Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
27 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 6 ขึ้นรถไฟใต้ดินชั่วโมงเร่งด่วนเป็นครั้งแรก

เพื่อความต่อเนื่อง
ไปอ่านตอนก่อน ๆ ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้จ้ะ


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พัก



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบิน


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 3 เย็นวันแรกที่สถานีโตเกียว


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 4 นัดเจอและเข้าไปนอนบ้านคนไม่รู้จักฟรี ๆ คืนแรก



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 5 วัฒนธรรมภายในบ้านคนญี่ปุ่นที่เราไปค้างด้วย


หลังจากที่น้องสาวโฮสพาเดินจากบ้านมาขึ้นรถไฟเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คราวนี้ได้เวลาเผชิญของจริง กับรถไฟใต้ดินของญี่ปุ่นในเวลาเร่งด่วนในตอน 8 โมงครึ่ง
ดูซิว่ามันจะโหดขนาดไหน
ในรถไฟฟ้าใต้ดิน ทุกคนต่างเร่งรีบ ดูได้จากฝีเท้าของชาวโตเกียวในเช้าวันเรียนและวันทำงานของทุกคน
ผู้คนยืนรอรถไฟที่จะมากันอย่างเป็นระเบียบและเงียบกริบ
น้องสาวโฮสบอกว่า มันจะเบียดมากเลยนะ ยูอยากจะรอขบวนที่มีผู้หญิงล้วนมั้ย
แต่ต้องรอหน่อยนะ
จังหวะนี้ อยากมาสัมผัสทุกอย่างที่คนญี่ปุ่นเค้าใช้ชีวิตประจำวันจริง ๆ say no อย่างเดียว
ฉันอยากเจอสิ่งที่ยูเจอทุกเมื่อเชื่อวันนั่นแหละ
จริง ๆ แล้วการขึ้นรถไฟใต้ดินชั่วโมงเร่งด่วนที่ญี่ปุ่นเป็น a must ของเราที่เราอยากมาสัมผัสด้วยล่ะ (แต่อาจจะไม่ใช่หน้าร้อนแบบนี้)
แล้วเค้าก็พูดติดตลกว่า ส่วนใหญ่มีแต่พวกแก่ ๆ นะ อย่าคาดหวังจะเจอหนุ่มหน้าตาดีในจังหวะนี้ ฮา ๆ
รูปนี้ไม่ใช่ของเรานะ เอาของชาวบ้านเค้ามา





พอรถไฟมา เสียงพนักงานพูดและเปิดประตูเท่านั้นแหละ
มองเข้าไป ชะอุ๋ย
รถมันเต็มจะแย่แล้ว เราจะเข้าไปยังไง
ยังไม่ทันได้สงสัยหมดประโยค น้องสาวโฮสก็ดึงมือเราเข้ารถไฟอย่างไม่รีรอ
สเต๊ปการเข้าก็คือ
ยืนหันหลังให้ประตู แล้วเบียดแทรกเข้าไป (รูปนี้ไม่ใช่ของเรานะ เอาของชาวบ้านเค้ามา
)




เข้าไม่ได้ไม่เป็นไร เดี๋ยวมีคนโกยอยู่ด้านนอก
เค้าก็โกยจนกว่าทุกคนจะเข้าได้หมดในเวลาไม่กิน 5 วินาที ให้มันได้อย่างนี้สิญี่ปุ่น!!
เป็นกิจกรรมที่สนุกมาก ในความรู้สึกของคนที่ขึ้นรถไฟใต้ดินชั่วโมงเร่งด่วนในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกของเรา
คือมันเบียดจริง ๆ เบียดสุด ๆ เนื้อแนบเนื้อ ไม่ต้องโหนต้องจับใด ๆ ไม่มีทางล้มแน่นอนเบียดขนาดนี้

แอบมองผู้คนบนรถไฟฟ้า (ไม่มีรูปนะ เพราะขยับตัวยังไม่ได้เลย)
เออ จริงว่ะ ทำไมมีแต่ผู้ชายแก่ ๆ 40 up กันหมดเลยวะ
หนุ่ม ๆ 25 up ไปไหนกันหมดในเวลานี้ ว้า ไม่เจริญหูเจริญตาเอาซะเลย
(รูปนี้ไม่ใช่ของเรานะ เอาของชาวบ้านเค้ามา)




แต่สิ่งที่เราชอบในรถไฟฟ้าใต้ดินนอกจากจะเบียดแล้วก็คือ "ความเงียบ"
มันเงียบจริง ๆ เพราะรถไฟฟ้าบ้านเค้าไม่มีจอทีวีโฆษณาให้ประสาทเสียเหมือนเมืองไทย
แล้วที่ขำก็คือ ขนาดรถเบียดขนาดนี้ เด็กวัยรุ่นก็ยังเล่นเกมส์ในมือถือได้
เหล่าคนวัยทำงานบางคนก็ยังเช็คเมล เปิดเว็ปในมือถือได้ด้วยโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความรำคาญ
การเกรงใจในส่วนรวมของคนญี่ปุ่นที่น่านับถือดีจริง ๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ชอบในรถไฟญี่ปุ่นก็คือ
แอร์ร้อนมาก เหมือนไม่ได้เปิดแอร์ ในหน้าร้อนที่ร้อนเหมือนบ้านเราขนาดนี้
คืออย่าง BTS หรือ MRT ถึงคนจะเยอะ แอร์ก็เย็บเฉียบจนขนลุก
แต่ที่ญี่ปุ่นนี่ ร้อนเหมือนไม่มีอากาศ ยืนเบียดกันเหงื่อไหลพลั่ก ๆ กันทุกคนรวมถึงอิชั้นด้วย (ถ้ามาหน้าหนาวอาจจะอบอุ่นนะเราว่า)
แล้วตลกมาเลยคือ
ขนาดหน้าร้อนขนาดนี้ ซาลาริมังญี่ปุ่นก็ยังใส่สูทไปทำงาน!!
บ้าไปแล้ว!!
เราว่าหน้าร้อนทางบริษัทเค้าก็มีนโยบายไม่ต้องใส่สูทนั่นแหละ
แต่บางคนก็ยังใส่กันอยู่ สุดยอดจริง ๆ เพื่อ!!!

เราต้องแยกจากน้องสาวโฮสกลางทาง เพราะเธอต้องไปต่อรถสถานีอื่น
เหลือเพียงเราที่ยังมุ่งหน้าไป สถานี OTEMACHI เพื่อไปเดินเล่นที่สวน Imperial Palace East Garden

แพลนการเที่ยวของเราในโตเกียววันที่ 2 แต่เป็นเช้าวันแรก

วันแห่งการแสวงบุญสารพัดสวน เป็นผู้หญิงที่กระหายความเขียวมาก จริง ๆ กระหายหลายสี แต่ไปหน้าร้อน มันก็ได้แต่สีเขียวอ่านะ

OTEMACHI (Imperial Palace East Garden)
Nijubashimae (Nijubashi Bridge) exit. 2
HONGO-SANCHOME (Tokyo University)
Komagome (Rikugien Garden) 300 yen
IIDABASHI (Daijingu Shrine, the city’s most powerful shrine when it comes to matters of the heart. Many Japanese, especially young females, frequent the Daijingu to pray for successful love lives.), Koishikawa Korakuen GARDEN


นี่คือสถานที่แรกที่เราจะไป ดูซิว่าจะเหมือนกันรูปนี้รึเปล่า





ซึ่งการไปครั้งนี้ เราไม่ได้ไปเที่ยวคนเดียวจ้ะ
ระหว่างทำแพลนการเดินทางเที่ยวคนเดียวที่โตเกียว 6 วันนี้
เราได้เข้าไปในเว็ป couchsurfing เพื่อติดต่อหาเพื่อนเที่ยวที่เค้าอยู่โตเกียวแล้วพร้อมจะเที่ยวกับเรา
ซึ่งเราก็โชคดีมาก ได้น้องคนจีนที่เพิ่งมาเรียนโทที่โตเกียวไม่กี่เดือนมาเที่ยวด้วย
แล้วสถานที่ ๆ เราทำแพลนอยากไปทั้ง 2 วันแรกเนี่ย เธอไม่เคยไปเที่ยวมาก่อนเลย
มันเลยเป็นการเที่ยวแต่ละที่ครั้งแรกของเราทั้งสองคน
ก็นัดกันดิบดีว่าจะเจอกันที่สถานี Otemachi Exit C2 ตอน 9 โมงเช้า
รู้สึกดีมากที่นัดน้องเค้าไว้ลงรายละเอียดครบ
ไม่เหมือนนัดเพื่อนสมัยนี้ที่โอเค นัดสยาม ประมาณบ่าย 2 ไม่บอกว่าเจอตรงกัน ถึงแล้วค่อยโทรหา อะไรอย่างเงี้ย มันน่าหงุดหงิด แล้วสุดท้ายก็มากันไม่ตรงเวลา โทรแล้วโทรอีกก็ไม่ได้ทำให้เพื่อนมาเร็วขึ้น ล่องลอยมาก
แต่ด้วยความที่เราไปเที่ยวครั้งแรก แล้วกลัวเรื่อง wifi เราเลยนัดละเอียดไปเลย

เราไปถึงเวลานัดสายไป 10 นาที
ซึ่งอยู่ในรถไฟที่มี free wifi เราไม่สามารถหยิบมือถือมาส่งไลน์ได้เลย
พอออกจากรถไฟก็ต้องมาหาไอ้ทางออก 2 อีกว่ามันอยู่ตรงไหน
ซึ่งมันเดินออกมาจากตัวรถไฟไกลมาก
มากซะจน free wifi ไม่มี!!
จะเดินกลับไปหา free wifi ใกล้ ๆ ตัวรถไฟก็ยิ่งทำให้สายไปอีก
แล้วคลื่นมหาชนที่ออกมาแตะบัตรก็ไม่ใช่น้อย ๆ จะเดินฝ่าฝูงคนเข้าไปก็ไม่ใช่เรื่อง
เลยตัดสินใจแตะบัตรออกแล้วเดินไปที่ทางออก 2
ปรากฎว่า ไม่มีใครรอเราอยู่เลย
free wifi ก็ไม่มี ติดต่อกันก็ไม่ได้
หรือน้องเค้ารอจนเลิกรอไปแล้วหว่า เลยลองเดินขึ้นออกไปรอข้างนอกนานสองนานก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครเดินขึ้นมา
เดินลงบันไดไปรออีกรอบก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเดินออกมาทางออกนี้กันซักเท่าไหร่
รอไปรอมาเริ่มใจเสีย เพราะรอไป 15 นาทีแล้ว
จนสุดท้าย น้องเค้าเดินมา ขอโทษขอโพยใหญ่
แบบว่า เป็น 15 นาทีที่เราร้อนรนมาก ใจหายแล้วหายอีก จำหน้าทุกคนที่เดินผ่านเราได้เลยระหว่างที่รอน้องเค้า
เฮ้อ โล่งอกไปที ได้เวลาสนุกแล้วสิ






แล้วเราสองคนก็พูดคุยกัน
น้องเค้าเป็นคนจีน มาเรียนต่อโทที่นี่ ภาษาญี่ปุ่นน้องเค้าดีมาก
ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมพอดี น้องเค้าเลยมีเวลามาเที่ยวกับเรา
แต่เที่ยวด้วยแค่วันนี้กับพรุ่งนี้ช่วงเช้านะ เพราะน้องเค้ามีไปเสิร์ฟที่ร้านอาหารต่ออีก 5 วันที่เหลือ
ถ้าเค้าเรียนจบก็อยากจะทำงานที่นี่เลย
แล้วถ้าการงานมั่นคง ก็จะเอาพ่อกับแม่ย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วย เพราะเค้าเป็นลูกคนเดียว

เดินคุยกันไป แดดตอน 9 โมงก็เริ่มเผากันไป กว่าจะเดินถึงสวน เล่นเอาเหนื่อยหอบ
ทั้ง ๆ ที่ไอ้ทางออก 2 นี่คือใกล้สวนที่สุดแล้วนะ
เห็นประตูสวนอยู่ไกล ๆ แต่หารู้ไม่ว่า
กว่าจะเดินถึงสวน ไม่ใช่ใกล้ ๆ เลย เพราะรั้วมันไกลจากตัวสวนอยู่พอสมควรเลย
เม้ามาเยอะละ มาดูรูปกันดีกว่า

