่าทุกคนที่ผ่านมาเหมือนกับที่เขาบอกดิฉัน(จริงๆคือหลงอีกแหละ) ยอมคบกับเขาแบบหลบๆซ่อนๆต่อมาอีก2เดือน เป็น2เดือนที่ทุกข์ทรมานเหลือเกิน
เพราะต้องเห็นเขาเดินด้วยกัน เช้า กลางวัน เย็นบ่อยๆ และเราต้องทำเหมือนไม่รู้จักกัน แฟนเขาโทรมาถามดิฉันหลายครั้งว่าเขาติดต่อมาหรือเปล่า ดิฉันก็ปฏิเสธตลอด
ส่วนเขาก็โกหกแฟนเขาว่าเลิกติดต่อกับดิฉันแล้ว เป็นนรกอยู่ในใจที่ซาบซึ้งเลยค่ะ ยังดีที่ได้แค่โทรคุย ส่ง mailและmsg เพราะพอเขาจะนัดเจอดิฉันทีไรก็มีเหตุให้เจอกันไม่ได้ทุกที
ดิฉันคิดว่ายังไงก็ตัดใจจากเขาไม่ได้แน่ๆ คงต้องรอให้เขาแต่งงานไปเองจึงจะเลิกยุ่ง (แต่มาย้อนคิดดูว่าถ้าถึงวันนั้นดิฉันจะทำใจได้แค่ไหน เพราะเดือนพ.ค.เขาก็นัดไปทะเลอีก อาจจะไม่โชคดีเหมือนครั้งแรกก็ได้)
ต้นเดือนเมษาดิฉันเริ่มได้คิดว่าถ้าหวังดีกับเขาและตัวเราจริงๆ ต้องไปจากชีวิตเขาซะที แต่ก็ยังทำใจไม่ได้
ดิฉันเริ่มสวดมนต์ยาวๆและนั่งสมาธิเองที่บ้าน(15นาที) อธิษฐานว่าขอให้ดิฉันตาสว่างและเลิกยึดมั่นในสิ่งที่ยังหลงผิดได้เร็วๆ (เพราะลำพังดิฉันเองยังไงก็ตัดเขาไม่ได้)
ช่วงสงกรานต์ไปกราบหลวงพ่อวัดไร่ขิงก็อธิษฐานแบบเดียวกัน จนวันที่ 17-19 เมษา ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน วันกลับจากวัดดิฉันก็ยังพร่ำเพ้อถึงเขาอยู่
แต่พอคืนนั้นอ่านหนังสือเล่มนึง (ยิ่งกว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ-ดร.สนอง วรอุไร)ก็ตัดสินใจได้ว่าจะต้องเลิกให้ได้ เพราะเห็นอันตรายจากการยึดมั่นถือมั่นจนจิตเศร้าหมองต้องไปอบายภูมิแน่
วันรุ่งขึ้นดิฉันโทรไปขอจบแต่เขาไม่จบ วันต่อมาดิฉันจึงส่งจดหมายและบอกเขาว่าไม่ต้องติดต่อกลับ (บอกว่าเปลี่ยนเบอร์โทรแล้ว) ให้อโหสิต่อกัน เขาก็ส่ง mail มาขออโหสิและเหมือนจะจากกันด้วยดี (แต่ยังมีคำว่ารักและเป็นห่วงเหมือนเดิม)
แต่ก่อนจะส่งจดหมายให้เขา ดิฉันโทรไปคุยกับแฟนของเขา บอกว่าดิฉันจะเลิกยุ่งกับเขาอีก แฟนเขาจึงว่าดิฉันที่พูดอย่างทำอย่าง (เพราะที่ผ่านมาเขาและดิฉันโกหกตลอดว่าไม่ได้ติดต่อกัน)
พอวันต่อมาเขารู้ว่าดิฉันบอกความจริง(แต่ไม่ได้บอกรายละเอียด)แฟนเขา เขาก็คงไม่พอใจดิฉันมาก ถึงขนาดส่งmailมาบอกว่าบุญต่างๆที่ดิฉันให้เขาอนุโมทนา (ซึ่งเขาก็อนุโมทนาไปแล้ว) เขาไม่ขอรับ
ดิฉันเสียใจมาก ได้รู้ซึ้งถึงความไม่เที่ยงด้วยตัวเองเลยค่ะ ดิฉันจึงอธิบายว่า ถ้าแฟนเขาไม่โทรมาหาดิฉันหลายครั้งที่ผ่านมา ถ้าดิฉันไม่รับรู้ว่าแฟนเขาระแวงและเป็นทุกข์ (แฟนเขาบอกว่าทะเลาะกันบ่อย) ดิฉันคงไม่โทรไป และจะจบกับเขาคนเดียว
ดิฉันไม่มีเจตนาจะให้เขามีปัญหากันเลย คิดว่าถึงตอนนี้แฟนเขาจะเสียใจ แต่ต่อไปจะได้ไม่ระแวงเรื่องดิฉันอีก ถ้าไม่โทรไปหาแฟนเขา ดิฉันจะรู้สึกติดค้าง และกลัวจะเป็นการผูกเวรกันทางวิญญาณ จนเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกันในที่สุด
ดิฉันจึงขอถามว่า
1. การที่ดิฉันโทรหาแฟนเขาเป็นสิ่งสมควรทำหรือไม่ เพราะดูเหมือนตอนนี้เขาก็รู้สึกไม่ดีกับดิฉันทั้งสองคน ไม่อยากให้เป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกันน่ะค่ะ
แล้วจะมีวิธีใดบ้างที่จะลดโอกาสการผูกเวรทางวิญญาณกันทั้งสามคน ทุกวันนี้ดิฉันนั่งสมาธิครั้งละครึ่งชั่วโมง (เพิ่งเริ่มกลับมาปฏิบัติจริงจังหลังกลับจากวัดอัมพวัน) แล้วแผ่เมตตาระบุชื่อเจาะจง
จะพอช่วยได้มั้ยคะ
2. ถึงเขาจะโกรธหรือเกลียดดิฉัน ดิฉันก็ยังปรารถนาดีต่อเขาอยู่ เพราะเขามีโรครุมเร้าจนทรมานมาก(เพิ่งอายุ 28ปีค่ะ) เมื่อก่อนเขาให้ดิฉันไปนั่งในห้องตรวจกับเขาด้วย จึงรู้ว่าข้อนี้เขาไม่ได้โกหก
คิดว่าน่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับกรรม เพราะไปหา(อาจารย์)หมอหลายท่านก็ไม่หาย วินิจฉัยไม่ตรงกัน บางท่านบอกให้ผ่า บางท่านบอกว่าผ่าแล้วไม่คุ้ม
เขาจะปวดตรงคอตลอดเวลา จนต้องกินยานอนหลับโดมิคุ่มทุกคืน ถ้าดิฉันนั่งสมาธิแล้วอุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของเขาจะถึงหรือไม่ จะทำให้อาการเขาดีขึ้นบ้างมั้ย
3. ปัจจุบันพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ (อายุ 66 ค่ะ) มีน้องสาว 1 คน (แต่ไม่สนิทกันมากที่จะคุยได้ทุกเรื่อง ไม่ค่อยได้เจอกันหรือโทรคุยกัน) แยกกันอยู่คนละบ้านทั้ง 4 คน (ดิฉันกับน้องอยู่หอพักหญิงแถวที่ทำงานตัวเอง กลับบ้านทุก 1-2 สัปดาห์ แต่ไม่คุยเรื่องนี้กับพ่อแม่เท่าไหร่ค่ะ คงเพราะความเห็นก็ต่างกันมากด้วย แม้เรื่องธรรมะ ชวนให้ท่านอ่านหนังสือดีๆที่ช่วยยกระดับจิตใจ ท่านก็ไม่ยอมอ่าน) มีเพื่อนสนิทที่คุยได้ทุกเรื่อง 2-3คน ช่วยแนะนำการที่จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปคนเดียว จนกว่าจิตจะทิ้งร่างนี้ไป (เพราะวันนึงพ่อแม่ก็ต้องจากไป) อย่างไรดีคะ (ที่ผ่านมา ดิฉันเคยมีแฟนอยู่ข้างๆตลอด ไม่เคยอยู่คนเดียวเลย ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ดื่มเหล้า ถ้าไปก็ไปกาง tent ต่างจังหวัดไกลๆเป็นกลุ่มๆเพื่อน) เพราะดิฉันไม่อยากสร้างกรรมผูกพันกับใครให้เป็นทุกข์ หรือมีห่วงอีกแล้ว ชีวิตที่เหลือตั้งใจจะพัฒนาจิตใจตัวเองให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาน่ะค่ะ ถ้าไม่ทุกข์ ก็คงไม่มาเดินหนทางที่ถูกต้อง คงใช้ชีวิตตามอารมณ์และความรู้สึกต่อไป
4. ตอนนี้ใจดิฉันนึกถึงแต่เขาตลอดเวลา (ต่อไปไม่รู้จะใช้เวลาเท่าไหร่แผลสดจึงจะกลายเป็นแผลเป็น เพราะคนนี้อยู่บริษัทเดียวกัน ต้องเจอกันบ่อย ต่างจากคนแรก)ดิฉันพยายามจะตามดูความรู้สึก (ที่เขาเรียกว่าดูจิต) แต่พอนึกถึงเขาทีไร ใจก็ไหลไปรวมกับความรู้สึกจนหลงไปทุกครั้ง กว่าจะมารู้อีกทีก็นาน ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ดูน่ะค่ะ จะแก้ไขอย่างไรดีคะ หรือวิธีเดียวคือต้องทำจิตนิ่งให้ถึงขั้นอุปจารสมาธิ แล้วใช้พิจารณาความไม่เที่ยงเอา (ตอนนี้ได้แต่คิดว่ามันไม่เที่ยง) ดิฉันกลัวว่าถ้าตายตอนนี้ จิตเศร้าหมองอาจต้องไปทุคติน่ะค่ะ

เรื่องนี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันทำให้ดิฉันทรมานใจมากๆค่ะ ขอบคุณที่สละเวลาอ่านและตอบนะคะ



โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 27 เมษายน 2552 เวลา:17:57:10 น.  

