ทำบุญกับคนยากคนจนด้วยค้าบ บ

คนการศึกษาดีมีกะตังเดินถนน ครั้นเห็นคนตาบอดร้องเพลงขวาง ฉับพลันฉันจึงรีบเดินเลี่ยงทาง สังเกตพลางบอดจริงไหมใจระแวง
หญิงคนนั้นถ่มน้ำลายรดถนน สัปดนน่าเกลียดขยะแขยง ฉันนึกด่าค่อนในใจไปรุนแรง ถนนแพงมาเปื้อนป้าย - อายแทนมึง
หญิงขายลอตเตอรี่เดินสวน หันหลังทวนเห็นตาบอดหยอดหลายสลึง เล่นเอาคนศึกษาดีละอายจึง นั่งรำพึงเราช่างร้าย อายแทนกู
เคยแต่งเอาไว้นานมากแล้วล่ะค่ะ พอเลื่อนลงไปอ่านบลอคอันล่าง ๆ แล้วนึกขึ้นมาได้
เราเป็นโรคอย่างหนึ่งเวลาที่เห็นคนตาบอดถือไมค์ร้องเพลง ถ้าเดินเคาะไม้ต๊อก ๆ มาละก็ เราจะเริ่มเอียงคอแอบมองทันทีว่าบอดจริงหรือเปล่า ( ดูชั่วเนอะ ) เพราะมีประสบการณ์ไม่ดีกับขอทานมาเยอะ เวลาให้เงินทีต้องสำรวจละเอียดหน่อย
ทีนี้มีอยู่วันนึงเดินแถวเวิร์ลเทรด มาแล้วค่าหนึ่งคน เดินถือกระป๋องมา สมองและสายตาเริ่มพิจารณาอย่างถี่ถ้วนทันที
ทำไมร้องลิปซิงก์ เปิดเทปเฉย ๆ นี่หว่า ... หักหนึ่งคะแนน เป็นผู้หญิงอายุมากแล้ว ... เพิ่มหนึ่งคะแนน เอียงคอดูแล้ว น่าจะตาบอดจริง .... เพิ่มอีกสองคะแนน เสร็จสรรพเรียบร้อยจึงล้วงมือไปหยิบเงินกระเป๋ากางเกง พอจะดึงขึ้นมาก็ต้องชะงัก
ขอทานคนนั้นถ่มน้ำลายรดถนนเฉยเลย !
มือที่ล้วงเตรียมหยิบตังในกระเป๋าจึงหยุดทันที ในใจก็นึกด่าไปหลายคำ ทำไมทำอย่างงี้ อย่างงู้น ทันใดนั้นคนขายลอตเตอรี่เดินสวนมา
เธอหยิบเงินจากกระเป๋าเสื้อหย่อนใส่ขันทันที ...
ยังความตกใจ อึ้งตะลึง รวมไปถึงละอายใจ แก่ดิฉันเป็นอันมาก เนื่องจากทราบว่าขายลอตเตอรี่ก็ไม่ได้มีกำไรมากมาย คู่นึงได้เงินไม่กี่บาทเอง
หลังจากนั้นเหตุการณ์นั้นก็ติดตา ( เรียกง่าย ๆ ว่าหลอน ) ในหัวอยู่เรื่อยมา ว่าทำไมฉันกลายเป็นคนแบบนี้ ...
