|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
Public-Private Partnership: PPP
จากเงื่อนไขขีดจำกัดด้านงบประมาณ และการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศ (มติคณะกรรมการหนี้สาธารณะตั้งกรอบการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี) การดำเนินโครงการเมกะโปรเจ็คต์ จึงมีข้อจำกัดด้านการเงินอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้ ท่านนายกจึงมีความคิดในแนวทางการระดมทุน โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนขึ้นมา (Public-Private Partnership: PPP) ซึ่งก็นับว่าเป็นทางออกที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับราชการไทย แม้จะไม่แปลกสำหรับเอกชนก็ตาม
นอกเรื่องนิดนึงนะครับ เผื่อใครไม่เข้าใจ การระดมเงินทุนต่างชาติกับการกู้เงินต่างชาติต่างกันนิดหน่อย การลงทุนแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ การลงทุนโดยตรง ซึ่งมีผลตอบแทนตามผลประกอบการ ซึ่งหากผประกอบการขาดทุนก็จะไม่ได้เงินคืน แต่ถ้าได้กำไร ก็จะได้ผลตอบแทนมากด้วย ขณะที่การให้กู้ยืมเงิน ซึ่งมีผลตอบแทนคงที่ แม้ธุรกิจจะล้ม แต่ก็จะได้เงินชำระหนี้คืนก่อน ในที่นี้จะไม่ขอพูดในรายละเอียดนะครับ
อะไรคือ PPP
การร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) เป็นส่วนหนึ่งของการแปรรูปกรรมสิทธิ์ของรัฐให้เป็นเอกชน (Privatization) โดยการแปรรูปกรรมสิทธิดังกล่าวมีทั้งการโอนกรรมสิทธิ์ให้ทั้งหมด หรือการโอนสิทธิบางส่วนให้แก่เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ เช่น สิทธิการลงทุน หรือสิทธิการดำเนินงานบางอย่าง
แม้รัฐบาลจะมีหน้าที่สร้างและให้บริการสินค้าสาธารณะ ในส่วนที่เอกชนดำเนินการตามกลไกตลาดแล้วมีความล้มเหลวของตลาด (Market Failure) เช่น ถนน สะพาน โรงเรียน โรงพยาบาล และสาธารณูปโภคต่างๆ แต่รัฐก็มีขีดจำกัดของตัวเองอยู่ ทั้งด้านประสิทธิภาพ การดำเนินการ และด้านการลงทุน ขณะที่ภาคเอกชนจะมีประสิทธิภาพมากกว่าในส่วนของ การออกแบบ การก่อสร้าง การดำเนินการ และดูแลรักษา รวมถึงความเป็นมืออาชีพในงานเฉพาะด้าน การให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม จึงสามารถช่วยสร้างงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ประโยชน์ของ PPP
ประโยชน์ของ PPP มีหลายด้านด้วยกัน แต่สามารถสรุปได้ 4 ข้ออย่างกว้างคือ -ด้านการจัดสรรความเสี่ยง ความเสี่ยงด้านการเงินนั้นภาคเอกชนจะเป็นผู้รับไปดำเนินการเอง เนื่องจากทางเอกชนต้องเป็นผู้เสนอมาในสัญญาอยู่แล้ว
-ด้านความมั่นคงของเงินลงทุน โครงการจะได้รับการประกันเงินลงทุนในระยะยาว และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นก็ตาม อีกทั้งยังสามารถเบิกจ่ายเงินในระยะสั้นได้ ทำให้เอกชนมีกรอบการใช้จ่ายเงินที่ดีขึ้น
-ด้านคุณค่าของเงิน กระบวนการประมูลที่มีประสิทธิภาพยังสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าของเงินลงทุนที่ให้ประโยชน์สูงสุด และการที่เอกชนสามารถส่งมอบงานที่มีประสิทธิภาพได้ในราคาที่ต่ำ จะช่วยให้สามารถแบ่งเบาภาระของภาครัฐได้มาก