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

สวนที่นี่ใหญ่โตมโหฬาร และต้นไม้ก็เยอะสุด ๆ แล้วแต่ละต้นก็ใหญ่มาก ๆ อายุเป็นร้อยปีได้
เป็นโอโซนท่ามกลางตึกสูงแถวนี้เลย

Image Hosted by PicturePush

เดินดูสวนไปเรื่อย ๆ แดดเริ่มร้อนแรง เหงื่อไหลเป็นน้ำเลย หิวน้ำสุด ๆ
โชคดีในสวนก็มีตู้กดน้ำดื่ม
อย่างที่บอกว่าทริปนี้ ตามล่าหาชาเขียวเท่านั้น
ล่อชาเขียวไป 2 ขวด ๆ ละ 150 เยนซึ่งเป็นยี่ห้อที่ถูกที่สุดในตู้แล้ว
โอ้วม่าย ได้ชาเขียวจืด ๆ ขมนิด ๆ มาขวดละ 50 บาท
กินแก้กระหายน้ำไป 2 ขวด ค่าน้ำร้อยนึงพอดี แพงฉิบ




แล้วเราก็เดิน เดิน เดิน แล้วก็เดินชมสวนกันต่อ
ซึ่งสวนก็ใหญ่ซะจนเราเริ่มเบื่อความเขียวไปเลยทีเดียว
จากที่ก่อนมา เราหิวกระหายความเขียวจะเที่ยวแต่สวนในโตเกียว
ทำแพลนเที่ยวมันวันละ 2 สวน
พอมาเจอสวนที่แรก เล่นเอาเบื่อสวนเลยทีเดียว เพราะต้นไม้มันเยอะจัด
คือเยอะน่ะดีนะ แต่มันไม่ติดกันเป็นร่มเงาให้เราเดินได้อย่างชิล ๆ ไง
ถามว่ามีบ้างมั้ย ตอบคือมี แต่ทางสั้นมาก เดิน 10 ก้าวก็หมดละ

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

มันเยอะ แต่ทางเดินมันร้อนมาก เพราะทางเดินเป็นซีเมน แล้วมันระเหยขึ้นมาด้วย
แล้วเรา 2 คนมาเดินตอน 9-10 โมงในเวลาที่แดดกำลังแรงเลยโดยไม่มีร่มเงาของต้นไม้เลย
คิดดูสิว่าเราร้อนกันขนาดไหน ต่อให้เพลินกับต้นไม้ก็เพลินได้ไม่นาน อยู่ได้ชั่วโมงครึ่งก็ต้องขอบายนะจ๊ะ แต่ประทับใจมาก เพราะใหญ่โตอลังการ
ตอนเดินอยู่เจอตำรวจด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่ามาทำอะไร

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush


แล้วเดินขึ้นไปจุดชมวิว (รึเปล่า?)
ก็เดินกลุ่มนักเรียนมาทัศนศึกษา

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush


ระหว่างทางเดินออกจากสวน เราต้องกลับทางเดิม เพราะมันมีประตูเดียว

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush


สรุปแล้ว ตลอดการเดินชมสวนด้านใน เราไม่เห็นสระน้ำอย่างในรูปถ่ายเลย
หรือเพราะสวนมันใหญ่มาก เราคงเดินไปไม่ถึงมากกว่า