เหตุการณ์ครั้งนั้นเปลี่ยนพฤติกรรมฉันจากการสังเกตว่าบอดจริงเปล่า เป็น ใครมาหย่อนเงินให้ขอทานบ้าง ( ชั่วน้อยลงรึเปล่า ... ไม่เลยเนอะ )
ยิ่งเดินสีลมหรือเวิร์ลเทรดที่มีขอทานเยอะ ๆ จะเห็นได้ชัด คนที่ให้เงินส่วนใหญ่จะเป็นแม่ค้าขายหมูปิ้ง หรือแผงลอย นิสิต นักเรียนประมาณนี้ ส่วนสาวออฟฟิศ หนุ่มออฟฟิศไม่ให้กันเท่าไหร่หรอก จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจสถิติอันนี้อยู่ดี พยายามคิดเอาเองว่า พวกแม่ค้าคงเข้าใจความรู้สึกว่าไม่มีข้าวจะกินเป็นยังไง ส่วนคนรวยก็คงเห็นว่า อาชีพขอทานเป็นธุรกิจไปแล้ว ไม่ควรสนับสนุนคนงอมืองอเท้า
อะไรก็ตามตอนนี้ก็ยังคงสังเกตอย่างละเอียดขะมักเขม้น ประหนึ่งว่าทำทิสิสเรื่องนี้ไปแล้ว แล้วเพื่อน ๆ เปนไงมั่ง ให้ตังคนเหล่านี้กันมั่งมั้ยคะ เราจะมีเรทการให้แบบนี้
ต้องให้ - อากง อาม่าที่แก่มาก ๆ / ขายของถูกใจ
บางทีก็ให้ คนขายลูกอมหรืออะไรก็ตาม / คนที่อายุประมาณ 40 ปลาย ๆ / คนที่เล่นดนตรี
ไม่ให้ บางแห่งรู้สึกว่าเป็นขบวนการต่างด้าวเกิน มีดักต้นสะพาน ท้ายสะพานเป็นครอบครัวเลย / พวกผู้ชายที่มือเท้าครบ ( ไม่ทำงานละโว้ย ) / พวกพิการปลอม ที่เอามือไปซุกในเสื้อทำทีว่าแขนขาด ( วัยรุ่นผู้ชายนี่จะน่า...มาก ) / หรือเด็กที่ย้อมหัวสีทอง ( มีตังย้อมหัว ทำไมไม่มีตังกินข้าว )
Create Date : 27 พฤษภาคม 2549 | | |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2549 18:13:17 น. |
Counter : 893 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บทเรียนที่ต้องแลกด้วยเลือด

หนึ่งในความฝันล้านเจ็ดของอันปังแนนคนนี้คือการได้อยู่คอนโดคนเดียว ตั้งแต่เรียนมหาลัยแล้ว รู้สึกว่าการอยู่คอนโดมันช่างเท่อะไรอย่างนี้ ได้มีอิสระ รับผิดชอบชีวิตตัวเองเต็มที่ กลับกี่โมงก็ได้ กินอะไรก็ได้ จนแล้วจนรอดทำงานแล้วก็ยังต้องอาศัยบ้านอาม่าอยู่ ...ด้วยเหตุผลมากมาย (= =") ฉะนั้นการซื้อคอนโดและได้ย้ายมาอยู่คนเดียวจึงเป็นความหวังลอย ๆ อยู่อย่างงั้น
เมื่อวานเหมือนกรรมจะตามสนองแบบรวดเร็วทันใจ ที่ไปนึกด่าน้องพิงกี้ ในละครคดีเด็ดเจ็ดสีว่าช่างกะแดะสำออย แหมแม่แค่โดนแก้วบาดเท้าเลือดไหลเท่าเนี้ย ถึงกะล้มลงไป ร้องไห้ เรียกให้พระเอกแถเข้ามาอุ้มด้วยความเป็นห่วงซะงั้น (จริง ๆ แล้วอิจฉาที่โดนชาคริตกอดต่างหาก ทำไปได้ ... )
เมื่อวานขณะที่ดูสองสเน่หา (เอ๊ะ ทำไมชั้นดูแต่ละครน้ำเน่าหลังข่าววะเนี่ย) จะเดินไปหยิบของตาก็ดันมองแต่ทีวี ทำให้ทิศทางเฉ พัดลมอยู่ของมันดี ๆ เดินไปเตะป๊าปซะงั้น ก็ไม่ได้ฉุกคิดอะไรยังคงเดินต่อไป จนกระทั่งรู้สึกว่า ทำไมนิ้วโป้งมันแฉะ ๆ เล็บหลวมๆ นะ พอก้มลงไปมองเท่านั้นแหล่ะ ถึงกะมานั่งหน้าซีดกลางบ้าน เห็นนิ้วเละ ๆ เลือดแดงข้น ๆ ขุ่นคลั่ก หยดแหม่ะ ๆ เป็นท่อประปาแตกเปื้อนมือ และเล็บที่หักเข้ามาเกือบครึ่ง ยิ่งจะเป็นลม อารมณ์นั้นทำอะไรไม่ถูกแล้วจ้า สุดท้ายก็ต้องเรียกน้าที่กำลังหลับคาทีวี ด้วยเสียงสั่นคลอแผ่วเบาน่าสงสารมั่กมาก ก ก "อ๋อยย ย อาอี๊~ ช่วย ยล่วยย ย ฮืออ อ (TT-TT )" สุดท้ายน้าเลยต้องไปเอาชุดปฐมพยาบาลมาทำแผลให้ นั่งสาดแอลกอฮอลล์ไปหัวเราะไป (ในความเบ้อะของหลาน) แต่ฉันก็ยังรู้สึกซึ้งในพระคุณอยู่ดี