 
คุณจันทร์นภัส ครับ

1) เรื่องโทรไปหาแฟนเขา จะควรไม่ควร เราก็ทำไปแล้ว อันนี้ช่วยไม่ได้ล่ะครับ อย่าไปคิดเลย

เพราะคิดให้หัวแตก ก็ไม่ได้แก้ในสิ่งที่ทำไปแล้ว

บางทีเจตนาของเรา กับผลที่ได้ มันก็ไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกัน

เอาเป็นว่าตอนนี้ ถ้าเขาจะต่อว่า เขาจะโกรธ ก็รับไปเฉยๆ ถือว่าเราใช้กรรมที่มีต่อกันไป ไม่ต้องแก้ตัว ไม่ต้องตอบโต้ และไม่ต้องอธิบายอะไร

เขาไม่เข้าใจ ก็ปัญหาของเขา ไม่ใช่ปัญหาเรา
เพราะเวลาเราทุกข์ เราก็ทุกข์ของเราคนเดียวเหมือนกัน

2) คุณปรารถนาดีต่อเขา มีเมตตาต่อเขา อันนั้นเป็นกรรมดีที่คุณทำ แล้วก็ได้กับตัวเอง

แต่ช่วงนี้ ผมไม่แนะนำให้ใช้วิธีแผ่เมตตาให้เขา เพราะมันจะไปสร้างความผูกพันให้สืบเนื่องต่อไปได้

ให้แผ่เมตตาไปให้สรรพสัตว์ พ่อแม่ ครูอาจารย์ เทวดาอารักษ์ ทั้งหลายก็พอล้วครับ

เรื่องการทำบุญอุทิศให้ใคร เจ้าตัวเขาต้องมารับรู้ และอนุโมทนาด้วย

ถ้าจิตเขาปิดแบบคุณผู้ชายท่านนี้ คุณแผ่ให้ตาย เขาก็ไม่ได้ครับ

3) เรื่องสอนให้พ่อแม่มีธรรมะ อันนี้เป็นเรื่องดี แต่ต้องทำด้วยอุเบกขานะครับ

มันต้องแล้วแต่บารมีบุญเก่า ของแต่ละคน
บางคนภาวนาไม่ได้ ก็ให้ท่านทำทาน ถือศีลไป จิตใจพอสบายๆ ก็ยังดี

บางคนถือศีลไม่ได้ 5 ข้อ เอาสี่ข้อ ก็ยังดี ต้องคิดแบบนี้

มีหลายๆคนที่ผมรู้จัก ใช้วิธีเปิดซีดีธรรมะฟัง แล้วเปิดให้ดังพอจะให้คุณพ่อคุณแม่ได้ยินไปด้วย
แต่อย่าไปชวนท่านฟังนะ เปิดของเราไปนั่นแหละ ถ้าท่านจะฟัง ท่านจะฟังเอง

ผมแนะนำซีดีของ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช นะครับ
ถ้าจะโหลดก็เข้าไปโหลดได้ ที่ //www.wimutti.net หรือไปรับได้ฟรีที่ห้องสมุดบ้านอารีย์ ลองหาข้อมูลในเว็บไซท์ได้ครับ

4) ใจคุณตอนนี้ ฟุ้งซ่าน และมีบาดแผลเยอะ จะภาวนาด้วยการทำสมถะ จนได้อุปจารสมาธิ เห็นจะลำบากครับ

ในอภิธรรมบอกไว้ว่า ความสุข เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ
แปลว่าถ้าคุณไม่มีความสุข ลงไปนั่งสมาธิยังไง ก็ไม่ได้ผล

วิธีภาวนาที่เหมาะกับคุณตอนนี้ คือการดูจิตครับ
ถ้าเคยเรียนที่ยุวพุทธ กับวัดอัมพวันมาแล้ว ก็คงพอมีพื้นฐาน

ปรับนิดเดียว คือไม่ต้องกำหนด เปลี่ยนจากกำหนด เป็นการคอย "ตามรู้" จิตใจตัวเอง

เปลี่ยนจากการภาวนา เพื่อให้จิตดี จิตไม่ทุกข์ จิตสงบ
เป็นการภาวนา เพื่อเรียนรู้ความจริงของมัน

มันฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน
ไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ
อยากหาย รู้ว่าอยาก

มันซัดส่าย คิดหาทางแก้ ก็รู้ทันว่าคิด
คอยดูจิตใจที่เคลื่อนไหว ไม่อยู่นิ่งนั่นแหละครับ

แล้วจิตมันจะค่อยๆสงบของมันเอง

เอาตัวช่วยเพิ่มหน่อย ก็ให้สวดมนต์ ด้วยความรู้สึกตัว

สวดแล้วคอยแอบดูจิตใจตัวเอง
มันจะแว่บไปคิดโน่น คิดนี่ ก็คอยรู้ทัน

คนเรามีทุกข์ เพราะจิตคิดครับ
ถ้ารู้ทันว่าจิตแอบไปคิด ทุกข์จะหล่นหายไปเยอะเลย

อนุโมทนา ที่กล้ากระโดดออกจากวงจรของการผิดศีลข้อ 3 ซ้ำซากนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 29 เมษายน 2552 เวลา:9:29:03 น.  

 
ทำไมทั้งๆที่เห็นอยู่ ว่าสภาวะต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เดี่ยวเบื่อ เดี๋ยวเบิกบาน เดี๋ยวเซ็ง เดี๋ยวมีกำลัง แต่ก็ยังไม่เกิดปัญญาซักที แล้วก็หวุดหงิดอีก แล้วก็เหนื่อยหน่าย ซักพักก็ดีขึ้นมา วนเวียนอยู่แบบนี้ วันแล้ววันเล่า แต่ปัญญา ไม่ได้เกิดเลย ควรจะทำอย่างไรต่อดีคะ


โดย: เปลวเทียน IP: 203.155.245.197 วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:12:57:51 น.  

 
คุณเปลวเทียน

เป็นคำถามที่ดีมากครับ ขนาดไม่ยาว กำลังดีด้วย
งั้นผมขอยกไปตอบในหมวดหลัก ไปตามอ่านที่นั่นนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:15:35 น.  

 
เพิ่งอ่านคำตอบค่ะ ขอบคุณที่เสียสละเวลาอ่านข้อความยาวๆ(ขนาดตัวเองมาอ่านอีกทียังรู้สึกว่ายาวจัง เพราะตอนนั้นรู้สึกยังไงก็พิมพ์ไปหมด)
และตอบนะคะ
จริงอย่างที่คุณ Aston บอกค่ะ ดิฉันนั่งสมาธิติดต่อกันมา 9 วันแล้ว (เมื่อวันนั่งถึง 1 ชม.) จิตยังไม่นิ่งเลยค่ะ
ช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา ทดลองตามดูความรู้สึก เห็นได้ชัดว่าทุกข์น้อยลงจริงๆค่ะ เพราะพอนึกถึงเขา..หดหู่
พอเรารู้ตัวปุ๊บ มันก็หยุดคิดได้เองค่ะ แต่ไม่นานมันก็วนเวียนมาคิดอีก แต่พอเรารู้ ความคิดนั้นมันก็หายไป
เลยคิดว่าเราดีขึ้นแล้วจริงๆ แต่พอเช้าวันนี้ตื่นมาลืมตาก็นึกถึงเขาเลย เศร้าอีกแล้ว คราวนี้มันไหลไปรวมกับกิเลสที่ปรุงแต่งซะเต็มที่
ตอนนั้นมันแค่ดูไม่ได้จริงๆ มันไปอินไปแสดงเลยน่ะค่ะ
มาที่ทำงานก็ยิ่งนึกถึงสัญญาเก่าๆ ที่ทำให้จิตเศร้าหมอง เพราะก็ต้องเจอเขาทั้งคุ่อีก
ดิฉันหลบเลี่ยงที่จะเจอพวกเขาได้หลายวันแล้ว เพราะตอนนี้สติยังอ่อนอยู่ กลัวว่าถ้าเจอจังๆ จะยิ่งรู้สึกแย่ลงอีก
ควรจะเลี่ยงต่อไปจนกว่าสติจะกล้าแข็งกว่านี้ใช่มั้ยคะ (ถ้าต้องเห็นหรือรับรู้ข่าวเขาทุกวันเวลาจะช่วยอะไรไหมคะ)

ก็รู้ว่าเรากำลังเดินในหนทางที่ถูกต้อง(เจริญสติ) แต่บางทีก็ท้อ ไม่รู้ต้องให้เขาดูอีกกี่ร้อยครั้ง จิตถึงจะจำสภาวะหดหู่ เศร้า เสียใจนี้ได้ซะที
สติถึงจะรู้ทันกิเลสที่เกิดและเบรกมันเองได้

ขอบคุณและขออนุโมทนากับทุกถ้อยคำใน Blog นี้ ที่มีส่วนช่วยให้ดิฉันรวมทั้งผู้มาเยี่ยมหลายคนรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ



โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 4 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:18:30 น.  

 
คุณจันทร์นภัส ครับ

สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ
ที่คุณเห็นความคิด แล้วเกิดสติรู้ทัน ทุกข์มันก็ค่อยๆลดลง เพราะไม่มีการคิดปรุงแต่งยาวๆ

แต่เหตุมันมีอยู่ คุณเผลอเมื่อไหร่ มันก็ลากคุณหลงไปคิด คิดแล้วก็ปรุงทุกข์ขึ้นมา

เวลาทุกข์เกิดในใจแล้ว มันเป็นผลครับ เช่นโดนมีดบาด ถึงจะรู้ทันว่าเจ็บ ก็อาจจะช่วยให้มีสติ ไม่คร่ำครวญ แต่แผลก็ยังอยู่ เลือดก็ยังไหลนะ

แต่ถ้าไม่คร่ำครวญ มันก็ไม่เจ็บมาก เจ็บนาน เราก็มีสติ ไปทำแผลซะ เรื่องก็จบ

ฉะนั้น มันจะไหลไป ก็คอยรู้ทัน อย่าปฏิเสธ อย่าช่วยมันเกลียด แค่รู้ แล้วยอมรับทุกข์นั้นไป

หมั่นซ้อมดูความคิดไว้ทุกวันๆ แล้วจะดีขึ้นเอง


โดย: aston27 วันที่: 4 พฤษภาคม 2552 เวลา:12:54:15 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ จะดูต่อไปค่ะ


โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 4 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:57:27 น.  

 
รบกวนถามต่ออีกนิดนะคะ
เห็นคุณ Aston บอกว่า "การรู้สึกตัวเวลาหลับ มีนัยสำคัญมาก
คือเป็นแนวโน้มที่บอกได้ว่า ตายแล้วจะไปสุขคติ เพราะตอนคนเราใกล้จะตาย จิตมันมักจะลงภวังค์แบบเดียวกับตอนหลับฝัน"

เวลาดิฉันตื่นใจมักจะนึกถึงเค้าและสัญญาเก่าๆแทบตลอดเวลา (ตอนนี้เรื่องนี้ใหญ่สุดสำหรับดิฉันมากกว่าเรื่องไหนๆ)แล้วทำให้รู้สึกแย่
แต่ตอนหลับ ไม่เคยฝันถึงเค้าหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องเลย(ไม่เคยฝันสักครั้งเดียวตั้งแต่คบกัน) อย่างนี้แสดงว่าจิตของดิฉันยังไม่สั่งสมเรื่องเขาจนประทับลงลึกในใจใช่มั้ยคะ
(คือสมมติถ้าดิฉันตายในช่วงนี้ จิตจะไม่ไปเกาะเกี่ยวเค้าจนจิตเศ้ราหมองต้องไปอบายภูมิใช่มั้ยคะ)

ขอบคุณอีกครั้งค่ะที่กรุณาสละเวลาอ่าน...ตอบ และช่วยชี้แนะทางให้คนนึงที่บังเอิญผ่านเข้ามา แต่จะไม่มีทางบังเอิญพ้นทุกข์ได้เลย...



โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 4 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:12:54 น.  

 
คุณจันทร์นภัส ครับ

อืม.. อันนี้ไม่ทราบครับ เพราะเรื่องฝันไม่ฝัน มันเกี่ยวกับสภาพร่างกายด้วย ไม่ได้ขึ้นกับจิตใจอย่างเดียว

อย่าสงสัยมากเลยครับ ผมอ่านแล้วก็รู้ว่า ปัญหาคุณตอนนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าไปคร่ำครวญอยู่

รู้ทันว่าจิตคร่ำครวญ พยายามชวนเราไปเล่นบทนางเอกหนังชิงรักหักสวาท

รู้ทันไปลูกเดียวครับ จิตมันจะประทับ ไม่ประทับ ก็เรื่องของมัน

เราไม่ได้ภาวนาเพื่อจะแก้ จะอะไรเลยนะครับ

เราต้องการให้มีสติ มีปัญญา เห็นความจริง ว่ากายนี้ ใจนี้ ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราไม่มี

ที่ทุกข์อยู่คือจิต แต่จิตไม่ใช่ตัวเรา เหมือนคนข้างบ้านทุกข์ แต่เราดันทะลึ่งไปรับรู้ แล้วก็ช่วยเขาทุกข์อีกแรง

ที่ผมว่าคร่ำครวญ ผมไม่มีเจโต อ่านใจใครไม่ได้นะครับ แต่อาศัยอ่านจากภาษาของคุณเองนั่นแหละ

โดยเฉพาะย่อหน้าสุดท้ายนี่แหละครับ


โดย: aston27 วันที่: 4 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:33:06 น.  

