Welcome to my blog
3 วัน 2 คืน ฮานอย+นิงห์บิงห์ เมืองประวัติศาสตร์พันปีแห่งเวียดนามเหนือ (ตอนที่ 1: เที่ยวกรุงฮานอย)


สถานที่ท่องเที่ยว : วิหารวรรณกรรม, กรุงฮานอย, Vietnam
พิกัด GPS : 21° 1' 36.78


ประเทศเวียดนาม เป็นอีกหนึ่งประเทศใกล้บ้านเรา ที่ตั๋วเครื่องบินราคาไม่แพง และที่เที่ยวมีความสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นที่เที่ยวทางธรรมชาติ และที่เที่ยวทางวัฒนธรรม ทำให้หลังโควิด เวียดนามน่าจะเป็นจุดหมายปลายทางลำดับแรกๆของนักท่องเที่ยวไทย และผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยทริปนี้ผมไปเที่ยวเวียดนามในแถบ เวียดนามเหนือ (Northern Vietnam) ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยผมได้เที่ยวที่ กรุงฮานอย (Hanoi) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประถเทศเวียดนาม และ จังหวัดนิงห์บิงห์ (Ninh Binh) ที่มีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่คนไทยเรียกว่า ฮาลองบก ดังนั้นใครที่จะวางแผนเที่ยวเวียดนามโซนนี้ ลองเอาแผนเที่ยว และข้อมูลต่างๆที่ผมลงไว้ในบล็อกนี้ ไปประยุกต์ปรับใช้ดู หวังว่ารีวิวชุดนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ

รู้จักกับกรุงฮานอย (Hanoi)

กรุงฮานอย (Hanoi) เป็นเมืองหลวงในปัจจุบันของเวียดนามครับ แม้ว่าจะเป็นเมืองหลวงแต่ฮานอยกลับไม่ใช่เมืองที่มีประชากรมากที่สุด โดยเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของเวียดนามก็คือ นครโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City) ซึ่งในภูมิภาคเวียดนามใต้ ส่วนฮานอยเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่สองของประเทศ


ความน่าสนใจของกรุงฮานอยก็คือ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ครับ เนื่องจากฮานอยถือเป็นเมืองหลวงแห่งแรกๆของชาวเวียดนาม โดยมีการสถาปนาฮานอยขึ้นเป็นราชธานีเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1010 ซื่งอยู่ภายใต้การปกครองของ ราชวงศ์ลี้ ในชื่อว่า ทังล็อง (Thang Long) ซึ่งแปลว่า มังกรเหิน หลังจากนั้นเวียดนามก็สลับกันระหว่างช่วงที่เป็นเอกราช กับช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของจีน ทำให้กรุงฮานอย รวมทั้งภูมิภาคเวียดนามเหนือทั้งจะหมดจะได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ความเชื่อ และประเพณีจากจีนค่อนข้างมาก สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ก็ได้แก่ ป้อมปราการทังล็อง (Thang Long Citadel) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลก รวมทั้ง วัดเจดีย์เฉินก๊วก (Tran Quoc Pagoda), วิหารวรรณกรรม (Temple of Literature) และ วัดหง็อกเซิน (Ngoc son temple) ครับ


ต่อมาในปี ค.ศ.1702 หลังจากเวียดนามสามารถขยายอิทธิพลลงไปทางตอนใต้ได้อย่างสมบูรณ์ ศูนย์กลางการปกครองจึงถูกย้ายไปอยู่ที่ เมืองเว้ (Hue) ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของเวียดนาม เมืองฮานอยจึงค่อยๆถูกลดบทบาทลง จนเมื่อเวียดนามได้ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ทางการฝรั่งเศสได้สถาปนากรุงฮานอยให้เป็นเมืองหลวงของ แคว้นตังเกี๋ย (Tonkin) ซึ่งเป็นเขตปกครองของอินโดจีนฝรั่งเศสที่ครอบคลุมเวียดนามเหนือทั้งหมด ทำให้เวียดนามรวมทั้งกรุงฮานอย ได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรม ศาสนา รวมทั้งภาษาจากฝรั่งเศสเข้ามาผสมด้วยครับ


