วันที่ 2 เที่ยวไปใน Luzern และชมเมืองมรดกโลกที่ Bern ยามเช้าในเมือง München ค่อนข้างเสียงดังพอสมควร ฉันได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยจ๊อกแจ้กตั้งแต่เกือบๆ หกโมงเช้า จนฉันไม่สามารถทนนอนต่อไปได้อีก และเนื่องจากวันนี้เราได้วางโปรแกรมไว้ว่า เราจะออกจากโรงแรมตั้งแต่ก่อนแปดโมง เพื่อจะได้ไปถึงเมือง Luzern ก่อนเที่ยง ดังนั้นฉันจึงลุกขึ้นจัดการเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เสร็จเรียบร้อยเป็นคนแรก ก่อนที่จะไปปลุกคนอื่นๆ หลังจากที่ทุกคนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยกันภายในเวลาไม่นานนัก พวกเราก็พร้อมจะออกเดินทางสู่ Luzern โดยเวลาที่ใช้เดินทางก็ประมาณ 4 ชั่วโมง (ดูในเวป เค้ากำหนดเวลาคร่าวๆ มาให้) เส้นทางการเดินทางก็คือ ออกจากเมือง München แล้วก็ขึ้น Autobahn สาย A96 ไปจนถึงเมือง Bregrenz ที่ตั้งอยู่ด้านตะวันออกสุดของทะเลสาบ Bodensee จากนั้นก็เปลี่ยนไปขึ้น Autobahn สาย A13 ในสวิส แล่นไปเรื่อยๆ จนถึง Luzern นั่นแหละ คำเตือน สำหรับการขับรถบน Autobahn ในสวิสนั้นจะต้องซื้อตั๋วที่เรียกว่า Jahresvignette ซึ่งก็คล้ายๆ กับค่าทางด่วนในบ้านเรานั่นแหละ แต่ของในสวิสนั้น เค้าคิดเป็นรายปี ปีละ 40 ฟรังก์สวิส หรือตกประมาณ 27 ยูโร ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในสวิสแค่ 2 วัน 3 เดือน หรือว่า 6 เดือน เราก็ต้องเสียตั้ง 27 ยูโร เพื่อเป็นค่า Autobahn นั่นแหละ ซึ่งสำหรับพวกเราแล้ว มันไม่คุ้มเลย ที่จะต้องจ่ายเงินตั้ง 27 ยูโร เพื่อขับรถในสวิสเพียงแค่ 2 วัน ตั๋วนี้แต่ก่อนไม่ได้มีใช้กันหรอก เพิ่งมาเริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1985 หรือ 20 ปีที่แล้วนี่เอง ด้วยความที่เราเพลิดเพลินกับการนั่งชมวิว คลอเสียงเพลงมากเกินไปหน่อย ทำให้เราลืมแวะซื้อไอ้เจ้าตั๋วนี้จากปั๊มน้ำมันบน Autobahn จนจะเข้าเขตสวิสอยู่แล้ว เราก็ยังไม่มี Jahresvignette เลย เราจึงต้องมุ่งหน้าลงจาก Autobahn ก่อนเพื่อซื้อตั๋วจากปั๊มน้ำมันที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วค่อยหาทางกลับขึ้นมาบน Autobahn ใหม่ เส้นทางที่จะกลับขึ้นมาบน Autobahn อีกครั้งนั้น ต้องผ่านถนนสายเล็กๆ ของประเทศออสเตรียด้วย ด้วยความที่ไม่อยากเสียเวลาฉันก็เลยต้องตั้งใจมองป้ายบอกทางที่ติดตั้งอยู่เป็นระยะๆ แต่เผอิ๊ญญญญ เผอิญ สายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายบอกราคาน้ำมันของปั๊มน้ำมันข้างทางแห่งหนึ่งพอดี ทั้งๆ ที่รู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่า น้ำมันในออสเตรียนั้นถูกกว่าในเยอรมัน แต่ก็ยังอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เพราะว่าราคาน้ำมันดีเซลที่นี่แค่ 99 เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบกับราคาในเยอรมันแล้ว ถูกกว่าเยอะทีเดียว (ราคาดีเซลในเยอรมันประมาณ 1.16 