ออกมาด้านนอกสวนจะเป็นคูน้ำล้อมรอบ


Image Hosted by PicturePush



แล้วเราก็เดินไปจุดหมายต่อไปของเรา
คือการไปดูสะพาน Nijubashimae ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ คนญี่ปุ่นบอกว่ามันเดินถึงกันได้ (ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใกล้เลยสำหรับคนกรุงเทพฯ อย่างเราที่อาศัยวินมอร์ไซค์เป็นหลักอย่างเรา เดินจนเมื่อย เพราะมันเดินถึงกันได้แต่เดินประมาณ 1 สถานีรถไฟ มาเช็ค google map มันบอกว่า Walk 1.2 km, 14 min นี่ตูเดินเป็นกิโลท่ามกลางแดดเปรี้ยง ๆ ตอนใกล้เที่ยงหรือนี่ มิน่าทั้งเมื่อย ทั้งร้อน)
จากแพลนที่จะเดินกลับไปสถานีแล้วนั่งรถไป 1 สถานีแล้วเดินไปสะพาน
เอาวะ เดินไปก็ได้ จะได้ดูวิวระหว่างทาง (ตอนใกล้เที่ยง) ไปด้วยเลย
เดินไปก็มองสองข้างทางไป ด้านนึงจะเป็นทางรถวิ่ง
อีกด้านนึงจะเป็นคลอดและกำแพงของพระราชวังก็เพลินไปอีกแบบ แต่โคดร้อนบอกเลย

Image Hosted by PicturePush

ที่ญี่ปุ่นเค้าใส่ใจแม้กระทั้งพื้นนะ พื้นนี่เรียบกริ๊บ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เดินหรือลากกระเป๋าสบายตลอดเส้นทางทุกที่
รวมถึงความน่ารักของพื้นเช่นอันนี้

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

และแล้วเราก็เดินฝ่าแดดมาครึ่งทาง ได้เจอปราสาท เลยแวะถ่ายรูปด้วยซะหน่อย
ตอนแรกนึกว่าถึงแล้ว โอ๊ย ไม่ใช่จ้ะ แต่ก็เดินมาเกินครึ่งทางละ
เจอวิวนี้ไปละลายเลย สวยจัง ชอบบบบ ถ่ายใหญ่เลย


Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush



แล้วเราก็ต้องเดินไปอีก
ดูทางที่เดินไปสิ โล่งมากกก ไม่มีแม้เงาให้หลบแดด จะเป็นลม

Image Hosted by PicturePush

เดินไปใกล้ ๆ เริ่มเห็นผู้คน คิดว่าใช่เลย ต้องที่นี่แหละ

Image Hosted by PicturePush


แล้วก็ถึงซะที สะพาน Nijubashi หรือสะพานแว่นตา
ที่ดูสวย นิ่ง เหมือนจะสงบ แต่ก็ไม่สงบเพราะทัวร์เกาหลี กับ ทัวร์จีนลง
พลุกพล่านไปหมด จะเอาตัวเองถ่ายกับสะพานโดยไม่ติดคนเป็นไปได้ยากเหลือเกิน
สะพานมีเรือกอนโดล่าเก็บขยะซะด้วย หายากนะเนี่ย มาตอนมีเรือเนี่ย 555

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

แล้วเราก็เดินขึ้นไปใกล้ ๆ สะพาน เป็นทางเดินเข้าวังมั้ง แต่เรากั้นไม่ให้เข้า

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush


แล้วก็มีอีกสะพานนึงด้านบน แต่ไม่สวยเท่าสะพานแว่นตานะ

Image Hosted by PicturePush

ต้นไม้เยอะโคดจนนึกว่าอยู่ข้างลำธาร ชอบจริง ๆ

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

แล้วเราก็ไปจุดหมายต่อไป คือสถานีโตเกียวตอนเที่ยง
อันนี้คือสองข้างทางระหว่างเดินกลับไปสถานี OTEMACHI

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

ตอนเดินกลับมาที่ในสถานีเลยเจอกลุ่มสาวออฟฟิศยืนกันเป็นกลุ่ม ๆ
แอบถ่ายมา ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าเค้ายืนกันทำไม
อาจจะพักเที่ยงแล้วยืนรอเพื่อนรึเปล่าก็ไม่รู้
น่ารักดียืนกันเป็นวงกลมเป็นย่อม ๆ เหมือนทำกิจกรรมต่างจังหวัดยังไงยังงั้นเลย
แอบถ่ายแฟชั่นสาวออฟฟิศญี่ปุ่นหน้าร้อนมาให้ดูกันจ้ะ
สังเกตได้ว่า รองเท้าสาว ๆ นั้นมีแค่ 2 สี คือไม่ดำก็ขาวเนอะ
รูปแรกที่ใส่เอี๊ยมกับผ้าใบคือน้องที่มาเที่ยวกับเรานั่นเอง มิใช่ชุดสาวออฟฟิศญี่ปุ่นแต่อย่างใด กลัวเข้าใจผิด ฮา ๆ