คิดว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ตอนอยู่คนเดียวจะทำยังไงดี อาจจะช๊อคไม่รู้จะทำอะไรจนกะจะเดินไปนอนเลยตื่นมาแผลจะได้หายก็ได้ (ตอนนั้นคิดอย่างงั้นจริง ๆ นะเออ มันเอ๋อคิดไรไม่ออก ) ฉันคิดว่าตัวเองคงไม่เข้มแข็งพอจะได้อยู่คนเดียวได้
เรื่องนี้สอนฉันสองอย่าง ... อย่างแรกคือไม่ควรมองดูโทรทัศน์เวลาเดินไปไหนมาไหน ... อย่างที่สองคือฉันเริ่มเข้าใจว่าทำไมเราถึงจำเป็นต้องอยู่ร่วมกันกับคนอื่น
"หนูคงจะอยู่บ้านอาม่าอีกนานละค่า~"
Create Date : 26 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 26 มกราคม 2549 19:12:41 น. |
Counter : 1198 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
กรุงเทพเมืองแห่งแฟชั่นของประเทศชิน และผ้าซิ่นของประเทศลาว

ด้วยความที่ดิฉันอยากเป็นผู้หญิงสวยใสทันเหตุการณ์ข่าวสารบ้านเมืองอยู่ในทีเหมือนคนอื่นเค้าบ้าง จึงคว้าหนังสือมติชนของพ่อมานั่งอ่าน มาสะดุดข่าวอยู่บทความหนึ่งที่น่าสนใจ ว่าด้วยเรื่องห้างสรรพสินค้าที่เปิดตัว ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันจนจำโฉมหน้าเดิมไม่ได้ ทั้งสยามพารากอน ที่เปิดตัวขึ้นมาสะกดสายตาทุกมุมเมือง (สะกดจริง ๆ รถนิ่งแม่งไม่ขยับเลย ) สยามเซ็นเตอร์ เซนทรัลเวิรลด์ ลามไปถึงเซนทรัลชิดลม ที่ทุ่มเงินหลายร้อยล้าน ปรับโฉมเพื่อการแข่งขัน นัยว่าถ้าเดิน skywalk ตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าชิดลมไปถึงสถานีสยาม จะพบกับแหล่งช๊อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ต่างฝ่ายต่างโพรโมทห้างตัวเองว่าจะนำแต่ของแบรนด์เนม นู้น นี้ จากเมืองนอกมาเปิดกัน ...ก็ว่ากันไป ประเทศไหนไม่มี ประเทศชั้นเนี่ยแหล่ะมีทุกอย่าง เสื้อผ้า กระเป๋ามีให้เลือกสรรทุกคอลเลคชั่น ทุกยี่ห้อ
" ตอบสนองนโยบายท่านทักษิณาวัตรที่ต้องการให้กรุงเทพมหานคร เป็นศูนย์กลางแฟชั่นแห่งเอเชียอย่างแท้จริง "
พออ่านมาถึงประโยคนี้ชั้นต้องอุทานออกมาดัง ๆ ด้วยความแปลกใจ ชั้นคิดมาตลอดว่าความหมายของเมืองแห่งแฟชั่น คือ การผลักดันดีไซเนอร์ไทยให้ก้าวไกล การโพรโมทแบรนด์เสื้อผ้าไทยให้ไฮโซ เทียบเท่าแบรนด์ดัง ๆ อย่างกุ๊ชชี่ พราด้าอะไรทำนองนี้
ความหมายของของศูนย์กลางแฟชั่นคือ ที่รวมร้านขายของจากแบรนด์ดัง ๆจากทั่วโลกเองเรอะ มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อคนไทยนักท่องเที่ยวมาซื้อของจากที่นี่ เม็ดเงินก็ไหลไปเข้ากระเป๋า พวกห้องเสื้อฝรั่งอยู่ดี
ฉันอาจจะโง่ไม่เข้าใจวิสัยทัศน์ของท่านผู้นำยิ่งใหญ่เกรียงไกรท่านนั้นก็ได้ ช่วยชี้ทางให้ฉันเข้าใจถูกหน่อยเถอะ