เมื่อเวียดนามได้รับเอกราชในปี ค.ศ.1945 แต่เวียดนามก็ยังคงถูกแบ่งแยกออกเป็น ประเทศเวียดนามเหนือ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ และ ประเทศเวียดนามใต้ ซึ่งมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สลับกับเป็นเผด็จการทหาร กรุงฮานอยก็ทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามเหนือ จนเมื่อเวียดนามรวมชาติกันได้สำเร็จในปี ค.ศ.1975 กรุงฮานอยจึงได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงของเวียดนามทั้งประเทศ


ข้อควรระวังสำหรับการมาเทีี่ยวที่กรุงฮานอย

ทุกประเทศและทุกเมืองบนโลกมีทั้งคนดีและคนไม่ดีครับ สำหรับเวียดนามก็เช่นกัน ใครที่จะมาเวียดนาม โดยเฉพาะที่เมืองใหญ่อย่างกรุงฮานอยอาจจะต้องมีข้อควรระวังที่ค่อนข้างเยอะซะหน่อย ได้แก่
  • ไม่ควรโชว์ของมีค่าหรือเงินในที่สาธารณะ
  • กระเป๋าเงิน พาสปอร์ต และของมีค่าต่างๆ เก็บใส่กระเป๋าให้ดี และแนะนำให้สะพายด้านหน้า
  • ควรเก็บสำเนาเอกสารสำคัญ รวมทั้งเงิน ไว้หลายๆจุด ป้องกันการสูญหาย
  • เวลาซื้อของ พยายามเตรียมเงินให้พอดี ป้องกันการโดนโกง
  • หลีกเลี่ยงการขึ้น Taxi ที่ไม่ใช่ยี่ห้อดังอย่าง Mailinh, Vinasun หรือ Grab รวมทั้งรถสามล้อ และมอเตอร์ไซค์รับจ้างต่างๆ
  • เวลาซื้อทัวร์, เลือกโรงแรม หรือร้านอาหาร แนะนำให้ลองอ่านรีวิวใน tripadvisor ไว้ก่อน
  • อย่าเดินทางออกนอกเส้นทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่เปลี่ยวในเวลากลางคืน

นอกจากเรื่องคน ข้อควรระวังอีกอย่างคือ มอเตอร์ไซค์ ครับ เพราะที่นี่มอเตอร์ไซค์เยอะมาก บางทีก็ขึ้นมาวิ่งบนฟุตปาท ระวังโดนชน เวลาข้ามถนนก็ค่อยๆข้าม ดูซ้ายขวาดีๆ ส่วนตัว ผมแนะนำให้ข้ามไปพร้อมๆกับคนเวียดนาม แต่ถ้าไม่มีคนข้ามด้วย ก็ควรรอให้รถน้อยๆค่อยข้ามครับ
 
ทริคการข้ามถนนที่เวียดนามที่หลายคนแนะนำก็คือ ทำใจให้สบาย แล้วข้ามถนนไปเลย แต่เดินด้วยความเร็วคงที่ เดี๋ยวพวกรถจะหลบเราเอง ตามคลิปด้านล่างนี้ครับ
 

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบาย (Noi Bai International Airport) ด้วยสายการบิน Thai Air Asia เที่ยวบินที่ FD642 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
  • ฝากกระเป๋าที่โรงแรม แล้วไปทานอาหารเช้าที่ร้าน Pho 10
  • ถ่ายรูปกับโบสถ์เซนต์โจเซฟ แล้วเรียก grab ไปยังพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum), สุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Mausoleum), วัดเจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda), ป้อมปราการทังล็อง (Thang long Citadel), พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทหารเวียดนาม (Vietnam Military History Museum), วิหารวรรณกรรม (Temple of Literature), ทะเลสาบคืนดาบ (Sword Lake) และวัดหง็อกเซิน (Ngoc son temple)
  • ทานอาหารเย็นที่ร้าน Bun Cha Ta
วันที่สอง
  • ซื้อทัวร์เต็มวัน เที่ยวจังหวัดนิงห์บิงห์ โดยเลือกโปรแกรม วัดไบ่ดิงห์ (Bai Dinh Pagoda), แหล่งภูมิทัศน์จ่างอัน (Trang An Landscape Complex) และ จุดชมวิวถ้ำมัว (Hang Mua Viewpoint)
วันที่สาม
  • ซื้อทัวร์เต็มวันเที่ยว วัดเจดีย์น้ำหอม (Perfume Pagoda)
  • เย็น เดินทางไปสนามบิน
  • เดินทางกลับไทยด้วยสายการบิน Thai Air Asia เที่ยวบินที่ FD645 กลับถึงกรุงเทพ 22.40
ที่พักในกรุงฮานอย