ยูโร) ฉันก็เลยพูดกับพี่ห่งว่า "เดี๋ยวปั๊มหน้าแวะเลยนะพี่" แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่เห็นมีปั๊มน้ำมันผ่านเข้ามาในสายตาเลยแฮะ เนี่ยแหละน้า เค้าถึงบอกว่า อะไรที่อยาก มักจะไม่ได้ แต่ถ้าทำลืมๆ ไปซะบ้าง เด๋วมันก็ผ่านเข้ามาเอง :-((( เฮ้อ ในที่สุด ก็ขึ้น Autobahn จนได้ อดเติมน้ำมันในออสเตรียเลย หลังจากการเดินทาง 3 ชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดพวกเราก็เกือบจะมาถึงจุดหมายปลายทางกันแล้ว เส้นทางที่จะเข้าสู่เมือง Luzern ก็มีหลายเส้นทางด้วยกัน แต่พวกเราเลือกที่จะแล่นเลียบทะเลสาบ Vierwaldstätte โดยเมือง Luzern จะตั้งอยู่ริมทางด้วยตะวันตกสุดของทะเลสาบนี้ เมื่อเข้าสู่ตัวเมือง Luzern ก็เริ่มจะมีรถติดบ้านเล็กน้อย ระหว่างที่รถติดฉันกับพี่ณี ก็ช่วยกันดูแผนที่ว่าเราจะไปจอดรถที่ไหนดีที่ใกล้ที่เที่ยวที่สุด จะได้ไม่ต้องเดินไกล หลังจากที่ดูกันแล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่าจอดที่บานโฮฟ (สถานีรถไฟ, Bahnhof) นั่นแหละดีที่สุด การตัดสินใจที่จะจอดรถที่สถานีรถไฟก็ค่อนข้างสะดวกสบายพอสมควร ไม่ต้องไปขับรถวนไปวนมาหาที่จอดให้เสียเวลาเที่ยว แต่ก็ต้องยอมเสียเงินซักเล็กน้อย (ซึ่งจริงๆก็แพงมากเลยล่ะ เมื่อคิดกลับมาเป็นเงินไทย) เป็นค่าจอดรถ ที่จอดรถในสถานีรถไฟก็แทบจะเหมือนกันทุกที่ ก็คือก่อนจะเข้าไปจอดรถก็ต้องกดปุ่มเพื่อรับบัตรก่อน จากนั้นที่กั้นก็จะเปิดให้เราขับรถเข้าไปจอดได้ ในบัตรที่เรารับมานั้นก็จะมีเวลาบอกเอาไว้ว่า เราเข้ามาจอดตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วหลังจากที่เที่ยวเสร็จเรียบร้อย ก็ต้องเอาบัตรนี้ไปเสียบเพื่อดูว่าเราจอดนานเท่าไหร่ คิดเป็นกี่ยูโร ค่อยจ่ายเงิน แล้วค่อยรับบัตรคืน เพื่อไปเสียบเปิดประตูตอนขับรถออก กลับมาที่เมือง Luzern กันต่อดีกว่า หลังจากที่เราจอดรถเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินมาที่ Tourist information ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะตั้งอยู่ใกล้ๆ บริเวณสถานีรถไฟนั่นแหละ เพื่อสอบถามข้อมูล และก็ขอแผนที่เมือง เมื่อเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมาหาอาหารกลางวัน เติมพลังก่อนที่จะเที่ยวต่อไป เนี่ยแหละ ที่เค้าบอกว่ากองทัพเดินด้วยท้อง จุดแรกที่พวกเราจะเริ่มเที่ยวกัน ก็คงเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมือง Luzern เลยแหละ นั่นคือ Chapel Bridge สะพานนี้สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 14 เพื่อใช้เป็นป้อมปราการ ตัวสะพานทอดข้ามแม่น้ำรอยย์ (Reuss) ตัวสะพานเป็นสะพานไม้ที่มีหลังคาคลุมตลอด ส่วนทางด้านนอกของสะพานมีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับหลายสีสัน ดูแล้วตัดกับสีไม้ของสะพาน สวยงามทีเดียว ด้านในของสะพานบริเวณหลังคาหน้าจั่วก็จะมีภาพเขียนของศิลปินหลายๆ คนมาประดับไว้ สะพานนี้ถูกบูรณะซ่อมแซมใหม่มามากกว่า 10 ครั้ง เนื่องจากเกิดไฟไหม้และภัยพิบัติ และเคยปิดไปเพื่อซ่อมแซมครั้งจากเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1993 และเปิดอีกครั้งในปี 1994 หลังจากที่เราเดินข้ามสะพานมา จุดมุ่งหมายต่อไปของเราก็คือ อนุสาวรีย์สิงโตหิน เส้นทางที่จะนำเราไปสู่สิงโตหินนั้น ก็ผ่านถนนชอบปิ้งสายสำคัญในเมือง Luzern เลยล่ะ พวกเราก็เลยแวะเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ไปเรื่อยๆ ทำให้เสียเวลาไปพอสมควร แต่อย่างไรก็ตาม เราก็มาถึงจนได้ รูปปั้นอนุสาวรีย์หินแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ เพื่อระลึกถึงทหารสวิส ซึ่งทำงานเป็นทหารรักษาพระองค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งทหารสวิสนั้นมีชื่อเสียงในด้านความกล้าหาญ องอาจ ซื่อสัตย์ และจงรักภักดี แม้กระทั่งทหารที่เฝ้าหน้าพระราชวังวาติกันก็ยังต้องเป็นทหารสวิส (ไม่รู้ว่าใช่เหตุผลของความซื่อสัตย์ กล้าหาญรึเปล่า แต่ทหารที่วาติกันก็เป็นทหารสวิสจริงๆ นะ) เสร็จจากเที่ยวในเมือง Luzern พวกเราก็ค่อยๆ เดิน เรียกได้ว่า เดินกินลม ชมวิว ย้อนกลับเส้นทางเดิมไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะไปเอารถที่สถานีรถไฟ หลังจากที่เราเอาบัตรเสียบเข้าเครื่องไปแล้ว ปรากฏว่า เราต้องเสียค่าจอดถึงประมาณ 6 ยูโรกว่าๆ จุดหมายปลายทางต่อไปก็คือ เมือง Kussnacht ที่อยู่ห่างไปจากเมือง Luzern เพียงแค่ไม่กี่กิโลเท่านั้น ระหว่างที่รถแล่นไปนั้น ฉันและพี่ณีก็ชื่นชมกับธรรมชาติสองข้างทาง ที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา ทุ่งหญ้า และทะเลสาบ Vierwaldstätte น่าสงสารพี่ห่งอยู่ไม่น้อย ที่ต้องทำหน้าที่ขับรถ เลยไม่ค่อยได้ชมธรรมชาติซักเท่าไหร่ น่าเสียดายที่วันนี้แดดไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เวลาที่แสงแดดส่องลงมากระทบผิวน้ำในทะเลสาบ คงจะทำให้เกิดแสงสะท้อนระยิบระยับ ดูสวยงามมากขึ้นอีกหลายเท่า เกือบห้าโมงกว่าแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าสู่เมือง Bern ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสวิส ขับรถแค่ชั่วโมงเดียวจาก Luzern ก็มาถึง Bern แล้ว สิ่งแรกที่เราต้องทำหลังจากมาถึง Bern ก็คือ การหาที่พักที่เราจองเอาไว้ การหาที่พักในเมืองนี้ก็ไม่ยากเท่าไหร่ เพราะว่าเราเตรียมตัวพิมพ์แผนที่ของที่พักมาจากในเวบไซด์นั่นเอง ...Click here to continue reading... เรื่องราวน่าอ่าน รูปก็สวยมากค่ะ
โดย: parachute วันที่: 17 เมษายน 2549 เวลา:18:23:18 น.
โดย: แตนต่อย วันที่: 9 มิถุนายน 2549 เวลา:21:33:19 น.
สวย และน่าอ่านมากครับ
โดย: wicsir IP: 211.24.238.2 วันที่: 30 พฤษภาคม 2551 เวลา:3:41:21 น.
|
Yai Kaew
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]
Group Blog
All Blog | |||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |