Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
ทดสอบการสร้างบล็อคของช้าน
รับน้อง...ส่องทาง
เกาหลี กับการเที่ยวคนเดียวครั้งแรกในชีวิต
โตเกียว ครั้งแรก ตัวคนเดียว
กับหนังบางเรื่องที่ยังอิน
บ่น ๆ เพ้อเจ้อ เล่าโน่น เล่านี่ไปเรื่อย
สิงคโปร์คนเดียวครั้งแรก แถมนัดหนุ่มที่นั่นมาเที่ยวด้วย
เรื่องที่มันผ่านไปแล้ว อ่านไปตอนนี้มันไม่ดีอ่านะ
มิตรภาพฟูฟ่อง...ที่ฮ่องกงครั้งแรก ตัวคนเดียว
เที่ยวคนเดียวในมาเลย์...ไม่เก๋อย่างที่คิด
เที่ยวคนเดียวในเมืองฝรั่ง และการเจอหนุ่มตี๋หลาย ๆ คนจาก dating app
<<
เมษายน 2558
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
5 เมษายน 2558
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 11 ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยวเข้าไปในยิมที่เด็กม.ปลายกำลังแข่ง
All Blogs
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 13 วันสุดท้ายในโตเกียว วัดเซ็นโซจิและสวนอุเอโนะ
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 12 ไต้ฝุ่นเข้า เลยต้องเข้าดองกี้แทนตลาดนัดแบกะดิน
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 11 ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยวเข้าไปในยิมที่เด็กม.ปลายกำลังแข่ง
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 10 พาไปเดินเล่นในสวนพร้อมพาช้อปย่าน KICHIJOJI
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 9 เจอหนุ่มในฝันบนรถใต้ดิน
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 8 เทศกาลน่ารักที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 7 ประทับใจกับจิตสำนึกของเด็กญี่ปุ่นที่เราไม่เคยถูกสอน
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 6 ขึ้นรถไฟใต้ดินชั่วโมงเร่งด่วนเป็นครั้งแรก
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 5 วัฒนธรรมภายในบ้านคนญี่ปุ่นที่เราไปค้างด้วย
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 4 นัดเจอและเข้าไปนอนบ้านคนไม่รู้จักฟรี ๆ คืนแรก
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 3 เย็นวันแรกที่สถานีโตเกียว
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบิน
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พัก
ในที่สุด เราก็ทำแผนเที่ยวโตเกียวครั้งแรกคนเดียวเสร็จแล้ว สำหรับคนชอบเที่ยวสวนและตลาดนัดอย่างเรา
จะไปเที่ยวโตเกียวครั้งแรก แถมไปคนเดียว สนใจไม่กี่อย่างแต่สถานที่มันเยอะเหลือเกิน
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 11 ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยวเข้าไปในยิมที่เด็กม.ปลายกำลังแข่ง
เพื่อความต่อเนื่อง
ไปอ่านตอนก่อน ๆ ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้จ้ะ
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พัก
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบิน
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 3 เย็นวันแรกที่สถานีโตเกียว
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 4 นัดเจอและเข้าไปนอนบ้านคนไม่รู้จักฟรี ๆ คืนแรก
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 5 วัฒนธรรมภายในบ้านคนญี่ปุ่นที่เราไปค้างด้วย
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 6 ขึ้นรถไฟใต้ดินชั่วโมงเร่งด่วนเป็นครั้งแรก
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 7 ประทับใจกับจิตสำนึกของเด็กญี่ปุ่นที่เราไม่เคยถูกสอน
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 8 เทศกาลน่ารักที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 9 เจอหนุ่มในฝันบนรถใต้ดิน
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 10 พาไปเดินเล่นในสวนพร้อมพาช้อปย่าน KICHIJOJ
เช้าวันเสาร์ ตื่นมาให้ห้องของสาวสิงคโปร์ที่เรามาขอนอนด้วยเป็นคืนแรก
ตื่นมาปุ๊บ เจ็บคอเลย น้ำมูกมาเต็ม เราเป็นหวัดเข้าให้แล้ว
หลังจากเดินตะลอนกลางแดดเปรี้ยงวันละ 8-9 ชั่วโมงหน้าร้อนในโตเกียว
กินน้ำก็น้อย อาศัยกดตู้ชาเขียวเอาเป็นระยะ แต่ชาเขียวก็แพงเหลือเกิน
ขวด 500 มิล ตั้ง 50 กว่าบาท แถมไม่หวานด้วย เหมือนกินน้ำเปล่า ขวดละ 50 บาท
จะกดบ่อยก็ไม่ไหว วันนึงเลยกดกินแค่ วันละ 2 ขวด ฮา ๆ
ร่างกายเลยขาดน้ำ แถมแดดเปรี้ยง เจ็บคอไปตามระเบียบ
ตื่นเช้ามา สาวสิงคโปร์ยังไม่ตื่น แต่ไม่เป็นไร วันนี้เรามีนัดกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นไว้ที่รถใต้ดินตอน 9 โมงเช้า
ตื่นมามองไปหน้าต่าง
ไต้ฝุ่นเข้าแต่เช้า ฝนตกปรอย ๆ ท้างงงงวัน
เรานัดคนญี่ปุ่นคนนึงเอาไว้
เป็นชาวญี่ปุ่นแท้ ๆ คนเดียวที่เราสามารถนัดเจอเค้าได้
นอกนั้นที่นัดเจอเป็นจีนหรือสิงคโปร์ที่ไปอยู่ ไปเรียน ไปทำงานที่โตเกียวกันหมด
เรามีบอกคร่าว ๆ แล้วล่ะว่าวันนี้เป็นวันเสาร์
เราอยากไปเดินเล่นตลาดนัดแบกะดินแถว ๆ สวน yoyogi แล้วก็ไปเดินเล่นในสวน
แล้วก็ไปศาลเจ้า แล้วอาจจะไปตลาดนัดอีกซักที่
กะว่าจะไป 2 ตลาดนัด เอาให้จุใจ ฉ่ำปอดสมกับที่อยากมาโตเกียวเลย
เพราะมี 2 สิ่งหลัก ๆ ที่เราอยากมาทำที่โตเกียวเลย
คือ 1. มาเดินสวนสาธารณะในโตเกียว แล้วก็ 2. มาเดินตลาดนัดแบกะดินอันยิ่งใหญ่ในโตเกียวเนี่ยแหละ
2 วันแรก เราไปสวนกับศาลเจ้ามาจนอิ่มละ
2 วันเกือบสุดท้าย เราควรจะอิ่มกับการเดินตลาดนัดบ้านเค้า
สาวญี่ปุ่นบอกว่า โอเค ๆ ไม่มีปัญหา ฉันจะมาจอยด้วย แต่อาจจะครึ่งวันนะ
แค่เดินตลาดนัดกับเดินสวน yoyogi ถ้าฉันเหนื่อย ฉันก็ขอแยกกลับก่อน
อ่ะ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว แล้วเธอบอกว่า ฉันขอเอาสามีฉันไปด้วยนะ
เริ่ด ฉันยิ่งไม่ว่าอะไรใหญ่เลย เพราะฉันอยากคุยกับผู้ชายญี่ปุ่นมั่งเหมือนกัน
ได้แต่แอบถ่าย แอบส่งกระแสจิตมา 2 วันเต็มละ
คราวนี้ได้มองตา ได้พูดคุย ฉันกำลังอยากพอดี ฮา ๆ
สาวญี่ปุ่นที่เรานัดเจอวันนี้ เธอชื่อ ซายากะ อายุ 27-28 ปีเนี่ยแหละ เป็นน้องเราอีก
สามีก็อายุพอ ๆ กัน
เราไปสายนิดหน่อย เพราะฝนตก แล้วก็มัวแต่เดินถ่ายรูปทางจะบ้านไปรถใต้ดิน เพราะตอนกลับจะได้ไม่หลง แต่จริง ๆ ไม่มีทางหลงหรอก เพราะมันเดินตรงอย่างเดียว ไม่ได้เลี้ยงไปไหนเลย จะหลงก็เดินเลยตึกไปซะมากกว่า
แล้วนี่คือเส้นทางเดินจากที่พักของเราไปรถใต้ดินที่อยู่มุมซ้ายบนสุดของโตเกียว
บรรยากาศในรถใต้ดิน
ขึ้นจากรถใต้ดินมาก็เจอคู่หนุ่มสาวคู่นี้ยืนกัน 2 คนโดยไม่มีคนอื่นให้เข้าใจผิดเลย
ฝั่งภรรยาพูดภาษาอังกฤษพอได้ ส่วนฝั่งสามีแทบไม่ได้เลย
เราเลยได้คุยแต่กับน้องซายากะอย่างฝ่ายเดียว
น้องซายากะน่ารักมาก สดใสร่าเริงสไตล์สาววัยรุ่นญี่ปุ่น
พูดอะไรไปก็ขำแล้วก็สุโค่ย ๆ ตลอดเวลา
สร้างความมั่นใจให้คนเล่าไปอีก 200%
เราขึ้นจากรถไฟใต้ดิน ฝ่ายสามีก็เดินนำพากันไป
2 สาวก็คุยแนะนำตัว เล่านู่น นั่น นี่ ชี้นก ชี้ไม้ อธิบายกันไปหนุงหนิง ๆ
พอมาถึงสถานที่จัดงาน
เหมือนฟ้าถล่ม
มันไม่มีงาน!!!!!!!!!!
ไต้ฝุ่นเข้า เค้าเลยยกเลิก!!!!!!!!!!
แม่เจ้า นี่ชั้นมาติดเสาร์ อาทิตย์แค่อาทิตย์นี้อาทิตย์เดียวนะโว้ย
หวังจะมาช้อปเต็มที่ แต่ไม่มีงาน ไม่มีคน so sad!!!
เคว้งเลยทีนี้ ไต้ฝุ่นดับฝันฉันทั้งวันเลย ได้แต่แอบร้องไห้ในใจเบา ๆ
ฝ่ายสามีเลยชวนเดินไปหาอาหารเช้ากินกันที่ร้านอาหารแถวนั้นที่ราคาไม่แพง
มีสั่งพวกสลัด แฮมเบอร์เกอร์ ชุดอาหารเช้าฝรั่ง น่ารัก ๆ
ตกเซ็ทละ 200 บาทได้ โอเครับราคาได้ ก็สั่งแล้วขึ้นไปกินชั้นบน
ที่คนยังค่อนข้างน้อย เราเลยได้นั่งเม้ามอยกันเป็นชั่วโมงอยู่ที่นั่นหลบฝน
เราก็คุยว่าแต่ละวันไปทำอะไรมาบ้าง
เจออะไรแปลก ๆ บ้าง แล้วก็ไม่ลืมบอกว่าซาราริมังญี่ปุ่นหล่อ สะอาด เนี้ยบ และหุ่นดีมาก ๆ
พร้อมควักรูปหนุ่มในฝันของเราขึ้นมาโชว์ ฮา ๆ
ซายากะบอกว่า ทำไมไม่เข้าไปทักเลย
เพราะผู้ชายญี่ปุ่นขึ้เก๊ก และ ขี้อายมาก
ไม่มีทางที่เค้าจะเข้ามาหาเราก่อน ยิ่งถ้าเป็นต่างชาติเนี่ย หมดสิทธิ์
ด้วยภาษาด้วย อะไรด้วย
เราเนี่ยต้องเข้าไปทำความรู้จักเค้าก่อนเลย
(พูดเหมือนโฮสญี่ปุ่นบ้านแรกเราเปี๊ยบเลย)
น้องซายากะน่ารักมาก เฟรนลี่ ยิ้มเก่ง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ทุกเรื่องที่เราเล่าเลย
แต่น้องซายากะก็พูดเหมือนโฮสเราเลยว่า
ซาราริมังญี่ปุ่นไม่แข็งแรงหรอก
เห็นเนี้ยบ ๆ แบบเนี้ย จริง ๆ ก๋องแก๋งจะตาย
ไม่มีกล้าม ไม่มีแรง เพราะวัน ๆ นั่งทำแต่งานทั้งวันทั้งคืน
กลับบ้านก็ดึกดื่น อย่าว่าแต่ออกกำลังกายเลย นอนยังไม่พอเลย
ต้องออกไปทำงานแต่เช้า กลับบ้านก็เที่ยงคืนนู่น
ฟังน้องแกเล่าไป ก็จินตนาการว่าเราเป็นเมียญี่ปุ่นไป
คิดแล้วเครียด ฮา ๆ
แล้วเราก็คุยอะไรกันมากมาย แต่ด้วยความที่กว่าจะมาเล่ามันผ่านไปเกินครึ่งปีแล้ว
เราเลยจำไม่ได้แล้วว่าเราคุยอะไรกันบ้าง ฮา ๆ
จำได้แค่ว่า เค้า 2 คนเจอกันได้ยังไง
น้องบอกว่า น้องนางเป็นครูสอนเปียโน
คุณสามีอยู่ว่าง ๆ ระหว่างรอสอบเป็นครูโรงเรียนประถม แล้วมาลงเรียนเปียโนที่บ้านน้องนาง
เรียนไปเรียนมา ลูกศิษย์เลยได้คุณครูเป็นภรรยาซะเลย
ดีนะที่อายุพอ ๆ กัน ไม่งั้น อาจจะกลายเป็นความลับห้องม.6/3 เหมือน Club Friday บ้านเราแทน ฮา ๆ
ตอนนี้น้องนางก็สอนเปียโนให้กับเด็ก ๆ อยู่ที่บ้าน
ส่วนคุณสามีก็ยังเรียน แล้วก็รอสอบเข้าเป็นคุณครูโรงเรียนประถมอยู่
ซึ่งเค้าบอกว่าการสมัครสอบเป็นครูที่ญี่ปุ่นยากมาก
สอบทั้ง IQ และ EQ กว่าจะได้ใบประกาศมา แล้วยังต้องไปแข่งขันสมัครอีก
แล้วผู้ปกครองแต่ละคนก็เรื่องเยอะสุด ๆ เพราะบ้านเค้ามีลูกกันยาก
ผู้ปกครองแต่ละคนเลยรักและห่วงลูกมากจนเกินพอดี
เราก็ถามเค้านะว่าทำไมวัยรุ่นญี่ปุ่นบางคนถึงโกนหัวด้วย
เค้าก็อธิบายว่า วัยรุ่นเหล่านั้นเป็นนักกีฬาเบสบอล
ซึ่งเป็นธรรมเนียมของนักเบสบอลญี่ปุ่นที่โกนหัว
เป็น Japanese Spirit
หลักสำคัญก็คือ ให้ไม่หล่อ ไม่ให้โฟกัสที่หน้าตาตัวเอง ให้ตั้งใจโฟกัสกับเบสบอล
ฟังดูเหมือนการโกนหัวบวชบ้านเราเหมือนกันนะ
เอ๊ะ แต่ทำไมแค่เบสบอลล่ะ แล้วกีฬาอย่างอื่นละ แต่เค้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แฮ่
แล้วเค้าก็ให้เราเขียนชื่อเค้าทั้ง 2 คนเป็นภาษาไทย เพื่อที่ว่าเค้าจะได้เขียนเป็น
สมเป็นคุณครูจริง ๆ
จากนั้น กินเสร็จ หมดเรื่องคุย (จริง ๆ ยังไม่หมดหรอก คุยได้เรื่อย ๆ แต่เกรงว่าถ้าคุยติดลมมาก โปรแกรมเที่ยวของวันนี้เราจะหายไป)
เลยพากันเคลื่อนตัวไปสวน yoyogi เพื่อเจอกับสาวจีนอีกคนที่เรานัดเจอ
เธอบอกว่าวันนี้ที่สวน yoyogi มีงานเทศกาลอาหารยุโรปด้วย
เลยอยากมาเจอกัน เราก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ยิ่งเจอเยอะ ยิ่งสนุก แต่อาจจะเทคแคร์ไม่ครบทุกคนเท่านั้นเอง (ทำอย่างกะเป็นเจ้าบ้าน)
อันนี้เป็นรูประหว่างทางไปสวน
ไม่คิดว่าสวนมันใหญ่มากขนาดนี้ เดินผ่านไป เสียงแมลงหึ่ง ๆ ตลอดทาง
ดูสิ มี homeless ด้วยนะ แต่โฮสเลสญี่ปุ่นเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
คือตอนเช้าก็มีการเก็บกวาด เป็นระเบียบสุด ๆ สมกับเป็นคนไร้บ้านที่ญี่ปุ่นจริง ๆ
แล้วเราก็เดินมาถึงงาน ท่ามกลางฝนโปรย
งานจัดตรงลานกิจกรรมในสวนเลย
ซึ่งมีขายอาหารหลากหลายชาติมาก
ซึ่งแพง ๆ ทั้งนั้น ซื้อกินไม่ลงเลยทีเดียว
คำนวณดูแล้ว 1 จานกระดาษกะโหลกกะลาก็ 200-300 บาท ไม่อิ่มอีกต่างหาก
อารมณ์ว่าได้ไก่ 1 ชิ้น ขนมปังอีก 1 ชิ้น 200 บาท พ่องงง กรูไม่ซื้อโว้ย แพงเกิ๊น
ก็เดินเล่นดูงานไป พยายามใช้พลังงานให้น้อยที่สุด