 
ตอนนี้หยุดคร่ำครวญแล้วค่ะ เผชิญหน้ากับความจริงได้แล้ว ไม่คอยหลบอีก
เหมือนใจมันมั่นคงขึ้นน่ะค่ะ
เมื่อวานอ่านหนังสือธรรมเทศนาของพระอาจารย์ปราโมทย์
และทำตามที่คุณ aston แนะนำ คอยหมั่นรู้ความรู้สึกตัวเอง
แล้วก็เลิกแผ่เมตตาให้พวกเขาแล้ว
(แต่ยังนั่งสมาธิอยู่ค่ะ แต่ไม่นานแล้วแค่ครึ่งชั่วโมง)
ตอนแรกว่าจะคอยตามรู้ไประยะนึงก่อนแล้วค่อยเขียนมา
สุดท้ายก็ต้องรบกวนอีกจนได้ (อ่านไปอ่านมาแล้วสับสนค่ะ)

เมื่อวานทั้งวัน เริ่มจริงจังกับการตามดูจิตใจ (ไม่ได้ตั้งใจเพ่ง หรือจงใจดูสภาวะนะคะ) อยู่เนืองๆ
ก็ดูไปซื่อๆอย่างที่พระอาจารย์บอกน่ะค่ะ
ทีนี้อยากทราบว่าแล้วเราต้องตามดูกายด้วยหรือไม่คะ
แล้วพวกอิริยาบถใหญ่ –ย่อย ต้องคอยรู้ตัวด้วยหรือเปล่า (คือมันจะเป็นการเพ่งไปหรือเปล่า)
เช่นเดินก็ให้รู้ว่ากำลังเดินอยู่ แล้วระหว่างที่เราเดิน ถ้าเรามีสภาวะอะไรเกิดขึ้นมา เช่นเดินๆอยู่ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้
ก็รู้ว่ากำลังคิดอยู่ใช่มั้ยคะ แล้วถ้าเดินโดยยังไม่คิดอะไร ที่ถูกจิตจะต้องไประลึกรู้ที่เท้าสัมผัสพื้น หรือรู้ว่ากำลังใจลอยอยู่กันแน่คะ
อ่านมาก็เยอะ แต่พอทำจริงๆ กลับยังงงอยู่น่ะค่ะ หรือว่ากาย อิริยาบถปล่อยไป ไม่ต้องตามดูแล้ว ดูความรู้สึกและพฤติกรรมของจิตอย่างเดียวพอ

แล้วพอคิด รู้ว่าคิดปุ๊บ ความคิดหายไป... แล้วยังไงต่อคะ
ที่เป็นอยู่หลังจากที่ความคิดดับไป จิตมันก็มักจะมาจับกับอิริยาบถที่กำลังดำเนินอยู่ (กับลมหายใจ หรือกำลังถูสบู่....)
แล้วพอมีเรื่องคิด ก็คิดต่อ แล้วเราก็ดูไป ทำแบบนี้ถูกทางแล้วหรือยังคะ (สงสัยกับเรื่องอิริยาบถ กลัวจะเป็นการเพ่งน่ะค่ะ)
เกรงว่าถ้าทำต่อไปผิดๆ มันจะไม่ถึงจุดหมาย (สติตัวจริงเกิด) น่ะค่ะ
ยิ่งพิมพ์ยิ่งงง...

ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ


โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 6 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:19:33 น.  

 
การที่ดูเฉยๆ..รู้เฉยๆ..ไม่ต้องทำอะไร
เช่น ไปเห็นรองเท้าสวย อยากได้ ก็รู้ว่าอยากนะ
แล้วต่อจากนี้ ถ้าไม่ทำอะไร(บังคับใจไม่ให้ซื้อ) กิเลส(โลภะ)ก็จะลากเราให้ควักกระเป๋าจ่ายตังค์ เพื่อให้ได้รองเท้ามาน่ะสิคะ (ตอนนี้คือ..หลง เผลอไป)
เพราะตอนนี้สติตัวจริงยังไม่เกิดนี่คะ
สรุปแล้ว ก็แค่รู้เฉยๆเหรอคะ ถ้ากิเลสจะปรุงแต่งไป ก็ไม่ต้องไปหยุดมันใช่มั้ยคะ


โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 6 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:01:20 น.  

 
คุณจันทร์นภัสครับ

ขี้สงสัยแบบนี้ รู้ทันเวลามันสงสัยไหมครับ

ตั้งใจภาวนาได้ แต่อย่ามากเกินไปจนเครียดนะ ผมเริ่มรู้สึกว่าคุณเครียดไปหน่อย

ขอแค่ไม่ขี้เกียจ รู้เรื่อยๆ รู้เล่นๆ หนุกๆ เหมือนดูทีวีเป็นเพื่อนแก้เหงา

ไม่ได้ดูเพื่อจับถูก จับผิด ให้คะแนนพิธีกร หรือตัวละครตัวไหนเป็นพิเศษ

อยากปฏิบัติ ก็เป็นกิเลสที่ต้องรู้ทันนะครับ ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกว่า แค่อยากปฏิบัติ ก็ผิดแล้ว

ไม่ได้ผิดที่อยากหรอกนะครับ ผิดที่อยากแล้วไม่รู้ ต่างหาก

ฉะนั้น สงสัย ก็ไม่ผิด แต่ถ้าสงสัยแล้วไม่รู้ คุณก็จะทำไปแบบคิดไปเรื่อยๆ ว่าอันนี้ ใช่ หรือไม่ใช่ อันนี้ถูกหรือผิด อันนี้รู้จริง หรือคิดเอาหว่า

ความสงสัย ก็เป็นกิเลส ตัวหนึ่งครับ ถ้าไม่รู้ทัน มันก็จะหลอกเราให้คิดสงสัย อยากรู้ ไปเรื่อยๆ

แปลว่าภาวนาไป ก็ไม่เกิดปัญญา เพราะมีตัวคิด ตัวสงสัย ตัวอยาก มาบังไว้ตลอด

ครั้งต่อไป สงสัยปุ๊บ รู้ทันว่าสงสัยนะครับ

เรื่องที่คุณถามมา ผมตอบสั้นๆให้ว่า รู้ทุกอย่างที่จิตรู้ ไม่ใช่สิ่งที่เรากำหนดให้จิตรู้

ปล่อยให้จิตรู้อะไรก็ได้ ที่เป็นเรื่องของกาย หรือจิต เริ่มต้นใครถนัดดูกาย ก็ดูไป ถ้าแบบคุณเหมาะกับดูจิต ก็ดูไป ดูไปสักพัก จิตเขาจะเลือกเอง ว่าเขาอยากรู้กาย หรือจิต

หน้าที่เราไม่ใช่ไปฝืน ไปบังคับ ยกเว้น อยากทำสมถะนะ แต่ถ้าวิปัสสนา เรารู้ตามความเป็นจริงที่จิตมันไปรู้ รู้ลงปัจจุบัน

แปลว่าถ้าปัจจุบัน จิตรู้กาย ก็รู้กายไปสิครับ ถ้าเราไม่บังคับ แค่คอยสังเกต เดี๋ยวจิตมันจะไปรู้จิตบ้าง สลับกายบ้าง อันไหนเด่นขึ้นมา มันก็ไปรู้อันนั้น

เห็นรองเท้าสวย ใจชอบ รู้ว่่าชอบ อยากได้ รู้ว่าอยากได้

ที่เหลือ อันนี้แล้วแต่ทุนทรัพย์และเหตุผลนะครับ ว่าควรซื้อ หรือไม่ควรซื้อ ถ้าคุณรวย มีเงินใช้ไม่ขัดสน จะซื้อก็ไม่ลำบาก ไม่ทำให้จนลง ก็ไม่มีปัญหา

ตัดใจไม่ซื้อ แล้วใจเสียดาย รู้ว่าเสียดาย อยากได้ รู้ว่าอยากได้
ซื้อแล้ว ดีใจ รู้ว่าดีใจ สักพัก รู้สึกผิดว่าแพ้กิเลส ก็รู้ว่า รู้สึกผิด

เราภาวนาในชีวิตจริงแบบนี้นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 13 พฤษภาคม 2552 เวลา:7:02:49 น.  

 
เพิ่งกลับจากไปตรวจงานตจว. เลยเพิ่งเข้ามาอ่าน
ขอบคุณสำหรับคำตอบค่ะ
และขอบคุณสำหรับ Blog ที่อ่านแล้วรู้สึกดีดี
ส่ง mail ให้เพื่อนหลายคนแล้วค่ะ
ไม่กวนแล้วนะคะ
จะคอยติดตามต่อไปค่ะ ^_^


โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 15 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:45:17 น.  

 
จะทำอย่างไรดีค่ะ ถ้าเรารู้สึกว่ากำลังหมดพลัง และ เหนื่อย ในการใช้ชีวิต


โดย: Chacha IP: 125.24.59.4 วันที่: 19 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:53:09 น.  

 
ไม่รู้จะทำยังไง บางเวลาชอบคิดจินตนาการไปเรื่อยๆ ว่าอยากให้ชีวิตเป็นแบบนั้นแบบนี้ ทั้งๆที่ก่อนจะคิดก็รู้ตัวอยู่ บอกใจตัวเองอยู่ว่าคิดไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ดูเหมือนอีกใจก็รู้สึกมีความสุขกับการที่ได้คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ แต่พอหยุดคิดปุ๊บก็รู้สึกเศร้านิดๆ อีกว่าความจริงมันเป็นตรงกันข้าม แล้วก็จะเป็นแบบนี้ประจำ ชอบที่จะหาความสุขจากการคิดฝันเอา ไม่อยากให้ตัวเองปล่อยใจคิดไปเองแบบนี้เลยค่ะ มันรู้สึกเหมือนคนไร้สติ บางครั้งก็สมเพชตัวเองเหมือนกัน ทุกวันก็พยายามจะรู้สึกตัวเองอยู่ด้วยการดูลมหายใจตัวเองไว้ ดูความรู้สึกตัวเอง แต่ก็ทำได้น้อยครั้งมาก ส่วนใหญ่จะไม่เคยทันกับอารมณ์ที่ปล่อยไปแล้วได้เลย ทำไมมันยากนักทั้งๆที่อ่านดูก็รู้สึกว่าทำง่ายนิดเดียวแค่รู้เท่านั้น แค่นั้นจริงๆหรือคะ หรือว่าหนูเข้าใจไม่ถูก


โดย: nidha IP: 125.27.77.221 วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:7:40:20 น.  