-ด้านประสิทธิภาพ ภาครัฐสามารถมุ่งความสนใจของตนเองเฉพาะเรื่องการให้บริการสาธารณะได้ ซึ่งจะทำให้ภาครัฐสามารถวางแผนและดำเนินนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้านเอกชนเองก็มีความน่าเชื่อถือทางการเงินดีขึ้น
ประเภทของ PPP
การแบ่งประเภทของ PPP สามารถแบ่งได้ตามหน้าที่และความรับผิดชอบต่างๆของภาครัฐและเอกชน โดยทั่วไปหน้าที่และความรับผิดชอบจะแบ่งเป็น การริเริ่มโครงการและการวางแผน การออกแบบ การเงิน การก่อสร้าง ความเป็นเจ้าของ การดำเนินการ และการจัดเก็บรายได้ โดยลักษณะของการร่วมมือกันจะถูกกำหนดจากบทบาทต่างๆดังกล่าว
ตัวอย่างการร่วมมือสำหรับโครงการใหม่ (ไล่จากกรรมสิทธิเป็นของรัฐสูง ลงไปยังกรรมสิทธิเป็นของเอกชนสูง) Build-Transfer (BT) การร่วมมือในลักษณะนี้ เปรียบเสมือนภาครัฐได้ว่าจ้างให้เอกชนเป็นผู้ก่อสร้างโครงการ โดยภาครัฐจะเป็นผู้จัดสรรเงินทุนให้ภาคเอกชน และรัฐจะเป็นผู้ดำเนินการเอง ขณะที่ภาคเอกชนจะเป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้างและจัดสรรต้นทุนการก่อสร้าง
Build-Operate-Transfer (BOT) ภาครัฐจะให้ภาคเอกชนทำการพัฒนาและดำเนินการโครงการด้วยนอกเหนือจากการก่อสร้าง โดยภาคเอกชนจะทำสัญญากับภาครัฐ เมื่อเอกชนก่อสร้างเสร็จและดำเนินงานไปจนถึงระยะเวลาหนึ่งแล้ว จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้ภาครัฐ อย่างรถไฟฟ้า BTS ก็เป็นสัญญาในแบบ BOT คือ พอครบ 30 ปี ก็ต้องคืนเสาให้กทม. (ย้ำว่า เสา) ถ้าอยากให้ BTS วิ่งอยู่บนเสาต่อไป ทาง BTS ก็ต้องเช่าเสากับกทม.ต่อ
Build-Own-Operate-Transfer (BOOT) หรือ Build-Own-Operate (BOO) ความร่วมมือนี้ นับได้ว่ามีความเป็นเอกชนสูงมาก ผู้พัฒนาโครงการจะเป็นเสมือนเจ้าของโครงการแทนที่จะเป็นภาครัฐ โครงการจะดำเนินงานตามลักษณะของเอกชน และเมื่อโครงการสิ้นสุดลง โครงการจะถูกโอนไปให้ภาครัฐหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความตกลงของทั้งสองฝ่าย
ตัวอย่างความร่วมมือสำหรับโครงการที่มีอยู่เดิม (ไล่จากกรรมสิทธิเป็นของรัฐสูง ลงไปยังกรรมสิทธิเป็นของเอกชนสูง)
Contract ความร่วมมือในลักษณะนี้ ภาครัฐจะเป็นผู้ควบคุมโครงการ โดยในสัญญานี้เอกชนจะได้สิทธิในการดำเนินงานและรับผิดชอบหน้าที่ของโครงการที่สัญญาได้กำหนดไว้ เช่น การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ใช้บริการ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้งานบริการดังกล่าวมีคุณภาพมากขึ้นจากการทำงานของเอกชน และยังช่วยลดภาระต้นทุนบางส่วนของภาครัฐได้
Lease ความร่วมมือแบบสัญญาเช่านี้ ภาครัฐจะให้เอกชนเป็นผู้เช่าไปดำเนินการและดูแลรักษาโครงการ โดยที่การลงทุนใหม่จะยังคงเป็นความรับผิดชอบของภาครัฐซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โครงการอยู่ ขณะที่เอกชนผู้เช่าจะมีรับผิดชอบดูแลบำรุงรักษาเท่าที่มีสิทธิในสัญญาเช่า ตัวอย่างที่เห็นคือ ศูนย์ประชุม และศูนย์กีฬา เป็นต้น
Concession (สัมปทาน) ภาครัฐจะให้เอกชนมีกรรมสิทธิ์พิเศษในการดำเนินการ บำรุงรักษา และบริหารโครงการทั้งระบบภายในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยสัมปทานนี้ การกำหนดอัตราราคาค่าบริการจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของภาครัฐ
Partial/Full Divestiture ความร่วมมือนี้ ภาครัฐจะขายโครงการให้แก่เอกชน ซึ่งจะทำให้ภาครัฐหมดอำนาจในการควบคุมอย่างถาวร ลักษณะดังกล่าวจะทำให้โครงการดังกล่าวกลายเป็นเอกชนอย่างเต็มตัว การกระทำดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐเมื่อภาครัฐมีเงินทุนไม่เพียงพอในการบริหาร เพราะการขายให้เอกชน จะทำให้ธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดอยู่ในความรับผิดชอบของเอกชน อย่างไรก็ตาม สัญญาการขายอาจจะกำหนดให้เอกชนรับรองว่าจะทำไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน
ในปัจจุบัน ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนยังมีลักษณะที่แตกต่างกันไปอีกมากในแต่ละพื้นที่ ตามแต่ลักษณะโครงการและการเอื้ออำนวยในตัวบทกฎหมาย นอกจากนี้การปรับรูปแบบความร่วมมือยังสามารถกระทำได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและเป้าหมายของโครงการ
สำหรับประเทศไทยที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับเรื่องพวกนี้ จำเป็นต้องมีการแก้กฎหมาย หรือดำเนินการบางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย เพื่อให้สามารถดำเนินความร่วมมือต่างๆกับภาคเอกชนได้
International Bidding ในประเทศไทย
จากการที่ท่านนายกมีแนวคิดที่จะใช้แนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยให้ต่างประเทศเสนอเงื่อนไขในการลงทุนเข้ามา (International Bidding) ปัญหาคือจะมีการทำสัญญาการลงทุนในส่วนไหนและอย่างไร สิทธิในการก่อสร้าง การบริหาร ดำเนินการต่างๆ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนนี้จำเป็นต้องศึกษาในรายละเอียดอย่างมาก เพื่อไม่ให้กรรมสิทธิ์บางอย่างที่ควรจะเป็นของรัฐ ตกไปเป็นของเอกชน
อย่างไรก็ดี ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบันที่กำลังทำ inter bidding ภาครัฐกลับไม่มีการชี้นำว่า ตัวเองมีแนวทางหรือนโยบายจะเลือกร่วมลงทุนกับเอกชนในเงื่อนไขใด เช่น ลดภาระให้ประชาชน โดยให้เอกชนเสนอราคาค่าตั๋วรถไฟฟ้าที่ต่ำที่สุดมา หรือ ลดภาระงบประมาณ โดยให้เอกชนเสนอราคาที่ต่ำที่สุด หรือ เพิ่มรายได้ให้แก่รัฐ โดยให้เอกชนเสนอการลงทุนที่ให้ประโยชน์สูงสุดเข้ามา (วิธีสุดท้ายไม่ค่อยเห็นด้วยอย่างมาก เพราะหน้าที่รัฐคือลงทุนในโครงการสาธารณะที่เอกชนไม่สามารถลงทุนได้ ถ้าเอกชนสามารถทำกำไรให้รัฐได้มาก นั่นหมายถึง ความมีประสิทธิภาพของโครงการอยู่ในระดับสูง รัฐไม่ควรสร้างโอกาสให้เอกชนดังกล่าว มีอำนาจในการผูกขาดการลงทุนนั้นๆ เช่น ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง หรือ ให้การผูกขาดธุรกิจดังกล่าว รัฐควรให้เอกชนเข้ามาลงทุนโครงการดังกล่าวด้วยตัวเอง)
การที่ให้เอกชนเสนอโครงการเข้ามา แล้วค่อยบอกว่าตัวเองเลือกใคร เพราะอะไร วิธีนี้ สร้างโอกาสในการฮั้วเรื่องการลงทุนอย่างมากครับ
Create Date : 27 มีนาคม 2549 |
Last Update : 5 เมษายน 2549 13:51:51 น. |
|
0 comments
|
Counter : 9629 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
ข้อมูลเศรษฐกิจในประเทศ
ข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศ
ค้นคว้าข้อมูลทั่วไป
แหล่งเชื่อมโยงอื่นๆที่น่าสนใจ
|
|
|
|
| |
|
|