ผมเลือกพักที่ Meritel Hanoi ซึ่งเป็นโรงแรมเปิดใหม่ระดับสี่ดาวครึ่ง ตกแต่งค่อนข้างหรู ห้องดีมาก สะอาด พนักงานก็บริการดีมาก บางคนพูดภาษาไทยได้ด้วย ผมพักที่นี่ 2 คืน โดนเลือกห้อง deluxe เตียงแฝด รวมเป็นเงินไทย 3,879 บาท พอหารออกมา ก็ตกคนละ 970 บาทต่อคน ต่อคืนครับ

 





วันที่หนึ่ง

แม้ว่าผมจะเคยไปเวียดนามมาก่อนแล้ว แต่สำหรับทริปเวียดนามเหนือในครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางไปเวียดนามเป็นครั้งแรกหลังจากที่เวียดนามเปิดประเทศหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผมเลยค่อนข้างตื่นเต้นเป็นพิเศษ โดยในช่วงที่ผมไป เวียดนามไม่ต้องใช้เอกสารอะไรเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นผลตรวจ ATK, ใบรับรองการฉีดวัคซีน รวมทั้งประกันโควิด ขอแค่มีพาสปอร์ตก็สามารถอยู่ท่องเที่ยวในประเทศเวียดนามโดยไม่ต้องขอวีซ่าเป็นเวลา 30 วันครับ

ทริปนี้เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปยัง ท่าอากาศยานานาชาติโหน่ยบาย (Noi Bai International Airport) ประตู่สู่เวียดนามเหนือ ด้วยสายการบิน Thai Air Asia ไปถึงที่เวียดนามเวลา 8.30 ตรงเวลาเป๊ะ เราใช้เวลาผ่านตม. ไม่ถึง 2 นาที ก็เข้าสู่ประเทศเวียดนามอย่างผ่านฉลุย ไม่โดนถามซักคำครับ


จากสนามบินเราเดินทางเข้าเมืองโดยรถเช่าจาก Klook เพื่อไปยังโรงแรมที่เราจองไว้ เพื่อเอากระเป๋าฝากกระเป๋าไว้อน จากนั้นก็ได้เวลาตะลุย กรุงฮานอย (Hanoi) 


เนื่องจากว่า เราไม่ได้ทานอาหารเช้ามา เลยฝากท้องไว้ที่ ร้าน Pho10 เป็นมื้อเช้ารวมกับมื้อเที่ยงไปเลย เพราะวันนี้ต้องใช้พลังงานในการเดินเที่ยวชมเมืองฮานอยอีกค่อนข้างเยอะ


เฝอร้านนี้เป็นเฝอเนื้อครับ โดยเราสามารถเลือกส่วนของเนื้อและระดับความสุกได้ น้ำซุปมีรสหวานจากผัก (สามารถปรุงรสตามใจชอบ ด้วยมะนาว น้ำปลา พริก) แนะนำให้สั่งปาท่องโก๋มทานคู่กัน ค่าเฝอ 1 ชามคิดเป็นเงินไทย อยู่ที่ประมาณ 90-100 กว่าบาทครับ


ข้อเสียของร้านนี้คือ พนักงานที่นี่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ (แม้ว่าจะมีลูกค้าชาวต่างชาติค่อนข้างเยอะ) แต่ว่าไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะร้านนี้เมนูมีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้วย เวลาจะสั่งให้ชี้เมนู กับใช้ภาษามือเอา

จากร้าน Pho 10 เดินมาอีกนิดเดียว เราจะพบกับสัญลักษณ์ของกรุงฮานอย นั่นก็คือ มหาวิหารเซนต์โจเซฟ (St.Joseph Catedral) ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 19 ในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนาม โดยในช่วงนั้นมีการเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเข้ามา ทางการฝรั่งเศสจึงสร้างมหาวิหารนี้ขึ้น เพื่อใช้ประกอบศาสนกิจของคริสตศาสนิกชน โดยรูปแบบสถาปัตยกรรมของมหาวิหารนี้ ได้สร้างขึ้นตามรูปแบบของ มหาวิหารนอทเทอร์ดาม (Notre-Dame Catedral) ที่กรุงปารีสของฝรั่งเศส


ผมเห็นคนไทยหลายคนชอบมาถ่ายรูปเช็คอินที่โบสถ์นี้ แต่จริงๆแล้ว อีกด้านหนึ่งโบสถ์นี้ก็มีประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างน่าเศร้าเหมือนกันครับ เพราะเดิมที บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของ วัดเบ๋าเทียน (Bao Thien Pagoda) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสี่ศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดของชาวเวียดนาม แต่เมื่อฝรั่งเศสเข้ามาครอบครองเวียดนามเหนือ ฝรั่งเศสก็รื้อทำลายวัดนี้ทิ้ง และสร้างโบสถ์นี้คร่อมทับแทน แม้ว่าชาวเวียดนามในสมัยนั้นจะพยายามคัดค้าน และต่อต้าน แต่ก็ไม่เป็นผล โบสถ์นี้จึงถือเป็นทั้งสัญลักษณ์ และก็เป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ของเมืองฮานอยไปพร้อมๆกัน


จากโบสถ์เซนต์โจเซฟ เราก็กดเรียก grab ไปยังจุดต่อไป นั่นก็คือ Ho Chi Minh Complex ซึ่งประกอบด้วยสถานที่หลายแห่ง ได้แก่ สุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Mausoleum), พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum) และ วัดเจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda) ครับ

โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh) หรือที่บางคนเรียกว่า ลุงโฮ เป็นบุคคลสำคัญที่สุดของชาวเวียดนาม เพราะเป็นผู้นำในการเรียกร้องเอกราชของเวียดนามจากฝรั่งเศส ต่อมาเวียดนามได้รับเอกราชในปี 1945 แต่ก็ถูกแบ่งแยกออกเป็น เวียดนามเหนือ ที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ และ เวียดนามใต้ ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย (แต่ก็มีช่วงที่เป็นเผด็จการทหาร) โดยโฮจิมินห์ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเวียดนามเหนือตั้งแต่ปี 1945-1969


ต่อมาเมื่อโฮจิมินห์เสียชีวิต ทางการเวียดนามเหนือก็ได้ก่อสร้าง สุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Mausoleum) ขึ้น ด้านในจะมีร่างของท่าน ซึ่งศพถูกดองไว้ด้วยกรรมวิธีพิเศษจากสหภาพโซเวียต เพื่อจัดแสดงในโลงแก้ว ให้คนเวียดนามได้เข้ามาทำความเคารพสักการะครับ (แต่ก็มีบางคนบอกว่า ร่างที่จัดแสดงในโลง เป็นหุุ่นขี้ผึ้ง)

ผมไม่ได้เข้าไปนะครับ เพราะกว่าจะถึงก็หมดเวลาเข้าชมแล้ว (เค้าให้เข้าชมได้เฉพาะช่วงเช้าก่อน 10.30 น. เท่านั้น)



บริเวณเดียวกับสุสาน จะมี พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Mesuem) ที่ด้านในจะจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ จดหมายต่างๆ ที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในช่วงที่เวียดนามทำการเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส (ที่นี่มีค่าเข้า 40,000 ดอง หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 60 บาทนะครับ)


พอเดินเข้ามาในพิพิธภัณฑ์จะเจอกับรูปปั้นขนาดยักษ์ของลุงโฮกำลังโบกมือต้อนรับพวกเรา


สิ่งที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์บางส่วนครับ จะมีความเป็นชาตินิยมหน่อยๆ ไม่แปลกใจว่า ทำไมคนเวียดนามถึงภูมิใจในชนชาติของตนเองมากขนาดนี้



ภาพลุงโฮและคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลผสม ที่ปกครองเวียดนามสมัยที่ยังไม่โดนแบ่งแยกเป็นเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ ถ่ายในปี 1946 ครับ


จดหมายจากลุงโฮฉบับจริง เขียนเพื่อเรียกร้องให้คนเวียดนามลุกขึ้นมาต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศส ที่พยายามกลับเข้ามาปกครองเวียดนามในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง


ส่วนตัว ผมว่าพิพิธภัณฑ์ค่อนข้างน่าสนใจ ถ้าใครเป็นสายมิวเซียมหรือเป็นสายประวัติศาสตร์ น่าจะชอบที่นี่ ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้ ผมคงอยู่เป็นชั่วโมงเลยครับ เสียดายเรามีเวลาน้อย เลยต้องรีบไปเที่ยวต่อยังจุดต่อไป นั่นก็คือ วัดเจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda) ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์


วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่มาก อายุยาวนานถึง 400 ปี ร่วมยุคเดียวกับกรุงศรีอยุธยา ตามตำนานกล่าวว่า มีกษัตริย์องค์หนึ่งอยากได้โอรส แต่ก็ไม่มีซะที จนกษัตริย์องค์นี้ฝันว่า เจ้าแม่กวนอิมมาปรากฏตัวที่สระบัว และประทานโอรสให้พระองค์ หลังจากนั้นพระองค์ก็มีพระโอรสจริงๆ จึงทรงสร้างวัดขนาดเล็กขึ้นตรงสระบัวแห่งนี้เพื่อบูชาเจ้าแม่กวนอิม ปัจจุบันคนเวียดนามนิยมมาขอพรที่วัดแห่งนี้เพื่อขอลูกครับ


จาก Ho Chi Minh Complex เดินไปอีกนิดเดียว ก็จะพบกับ ป้อมปราการทังล็อง (Thang Long Citadel) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากองค์การยูเนสโก้

อย่างที่อธิบายไปในตอนแรกครับ ฮานอยเป็นเมืองหลวงประวัติศาสตร์ของชาวเวียดนามที่มีอายุยาวนานนับพันปี แต่ในช่วงเวลานั้น เวียดนามก็ถูกรุกรานจากจีนบ่อยๆ จึงต้องมีการสร้างป้อมปราการแห่งนี้ขึ้นมาในยุค ราชวงศ์ลี้ (Ly Dynasty)

 
ภายในป้อมปราการครับ





ที่นี่เป็นทั้งป้อมปราการ และเป็นพระราชวังครับ ปัจจุบันพระราชวังถูกทำลายไปหมดแล้ว แต่ด้านในก็มีการจัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ข้าวของเครื่องใช้ วัฒนธรรมในราชสำนักของเวียดนามให้เราได้ชมกัน






ส่วนตัวผมชอบที่นี่มากนะ ให้เดินเล่นทั้งวันยังได้เลย ช่วงที่ไปนิทรรศการก็น่าสนใจ ใครเป็นสายมิวเซียม แนะนำที่นี่เลยครับ (ค่าเข้าที่นี่ 30,000 ดอง หรือประมาณ 45 บาทครับ)

จากป้อมปราการทังล็อง เดินไปอีกนิดเดียว (อยู่ติดๆกันเลย) เราจะเจอกับ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทหารเวียดนาม (Vietnam Military History Museum) ที่จัดแสดงเกี่ยวกับ สงครามเวียดนาม (Vietnam War) ซึ่งเป็นสงครามระหว่างฝั่งเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ที่ถูกแบ่งแยกออกจากกันตาม สนธิสัญญาเจนิวา และภายหลังเวียดนามทั้งสองก็ถูกรวมประเทศกัน ภายใต้การนำของเวียดนามเหนือที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์



ถ้าถามคนเวียดนาม เค้าจะเรียกสงครามเวียดนามว่า สงครามอเมริกา เพราะสหรัฐอเมริกาเป็นชาติที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับเวียดนามเหนือที่เป็นคอมมิวนิสต์ ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์นี้จึงมีการจัดแสดงซากเครื่องบินรบของทางสหรัฐที่ถูกยิงตกลงมาในช่วงสงครามเวียดนาม
 


นอกจากนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีซากหอคอยเก่าที่เป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการทังล็องหลงเหลืออยู่ ซึ่งด้านบนจะมีธงชาติเวียดนามประดับไว้


ที่นี่มีค่าเข้า 40,000 ดองนะครับ และถ้าใครเอากล้องมา จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก

สิ่งที่น่าสนใจคือ ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ผมเจอกับรูปปั้นของ วลาดิเมียร์ เลนิน (Vladimir Lenin) นักปฏิวัติคอมมิวนิสต์คนสำคัญของสหภาพโซเวียต ซึ่งคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นคอมมิวนิสต์สายโซเวียต ดังนั้น เราจึงเจอรูปปั้นของเลนินได้ตามเมืองสำคัญแทบทุกเมืองของเวียดนาม รวมทั้งที่กรุงฮานอยครับ

 