 
ตามหาวรสาร บ้านอารีย์ อยู่ค่ะ ปกติจะมีน้องใจดีหยิบมาฝากเวลาไปธ.กรุงไทย เเล้วมีวางอยู่ .บางเล่มที่ไม่ทันก็ตามอ่านในเวป บ้านอารีย์ เเตตอนนี้ เวปที่เคยอ่านหายไป ใครยังมี link อยู่รบกวนส่งให้ด้วยคะ.
จริงๆๆเเล้ว office อยู่ใกล้ๆๆ บ้านอารีย์ เดินไปหยิบก็ได้ เเตไม่เเน่ใจวันที่หนังสือออกคะ

รบกวนด้วยค่ะ (พอดีเห็นชื่อ คุณed ว่า เป็น 1 ใน คนเขียน ก็เลย เเอบถามดีกว่า )

อยากบอกว่า เพลงตุ๊กตาไล่ฝน(อิกคิวซัง) ที่เปิดตอนท้ายชั่วโมง ไม่เป็นผลคะเพราะ วิ่งเก็บผ้า เเทบไม่ทัน เเต่เพลงก็เพราะดีค่ะ ทำงานบ้านเพลินดี

ขอบคุณนะค่ะ



โดย: นันตรีพร IP: 58.8.172.141 วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:27:40 น.  

 
แวะมาทักทายและ share ความรู้สึก(อีกแล้ว)ค่ะ
เห็นด้วยค่ะความคิดที่มันหลอกหลอนเราทั้งวันทั้งคืนน่ากลัวจริงๆ...
วันเสาร์ที่ผ่านมาเป็นวันพระ
ตั้งใจรักษาอุโบสถศีลเป็นครั้งแรก (ไม่รวมตอนไปปฏิบัติธรรมนะ)
รู้สึกดีจัง

สามอาทิตย์แรกเราคิดถึงเขาแทบตลอดเวลา ทุกข์ ทรมาน รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น
ทำให้เรายิ่งดิ้นรนที่จะหนีทุกข์ มันกลับยิ่งทุกข์ไปอีก

เราได้ทำสิ่งดีดีหลายอย่าง อย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน
ตอนทำก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะดีขึ้นแน่หรือเปล่า รู้แต่ว่าทำแล้วรู้สึกดี และเราน่าจะเดินมาถูกทางแล้ว

ไม่แน่ใจว่าความทุกข์ที่มันอยู่กับเราทุกวันๆ ลดน้อยลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้แต่ว่า ณ วันนี้ใจเราไม่ทุกข์เท่าวันที่เราเขียนมาหาคุณAston ครั้งแรก (27เมษา)
(กลับไปอ่านอีกที ก็ยังรู้สึกว่าข้อความมันย้าวยาว) รวมถึงสามอาทิตย์แรกด้วย

เดี๋ยวนี้เวลาเรานึกถึงเรื่องนั้น มันจะรู้ตัวขึ้นเองบ่อยๆ
ใจไม่ไหลไปจมแช่กับความคิดนั้นนานๆอีก อารมณ์หดหู่น้อยลงๆ

ตอนใจเราเริ่มนิ่ง มักจะมีอะไรมาลองใจเราเสมอเลยนะ
วันก่อนเราได้รับ sms จากเขาคนนั้น บอกว่าเข้ารพ. และอาการต่างๆที่เขาเป็น...


โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:14:13:16 น.  

 
คุณ nidha

ความคิดของคนเราเป็นดาบสองคมครับ
ในเวลาที่จิตเราปกติมีสติ มีปัญญา ความคิดจะเป็นเครื่องมือในการทำมาหากินได้ ช่วยทำความเข้าใจอะไรในระดับทางโลกได้

แต่ในเวลาที่จิตมันขาดสติ ด้อยปัญญา ความคิดมักจะให้โทษ มันจะกลายเป็นเครื่องมือของความกังวล ความเครียด ความกลัว ความอิจฉา การมีมานะอัตตา นำไปสู่ความคิดปรุงแต่งในทางลบต่างๆ

ถ้าการตามรู้ความคิดของตัวเอง เป็นไปค่อนข้างลำบาก ก็อย่าแปลกใจ เพราะคุณ nidha เป็นมือใหม่ จะต้องอาศัยตัวช่วยบางตัว เช่น การไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอน และหลังตื่นนอน

จะมีห้องพระ หิ้งพระ หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ไหว้กันตรงหมอนบนที่นอนนี่แหละ ไหว้แล้วดูกายเคลื่อนไหว ดูเบาๆ อย่าดูแรงนะ

เห็นกายมันเคลื่อนไหวในการไหว้ ใจเราเป็นแค่คนดู
ถ้าระหว่างดูกายเคลื่อนไหว จนชำนาญ แล้วเกิดสังเกตเห็นว่า จิตใจเองขณะที่ดู ก็แอบไปคิดนึกไปทำงานด้วยเช่นกัน ก็ให้รู้ทัน

รู้ทัน แต่ไม่ดึงกลับ ไม่ห้าม รู้แบบเป็นคนนอกไปเห็นคนข้างบ้านทำโน่นทำนี่ รู้แล้วไม่แทรกแซง เรียกว่ารู้อย่างเป็นกลาง

แต่ถ้ารู้แล้ว จิตมันไม่เป็นกลางเอง เช่นรู้สึกกังวล ว่าทำถูกไหม หรือดีใจที่เห็น ก็ให้รู้ทันว่าหลงไปคิด กำลังปรุงแต่งอยู่

หรือจิตมันไม่ชอบที่ไม่เป็นกลาง ก็รู้ทันว่ามันเป็นอย่างนั้น

ไหว้พระแล้วก็สวดมนต์ บทอะไรก็ได้ ไม่ต้องพิสดารก็ได้ครับ เอา อะระหังสัมมา นะโมตัสสะ อิติปิโส ก็ใช้ได้ทั้งนั้น

เราสวดเพื่อให้จิตได้คุ้นเคยวนเวียนอยู่กับความดีงามของพระพุทธเจ้า ไม่ได้สวดเพื่อบังคับจิตไม่ให้คิด

แต่อาศัยบทสวดเป็นเครื่องช่วย เป็นหลักให้เราได้คอยสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของจิต สวดๆนะโมตัสสะ จิตมันเคลื่อนออกไปนึกถึงเรื่องอะไร ก็รู้ทัน ภะคะวะโต จิตไปนึกว่าเอ๊ะล็อกบ้านหรือยัง ก็รู้ทันว่ามันคิด

อะระหะโต จิตไปนึกถึงว่า เดี๋ยวยังไม่ได้กินยา ก็รู้ทันว่าคิด

เราอาศัยตัวช่วยแบบนี้ แล้วระหว่างวันถ้ามีโอกาส ก็คอยรู้กาย รู้ใจ มันหลงไปก็คอยรู้ทันให้ไวที่สุดเท่าที่จะรู้ได้

ระหว่างทำงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องคิด จะภาวนาไม่ได้ครับ แต่ให้ใช้วิธีกำหนดเวลาพักไว้ เช่นทุกชั่วโมง จะพักจิบน้ำสักสองนาที หรือไปห้องน้ำสักห้านาที

ระหว่าที่จิบน้ำ หรือเดินไปห้องน้ำ ก็รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจเคลื่อนไหว มันเครียดก็รู้ ได้พักได้เข้าห้องน้ำ ใจมันสบายก็รู้ มันไปนึกถึงเรื่องที่ได้ยินคนมานินทาเราก็รู้ว่ามันคิดอยู่ นั่งในห้องน้ำแต่จิตมันพะวงเรื่องงานที่โต๊ะ ก็รู้ทันว่าจิตส่งออกไปแล้ว คือคิดนั่นเอง

แบ่งช่วงเวลาให้ดีนะครับ เวลาไหนทำงานต้องใช้ความคิด ก็ทำไป นอกจากนั้น เราเอามาภาวนาซะ จะได้ประโยชน์มาก

ภาวนาในชีวิตประจำวันให้ได้แบบนี้ แล้วคุณจะรู้ว่าจิตใจมันค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์ครับ




โดย: aston27 วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:9:10:20 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แอสตัน

การปฎิบัติธรรมให้เข้าถึงความจริงก็คือการที่เราดำเนินชีวิตไปตาม "ปรติ" ปรกติในที่นี้หมายถึง ไม่ว่าจะเกิดอะไรความรู้สึก ความคิด ก็รู้ไป จะเพ่ง จะกด ก็รู้ จะหลงก็รู้เร็วๆ

...เหมือนว่ามันคือการไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไม๊คะ ไม่ได้ดัดแปลง ปรุงแต่งอะไร อยู่แบบปรติๆใช่ไม๊ค่ะ

เพิ่งรู้ค่ะว่าจิตมันดัดแปลงปรุงแต่งมาตลอดชีวิตเลย มันดัดเสียจนเป็นเรื่องธรรมดาของมันไป

จิตที่ปรกติดัดแปลงปรุงแต่ง กว่าจะรู้ถึงประโยคที่เขียนไปเมื่อกี้ ก็เล่นเอาเหนื่อยยากแสนเข็ญจริงๆค่ะ

ขอบคุณบทความดีดีค่ะ จะตามอ่านต่อไป


โดย: เป่าจิน วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:10:03:59 น.  

 
อยากถามว่าถ้่ามีคนกลุ่มหนึ่งมายุ่งกับเรื่องครอบครัวเรา โดยใช้ถ้อยคำเสียดสีประมาณว่าอีโง่ เชื่อผัว ไม่ยอมรับความจริง ระวังหมาคาบไปแดก หน้าด้าน ๆเข้าไว้ วันนี้ไปอบรมที่.........เห็นแต่คนอืี่นไม่เห็นแฟนเธอเลย แฟนกลับบ้านเร็วทุกวันเลยหรือ ฯลฯ ฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีกับคนพวกนี้ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร เพราาะเคยถามตรง ๆเขาตอบว่าไม่มีใครอยากใหัใครได้ดีหรอกและก็พูดแขวะ ชนิดไม่มีวีนเลิกราต่อไป อยากถามว่าใน กรณีนี้ เราควรทำเช่นไร แต่เรากับสามีเข้าใจกันดี และสามีก็เป็นคนที่รับผิดชอบครอบครัวดีมาตลอด เราแต่งงานมา 20ปี มีลูก 1คน ตอนนี้ลูกเรียนจบแล้วกำลังหางานทำ
แม้ว่าตอนแรก ๆที่ได้รับฟังมาเราจะทะเลาะกันตลอด แต่พอนาน ๆเข้าเรารู้สึกว่าไม่ไหวนอกบ้านก็ทุกข์กับคำคน ในบ้านก็ต้องมาคาดคั้น ทะเลาะกันกับคนของเราในขณะที่คนกลุ่มนั้นเขายิ่งสนุกและไม่หยุดการกระทำดังกล่าว และเมื่อเขารู้ว่าเราไม่พอใจเขาก็เที่ยวประกาศ ปาว ๆว่าเขาหวังดี ทำอย่างไรให้เขาเลิกพูดเสียที จะหนีก็ไม่พ้น เพราะเป็นคนร่วมงาน และคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้เป็นแม่ม่าย


โดย: คนตัวเล็ก IP: 124.121.82.170 วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:11:42:11 น.  

 
เจริญสติแบบนับหนึ่งใหม่ทุกวันค่ะ
ตอนนี้จิตใจเปลี่ยนไปจริงๆ
จนคนอื่นทักว่าหน้าตาผ่องใส
ขอบคุณค่ะ


โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:20:08:45 น.  