ฉันนึกไปถึงปีก่อนที่ฉันได้ไปเที่ยวประเทศลาว ฟังไกด์ที่นั่นพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจว่า ประเทศเค้าถึงจะจน แต่เค้าไม่เคยกู้เงินจากต่างประเทศ ประชากรของเลยเค้าไม่มีหนี้ต่อหัว ที่นี่รัฐบาลยังส่งเสริมให้ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ( หรือผ้าถุงอะไรซักอย่างเนี่ยแหล่ะ )เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม หะแรกฉันนึกว่าทำไมช่างกีดกันสิทธิมนุษยชนอะไรอย่างนี้ บังคับให้คนนุ่งผ้าถุง ไร้ซึ่งอิสระเสรี ผู้หญิงลาวคงอดเปิดคลีโอ อดตามแฟชั่นช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร
แต่พอฉันได้เดินเล่นในตลาดของลาว เห็นทั้งเด็กผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิง นุ่งผ้าที่ทอแฮนด์เมดอย่างละเอียดปราณีตสวยงาม โดยเฉพาะบรรดานักเรียนนี่ถูกใจมาก เพราะจะหน้าใส้ ใส ใส่เสื้อสีขาวแต่นุ่งผ้าซิ่นสีน้ำเงิน สะพายกระติก ใส่รองเท้าผ้าใบไปรร. ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนมานะมานีสมัยเด็ก ความคิดฉันก็เริ่มเปลี่ยนไป
ฉันมาคิดได้ว่าไม่ใช่กีดกันแต่เรียกว่ามองการณ์ไกลมากกว่า ผู้หญิงทอผ้ากันเอง ใส่กันเอง นอกจากจะสวยและอนุรักษ์ลายผ้าลาวแล้ว เงินมันก็หมุนอยู่ในประเทศเค้า (ประชากรจน ๆ) ไม่ไหลออกข้างนอก (นายทุนต่างชาติรวย ๆ) ส่งเสริมกันเองลาวทำ ลาวใช้ ลาวเจริญ คนทอผ้าก็ถือเป็นธุรกิจส่วนตัว ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร แถมยังดูเป็นตัวของตัวเอง มีเทรนด์ของตัวเองดี ไม่ต้องขึ้นอยู่กับตะวันตกหรือญี่ปุ่น จะบอกว่าฤดูไหนต้องแต่งหน้า แต่งตัวแบบนี้ จะว่าไปมันก็คือกลไกลการตลาดให้เราเป็นทาสทางความคิดแบบหนึ่งนั่นแหล่ะ
ฉันแน่ใจว่าฉันรู้ แบบไหนเป็นแบบที่อินเทรนด์ เหมาะกับคนรสนิยมเก๋ไก๋วิไล แต่ฉันชักไม่แน่ใจซะแล้ว ว่าแบบไหนเป็นวิธีที่ทำให้ประเทศเจริญ และพัฒนาแบบยั่งยืนมากกว่ากัน
ps ผ้าเค้าสวยจริง ๆนะ ซื้อมาผืนหนึ่งกะว่าทำเป็นผ้าซิ่น แต่จนป่านนี้ยังไม่กล้าใส่ขึ้นบีทีเอสเลย
Create Date : 20 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 21 มกราคม 2549 9:05:01 น. |
Counter : 1441 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วิทยานิพนธ์ว่าด้วยศาสตร์แห่งการซื้อของขวัญ

ก่อนอื่นก็ต้องสวัสดีปีใหม่นะคะ ท่านผู้มีอุปการะทั้งหลาย เมื่อวานไป Count Down ที่เซนทรัลเวิร์ลดมา นับเป็นประสบการณ์ที่น่าตระการตาเป็นอย่างยิ่ง แต่คงมีคนเล่ากันเยอะละ ข้ามไปก่อนละกัน
เรามาพูดเรื่องทฤษฏีการซื้อของขวัญกันดีกว่า ในฐานะที่เดี๊ยนเป็นผู้ที่คร่ำหวอดกับการซื้อของขวัญมานับสิบปี ขอฟันธงว่า การซื้อของขวัญนั้นเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่ซับซ้อนยากแท้หยั่งถึง ประหนึ่งว่าควรบรรจุเป็นวิชาภาคบังคับตอนมัธยม หรือเป็นวิชาบังคับเลือกตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังได้ ช่วงเวลาแห่งการเลือกซื้อของขวัญเป็นเวลาแห่งการช่วงชิงไหวพริบ ใช้สงครามจิตวิทยา การเดาใจ แก่งแย่งช่วงชิง ยิ่งช่วงเวลาพีคแห่งปี - ปีใหม่ นี่ถึงเกิดอาการเครียดจิตตกกันเลยทีเดียว แถมซื้อเสร็จยังต้องไม่นั่งคิดต่อว่า ผู้รับจะพอใจมั้ย จะโกรธกันรึเปล่า อย่ากระนั้นเลย อันปังแนนขอเสนอ ...
