Group Blog
 
All blogs
 
คำถามของคุณกะทะทองคำ




พยายามตามดูจิตมาสักพักแล้วค่ะ มีทุกข์จากความรัก อยากหาย อยากลืมคนที่เค้าไม่รักกัน ฟังเทปของหลวงพ่อปราโมทย์ ก็มองเห็นลางๆนะคะว่าต้องทำอย่างไร พยายามตามดูตามรู้ซื่อๆ พยายามไม่ตีความ ไม่ปรุงแต่ง..

แต่วันนี้เจอบททดสอบ มีเรื่องต้องทำให้เสียใจจากเค้าคนนั้น เสียใจ ร้องไห้อย่างหนัก พยายามตามรู้ว่าตอนนี้ใจมันทุกข์ น้ำตาไหล ร้องไห้ ตามเรื่อยๆ จนหยุดร้องไห้ไปเอง พอหยุดร้องไห้ ก็พยายามตามดูจิตว่ารู้สึกยังไง หลังร้องไห้ จิตตึงๆ แต่ก็ไม่ทุกข์หนักเท่าตอนแรก พยายามค่ะ พยายามตามรู้ตามดูเรื่อยๆ พยายามแบบนี้มานานแล้ว...แต่จิตก็ยังไม่เห็นธรรมอยู่ดี แทนที่จะเห็นว่า "รัก" ทำให้เป็นทุกข์ และหยุดรักเค้าเสียที แต่กลับกลายเป็นว่า พอใจมันไม่ทุกข์แล้ว มันให้อภัยเค้า และยินยอมพร้อมใจรักเค้าต่อไป...

ไม่อยากเป็นอย่างนี้เลยค่ะ พยายามดูจิตมาเป็นปีๆแล้ว แต่พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า กลับรู้สึกว่าที่ตัวเองตั้งใจทำมานั้นไม่เป็นผลเลย...

อยากขอคำแนะนำจากคุณแอสตันค่ะว่า
- ดิฉันเดินมาถูกทางหรือยัง? ถ้าไม่ถูกต้องขอคำแนะนำด้วยค่ะ
- ดิฉันเห็นแค่ว่า ร้องไห้เดี๋ยวก็หยุด ทุกข์เดี๋ยวก็หาย สภาวะที่เป็นอยู่เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป..แต่สิ่งที่รู้มาไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่มาจากการคิด โดยมีผลมาจากการฟัง อ่านธรรมะหรือว่า เป็นเพราะจิตเรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆค่ะ
- บางครั้งดิฉันก็รู้สึกเบื่อกับความรักครั้งนี้เหลือเกิน ทุกข์ และเหนื่อยใจ แต่เมื่อใดที่คิดถึงความโรแมนติก ความรัก ครอบครัว ดิฉันก็จะคิดถึง จินตนาการถึงเค้าทุกครั้ง และถ้าดิฉันหยุดรักเค้าไม่ได้ หรือหลุดออกจาก รัก โลภ โกรธ หลงไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าดิฉันต้องรักเค้าต่อไป และท้ายที่สุด ดิฉันก็ต้องทุกข์จากรักที่ไม่สมหวังจากเค้าอีกครั้งสิคะ จะมีวิธีใดที่ช่วยมนุษย์ที่ยังหลงอยู่ในทุกข์แห่งรักได้ไหมคะ?

สุดท้ายนี้ ต้องขอโทษคุณแอสตันด้วยที่คำถามอาจจะทำให้งงๆ และขอบคุณล่วงหน้าถ้าจะมีเวลาตอบคำถามด้วยค่ะ

สุขสันต์วันสุดสัปดาห์ค่ะ

โดย: กะทะทองคำ IP: 83.152.235.149 วันที่: 27 กันยายน 2551 เวลา:5:03:56 น.