จากฝั่งตรงข้ามอนุสาวรีย์เลนิน เราก็เรียก grab ต่อไปยังจุดต่อไป นั่นก็คือ วิหารวรรณกรรม (Temple of Literature) ครับ

วิหารวรรณกรรม (Temple of Literature) หรือที่ภาษาเวียดนามเรียกว่า วันเหมี่ยว (Van Mieu) สร้างขึ้นโดยกษัตริย์เวียดนามเพื่ออุทิศแด่ ท่านขงจื้อ โดยวิหารจะอยู่ติดกับ กว็อกตื่อยาม (Quoc Tu Giam) ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับขุนนางในสมัยก่อน ทำให้กล่าวกันว่า ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก ที่เก่าแก่ที่สุดของเวียดนาม (อารมณ์เดียวกับวัดโพธิ์ของบ้านเราที่บอกว่า วัดนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของไทยนั่นแหละครับ)

 


ช่วงที่ผมไป เป็นช่วงที่นักเรียนมัธยมเวียดนามสำเร็จการศึกษาพอดี หลายคนเลยหอบชุดครุยมาถ่ายรูป รวมทั้งมาขอพรต่อท่านขงจื้อ เพื่อให้ตัวเองสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ (มีความเชื่อว่า ถ้ามาขอพรกับที่นี่ จะทำให้ประสบความสำเร็จทางการศึกษาครับ)


ที่นี่มีค่าเข้า 30,000 ดอง หรือราวๆ 45 บาทครับ แต่ถ้าใครเป็นนักศึกษาไม่ว่าระดับไหนก็ตาม แนะนำให้เอาบัตรนักศึกษาไปด้วย จะได้ลดครึ่งราคาครับ

จากวิหารวรรณกรรม เราก็เรียก grab ต่อ เพื่อมายัง ทะเลสาบฮวานเกี๋ยม (Hoan Kiem Lake)

ทะเลสาบฮวานเกี๋ยม (Hoan Kiem Lake)
หรือที่คนไทย เรียกว่า ทะเลสาบคืนดาบ (Sword Lake) ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเขตเมืองเก่า

ตามตำนานเล่าว่า ในสมัยที่เวียดนามทำสงคราม สู้รบกับประเทศจีนสมัยราชวงศ์หมิง จักรพรรดิเล เหล่ย  (King Le Loi) กษัตริย์แห่งเวียดนามได้สงครามมาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่สามารถเอาชนะทหารจากจีนได้สักที ทำให้เกิดความท้อแท้พระทัย เมื่อได้มาล่องเรือที่ทะเลสาบแห่งนี้ ได้มีปาฎิหาริย์ เต่าขนาดใหญ่ตัวหนึ่งได้นำดาบวิเศษมาให้พระองค์ เพื่อทำสงครามกับกองทัพจีน หลังจากที่พระองค์ได้รับดาบมานั้น พระองค์ได้กลับไปทำสงครามอีกครั้ง และได้รับชัยชนะเหนือประเทศจีน ทำให้บ้านสงบสุข


ต่อมา ขณะที่พระองค์ประทับบนเรือ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ก็มีเต่าตัวเดิมโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและบอกให้พระองค์ส่งดาบนั้นกลับคืนแด่จ้าวมังกร ทันใดนั้นดาบนั้นก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบเข้าไปในปากของตะพาบก่อนที่จะหายกลับลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ อันเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบคืนดาบครับ
 

ตรงกลางทะเลสาบจะเป็นที่ตั้งของ วัดหงอกเซิน (Ngoc Son temple) หรือที่ทัวร์ไทยนิยมเรียกว่า วัดเนินหยก ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่แม่ทัพเวียดนามคนหนึ่งที่ได้ต่อสู้ และเอาชนะพวกมองโกลที่เข้ามารุกรานเวียดนาม
 


ภายในวัดจะมีเต่าที่เชื่อว่า เป็นเต่าในตำนานสตาฟเอาไว้อยู่ จริงๆ เต่าตามตำนาน จริงๆน่าจะเป็น ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง ซึ่งเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ แต่ยังสามารถพบได้ในทะเลสาบแห่งนี้ มาจนถึงปัจจุบันครับ


สำหรับการเดินทางไปยังวัดหงอกเซิน จะต้องผ่านสะพานสีแดงที่เรียกว่า สะพานแทฮุก (The Huc Bridge) ซึ่งแปลว่า สะพานแสงอาทิตย์
 

