ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ 2 – เมืองแห่งทะเลทราย

2 – เมืองแห่งทะเลทราย

ยามนี้ขอจงฟัง เรื่องของความปวดร้าว
ในด้าวแดนต้องสาป เรื่องของบาปเศร้าแสน

ในเมืองเรเลนทัสซึ่งบัดนี้จบสิ้นด้วยแค้น
ดาบคมนับหมื่นแสนทิ่มแทงด้วยโลภโทสัน

จอมเวทช่วยรักษาแดนโดยอำนาจเทพไท้
องค์เทพแห่งภัยผอง โปรดมล้างศัตรูโดยพลัน

เพื่อตอบแทนเครื่องสังเวยด้วยความรุ่งเรืองอนันต์
เพื่อสงครามอันต้องคำสาปสุดสิ้นด้วยชัย

เรเลนทัสเป็นเมืองในอดีตทะเลทราย...

เมืองนี้คงมิอาจถือกำเนิดขึ้นได้หากปราศจากสงคราม มหาสงครามใหญ่ขับไล่ผู้คนจากมาตุภูมิ บีบคั้นเชลยที่แตกฉานซ่านเซ็นพลัดถิ่นให้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน พักพิงโอเอซิสเล็กๆ กลางทะเลทรายต่างที่อาศัย ผู้คนมากมายหวังว่าพวกเขาจะสร้างบ้านเมืองอันอุดมสมบูรณ์จากสถานที่แห่งนี้ได้ กระนั้นก็ได้แต่ดำรงชีพอย่างแร้นแค้นด้วยการล่าสัตว์และเก็บขายหินกับแร่มีค่า เมล็ดพันธุ์ใดๆ ก็ตามที่พวกเขานำติดตัวหรือซื้อหามาดูเหมือนจะไม่อาจงอกงามได้เลยท่ามกลางผืนทราย

ผู้คนล้วนเชื่อเช่นนั้นและเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เพื่อวันข้างหน้าที่มิรู้ว่าจะมาถึงเมื่อใด ยกเว้นเพียงผู้เดียว

เด็กสาวที่มีนามว่าราพลังก้า...

ราพลังก้าเฝ้าถนอมเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง
ในที่ที่มีเพียงเม็ดทรายมากมาย
ครั้งหนึ่งมีเด็กสาวนามราพลังก้า
ซึ่งเห็นเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่งงอกงามจากผืนทราย
นางปรารถนาจะเลี้ยงดูเมล็ดพืชนั้น
ให้งอกงามเป็นต้นไม้ใหญ่
นางเชื่อมั่นในเมล็ดน้อยๆ นั้น และมอบทั้งความรักกับน้ำให้แก่มัน


เท้าใหญ่เหยียบลงบดบี้กล้าไม้สีเขียวอ่อนที่กำลังแตกใบกลางผืนทราย ทิ้งเด็กสาวผู้มองให้จ้องตาค้าง ใบเลี้ยงสีเขียวอ่อนและลำต้นบอบบางสีขาวที่นางเฝ้าทะนุถนอมจนได้เห็นเป็นครั้งแรกกลับแหลกเหลวชอกช้ำ นางรู้สึกราวกับมันกำลังกรีดร้องอย่างเจ็บปวดและสิ้นหวังพอๆ กับใจปรารถนาของนาง

ใจปรารถนาอันเกิดจากความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในฝันนั้นนางล้วงเข้าไปในถุงผ้าสีขาวปักลวดลายด้วยไหมทองซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ติดตัวนางมาแต่จำความได้ และหยิบเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่งออกมา นางฝังเมล็ดพืชนั้นลงใต้ผืนทราย และหลั่งน้ำตารินรดมัน ฉับพลัน เมล็ดนั้นก็งอกเงย แตกใบเป็นสีเขียวอันงดงามที่สุดที่นางเคยเห็น มันยังคงเติบโตต่อไปจนมีลำต้นห่อหุ้มด้วยเปลือกหนาสีน้ำตาล แตกกิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ยิ่งกว่าหลังคากระโจมใดๆ ที่นางเคยเห็นในแดนทะเลทราย ก่อนจะออกผลสีแดงสุกฉ่ำ น่ากินกว่าผลไม้แห้งใดๆ ที่ชาวเรเลนทัสต้องซื้อหาจากแดนไกลด้วยราคาแสนแพง และนำพาฝนชื่นฉ่ำที่นางเคยได้ยินเพียงในคำเล่าให้โปรยปรายลงมา

นางหวังอยากให้ทุกคนได้ลิ้มรสผลไม้ที่ดูน่ากินที่สุดนั้น แต่ความพยายามครั้งแรกของนางกลับถูกดับลงกลางคัน ด้วยเท้าของหนึ่งในคนที่นางปรารถนาจะให้ได้ผลไม้นั้นไป

“เลิกฝันกลางวันเถอะ ราพลังก้า เราปลูกอะไรในทะเลทรายนี้ไม่ได้หรอก ฝืนไปก็มีแต่จะเสียน้ำที่มีค่าและเสียใจตัวเจ้าเองเปล่าๆ” ชายคนนั้นยังคงพูด “มีคนจะอดน้ำตายอยู่แล้ว ยังจะเอาน้ำมาทำเรื่องอย่างนี้อีก”

“ก็เพราะมีคนจะอดน้ำตายน่ะสิ ข้าถึงอยากปลูกต้นไม้...เพราะหากสำเร็จฝนจะตกลงมาให้ทุกๆ คนไม่ต้องทนหิวน้ำต่อไป” ราพลังก้าให้เหตุผล แต่ผู้ฟังกลับโคลงศีรษะ

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหนเลย”

“ข้า...ข้าฝันว่าเมล็ดพืชของข้างอกเป็นต้นไม้ใหญ่ได้จริงๆ นะ! เป็นต้นไม้ใหญ่ที่ออกผลน่ากินด้วย! ถ้าพวกท่านให้ข้าเลี้ยงมันต่อไป...ข้าต้องทำได้แน่ๆ!”

“เจ้าอาจเลี้ยงให้มันแตกใบอ่อนได้ แต่จะให้โตเป็นต้นไม้ใหญ่น่ะหรือ เจ้าคิดว่าต้นไม้งอกรากลงพื้นทรายได้อย่างไรกัน ไม่นานมันก็จะขาดน้ำตาย มิเช่นนั้นก็ตายเพราะขาดดิน เมล็ดพืชจะงอกได้ก็เฉพาะในพื้นดิน...ในครรภ์ของพระแม่ธรณีเท่านั้น”

“แต่ในฝันของข้า...”

“มันก็แค่ฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น เลิกทำเรื่องไร้ประโยชน์อย่างนี้เสียเถอะ”

ชายที่รับดูแลนางรวมกับเด็กกำพร้าคนอื่นๆ ในหมู่บ้านหลังสิ้นท่านยายผู้อารีเดินจากไป ทิ้งเด็กสาวให้หลั่งน้ำตารดซากของกล้าไม้ที่บอบช้ำเกินเยียวยาเพียงลำพัง

ผู้คนล้วนทำร้ายนาง และทำลายต้นกล้าของนางหลายต่อหลายครั้ง
พวกเขาบอกต่อนางว่า...นั่นเป็นความพยายามที่ไร้ค่า
ทว่า...นางยังคงอยู่เคียงข้างเมล็ดพืชเพื่อปกป้องมันเสมอ
นางเชื่อมั่นในต้นกล้านั้น และมอบทั้งความรักกับน้ำให้แก่มัน
ทว่า...นางไม่มีพละกำลังเพียงพอ


“อีกแล้วหรือเด็กคนนี้!”

“ดื้อด้านจริงๆ เชียว”

“ก็คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี่น้า...”

“ปีนี้ขาดน้ำตายไปตั้งสามคนแล้วยังกล้าทำเรื่องอย่างนี้อีก”

ราพลังก้าก้มหน้าลงท่ามกลางวงล้อมของชาวหมู่บ้านคนอื่นๆ นางไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาจึงได้โมโหโกรธานัก ก็นางเพียงเจียดน้ำดื่มที่ตนได้รับปันส่วนมาให้แก่เมล็ดพืชของนางทีละเล็กทีละน้อยเท่านั้นเอง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเด็กชายที่ขอตามมาดูถาดใส่ทรายที่นางใช้ปลูกเมล็ดพืชซ่อนไว้จึงได้บอกต่อพ่อแม่ของเขา ทั้งๆ ที่นางขอให้เขาสัญญาไว้แล้วว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ นางไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดฉุดกระชากลากตัวนางมายังหน้ากระโจมของหัวหน้าหมู่บ้าน

“ราพลังก้า เจ้ากำลังทำสิ่งที่ผิดต่อกฎของพวกเรามาก รู้ไหม” เสียงเคร่งเครียดของเจ้าของสถานที่เอ่ย

“ข้าไม่ทราบว่าข้าทำผิดอะไร ข้าเพียงแต่ทำตามความฝันของข้าเท่านั้นเองนี่เจ้าคะ”