ถามว่าเดินมาถูกทางมั้ย ก็ถูกทางนะครับ แต่คุณไม่ยอมเดินน่ะสิ
วิธีเดินบนทางสายวิปัสสนา เขาให้เราคอย "ตามรู้" สถานเดียว

แต่คุณกะทะทองคำเล่นปฏิบัติด้วยความอยาก อยากหายทุกข์
คนเราอยากหายทุกข์ ก็เพราะเกลียดทุกข์ ตัวนี้เห็นไหมครับ

สงสัยจะไม่เห็น ^^" เพราะถ้าเห็นก็จะไม่อยากหายทุกข์หรอก
แล้วพออยากหายทุกข์ ก็เลยพยายาม ไอ้ที่พยายามอยู่มันมีเหตุนะครับ

จากประสบการณ์ของผม เวลาตัวเองภาวนาด้วยการ "พยายาม" ทีไร
ถ้าย้อนมองลงไปที่จิต เราจะเห็นความคาดหวังจากจะได้ผลอะไรสักอย่างเสมอ

ก็ที่พยายามอยู่ ก็เนื่องเพราะอยากได้ อยากเห็นธรรม
อยากให้จิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากหายทุกข์ อยากมีสุข
พอลงมือดูจิต ก็เลยทำด้วยความอยากมาตลอดสาย

พูดง่ายๆ กิเลสมันกุมบังเหียนตลอดเวลา โดยเราไม่รู้ตัวเลย
คิดว่าปฏิบัติอยู่ตลอด คิดว่าเดินอยู่ แต่จริงนอนกลิ้งเกลือกอยู่กับที่เท่านั้นเอง

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าพยายาม ให้รู้ทันความพยายามก่อนนะครับ
แล้วรู้สึกที่ความอยากที่เป็นแรงผลักดันให้พยายามนั้น

เรื่องความรัก ต้องไม่ลืมว่าความรักเป็นสิ่งที่จิตปรุงขึ้น
ความรักจึงเป็นอนัตตา คือไม่ได้เกิดหรือดับตามใบสั่งของเรา

มันไม่ได้มาเพราะเราสั่ง และมันก็จะไม่ไปเพราะเราสั่ง
หน้าที่ที่เราพึงมีต่อสภาวะอารมณ์ที่ปรากฏในจิตใจเรา มีอย่างเดียว
คือรู้มันไปอย่างที่มันเป็น

ลองเปลี่ยนจุดมุ่งหมายใหม่นะครับ
จากที่พยายามรู้ เพื่อให้จิตเป็นอย่างที่เราชอบ
จากที่พยายามรู้ เพื่อให้จิตเป็นอย่างที่เราอยากได้ อยากหายทุกข์
จากที่พยายามรู้ เพื่อให้เห็นธรรม

เป็นรู้ เพื่อรู้ ไม่ได้รู้เพื่ออะไรทั้งนั้น
แม้แต่สติ ปัญญา ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เรา "อยาก"

แต่ถ้ารู้ซื่อๆ รู้จิตใจอย่างที่มันเป็น ณ ปัจจุบัน ไม่อยาก ไม่หวังอะไร
อันนั้นแหละ สติ กับปัญญา จะมาเอง

ผมขอพูดเรื่องภาวนาอย่างเดียวนะครับ เรื่องอื่นมันเป็นปลายเหตุ
เราภาวนาได้ถูกต้อง จะเป็นการสร้างต้นเหตุใหม่ที่ดี ปลายเหตุ คือผลก็จะดีเอง

สิ่งทั้งหลายเกิดเพราะเหตุนะครับ ไม่ได้เกิดเพราะเราอยาก หรือไม่อยาก
สิ่งทั้งหลายดับไป ก็เพราะเหตุมันหมด ไม่ได้ดับ เพราะเราชอบ หรือไม่ชอบ

จิตเราจะยอมรับทุกข์ เห็นทุกข์ได้ เมื่อมันมีปัญญา
เหตุของปัญญา ก็คือการได้เห็นความจริงของกายและจิต บ่อยๆ

ว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง
สิ่งทั้งหลายมันมีทุกข์จนทนอยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้
และสิ่งทั้งหลาย ไม่ได้อยู่ในอำนาจสั่งการของเรา

ไม่ใช่ว่าดูได้สองสามครั้งแล้วจะเห็นธรรมได้
แต่ต้องอดทน ยอมรับสิ่งที่เกิด ที่เห็น ที่เป็น ด้วยความเป็นกลาง

เป็นกลาง คือทำใจได้ว่า เราจะรู้อย่างที่มันเป็น รู้แล้วมันจะดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้
รู้แล้ว มันจะเป็นสุขก็ได้ เป็นทุกข์ก็ได้ เฉยๆก็ได้ ช่างมัน

เพราะมันสุขก็สุขชั่วคราว มันทุกข์ ก็ทุกข์ชั่วคราว มันเฉยๆ ก็แค่ชั่วคราวอีก
แล้วเราทำไมจะต้องไปอะไรวุ่นวายอะไรกับมันนักหนา