นอกจากวัดหงอกเซิน ตรงกลางทะเลสาบยังมีหอคอยโบราณ ที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า ท้าปสั่ว (Tháp Rùa) ซึ่งหมายถึง หอคอยเต่า เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เหตุการณ์ตามตำนานที่ได้กล่าวไปในตอนแรกครับ


สิ่งที่ชอบมากของกรุงฮานอยคือ ตอนเย็นของวันหยุด เค้าจะมีการปิดถนนริมทะเลสาบฮวานเกี๋ยมเพื่อให้เป็นถนนคนเดิน และก็เป็นพื้นที่สำหรับให้เยาวชนประเทศเค้าได้มาทำกิจกรรม แสดงดนตรี เต้นเคป็อป เล่นกีฬากันตามความชอบของแต่ละคน อยากให้บ้านเรามีอะไรแบบนนี้บ้างจัง





มื้อเย็นมื้อแรกของทริปฮานอย+นิงห์บิงห์ ผมมาทานอาหารท้องถิ่นของแถบเวียดนามตอนเหนือ ที่เรียกว่า บุ๋นจ่า (Bun Cha) ซึ่งเป็นขนมจีนชนิดหนึ่งทานคู่กับหมูย่าง โดยจะผสมคาราเมลลงไปทำให้หมูย่างมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ทานคู่กับซอสรสเค็มหวานที่ใส่มะละกอดองและแคร์รอตดอง รวมทั้งผักหลายชนิด ได้แก่ ผักกาดหอม ผักชี ผักบุ้งสายหรือผักบุ้งจักเป็นฝอย ถั่วงอก


ร้านที่จะมาแนะนำวันนี้ ชื่อว่า ร้าน Bun Cha Ta ครับ โดยพิกัดร้านนี้จะอยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบฮวานเกี๋ยมครับ สามารถเดินไปได้ โดยรวมแนะนำครับ ร้านดูสะอาด พนักงานน่ารัก พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก และที่สำคัญอาหารอร่อย ดีต่อสุขภาพด้วย เพราะมีแต่ผัก ส่วนแป้งก็มีนิดเดียว (ส่วนตัวผมว่า เป็นอาหารในต่างแดนที่อร่อยเป็นอันดับต้นๆเลย)


จบจากของคาว ก็มาต่อของหวานเป็นไอศกรีมที่ ร้าน Kem Trang Tien จริงๆแล้ว ร้านนี้เป็นไอศกรีมร้านดังมากในหมู่คนเวียดนาม ถือเป็นของขึ้นชื่อของกรุงฮานอยเลย แต่คนต่างชาติไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ พอดีผมมีเพื่อนที่เป็นคนฮานอยแนะนำมา เลยลองมาชิมดู
 
       

ที่ผมสั่งคนเวียดนามจะเรียกว่า Com เป็นไอศกรีมรสข้าว ราคา 12,000 ดอง ซึ่งโดยรวมก็อร่อยดี พอกินได้ แต่ส่วนตัวผมว่าไม่ค่อยถูกปากคนไทยเท่าไหร่ (เข้าใจได้ว่า ทำไมคนไทยถึงไม่ค่อยรู้จัก) แต่คนเวียดนามคงชอบแหละ เพราะต่อคิวกันยาวเลย


พอชิมไอศกรีมเสร็จ เราก็เดินเล่นต่ออีกนิดหน่อยจากนั้นเราก็กลับที่พัก เพื่อพักผ่อนเอาแรงสำหรับการเที่ยวในวันถัดไป รีวิวกรุงฮานอยในตอนแรกก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่วางแผนจะมาเที่ยวเวียดนาม ถ้าชอบบล็อกนี้ หรือเห็นว่าบล็อกนี้มีประโยชน์ รบกวนคอมเม้นบอกใต้บล็อกนี้หน่อยนะครับ ผมจะได้มีกำลังใจเขียนต่อไป ขอบคุณครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง



Create Date : 13 พฤศจิกายน 2565
Last Update : 20 เมษายน 2567 15:56:22 น. 2 comments
Counter : 4579 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณ**mp5**


 
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ


โดย: **mp5** วันที่: 20 พฤศจิกายน 2565 เวลา:11:39:19 น.  

 
ขอบคุณครับ


โดย: เจ้าสำนักคันฉ่องวารี วันที่: 23 พฤศจิกายน 2565 เวลา:23:23:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.