“ความฝันของเจ้าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ราพลังก้า เราไม่มีดินและน้ำพอจะปลูกต้นไม้ใดๆ ได้หรอก พวกเรารู้ว่าเจ้าอยากให้เรเลนทัสมีต้นไม้เขียวขจี แต่สิ่งที่เจ้ากำลังทำก็มีเพียงผลาญน้ำสะอาดของพวกเราไปอย่างไร้ค่าเท่านั้น”

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าไม่ได้ใช้น้ำสิ้นเปลืองใดๆ เลยนะเจ้าคะ ข้าก็เพียง...แบ่งน้ำสะอาดที่ข้าได้ปันส่วนมาในแต่ละวันมารดมันเท่านั้นเอง แล้วน้ำนั่นก็เป็นน้ำที่เหลือจากที่ข้าดื่มเพียงพอในแต่ละวันด้วย”

“แต่ถ้าเจ้าไม่นำน้ำที่เหลือไปรดต้นไม้ เจ้าก็จะใช้น้ำปันส่วนของในแต่ละวันน้อยลงตามไปด้วย แล้วน้ำส่วนนั้นก็อาจต่อชีวิตคนอื่นๆ ที่ใกล้จะขาดน้ำตายได้ หรือว่าไม่จริง...”

“แต่ว่า...” ราพลังก้ากำลังจะแย้งว่าถึงอย่างไรน้ำที่รดต้นไม้ไปก็ยังน้อยนิดเหลือเกิน ทว่าชายผู้มากวัยกว่าดูเหมือนจะไม่รับฟัง

“ราพลังก้า ส่งถุงเมล็ดพืชมาให้ข้า”

ผู้ฟังเบิกตาโพลง

“ไม่ได้...ไม่ได้เจ้าค่ะ ถุงผ้านี้เป็นสิ่งเดียวที่ติดตัวข้ามาแต่กำเนิด! เป็นของดูต่างหน้าเพียงอย่างเดียวของพ่อแม่ที่ข้าไม่เคยรู้จักนะเจ้าคะ!”

“ราพลังก้า เจ้าต้องเลือก หากเจ้าเลือกที่จะเลิกล้มความพยายามอันไร้ค่านั้น แล้วส่งถุงผ้ามาให้ข้าเก็บไว้แทนคำสัญญา พวกเราก็จะถือว่าเจ้าเป็นสมาชิกของพวกเราเหมือนเดิม แต่หากเจ้ายังดึงดันจะปลูกพืชต่อไป เจ้าก็จะไม่มีวันได้รับการปันส่วนน้ำอีก”

“...อะไรนะ!” เด็กสาวอุทานด้วยความตะลึงงัน

“จนกว่าเจ้าจะยอมละทิฐิของเจ้าเสียที เรเลนทัสไม่มีวันเขียวขจีได้เหมือนบ้านเกิดของพวกเรา เจ้าไม่รู้หรือ”

“แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นไปไม่ได้!” ราพลังก้าโต้ตอบ “ในเมื่อยังไม่ได้ลองปลูกต้นไม้ดูเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไร!”

ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเจ็บปวดเพียงแวบ ก่อนจะกลับเป็นเรียบเฉยดังเดิม

“ก็เพราะเคยลองแล้วน่ะสิถึงได้รู้ ข้าอายุมากกว่าเด็กอย่างเจ้ากี่เท่า ข้าเห็นใครๆ ที่เคยทำไร่นาก่อนหน้าหนีมาเรเลนทัสลองปลูกพืชมากมายหลายชนิดมาแล้ว ทุกครั้งจบลงด้วยความล้มเหลวทั้งนั้น แล้วเด็กที่ไม่รู้อะไรอย่างเจ้าจะไปทำได้อย่างไร”

หัวหน้าหมู่บ้านสะบัดกาย เดินกลับเข้าไปในกระโจม ปล่อยให้ชาวบ้านคนอื่นๆ ดึงตัวนางออกมากลางผืนทราย แล้วทิ้งนางให้ซบร่างอ่อนระโหยอยู่กลางแสงแดดจ้าตรงนั้น

นางตั้งคำถาม “เหตุใด...พวกเขาถึงได้อยากลืมเลือนเรื่องนี้เหลือเกินนะ”
...ไยผู้คนจึงได้สูญเสียความหวังไปเช่นนี้...



Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 16:45:56 น. 1 comments
Counter : 358 Pageviews.

 
หน้าไปเที่ยวนะ


โดย: นานา IP: 119.42.88.197 วันที่: 7 กันยายน 2553 เวลา:10:45:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.