มิเช่นนั้นความหิวจะทำให้เสียเงินไปกับอาหารต่างชาติโครตแพงเหล่านี้
อ้อ มีร้านคนไทยด้วยนะ
น้ำมพร้าวแก้วละร้อยกว่าบาท เหมือนซื้อเมืองไทยแก้วละ 25 น่ะ
เมืองไทยแก้วละ 25 ยังได้ทั้งน้ำและเนื้อเต็ม ๆ
ซื้อที่นั่น ได้น้ำแข็งมาด้วย ทำให้น้ำเหลือไม่ถึงครึ่งแก้ว ซื้อไม่ลงจริง ๆ
คนไทยขายด้วย แต่ไม่ว่าจะน้ำอะไรก็แก้วละร้อยกว่าบาท
ด้อม ๆ มอง ๆ เข้าไปคุยแล้วรีบเดินออกมา
ขออภัย หนูมาแบบยาจก ฮา ๆ
มีบางร้านแถวยาวมากเลยนะ
อย่างร้านข้าวผัดสเปนเนี่ย คิวยาวมาก
แต่ไม่ไปต่อหรอกนะ 1 จานกระดาษ 200-300 บาท ผ่านนนนน
ตรงลานอีกฝั่งนึงก็มีการแสดง เราร่วมแจมกันได้นะ
กว่าเราจะได้เจอกับน้องจีนก็ทุลักทุเล
เพราะเราไม่มี free wifi แถวนั้นเลย
เลยต้องพึ่งน้องญี่ปุ่นให้โทรหาน้องจีนคนนั้นหน่อย
แล้วเราก็ได้เจอกัน
น้องจีนภาษาญี่ปุ่นดีมาก มาทำงานเป็นพยาบาลอยู่โตเกียวได้หลายเดือนแล้ว
น้องเพิ่งจบพยาบาลจากที่จีนมา แล้วก็เรียนภาษาญี่ปุ่นที่นั่นก่อนมาทำงานที่นี่
ญี่ปุ่นต้องการพยาบาลมาก มีพยาบาล import มาเพียบ
เพราะบุคลากรของเค้าไม่พอ
แล้วพวกเราทั้งหมดก็เคลื่อนตัวไปที่ศาลเจ้าเมจิ
วันนี้เราใช้สมองในการจดจำทิศทางน้อยมาก
เพราะสามีน้องซายากะนำตลอด
พวกเราสาว ๆ ก็มีหน้าที่เม้ามอยและเดินตามอย่างว่าง่าย
ศาลเจ้าเมจิใหญ่โตอลังการกว่าที่เราคิดไว้มากมาย
แต่ประตูศาลเจ้าก็ทำให้เราอึ้ง ตะลึงไปชั่วขณะ
ยิ่งเข้าไปด้านใน เป็นสวนใหญ่โต แต่สงบมากมาย
ต้องเดินซักพักนึงเลยนะกว่าจะถึงด้านใน
ระหว่างทางก็เป็นเหมือนป่าเลย คือร่มรื่น สุขสงบ
ใครอารมณ์ร้อน ๆ เข้ามา เดินยังไม่ถึงตัวศาลเจ้าด้านในก็จะสงบลงละ
เพราะทางเดินเข้าด้านในจะค่อย ๆ ปรับอารมณ์เราให้เย็นลงเองอย่างไม่ต้องพยายาม
แล้วก็เดินมาถึงอีกประตูนึง ซึ่งเหมือนกับประตูแรกนะ แต่ต้องเดินเข้ามาไกลเหมือนกัน
แล้วก็ยังต้องเดินเข้าไปอีก
เออ เราเห็นคุณลุงคนนี้ที่ตั้งใจกวาดใบไม้มากเลย
เราก็เลยบอกว่าคนญี่ปุ่นตั้งใจ๊ ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองที่เรารับมอบหมายดีเนอะ
ทำแบบตั้งใจสุด ๆ ราวกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิตตัวเอง
น้องซายากะเลยบอกว่าใช่ ๆ นี่เลย Japanese Spirit
ถึงซะทีประตูด้านในสุด กับบรรยากาศรอบ ๆ ศาลเจ้า
พอไปถึงด้านในศาลเจ้า
แม่เจ้า
ใหญ่โตอลังการ
มีต้นไม้คู่ด้วย ดูน่ารักสมกับเป็นญี่ปุ่น
มีคู่รักแต่งตัวชุดญี่ปุ่นมาเดินศาลเจ้ากันงุ้งงิ้ง ๆ
ไม่วายไปขอถ่ายรูปกับเค้าด้วย น่ารักจุง
ให้ดูบรรยากาศในศาลเจ้า
แล้วสิ่งที่เราอยากเห็น ก็ได้เห็น
คือคนมาแต่งงานกันในศาลเจ้า
แต่มีคนบอกว่ามีเกือบทุกวัน ไม่เห็นสิแปลก
เราก็กลัวไม่เห็นนะ เพราะเวลาที่เค้าเดินออกมา เราอาจจะไปแล้วก็ได้
แต่โชคดีที่ได้เห็นพอดี
มีคนบอกว่าแต่งงานที่ศาลเจ้าเมจิต้องรวยมากนะ เพราะแพงมาก หลายแสนบาท
เบื้องหน้า
เบื้องหลัง
คู่บ่าวสาวคงเขินเหมือนกันเนอะ
พอเสร็จแล้ว ก็มาหลบฝนกันที่ร้านอาหารในศาลเจ้า
หาอะไรกินกันนิดหน่อย
สามีน้องซายากะน่ารักมาก หาน้ำท่ามาให้สาว ๆ ในกลุ่มทุกคนเลย
แล้วพวกเราก็เริ่มง่วงนอน
เราก็เริ่มมีอาการเหมือนเป็นไข้ หลังจากตากแดดมา 2 วันและตากฝนมาครึ่งวัน
เหมือนไม่ค่อยมีแรง ตาจะปิดให้ได้ แต่นี่มันเพิ่งบ่ายโมงกว่าเองนะ
ไม่ได้ ๆ ชั้นขอคุ้ม ไปไหนต่อดี
แผนพัง เลยคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอะไรต่อ
สามีน้องซายากะเลยบอกว่า งั้นลองไปสเตเดี่ยมใกล้ ๆ กันมั้ย
วันนี้มีเด็กม.ปลายมาแข่งยิมนาสติกกันพอดี
เค้าให้เข้าฟรีด้วย ไปชม ไปเชียร์น้อง ๆ ม.ปลายได้ตามสะดวก
โอ้ว คบคน local มันก็ดีอย่างนี้นี่เอง
ได้ไปสถานที่ ๆ ไม่มีใน guide book ได้ไปสถานที่แปลกใหม่ซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นเท่านั้นที่รู้
ต่างชาติอย่างเราจะไปรู้ได้ยังไงว่าในนั้นมีการแสดง หรือเข้าได้รึเปล่า
เป็นโชคดีของเราจริง ๆ
เราพากันไป Yoyogi National Gymnasium
มืดสลัวเกินไป เดี๋ยวไม่ชัด ขอปรับแสงขึ้นมาหน่อยละกัน
ด้านในคนเยอะอลังการ
เพราะเด็กม.ปลายเค้ามาเชียร์เพื่อน ๆ ของเค้ากันนี่เอง
อย่าคิดว่าเด็กม.ปลายเล่นยิมนาสติกกะโหลกกะลานะ
เฮ้ย เก่งมากเลย ท่ายาก และ พร้อมเพรียงมาก
ดูแล้วยังอึ้งเลย
ในนั้นเค้าห้ามถ่ายรูป แต่ก็อดใจไม่ไหวแอบถ่ายมา
ถ่ายมาทั้งไข้กิน ง่วง ๆ เพลีย ๆ นั่นแหละ
ท่านี้เด็ดสุด ท่ายาก แถมพร้อมเพรียงกันสุด ๆ เอาใจไปเลยน้อง