 
คุณเป่าจิน คุณจันทร์นภัสครับ

อนุโมทนาด้วยนะครับ ที่คุณเข้าใจแล้ว

จะยาก จะนานหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกครับ
เวลาตื่นขึ้นมาได้แล้ว เราจะรู้ว่าถึงต้องทำมาชั่วชีวิต เพื่อตื่นสักครั้งหนึ่ง มันก็คุ้มมากนะครับ


คุณคนตัวเล็ก
เรื่องแบบนี้ ถ้าเป็นแค่คำคน เราก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าจริงไม่จริง

แต่ฟังจากน้ำเสียงท่าทีของคนที่มาบอก ผมอยากให้คุณหนักแน่นหน่อย

สามีที่ดูแลรับผิดชอบครอบครัว เป็นคนดีได้ 20 ปี นี่หายากแล้วนะสมัยนี้
แล้วคุณจะไปเอาไฟนอกมาเข้าบ้านทำไม

ปากของชาวบ้าน เราห้ามเขาไม่ได้หรอกนะครับ แต่เรามีสติรู้ทันความคิดฟุ้งซ่านของเราเองน่ะพอได้อยู่

ผมไม่มีวิธีทำให้คนอื่นหยุดพูดได้ มีแต่วิธีที่ช่วยให้คุณมีสติ และหันกลับมามองคนในครอบครัว แบบกัลยาณมิตรมองกัน

ลองไปโหลดไฟล์เสียงหลวงพ่อปราโมทย์มาฟัง แล้วคอยรู้สึกตัวไปนะครับ ชีวิตจะเป็นสุขขึ้นๆ

ผมทำเป็นลิงค์ไม่ได้ ต้อง copy ไปใส่ใน address bar นะครับ

//www.wimutti.net/pramote/

หรือถ้าจะคลิกที่ลิงค์ชื่อ "วิมุตติ" ทางขวามือด้านบนๆก็ได้ครับ


โดย: aston27 วันที่: 7 มิถุนายน 2552 เวลา:17:25:34 น.  

 
จะบาปมั้ยคะถ้าเราคิดน้อยใจเสียใจพ่อแม่ คือเราเป็นลูกคนที่สามในหกคน ปกติแม่จะโทรหาลูกทุกคนยกเว้นเราที่ท่านไม่ค่อยโทร เวลาเราโทรหาท่านก็ไม่ค่อยรับสาย ช่วงนี้ท่านไม่รับเลยเป็นเดือนแล้ว ทั้งๆที่ไม่มีเรื่องอะไรทำให้ท่านโกรธเลย ก็เลยเสียใจไม่โทรไปหาอีก ไม่รู้จะบาปมั้ยคะ เสียใจมาก ไม่อยากคิดเรื่องนี้แต่ทุกครั้งที่ว่างก็จะคิดถึงตลอด เวลาที่รู้สึกตัวว่ากำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ก็จะหยุดคิด พอเผลอก็กลับไปคิดอีก จะไปหาก็ลำบากเพราะเราอยู่ต่างจังหวัด แต่พ่อแม่เค้าอยู่กรุงเทพ รวมถึงพี่น้องอีกห้าคนก็อยู่กรุงเทพกันหมด เลยรู้สึกเหมือนเราไม่มีใครเลย ปกติเราก็ไม่ใช่ลูกคนโปรดมาตั้งแต่เด็กแล้ว


โดย: ลูกคนกลาง IP: 125.27.95.12 วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:15:46:09 น.  

 
ขอบคุณนะคะ กำลังพยายามทำตามคำแนะนำอยู่ค่ะ


โดย: nidha IP: 125.27.95.12 วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:15:49:21 น.  

 
มีเพื่อน ๆ เค้าถามมาอีกต่อนึงน่ะค่ะ คุณ aston เค้าบอกว่าถ้าเรามอบร่างกาย(อาจารย์ใหญ่) ให้กับโรงพยาบาลแล้ว วิญญาณ เค้าจะเร่ร่อนหรือเปล่า จะได้ขึ้นสวรรค์ไม๊ แล้วคนบริจาคอวัยวะ เช่น ตา ไต เป็นต้น เกิดชาติหน้าอวัยวะต่าง ๆ เหล่านี้ของเราจะครบไม๊คะ จริง ๆ ตอบเค้าไปว่า เมื่อคนเราตายกาย กับ ใจ ก็แยกจากกัน ทำไมถึงจะต้องห่วงเรื่องว่าจะต้องไปไหน ถ้าทำดีมาก็ต้องไปในที่ดี ๆ จริงไม๊คะ ช่วยไขข้อข้องใจให้หน่อยนะค๊า....ขอบคุณค่ะ


โดย: asa IP: 202.129.59.2 วันที่: 9 มิถุนายน 2552 เวลา:15:27:21 น.  

 
ชีวิตกำลังมีทุกข์ค่ะ รู้เหตุแห่งทุกข์ แต่ยังทำใจตัดทุกข์ไม่ได้ค่ะ
แต่งงานกับสามีจะครบ 7 ปีแล้ว แต่ไม่มีความสุขค่ะ ทั้งกับตัวสามีเอง
และครอบครัวของสามี (ครอบครัวคนจีน)

สามีเป็นคนขี้หงุดหงิด ใจร้อน ความคิดเห็นไม่เคยตรงกันเลยแทบทุกเรื่องค่ะ
ไม่ว่าจะเรื่องชีวิต เรื่องเงิน เรื่องเลี้ยงลูก ทะเลาะกันแทบทุกวันก่อน
จะแต่งงาน แต่ทุกอย่างกำหนดไว้แล้วเลยคิดว่าสามีรักเรา ต่อไปคงปรับตัว
หากันได้เอง แต่ตั้งแต่แต่งงานมา มีทุกข์แทบทุกวันค่ะ ต้องคอยดูอารมณ์
ของสามีว่าวันนี้ ตอนนี้ อารมณ์ดีหรือไม่ดี แล้วเราค่อยปรับตัวเราเองเพราะ
ไม่อยากมีปัญหา พอหงุดหงิดใส่กัน เราก็จะเงียบ คิดว่าทนไปอีกหน่อยก็ชิน

ครอบครัวสามี เป็นครอบครัวจีน ธุรกิจในบ้านเป็นแบบกงสี อยู่แล้วทุกข์ค่ะ
ไม่มีวันหยุด จะไปไหนก็ไม่ค่อยได้ไป ต้องอยู่เฝ้าบ้านค้าขายให้ตลอด
แถมลูก ๆ ยังโดนแกล้งจากญาติผู้ใหญ่ และพูดกระทบกระเทียบเป็นประจำ

ทุกวันนี้มีทุกข์ อยู่แบบอดทนเพื่อลูก ๆ และแม่ของตัวเองค่ะ คิดว่าถ้าสามีมีผู้หญิงอีกคน
เมื่อไหร่ จะได้มีข้ออ้างเพื่อเลิกกันแน่ ๆ แต่เรื่องกลายเป็นว่าแฟนเก่าของเราได้โทรติดต่อกัน
อีกครั้ง พอรู้ว่าเรามีทุกข์ก็เลยยิ่งคุย ยิ่งติดต่อกันมากขึ้น ความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กัน
มันก็กลับมาอีก เลยกลายเป็นทุกข์เท่าทวีคูณเลยค่ะ (แฟนเก่ายังไม่แต่งงาน แต่มีแฟนอยู่)

อยากตัดสินใจเลิกกับสามีก็อยาก แต่เหตุผลไม่เพียงพอ จะไปบอกใคร ๆ ว่าเพราะทุกข์
ไม่มีความสุข หรือเป็นเพราะทนครอบครัวสามีไม่ไหว มันฟังไม่มีเหตุผล

อยากหยุดติดต่อกับแฟนเก่าก็อยาก แต่มันเป็นความสุขเล็ก ๆ ในชีวิตที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานาน
แล้วตลอดเวลาหลายปี (17 ปี) คุยแล้วสบายใจบ้าง ทุกข์บ้าง แต่ก็ยังดีที่ทำให้มีแรงใจใน
การใช้ชีวิตแต่ละวัน

ไม่ทราบจะทำยังไงดีค่ะ? อ่านหนังสือของคุณดังตฤณแล้วตั้งหลายเล่ม ในลานธรรมก็แวะ
เข้าไป แต่จัดการกับตัวเองไม่ได้เลยค่ะ รบกวนคุณ aston ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ


โดย: Mars IP: 125.24.157.135 วันที่: 11 มิถุนายน 2552 เวลา:17:04:13 น.  

 
คุณลูกคนกลางครับ

ผมเคยเขียนเรื่อง Wednesday Child ไว้เป็นบล็อคท้ายๆ ของหมวด "มุมมองของ aston27 part 1"

ลองไปหาอ่านดูนะครับ

ถ้าขี้เกียจหา ก็ copy อันนี้ไปใส่ในช่อง address แล้ว enter ก็ได้ครับ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aston27&month=28-03-2006&group=2&gblog=146

คุณasaครับ

ร่างกายคนเราเป็นของที่มาจากดิน เวลาตายก็กลับคืนให้โลกไป ไม่ใช่ของเราตั้งแต่แรก

ที่บอกว่ามาจากดิน บางคนอาจจะลืมไปว่า เราเกิดมาตัวนิดเดียว แต่เติบโตมาได้ ก็ด้วยการเอาอาหารใส่ปากเข้าไป

อาหารมาจากไหน ข้าวมาจากดิน ผัก ผลไม้ มาจากดิน น้ำ ก็มาจากดินนั่นแหละ คือฝนตกลงมา แล้วเราไปสูบน้ำมาใช้ดื่มกิน

กระทั่งกินสัตว์ สัตว์ก็ทานของที่ไล่เรียงไป ก็มาจากดินทั้งนั้น หมู ไก่ วัว ก็ทานอาหารที่มาจากดิน

ฉะนั้น ที่คุณอธิบายไป ก็ไม่ผิดความจริงครับ





โดย: aston27 วันที่: 12 มิถุนายน 2552 เวลา:8:02:22 น.  

 
คำถามของ คุณ mars
ผมยกไปตอบในบล็อกหมวดรวมแล้วนะครับ
ชื่อบล้อก "เหตุแห่งปัญหา เหตุแห่งทุกข์"

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aston27&month=12-06-2009&group=10&gblog=123



โดย: aston27 วันที่: 12 มิถุนายน 2552 เวลา:13:08:36 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณaston
ตามรู้ตามดูมาได้ซักระยะนึงแล้วค่ะ
ศึกษาแนวทางมาก็เยอะ อ่านปัญหาของแต่ละคนมาก็มาก
แต่ไม่นึกเลย พอมีตัวทุกข์มากระทบจิตใจแรงๆมันจะหวั่นไหวได้ขนาดนี้ ยิ่งเรื่องปัญหาความรัก...
ไม่คร่ำครวญค่ะ ไม่โศกเศร้าให้ใครต้องเห็น แม้แต่ตัวเอง แต่จิตตัวเราสิคะ ไม่เคยหยุดที่จะเห็นทุกข์ตัวนี้เลย เกิดดับเกิดดับ เป็นอย่างนี้วันละนับครั้งไม่ถ้วน รบกวนจิตใจมาก บางวันตามรู้ตามดูไปเรื่อยๆ ไม่ไปห้ามมัน ซักพักก็ดับ แล้วซักพักก็เกิดขึ้นใหม่ ขนาดนั่งเจิญสติก่อนเข้านอน จนรู้สึกนิ่งๆว่างๆแล้ว สบายใจเข้านอนปรากฎว่าหลับก็ยังไปปรุงแต่งเป็นความฝันได้นึก แล้วในฝันเราจะตามไปรู้ไปดูยังงัยล่ะคะ พอตื่นขึ้นมาก็เซ็งมาก เพราะกายหลับแต่จิตไม่เคยหลับเลย บางวันก็รู้สึกเพลีย จนบางครั้ง้ต้องแอบเพ่งบ้างเพื่อให้รู้สึกสบาย ได้พักบ้าง แต่การเพ่งก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่หนีปัญหา สุดท้ายตัวทุกข์ก็ยังเกิดขึ้นได้อีก เวรกรรมจริงๆค่ะ สับสนท้อแท้ ไม่รู้ว่าต้องตามรู้ตามดูไปอีกนานแค่ไหนมันถึงจะหายจากทุกข์ตัวนี้ เข้าใจค่ะว่าต้องตามรู้ตามดูไปเรื่อยๆ แต่...กิเลสก็ยังไม่หมดนิคะ มันอยากพ้นทุกข์ไวๆ ตอนนี้ก็เลยแอบเพ่งบ้าง สลับกับฟังธรรมะจากซีดี อ่านหนังสือ เหมือนหลบมันไปได้ชั่วครั้งชั่วคราว หวังว่าเวลาที่ผ่านไปมันคงจะช่วยด้วยอีกแรงนึงค่ะ


โดย: คนอมทุกข์ IP: 124.121.155.173 วันที่: 20 มิถุนายน 2552 เวลา:23:22:44 น.  