เรายิ่งทำอะไรเกินไปกว่าการ "รู้" ก็ยิ่งลำบาก ยิ่งทุกข์หนักกว่าเดิม

นักเรียนวิปัสสนา ไม่ใช่จะไม่มีทุกข์นะครับ
เพียงแต่เราต่างจากคนทั่วไปตรงที่ เราเห็นว่ามีทุกข์ แต่ไม่มีคนทุกข์

เพราะรู้ทันว่า ทุกข์มี แต่เพราะมีสติ จิตจึงไม่แบกทุกข์นั้นไว้
เพราะรู้ เพราะเห็นได้มากขึ้นๆว่า มันมาได้เอง มันก็ไปได้เอง

แต่ที่อยู่นาน ก็เพราะเรายัง "พยายามทำ" อะไรสักอย่าง นั่นแหละ
แทนที่จะยอมรับมันซื่อๆ ง่ายๆ ให้มันเป็นไปอย่างที่มันเป็น

เพราะไม่มีอะไรเลยที่มา แล้วไม่ไป
ไม่มีอะไรที่เกิด แล้วไม่ดับ

รู้ด้วยใจยอมรับ เป็นกลาง เปิดกว้างกับสภาวะนะครับ
แล้วจะรู้ว่า ความสุข จากธรรมะ มันมีอยู่ต่อหน้าต่อตาเราตลอดเวลานี่เอง




Create Date : 07 ตุลาคม 2551
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 21:35:16 น. 11 comments
Counter : 769 Pageviews.

 

ขอให้พี่ปูเอาบล็อกนี้ใส่ไว้ใน
หนังสือเล่มใหม่ได้มั๊ย ?



โดย: myover วันที่: 8 ตุลาคม 2551 เวลา:9:11:50 น.  

 
สาธุค่ะพี่เอ๊ด -/\\-

ขอเอาใจช่วยด้วยคนนะคะคุณกะทะทองคำ
สำหรับการเดินทางบนเส้นทางสายนี้ :)


โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 58.8.222.106 วันที่: 8 ตุลาคม 2551 เวลา:22:08:57 น.  

 

อ่านตรงที่ "พยายามทำ" แล้วก็ยิ้ม
เพราะเวลามีทุกข์แล้วพยายามทำให้มันหายทุกข์นี่ เหมือนดิ้นไปโดนลวดหนามอีกรอบ


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 8 ตุลาคม 2551 เวลา:22:17:24 น.  

 
ขอให้คุณกะทะทองคำ สอบผ่านบททดสอบให้ได้นะค่ะ


โดย: Namfon IP: 58.8.187.128 วันที่: 9 ตุลาคม 2551 เวลา:7:46:45 น.  

 
ขอขอบคุณทุกความเห็นค่ะ โดยเฉพาะคุณแอสตัน ขอบพระคุณมากค่ะ ที่สละเวลาตอบคำถามให้กระจ่างแจ้งขึ้น เมื่อมาถูกทางแล้วก็จะเริ่มเดินทางจริงๆจังๆสักทีค่ะ

ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ


โดย: กะทะทองคำ IP: 88.123.134.34 วันที่: 12 ตุลาคม 2551 เวลา:18:08:01 น.  

 
ขอเป็นกำลังใจให้คุณกระทะทองคำ
ก้าวผ่านมันไปให้ได้นะคะ

มีคำคมดีดีจากหนังสือ cleo ที่ดิฉันจดมา
เลยเอามาฝากค่ะ

**อย่าทนคบต่อ ถ้าคิดว่ามันจะดีขึ้น
เพราะเมื่ออีกปีผ่านไปและมันไม่ดีขึ้น
เราก็จะยิ่งเจ็บใจ


โดย: ชมพู่มะเหมี่ยว วันที่: 23 ตุลาคม 2551 เวลา:15:14:52 น.  

 
ขอบคุณ...คุณกะทะทองคำ...เช่นกันนะคะ
ที่ถามคำถามนี้...เชื่อว่าหลายคนคนเคยรู้สึกแบบนี้...และขาดไม่ได้

ขอบคุณ aston27 มากคะ...
ที่ทำให้เรื่องเข้าใจยากๆหลายเรื่อง
เป็นเรื่องเข้าใจง่าย...และรู้ว่าจริงๆมันอยู่รอบตัวเราเสมอ...เพียงแต่เรา "ลืม"


โดย: Compass IP: 125.26.186.83 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:59:29 น.  