How To หลักการซื้อของขวัญแบบสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ ไม่มีอ้างอิงทฤษฏี หรือมีการทดลองใด ๆ ใช้ประสบการณ์ล้วน ๆ ฉะนั้นผิดพลาดประการใด โปรดอภัยด้วย
1. กรณีของขวัญจับฉลาก : การจำเพาะเจาะจงกลุ่มจะทำให้เราซื้อของง่ายและตรงหลักเป้าหมายมากขึ้น - เช่นว่าการจับฉลากเฉพาะเพื่อนหญิงในห้องเรียนหรือเพื่อนในภาควิชาเดียวกันนั้น ของที่ได้จะจำเพาะเจาะจง และมีประโยชน์กับผู้ใช้ มา ก กว่าการที่... จับฉลากกันทั้งบริษัท หรือเพื่อนต่างคณะ ยิ่งถ้ากลุ่มคนที่จับฉลาก ต่างเพศ วัย และความสนใจแล้ว ของขวัญอาจจะลงเอยที่ของเบสิค เช่น แก้วน้ำ หมอน นาฬิกา กรอบรูป
ยังไง Safe เอาไว้ก่อนเป็นดี ... เกิดคุณเป็นฝ่ายอาร์ตแล้วซื้อสีน้ำวินเซอครบชุด คนจับได้ดันเป็นโปรแกรมเมอร์ ... แล้วเค้าจะเอาของคุณไปทำดาบธนูอะไรหล่ะวะคะ
2. กรณีซื้อของขวัญให้ผู้รับ : - ถ้าคนรับเป็นผู้หญิงจะชอบของอะไรกระจุ๊กกระจิ๊ก น่ารัก ประมาณว่าใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แต่มีคุณค่าทางจิตใจไรทำนองนั้น แต่ถ้าเป็นผู้ชาย จะชอบของที่ใช้งานได้จริง .... อันนี้จากประสบการณ์ตัวเองนะ - ไม่ควรโหลจนเกินไป และเป็นของที่รู้สึกว่า เจาะจงซื้อเพื่อเค้าโดยเฉพาะ ม่ายช่ายว่าได้รับแล้วคนรับรู้สึกว่ายัยอังปังแนน หล่อนต้องไปแอบเหมาโหลมาจากสำเพ็งแน่ ๆ  3. ถ้าคนที่คุณให้ของขวัญ ไม่ได้มีมินิคูเปอร์ขับ และยังต้องนั่งรถเบนซ์ 2 ประตู 20 หน้าต่างอยู่ ขอแนะนำให้ซื้อของขวัญชิ้นเล็ก ๆ น้ำหนักเบา คมนาคมสะดวกจะดีกว่านะคะ
4. ให้ซื้อของขวัญล่วงหน้าช่วงพีค ( เช่น 27 - 28 ธ.ค. ) เพราะช่วงเวลานั้นคนจะเยอะมั่กมาก ก ทำให้หงุดหงิด คิวห่อของขวัญยาว และสินค้าจะเยินหมดแล้วเพราะผ่านมือลูบคลำมาอย่างโชกโชน
5. ถ้าเป็นคนรับก็ให้คาดหวังไว้ต่ำหน่อย ๆ ถือคติว่าเค้าอุตส่าห์ซื้อมาให้ จะเป็นอะไรก็ถือว่ามีคุณค่าทางจิตใจแล้ว มิฉะนั้นอาจจะเกิดอาการเซรงเล็กน้อย และเป็นชนวนให้เกิดอาการทะเลาะกันทีหลังได้
เท่านี้คุณก็จะได้ของขวัญที่เปรี้ยวเก๋ไก๋ไฮโซแล้ว ตอนนี้ยังนึกได้แค่นี้ เดี๋ยวนึกออกต่อแล้วจะมาเขียนอีกเรื่อยๆ ช่วยกันนึกด้วยนะ ขอให้มีความสุขกับการเลือกซื้อของขวัญค่ะ
Create Date : 01 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 2 มกราคม 2549 1:46:44 น. |
Counter : 871 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|