 
คุณ aston เคยบอกไว้ว่า ถ้าจะตัดใจ ไม่ควรแผ่เมตตา เพราะจะเป็นการน้อมใจไปผูกติดกับคนนั้น...
แล้วถ้าจะตัดใจต้องทำยังไงเหรอคะ


โดย: amp IP: 61.90.164.27 วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:38:22 น.  

 
คุณ amp ครับ

เหมือนๆผมจะเคยเขียนเรื่องนี้ไว้นะครับ แต่นึกไม่ออกว่าบล็อกไหน

ที่จำได้แม่นๆ คือลงใน Marie Claire ฉบับนึง

เดี๋ยวจะหามาให้นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:58:38 น.  

 
หาเจอแล้วครับ คุณ amp

อยู่ในบล็อกชื่อ คนขี้จำ คนขี้ลืม

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=aston27&date=19-12-2008&group=10&gblog=94


โดย: aston27 วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:48:42 น.  

 
ขอบคุณมากนะคะสำหรับคำตอบ
ปกติก็ติดตามอ่านงานเขียนของคุณ aston อยู่แล้วทั้งใน blog นี้ และในเวปแสงดาวส่องทาง... อ่านทีไรก็ได้ข้อคิดดีๆ ไปใช้ทุกที :-)... ขอบคุณอีกครั้งนะคะ


โดย: amp IP: 61.90.164.27 วันที่: 20 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:04:08 น.  

 
มีเรื่องรบกวนคุณแอสตั้นแนะนำค่ะ

จะทำอย่างไรกับความรู้สึกผูกพันกับคนคนหนึ่งแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว
ไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่คิดถึงเขา
ทำได้แค่เฝ้าดูเขาอยู่ห่างๆ ไม่สามารถที่จะพูดคุยติดต่อได้
ไม่สามารถ...แม้แต่จะแสดงความยินดีกับความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งของเขา

จิตหม่นสมำ่เสมอค่ะ


โดย: oTm IP: 58.8.251.22 วันที่: 20 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:59:22 น.  

 
คุณ oTm ครับ

"...ก็ยังดีกว่า..." นะครับ

แล้วก็อยู่กับปัจจุบันไป ยอมรับทุกข์ให้ได้
แล้วจะสบายขึ้น

วันไหนทุกข์มาก ก็คิดเสียว่า
ได้เฝ้าดูเขา ก็ยังดีกว่า ไม่รู้ข่าวเขาเลย

จิตหม่น รู้ว่าหม่นนะครับ ไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ
มันหม่นเอง หรือเราสั่งให้มันหม่น ดูไปนะครับ

มันหม่นตลอด 24 ชม. ไหม ดูไปอย่างนี้นะครับ
ดูว่ามันเป็นอย่างไร ดูว่ามันเปลี่ยนอย่างไร
ดูอย่างไม่มีส่วนได้เสีย ดูอย่างคนนอก

แล้วจะได้มีสติ มีปัญญาครับ


โดย: aston27 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:49:40 น.  

 
ขอบคุณที่ตอบค่ะ

จริงๆแล้วพยายามจะอยู่กับปัจจุบันตลอด
คิดแบบ "...ก็ยังดีกว่า..." มาตลอดด้วยเช่นกัน

แต่ความคิดถึงมันก้อยังนำทุกข์มามากเหลือเกิน
จิตหล่นฮวบ..เสียใจที่เห็นเขาเอาของที่เราตั้งใจให้ไปให้คนอื่นใช้

คุณแอสตั้นได้ดู "The Reader" หรือยัง..ชอบมากค่ะ แต่ร้องไห้ไม่หยุดเลย

การที่เรารักใครคนหนึ่งในชีวิตได้มากมายขนาดนี้..ก้อยังดีกว่าไม่มีใครให้รัก ใช่มั้ยคะ


โดย: oTm IP: 58.8.196.82 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:48:05 น.  

 
คุณ oTm

โดยส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับการมีความรักแบบที่ต้องแบก

ถ้าจะต้องแบกไว้ขนาดที่คุณเป็น ผมว่าไม่มีใครให้รักน่าจะดีกว่า

แต่ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ บางคนเขาก็มีคนให้รักและคิดถึง โดยไม่ได้ติดต่อพูดคุยเหมือนคุณ แต่เขาก็ไม่แบกทุกข์ไว้เหมือนคุณ เพราะเขาเข้าใจและยอมรับได้ในข้อจำกัดต่างๆ

ฉะนั้น รายหลังนี้ถ้าจะมีความรัก ก็ไม่แปลก

อย่ารักตัวเองมากนะครับ ดูอัตตาตัวเองไว้บ่อยๆ ทุกครั้งที่พูดว่า "เรารักเขามากมาย" ตอนนั้นแหละ ถ้าย้อนมามองจิตตัวเอง มันจะมี "เรา" ขึ้นมาจริงๆ

ที่คุณทุกข์อยู่ ไม่ใช่เพราะเขา หรือเพราะใคร แต่เพราะ "เรา" นี่แหละ ผลเคยเขียนไว้ในบล็อกแล้ว ลองไปอ่านดูก็แล้วกันนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:50:27 น.  

 
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเพื่อนรายการที่ฟังเพลง อยู่ท่านหนึ่งที่แนะนำให้มาที่ blog ของคุณเอ็ด หลังจากที่อ่านคำแนะนำที่คุณเอ็ดให้กับท่านอื่นๆ ที่มีปัญหา ซึ่งก็พอเป็นคำตอบให้ตัวเองได้บ้างไม่ได้บ้างแล้ว อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้นำไปปรับใช้บ้างแล้ว ถึงแม้ตัวเองจะไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็นิยมในคำสอนของศาสนาอยู่ไม่น้อย เพราะหลักธรรมคำสอนของทุกศาสนานั้นสอนให้คนเป็นคนดีอยู่แล้ว แต่หนทางของพุทธนั้น สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงค่ะ

จริงๆแล้วตัวเองมีปัญหาเรื่องของครอบครัวอยู่ซึ่งพออ่านของท่านอื่นแล้วก็พอเห็นได้ว่าจริงๆแล้วปัญหาของครอบครัวนั้นคล้ายๆกัน ผิดกันที่เงื่อนไขแต่ละคนมีอยู่เท่านั้น แต่อย่างที่คุณเอ็ดว่านั่นแหละคือ ทุกข์เกิดจากตัวเอง ความคาดหวังที่เราอยากให้อีกฝ่ายเป็นหรือมีแล้วถ้าเขาทำไม่ได้เราก็ทุกข์ อันนี้จริงเลยค่ะ

สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณคุณเอ็ดนะคะ ที่เป็นจุดศุนย์รวมคำแนะนำดีๆ ให้กับคนที่มีทุกข์มากมายค่ะ


โดย: Ora IP: 125.25.75.147 วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:27:59 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่แอสตัน

มีคำถามเรื่องการดูจิตค่ะ ตั้งแต่เข้าพรรษามา ก็นั่งสมาธิทุกเช้า เป็นการนั่งดูโมหะค่ะ เพราะเช้าๆมีแต่หลงไป ฟุ้งซ่านไป แต่ก็มีความอยากจะให้จิตสงบ และ ความพยายามทำให้สงบด้วย ก็ตามรู้ไป

ช่วงวันสองวันที่ผ่านมีอาการนิ่งผิดปรกติ คือรู้อารมณ์ก็รู้แบบนิ่งๆ จิตไม่กระเพื่อมและไม่ผ่องใส ทำให้เรารู้สึกว่าโลกมันเหมือนความฝัน (เหมือนเวลาพูดก็ได้ยินเสียงตัวเอง มันแปลกๆค่ะ)

มีกัลยาณมิตรท่านนึงทักว่า จิตมันหลบเข้าไปลึกเกินไป เหมือนไม่รับรู้เรื่องราวภายนอก ให้เอาจิตออกมากระทบอารมณ์บ้าง

เมื่อวานอึดอัดค่ะ เพราะมันนิ่งจนเรางง (ไม่เป็นกลางอย่างแรง) เช้านี้ดีขึ้นค่ะ ไม่นิ่งมาก

แบบนี้เราควรจะหยุดทำสมาธิไปก่อนดีไม๊ค่ะ หรือว่าทำต่อไปแต่ให้รู้อารมณ์ให้เร็วขึ้น

ขอบพระคุณค่ะ


โดย: เป่าจิน วันที่: 4 สิงหาคม 2552 เวลา:9:26:15 น.  

 
คุณเป่าจิน

ขออภัยนะครับ ผมตอบช้าไปหน่อย

ไม่ทราบว่าตอนนี้ยังติดอาการนิ่งๆอยู่ไหมครับ ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว ^^"

อาการของคุณ คล้ายๆกับคนที่นั่งสมาธิแล้วจิตมันหลบเข้าไปพัก เพราะอยากหนีจากความฟุ้งซ่าน

เพราะจิตมันเริ่มรู้ว่า เวลาอยู่ในสมาธิแล้วมีความสุข มันสงบดี อันนี้เป็นสมมติฐานอันหนึ่ง

อีกอันคือ คุณเพ่ง หรือจงใจรู้แรงเกินไป แรงสมถะมันไปกดข่มโมหะ จนจิตมันนิ่งๆ ไม่กระเพื่อม แต่ก็ไม่ผ่องใส เพราะมันไม่ได้นิ่งด้วยปัญญา

ถ้ายังเป็นอยู่ ให้งดนั่งสมาธิก่อน แล้วไปเดินจงกรมเอานะครับ หรือถ้าไม่มีที่เดิน ก็นั่งแต่ลืมตา แล้วเคลื่อนไหวมือ แล้วคอยรู้สึกตัวเอา

เห็นกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนรู้ คนดู

อนุโมทนาด้วยนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:9:11:07 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณaston
ครั้งนี้เป็นคำถามจากเพื่อนค่ะ