 
17-2-54,ดู"ศิลป์ฯTPBS",18ดูย้อนหลังอีก,ชอบ"พิทยากร"มากขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์ส่วนตัว:ทุกข์บางเรื่อง,พอเผลอหลับ,แว้บแรกที่ตื่นขึ้นทุกข์ยังไม่มี,แต่พอเริ่มทบทวนเรื่องราวก็ทุกข์ขึ้นมาอีก,สรุปถ้าไม่สร้างความผูกพันใดๆจิตใจมักไม่ทุกข์,แต่อาจมีทุกข์ทางกายเช่นเจ็บป่วย,ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมควรลองฝึกการทนทุกข์ทางกายให้เคยชินจะทำให้จิตแกร่ง,เพราะแม้อรหันต์ยังต้องทุกข์ทางกายอยู่,จิตหญิง(อิตถีภาวะ)น่าเห็นใจเพราะตัดพัวพันได้ยาก,ลองใช้กลเม็ดปล่อยวางแบบหลุดพ้นฉับพลัน(เซ็น)เช่นคนอื่นอกหักจะโดดตึก,ทำไมเรารู้สึกเฉยๆนั่นเพราะรู้สึกไม่ใช่ตัวเรา


โดย: สัพเพ IP: 125.26.69.30 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:1:48:52 น.  

 
ความรักเปรียบกับบ่อน้ำปากแคบและลึก,ถ้าเกิดขึ้นแบบธรรมชาติ(ไม่รู้ตัว)ก็เหมือนเดินเผลอตกบ่อ,แต่ถ้าแบบตกลงใจเองตามกระแสแวดล้อมในสังคมก็เหมือนกระโจนลงบ่อ,บ่อลึกลื่นมักขึ้นยากเว้นแต่มีมูลเก่าหรือเคยฝึกมากล้ามขาแข็งแกร่ง(กล้ามเนื้อจิตใจ);โดยมากมักแพ้พ่ายใช้เวลายาหัวใจ,จิตใจทรุดโทรม;ใช้วิธีหักดิบแบบเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ก็น่าสนใจ,จริงๆคนติดรักเหมือนคนติดเหล้าบุหรี่เหมือนมากๆคือไม่อยากเลิกเอง,ถ้าทำใจแข็งจะเลิกจริงๆก็เลิกได้,มันมีเคล็ดนิดหนึ่งตรงที่ว่า...ก่อนหน้านี้ไม่มีเขา,เราอยู่มาได้อย่างไร?ย้อนความรู้สึกทำใจฮึกเหิมขึ้นมาบอกตัวเองให้หนักแน่น(อาจทุบอกแบบคิงคอง)บอก"ขาดเขาเราไม่ตายนี่นา!","ก่อนหน้าตอนยังไม่เจอกันก็อยู่มาได้นี่!";สำคัญบางครั้งเป็นความรู้สึกด้านศักดิ์ศรีความรู้สึกด้อยอับอายหลอกหลอนตนเอง;ดังนั้นก่อนคิดจะรักต้องฝึกท่องบอกตัวเองว่า"ศักดิ์ศรีของเราอย่าไปผูก(ฝาก)ไว้กับใคร...เตรียมใจไว้ก่อนว่าถ้าจำเป็นก็พร้อมถอนสมอได้เสมอ",กรณีสังคมจับจ้องเพ่งมองก็ให้ฝึกวางใจและสายตาให้นิ่งๆแบบว่า"ช่างมันฉันไม่แคร์"เดี๋ยวสังคมก็หยุดมองไปเอง,ทางที่ดีอย่ามีรักดีที่สุด


โดย: สัพเพ IP: 182.52.182.179 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:3:16:27 น.  