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush


คือสถานี OTEMACHI เนี่ยเป็นสถานีใหญ่มาก เพราะเป็นสถานีจุดตัดของหลายสายรถไฟ





ขึ้นมาจะเป็นตึกออฟฟิศโล่งกว้างและที่มีร้านอาหารมากมาย แล้วคนออฟฟิศก็มีทำงานแถวนั้นเยอะ

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

เอิ่ม
แล้วนี่อะไร
เมาตั้งแต่เมื่อคืนหรืออย่างไร

Image Hosted by PicturePush

ลาไปด้วยภาพนี้เลยแล้วกันนะคะ
ว้า เล่าตั้งนาน ได้แค่ครึ่งวันเอง
เดี๋ยวคราวหน้ามาต่อนะคะ อาจจะไม่ได้อัพทุกอาทิตย์ แต่จะพยายามไม่ขี้เกียจละ
เพราะรู้สึกว่าช่วงนี้ขี้เกียจอัพบล็อคมาก จากอัพอาทิตย์ละครั้ง เป็น 2-3 อาทิตย์ครั้ง กลับมาจากญี่ปุ่นมา 3 เดือนแล้ว แต่ยังเล่าได้แค่ทริปวันแรก
อย่างว่าล่ะนะ เม้าซะเยอะ ต้องทำรูปเยอะอีกต่างหากทำให้แค่คิดก็ขี้เกียจอัพละ
ใครรออยู่เม้นท์มาให้กำลังใจกันได้นะจ๊ะ อิอิ

ปล.บล็อคเราจะเน้นรูปเยอะ โดยเฉพาะผู้คนเดินถนน หนุ่มสาวออฟฟิศญี่ปุ่นนะคะ
เพราะเป็นรูปที่เราอยากเห็นจากบล็อคอื่น แต่หาแทบไม่เจอ ส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซะมากกว่า แต่เราชอบดูหน้าตาคนในประเทศนั้น ๆ แล้วดูว่าเค้าแต่งตัวกันยังไง ถ้าใครชอบเหมือนเราก็ติดตามกันเรื่อย ๆ ได้นะคะ รับรองว่ามีรูปหนุ่มสาวออฟิศญี่ปุ่นมาให้ดูเพียบเลย โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ซาลาริมังอายุไม่เกิน 35 สเป๊กเจ้าของบล็อค


ติดตามอ่านแต่ละตอนได้ตามลิงค์ด้านล่างนะคะ


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พัก



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบิน


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 3 เย็นวันแรกที่สถานีโตเกียว


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 4 นัดเจอและเข้าไปนอนบ้านคนไม่รู้จักฟรี ๆ คืนแรก



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 5 วัฒนธรรมภายในบ้านคนญี่ปุ่นที่เราไปค้างด้วย


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 6 ขึ้นรถไฟใต้ดินชั่วโมงเร่งด่วนเป็นครั้งแรก


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 7 ประทับใจกับจิตสำนึกของเด็กญี่ปุ่นที่เราไม่เคยถูกสอน


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 8 เทศกาลน่ารักที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 9 เจอหนุ่มในฝันบนรถใต้ดิน



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 10 พาไปเดินเล่นในสวนพร้อมพาช้อปย่าน KICHIJOJI


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 11 ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยวเข้าไปในยิมที่เด็กม.ปลายกำลังแข่ง



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 12 ไต้ฝุ่นเข้า เลยต้องเข้าดองกี้แทนตลาดนัดแบกะดิน


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 13 วันสุดท้ายในโตเกียว วัดเซ็นโซจิและสวนอุเอโนะ



Create Date : 27 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 25 พฤษภาคม 2558 19:14:52 น. 1 comments
Counter : 7473 Pageviews.

 
ขอบคุณที่มาแบ่งปันเรื่องราวให้ฟังนะคะ


โดย: Nlinni IP: 171.96.179.225 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:1:01:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.