เพื่อนกับแฟนของเค้าเพิ่งคบกันไม่กี่เดือน
เป็นคนที่ฝักใฝ่ในธรรมทั้งคู่
แต่ก็ยังมีความต้องการทางธรรมชาติสูงทั้งคู่เช่นกัน
เพื่อนตั้งสัจจะกับตัวเองไว้ว่า จะประพฤติพรหมจรรย์ โดยไม่ทำให้น้ำ sperm เคลื่อนตลอดช่วงเข้าพรรษา
(แม้แต่การประทุษร้ายตนเอง) ไม่อย่างนั้นขอให้มีอันเป็นไป
เค้าพยายามอดทนกับแฟนมาตลอดแม้จะมีโอกาสอยู่กันตามลำพังหลายครั้ง
(แฟนเค้าก็ตั้งสัจจะไว้เหมือนกัน และเค้ากับแฟนไม่เคยมีความสัมพันธ์กัน)
ปรากฏว่าเมื่อ 2 วันก่อน เค้าอยู่ตามลำพังกับแฟนตามปกติ
เค้าเกิดถามแฟนว่าจะลองดูมั้ย
(ปกติแฟนเค้าจะยืนยันว่าไม่)
แต่ครั้งนี้แฟนเค้ากลับบอกว่าแล้วแต่เค้า
ตอนนั้นเค้านิ่งคิดไปแป๊บนึงว่าจะผิดหรือไม่
สุดท้ายกิเลสก็มีอำนาจเหนือความผิดชอบชั่วดี
เค้าบอกว่าตอนนั้นเค้าขาดสติ
ตามรู้ตามดูไม่ทันเลย
(ปกติตอนที่เจอแฟนช่วงแรกๆ จะตามรู้ตามดูกิเลสตลอด และสามารถข่มใจได้)
ตอนนี้เค้าเสียใจมากจนอยากจะตัด...ของตัวเองทิ้ง
เพราะปกติเค้าไม่เคยอดกลั้นอารมณ์ด้านนี้ได้เลย แต่เค้าทนมาได้ตั้ง 2 เดือนกว่า
เค้าคิดว่าอานิสงค์ของการประพฤติพรหมจรรย์ จะทำให้เค้าสามารถละกามราคะได้ ไม่ชาตินี้ ก็ชาติต่อๆไป
เลยขอถามคุณ astonว่า จะแนะนำเพื่อนอย่างไรดีคะ ให้เค้าคลายจากอกุศลจิตที่เป็นอยู่ได้ (เคยได้ยินจากหลวงพ่อปราโมทย์ว่า อกุศลที่ทำไปแล้วถ้าเราคิดซ้ำ จิตจะขึ้นวิถีเอาอกุศลอันนั้นใหม่)
และขออนุญาต copy คำตอบของคุณ aston ส่ง mail ไปให้เค้าน่ะค่ะ
เค้าไม่ได้ให้คำสัญญาหรือสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ค่ะ (บอกกับตัวเองและอากาศธาตุ ซึ่งอาจมีเทพเทวดาเป็นพยานก็ได้)
ตอนนี้เค้ากังวลใจมากว่าจะมีอันเป็นไปหรือเปล่า
เค้าตั้งใจว่าจะรักษาให้บริสุทธิ์ในวันพระเท่าที่จะทำได้
และเข้าพรรษาปีหน้าเค้าจะตั้งใจใหม่ ไม่แม้แต่จะโดนตัวแฟนเลย
ปัญหาคือกว่าจะถึงเข้าพรรษาปีหน้าก็อีกนาน และตอนนี้เค้าก็กลุ้มใจซ้ำๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นน่ะค่ะ
รบกวนแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
จันทร์นภัส


โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:13:30:29 น.  

 
คุณจันทร์นภัส ครับ

ต้องบอกเพื่อนว่า อะไรที่แล้วก็ต้องให้แล้วไปนะครับ
ยิ่งกลุ้มใจมาก จิตยิ่งเศร้าหมอง ยิ่งไปกันใหญ่

การตั้งสัจจะบารมี แบบนี้ มันควรจะเริ่มจากสิ่งที่เราไม่เคยทำ แต่พอทำได้ง่ายๆก่อน

เช่นจะเลิกกินน้ำอัดลม เลิกกินจุบจิบ เลิกช้อบปิ้งเกิน 1 ครั้งต่อเดือน หรือจะสวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน หรือเดินจงกรมวันละ 15 นาทีหลังตื่่นนอน

สัจจะบางอย่าง ถ้าทำได้ ก็ดีนะ บางอย่างมันดีแต่ไม่เหมาะกับเรา

อย่างคนจะหัดยกน้ำหนัก ไม่ใช่ว่าอยากยก 100 กิโล ก็ยกเลย ก็ตายเท่านั้นเอง

มันต้องเริ่มจาก 5 กิโล 10 กิโลไปก่อน เริ่มทีละน้อย แล้วค่อยๆเพิ่ม

กิเลสบางอย่าง มันยังอยู่เกินระดับของเรานะ อย่างพวกกามฉันทะ ความยินดีในรูปรส กลิ่นเสียง

คือถ้าละได้ เราก็เป็นพระอนาคามีเป็นอย่างน้อย กันล่ะครับ
แต่ในเมื่อเรายังไม่ใช่ การไปตั้งใจข่มกิเลสแบบนั้น มันก็คือการทำตัวเองให้เก็บกด

ผลก็คือพอมีรูรั่วนิดเดียว ก็ระเบิดตูม อย่างที่คุณเล่ามานั่นแหละ

จะถือศีล 8 ก็ถือสักเดือนละ 7 วันก็ดีถมแล้ว อย่าเพิ่งสุดโต่งรีบขึ้นต่อยกะกามตอนนี้เลย คนธรรมดาๆ เอาศีล 5 ให้มั่นคง ก็ประเสริฐแล้วนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:23:00:39 น.  

 
ขอบคุณมากนะคะ
ส่งคำตอบของคุณaston ไปให้เพื่อนแล้วค่ะ


โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:10:24:25 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณ aston
อ่านคำถามของคุณหาวพระพายแล้ว
คล้ายๆเรื่องของตัวเอง เลยมาขอรบกวนถาม(อีกแล้ว)นะคะ
ตอนนี้ดิฉันกังวลใจมาก
ดิฉันรู้จักผู้ชายคนนึงผ่านลานธรรมโดยบังเอิญเมื่อเดือนพ.ค. 52
เพิ่งคบกันเป็นแฟนได้ 2 เดือน
เค้าอายุ 46 แล้ว (มากกว่าดิฉันสิบกว่าปี) การศึกษาและฐานะดี
เคยมีแฟนหลายคน และไม่ success สักครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายหญิงไปคบกับแฟนคนเก่า
ล่าสุดเพิ่งเลิกกับภรรยา เพราะทะเลาะกันมานานและหนักหนาจนความรักติดลบ
เรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแล้ว ทุกครั้งเค้าจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน (โดยที่หลายครั้งดิฉันก็ไม่ได้พร้อมใจ แต่ไม่อยากขัดเค้า)
ดิฉันไม่ได้ปรารถนาเรื่องนี้มาก เพราะไม่เคยมีความสุขในเรื่องนี้สักครั้ง
แต่ที่ยอมเพราะอยากให้เค้ามีความสุข
ตอนนี้เค้าบอกว่าสักวันเค้าจะออกบวชตลอดชีวิต
ที่เคยบอกอยากมีลูก ตอนนี้ก็ไม่อยากมี
เค้าเร่งทำความเพียรเพราะไม่อยากเกิดอีก
เค้าบอกว่าที่คบกับดิฉันเพราะยังตัดกิเลสไม่ได้(ราคะ)
และอีกเหตุผลคือ เพราะดิฉันเป็นคนมีธรรมในใจ น่าจะยอมรับเรื่องที่วันนึงเค้าจะละทางโลกไปตลอดชีวิตได้
เค้าให้ดิฉันปฏิบัติธรรมไปด้วยกัน
ดิฉันเลยมีคิดน้อยใจบ้าง เพราะดิฉันไม่ได้อยากจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเค้าเร็วขนาดนี้
และไม่อยากจะมีทุกอาทิตย์ที่เจอกันแบบนี้ (กับแฟนคนก่อน คบกันมาหลายปีก็ยังไม่มีเรื่องนี้ได้)
ทั้งที่รู้ว่าควรจะอนุโมทนากับเค้า ถ้าเค้าบรรลุมรรคผลได้
เพราะถ้าทำได้ ดิฉันก็ไม่อยากเกิดอีกเช่นกัน
แต่ตอนนี้ดิฉันยังมีกิเลสอยู่เต็มไปหมด
แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามีรักก็ต้องเตรียมตัวทุกข์กับความเปลี่ยนแปลงและพลัดพรากในวันใดวันหนึ่ง
คุณ aston ช่วยจะแนะนำดิฉันหน่อยนะคะ
ดิฉันจะวางตัววางใจอย่างไรดี
ขอบคุณมากค่ะ
ป.ล.
1.พอเค้ารู้ว่าดิฉันคิดมากเรื่องนี้ ก็บอกว่าเค้าไม่น่าพูดก่อนเลย เพราะเป็นเรื่องของอนาคต
ตอนนี้ให้ดิฉันเลิกคิดมากเรื่องที่เค้าจะบวชไปเลย ยังไม่ต้องคิดเรื่องนี้ ถือว่าเค้าไม่ได้พูด
2.ที่ดิฉันถามเรื่องประพฤติพรหมจรรย์ครั้งก่อน ก็เป็นเรื่องของแฟนนั่นแหละค่ะ
เค้าไม่ได้กลุ้มใจเรื่องนั้นแล้วค่ะ เมื่อวานเค้าเงียบไปไม่โทรมาบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อน เค้าบอกว่าให้รู้ว่าที่เงียบไปเพราะกำลังลงลึกในทางธรรมอยู่ (อ่านหนังสือธรรมะ นั่งสมาธิ)
เค้านั่งสมาธิจนจิตรวมได้หลายครั้งแล้วค่ะ
หรือได้ยินเสียงในระยะใกล้ๆบ้านได้ (ห้องปิดเปิดแอร์)




โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 2 ตุลาคม 2552 เวลา:17:37:49 น.  

 
มีคำถามอยากถามคุณ aston เรื่องราวก็คงไม่พ้นเรื่องความรัก ที่อยู่คู่กับการเกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์สังคม นั่นแหละค่ะ

วันหนึ่งคิดถึงคำที่มักพูดกันว่า "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" แล้วรู้สึกว่า เออ! มันใช่จริง ๆ เพราะมนุษย์ต้องการความรัก อยู่คนเดียวทีไรดูจะต้อง " เหงา" ทุกที เฮ้อ!!!

ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ตกอยู่ในสภาวะลำบากเนื่องจากเจ้าความเหงาเป็นเหตุ เพราะต้องบอกว่าเติบโตมาเหมือนต้นพริกริมรั้ว ที่ถูกโยนเมล็ดทิ้งไว้ แล้วก็โตมาแบบแกน ๆ แต่ก็นับเป็นบุญแล้วที่ได้เกิดมามี อัตภาพเป็นมนุษย์ ตอนนี้ไม่รู้สึกโกรธเคือง หรือไม่เข้าใจเหมือนแต่ก่่อน

แต่ตอนนี้ (เล่าแบบย่อ) ด้วยความเหงาเลยไปสร้างปัญหาอันแก้ไม่ตก คือ ตอนนี้ตกอยู่ในสภาวะ Single Mom แต่ก็รักลูกอย่างสุดหัวใจ ด้วยความที่ไม่เข้าใจโลกเลย กลัวลูกจะขาด บวกกับความเหงา และต้องการตอบแทนความดี มีน้ำใจของเพื่อนคนหนึ่งซึ่งรู้จักกันมานาน และคอยให้ความช่วยเหลือเรามาตลอด ทุกครั้งที่มีปัญหา สามารถเอ่ยปากกับเขาได้เลย เขาจะยินดีให้ความช่วยเหลือทุกครั้ง ด้วยความสงสาร และความคิดที่ว่า "รักคนที่เขารักเราดีกว่า" จึงดึงเขาเข้ามาอยู่ในวังวนปัญหาของเราด้วย แล้วปัญหามันก็กลายเป็นหนักกว่าเก่า ด้วยความที่เราเอง เป็นคนค่อนข้างไม่อยู่กับที่ ไม่ใช่เจ้าชู้แบบที่ใคร ๆ เข้าใจนะคะ แต่ขี้เหงา อยากมีเพื่อน ขี้เบื่อน่ะค่ะ และพอมาอยู่ด้วยกันจริง ๆ ก็รู้ว่าเราไม่ได้รักเขาอย่างที่เราเข้าใจ นิสัยก็เข้ากันไม่ได้ ดิฉันค่อนข้างใจร้อน แต่เขาจะใจเย็นมา.....กกกก แล้วก็อีกหลาย ๆ เรื่องที่พูดกันอย่างหนึ่งเข้าใจกันไปอีกอย่างหนึ่ง ปัญหาตอนนี้ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไม่อยากให้เราสองคนตกอยู่ในสภาพนี้ เราไม่ได้จดทะเบียนสมรสหรืออะไรกันทั้งสิ้น แล้วเราก็เคยมีปากเสียงกันถึงขั้นแตกหัก (สำหรับดิฉัน) เราไม่มีความสัมพันธ์กันทั้งลักษณะนิตินัย และพฤตินัยว่าเป็นสามี ภรรยากัน แต่เขาก็คอยส่งเสียเลี้ยงดูดิฉันกับลูก ตลอด ซึ่งดิฉันได้อธิบายให้เขาฟังไปแล้วว่ามันไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นเหมือนก่อน และยอมรับกับเขาตรง ๆ ว่า คุยกับคนอื่นอยู่ ซึ่งตลอดเวลาก็รู้สึกผิด เพราะเขาก็ดีกับดิฉันมาก แต่ความรู้สึกมันเป็นเรื่องของ "บุญคุณ" ไม่ใช่ "ความรัก" ดิฉันไม่อยากทำบาปกับทั้งเขา และตัวเอง หรือใคร ๆ ตอนนี้หนักใจจริง ๆ ค่ะ ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรดี



โดย: The witch IP: 111.84.81.247 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:56:53 น.  

 
คุณจันทร์นภัส

ต้องขออภัยที่ตอบช้าหน่อยนะครับ
แต่ยอมรับว่า อ่านแล้วก็ยังงงๆ ว่าตกลงคุณจันทร์นภัสต้องการคำแนะนำอะไร

ที่ถามว่า จะวางตัววางใจอย่างไรดี ไม่ทราบว่าหมายถึงเรื่องไหน

ถ้าหมายถึงเรื่องการหลับนอน อันนั้นถ้าไม่ได้ผิดศีล 5 ไม่ทำให้ใครต้องเจ็บช้ำเดือดร้อน คุณก็สามารถตัดสินใจเองได้นะครับ

ถ้าไม่สบายใจจะมี ก็ไม่ต้องมี

การปลดเปลื้องเรื่องกามของผู้ชาย มีได้หลายวิธี โดยไม่ต้องรบกวนหรือเบียดเบียนใคร

ตอนนี้คุณรู้ตัวว่ามีกิเลสเต็มหมด ก็ดีแล้วครับ ถ้าจะให้แนะนำ ก็แนะนำให้คุณสนใจเรื่องของตัวเองให้มาก สนใจเรื่องของเขาให้น้อยลง

เอาเวลาเอาสติมารู้กาย รู้ใจตัวเอง อย่าส่งออกไปอยู่กับเรื่องคนอื่นมาก

เขาจะทำอะไร จะคิดยังไง เราจะห้ามจะไปคิดแทนเขา หรือตัดสินสิ่งที่เขาทำเขาคิดไปก็เท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร

กลับมารู้สึกตัวไว้ ว่าจิตเราทำ จิตเราคิด จิตเราปรุงกิเลส ใจเราชอบ ใจไม่ชอบ จะได้ประโยชน์มากกว่านะครับ



โดย: aston27 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:49:05 น.  

 
The witch

ถ้าไม่มีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา ทั้งพฤตินัย และนิตินัย ผมก็เดาว่าคุณกับเขาอยู่ในสถานะแฟนกัน

ถ้าคุณกังวลว่า คุณจะไม่มีอิสระในการคบหาเพื่อนฝูง อันนี้คุณก็ต้องถามตัวเองว่า เราจะเลือกมีชีวิตแบบไหน

คือถ้าคุณยังรับความช่วยเหลือจากเขา อันนี้ก็ต้องถามว่า คุณคิดอย่างไร ถึงให้เขาช่วย

คนปกติ ถ้าจะช่วยเหลือเรื่องเงินๆทองๆ ถ้าไม่ใช่ญาติพี่น้อง ก็ต้องเป็นเพื่อนสนิทกันมากๆ

คำถามคือ คุณสองคนเคยคุยกันหรือเปล่า ว่าเขาหวังอะไรจากการที่ส่งเสียคุณกับลูก

จุดสำคัญของเรื่อง อยู่ตรงไหน ผมก็ยังงงๆอยู่
ถ้าคุณกลัวจะเป็นคนเนรคุณ ก็มีทางเลือกสองทาง

หนึ่ง ก็ทำตัวเป็นคนรักที่ดี แทนคุณเขาไป
สอง ใช้ชีวิตของเรา เลี้ยงดูตัวเอง ไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากเขา ลดระดับความสัมพันธ์ เป็นเพื่อนกันธรรมดา

จริงๆ เรื่องแบบนี้ มันต้องรู้รายละเอียดกว่านี้เยอะๆนะครับ ไม่งั้นก็มองได้คร่าวๆ ขาวหรือดำ
ทั้งๆที่บางทีมันก็เทาๆอยู่



โดย: aston27 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:04:02 น.  

 
"เอาเวลาเอาสติมารู้กาย รู้ใจตัวเอง อย่าส่งออกไปอยู่กับเรื่องคนอื่นมาก

เขาจะทำอะไร จะคิดยังไง เราจะห้ามจะไปคิดแทนเขา หรือตัดสินสิ่งที่เขาทำเขาคิดไปก็เท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร

กลับมารู้สึกตัวไว้ ว่าจิตเราทำ จิตเราคิด จิตเราปรุงกิเลส ใจเราชอบ ใจไม่ชอบ จะได้ประโยชน์มากกว่านะครับ"

ขอบคุณค่ะ

วันนี้แวะเข้ามาดูคำถามตัวเอง กะว่าถ้าคุณ aston ยังไม่ตอบก็จะบอกว่าคงไม่รบกวนแล้ว
เพราะตอนนี้ดิฉันรู้แล้วว่าจะวางใจอย่างไรค่ะ
(ทั้งที่ก็รู้มานานแล้ว แต่ยังวางใจไม่ถูกซะที)

เห็นโทษของการเข้าไปยึดกับใคร กับอะไรก็ตาม ว่ามันทุกข์จริงๆ
ตอนนี้ใจ ok แล้วค่ะ อยู่ๆมันก็วางของมันเอง (แต่คงยังไม่ใช่การปล่อยวางจริงๆ)
จะสงบก็ไม่เชิง แต่ใจมันไม่ไปยึด ไม่ตะเกียกตะกายไปหาเรื่องทุกข์แล้วค่ะ
ที่สำคัญ 2 - 3 วันมานี้ รู้สึกตัวได้ถี่กว่าเดิมค่อนข้างเยอะ
(เมื่อก่อนตอนมีความสุข ก็ทิ้งการคอยรู้กายรู้ใจไปเลย)
ไม่รู้จะเป็นแบบนี้ได้อีกกี่วัน
คงมีดีๆเสื่อมๆนะคะ
แต่นึกถึงคำของหลวงพ่อปราโมทย์ที่ว่า

ชีวิตเป็นของชั่วคราว หมดแล้วหมดเลย
ชาติถัดไปจะได้เจอศาสนาพุทธหรือได้เป็นคนหรือเปล่ายังไม่แน่
คอยรู้สึก อย่าปล่อยให้กายใจตายไปวันหนึ่งๆ
ชีวิตเราสั้นลงๆทุกทีแล้ว
หลวงพ่อไม่เห็นว่ามีอะไรจำเป็นเท่าการมีสติรู้ลงในกายในใจนี้

สุขสันต์ในวันที่ยังมีลมหายใจให้เจริญสติค่ะ (แอบเลียนแบบ)

ป.ล.แวะมาอ่านบทความดีๆของคุณ aston ใน Blog นี้อยู่เรื่อยๆนะคะ ^_^





โดย: จันทร์นภัส IP: 61.47.11.66 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:50:47 น.  

 
ฝึกปฎิบัติ ตามคำสอนของหลวงพ่อ มานานพอสมควร แต่ไม่ก้าวหน้า
โกรธ ก็หลง เบื่อก็ไม่รู้ แต่ทีรู้บ่อยๆ คือ ว่า ตัวเองชอบหนีไปคิด เลยไม่รู้ว่าปฎิบัติถูกหรือเปล่า คือไม่ค่อยรู้สภาวะธรรมเท่าไหร แต่จะรู้ค่อนข้างบ่อยว่า จิตชอบหนีไปคิด โดยเฉพาะตอนตื่นนอน จะเห็นชัดมาก
รบกวนแนะนำหน่อยครับ ว่าทำไงถึงจะเห็นสภาวะธรรมบ่อยๆ ครับ และควรปฎิบัตือย่างไรครับ


โดย: ผู้ไม่รู้ IP: 124.120.100.87 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:14:59 น.  

 
ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงครับ


โดย: BB IP: 10.26.3.97, 202.28.66.26 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2553 เวลา:13:57:20 น.  

 
หวัดดีค่ะ

ไม่แน่ใจว่าเข้าถูกเวปหรือเปล่า แต่ไหนก็เข้ามาแล้ว ก็ขอรบกวนสอบถามหน่อยก็ละกัน

คือดิฉันพอจะมีเวลาว่าง อาทิตย์ละ 3 วันก็เลยอยากหางาน พิเศษทำ ถ้าเป็นงาน key ข้อมูลทางเนท หรืออะไรก็ได้ที่ สามารถทำที่บ้านได้น่ะค่ะ

คือดิฉันเห็นงาน หนึ่งบอกว่าเป็นงานคีย์ข้อมูลเหมือนที่ดิฉันอยากทำพอดี ก็เลยจะรบกวนสอบถามว่า เคยมีใครเคยทำงานนี้ไหม
ที่ เวป workingtoday.siam2web.com
และเป็นอย่างไรบ้าง คือส่วนใหญ่จะเป็นงานที่หลอกลวงเสียมากกว่า เลยไม่แน่ใจค่ะ
เลยอยากสอบถามเพื่อนๆ หรือน้องๆ ดูว่ามีใครเคยเห็นเวปนี้มั่งไหมน่ะค่ะ

รบกวนด้วยนะคะ เพราะว่าดิฉันอยากจะหางานทำจริงๆ ที่ว่าง อยู่ตามวันที่บอกเพราะว่าวันที่เหลือนั้น ต้องไปคอยดูแลแม่ที่สูงอายุมากแล้ว
ก็เลยไม่สามารถทำอะไรที่ประจำได้น่ะค่ะ
แต่ก็อยากมีรายได้บ้างจึงต้องดิ้นรนแต่ก็กลัวจะถูกหลอกเป็นเหยื่อของ พวกมิชฉาชีพ


หรือว่ามีใครพอจะมีงานอะไรที่สามารถให้ดิฉันนำกลับมาทำที่บ้านได้ ก็รบกวนช่วยแนะนำด้วยนะคะ ส่งมาที่ sina2553@yahoo.com จะขอบคุณมากเลยค่ะ

อ้อย


โดย: อ้อย/สะพานใหม่ IP: 61.90.32.236 วันที่: 28 เมษายน 2554 เวลา:13:52:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.