 
ความรักเปรียบเหมือน"ไซดักปลา"หรือ"ทางวันเวย์"เข้าแล้วออกยาก,บางครั้งทำใจแข็งอยากตัดขาดแต่อีกฝ่ายก็ตามพัวพันขอคืนดีเป็นพักๆ,ถ้าแข็งขืนบอกไม่ยอมบางครั้งถึงสาดน้ำกรดหรือฆ่ากันตายก็มี,เพราะจริงๆมันมีเรื่องของศักดิ์ศรีอัตตาเข้ามาพันพัวคือถือเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ"ถ้าฉันไม่ได้ใครก็อย่าหวังจะได้",เคยได้ยินไหม?"ความรักเมื่อเราวิ่งหนีมันจะวิ่งตามแต่ถ้าเราวิ่งตามมันจะวิ่งหนี",ดังนั้น,ตรรกะง่ายๆอยากให้ความรักวิ่งตามก็แกล้งวิ่งหนี,มันเป็นธรรมชาติของคนเคยรัก,มันเป็นอัตตาที่รู้สึกทนไม่ได้ที่สูญเสียความสำคัญที่อีกฝ่ายแสดงปฏิกิริยาเมินเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาวทั้งๆที่เคยได้รับความรู้สึกเป็นคนสำคัญ,แต่ผู้หญิงมักจะsensitiveมากกว่าถ้ารู้ว่าผู้ชายมีคนอื่น,ดังนั้นการชิงรักหักสวาทจึงมักเกิดขิ้นระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง,แต่จริงๆแล้วการพยายามเอาชนะเรื่องความรักเป็นเรื่องรุ่มร้อนและวุ่นวายหลายสถาน,ไม่สนุกหรอก...


โดย: สัพเพ IP: 182.52.183.6 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:2:03:09 น.  

 
การกระโจนลงบ่อของความรักเทียบเท่ากับการนั่งสมาธิแบบเพ่งกสิณจินตนาการสร้างลูกแก้วดวงไฟขึ้นมาซึ่งเกิดขึ้นได้จริงสำหรับบางคน,อาจทำให้ย่อขยายได้ตามใจปรารถนาเหมือนดั่งเนรมิตสำหรับผู้ที่ฌานแก่กล้าแต่ไม่ใช่ทางหลุดพ้นโดยตรง:ที่บอกเหมือนการกระโจนลงบ่อก็เพียงจะบอกว่าเดิมทีจิตนั้นก็ว่างๆอยู่(บ่อมันอยู่ของมันดีๆเดินอยู่ห่างๆไม่กระโจนลงไปก็จะไม่มีปัญหา,นี่เราเลือกที่จะกระโจนลงไปเองก็เหมือนไปหยิบปัญหามาใส่ตัวด้วยตัวเองเพราะหลงผิดว่าจะเป็นความสุข)เหมือนกับคนที่อยู่ในวัยเด็กยังไม่รู้จักว่าความรักคืออะไรอย่างไร,จิตของเด็กก็ใสบริสุทธิ์ว่างดีอยู่สำหรับเรื่องทางเพศหรือความรัก,ชีวิตตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยรุ่นก็ไม่เคยมีทุกข์เพราะเรื่องความรัก,แต่อยู่ไม่อยู่พอเข้าวัยรุ่น,กระแสสังคมแวดล้อมก็นำไป,ฮอร์โมนร่างกายก็นำพา,ก็สร้างจินตนาการจากความไม่มีอะไร(ความว่างเปล่า,เฉยๆ)นั่นแหละให้กลายเป็นมีอะไรเหมือนสร้างลูกแก้วดวงไฟในกสิณสมาธินั่นแหละความหมายเดียวกัน,สัจจะคือไม่มี,ไม่มีรัก,ไม่มีทุกข์,แต่สร้างปั้นโดยจิตจากไม่มีจนมีเป็นเรื่องเป็นราว,เป็นตุเป็นตะ,ลำบากแบกขน,ถ้าสามารถนึกย้อนกลับได้ก็จะรู้ว่าตัวจริงมันไม่มี,เราสร้างเอง,เราปั้นเอง,ปั้นจากลม,ลมแห่งจินตนาการ;แต่การฝึกทำกสิณเพ่งดวงไฟก็นับว่ายังมีประโยชน์ในแง่สมาธิอยู่บ้าง,แต่การปั้นลมให้กลายเป็นตัวตนแห่งความรักแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย,รังแต่จะสร้างทุกข์โศกโรคภัยให้แก่ผู้ปั้นก่อขึ้นมานั่นเอง,เหมือนคนดูหนังโศกแล้วร้องไห้ตามหนังนั่นแหละ,จริงๆคือหนังเป็นเรื่องที่เขาแต่งเขาสร้างขึ้น,ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด;ควรทำใจให้สงบมีสติคิดให้แยบยลว่าเดิมทีมันไม่มีอะไร...เอวัง


โดย: สัพเพ IP: 125.26.69.177 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:5:08:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.