แข็งแรงมั่ก ๆ
หลังจากนั้นคู่สามี ภรรยาก็ขอตัวกลับบ้านก่อน
เหลือเรากับน้องพยาบาลจีน
น้องพยาบาลเริ่มหิว เราเลยกลับไปที่งาน
นั่งคุยกันเล็กน้อย
น้องพยาบาลเล่าให้ฟังว่า
มาทำงานที่ญี่ปุ่นเหนื่อยมาก การบริการเค้ามาตรฐานสูงมากจริง ๆ
ที่ญี่ปุ่น เค้าต้องเช็ดตัว อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนไข้ด้วย
แต่ที่จีน เค้าไม่ต้องทำ เพราะเป็นหน้าที่ของญาติ
ซึ่งจริง ๆ เค้าไม่อยากทำเลย แล้วทั้งคนไข้และญาติก็ดูจะจิกหัวใช้เค้ามาก
คือทำงานบริการตามมาตรฐานก็ยากแล้ว เจอความเยอะและความคาดหวังของคนญี่ปุ่นกับการบริการยิ่งเหนื่อยและหนักกว่าหลายเท่า แต่เค้าก็ต้องอดทน
แล้วก็คุยถึงเรื่องการมาเดินเล่นวันหยุดในหลาย ๆ ที่
ที่จะต้องมีผู้ชายญี่ปุ่นหรือผู้ชายต่างชาติมาขอ one night stand กับน้องเค้า
ซึ่งน้องเค้าก็ไม่เข้าใจว่าหน้าตาอย่างน้องเค้าดูเป็นผู้หญิงอย่างว่าหรืออย่างไร
ซึ่งเราก็ว่าน้องก็หน้าหมวย ๆ ใส่แว่น เหมือนเรา ทำไมน้องเจอแต่ผู้ชายอย่างนั้นหว่า
นี่เป็น 2 เรื่องที่จำได้ระหว่างคุยกับน้องเค้า หลังจากผ่านมาเกินครึ่งปี
แล้วเราก็จะเอาขยะไปทิ้ง
แล้วก็ต้องตกใจ แกมประทับใจที่ญี่ปุ่นเค้ามีคนมาแยกขยะกันเป็นเรื่้องเป็นราวเลยนะ
ไม่ใช่ว่าขยะนี่ จะทิ้งยังไงก็ได้นะ
แล้วแหม น้องที่แยกขยะยังหน้าตาดีเลย เจ๊ชอบตรงนี้ ฮา ๆ
แล้วเราก็ไปเดินเล่นที่ฮาราจูกุกัน
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไข้กิน ไม่มีแรง ตาจะปิด เจ็บคอ น้ำมูกไหล ฯลฯ
คือสภาพป่วยมาก แต่ยังอยากเที่ยวให้หมดวันน่ะ เข้าใจมั้ย
ญี่ปุ่นไม่ได้มีโอกาสมาง่าย ๆ แต่ร่างกายไม่ถนอมมันแย่กว่ามั้ยวะเนี่ย
อันนี้บรรยากาศทางเดินไปฮาราจูกุ
ถึงสถานีแล้ว
ขนาดฝนตกนะเนี่ย
คนยังเยอะมหาศาล
เดินต่อจากสถานีไปตามทาง เดี๋ยวก็ถึง
ถึงแล้วปากทางเข้า
ซอยมันไม่ลึกมากนะ แต่คนเยอะ ทำให้กว่าจะไปถึงสุดซอย เล่นเอาเหนื่อย
กับมวลมหาวัยรุ่นญี่ปุ่น และ ต่างชาติ
ขี้เกียจบรรยายละ เชิญทรรศนา
รูปเยอะมาก ถ่ายเพื่อเอามาลงบล็อคโดยเฉพาะ ตัวเองยังไม่ได้ดูเลย ย่อรูปลงหมดทุกรูป
ดูการแต่งตัวไว้เป็นตัวอย่าง นี่ขนาดหน้าร้อนนะเนี่ย
น้องคนนี้โครตเท่เบย ถูกใจเจ้ ให้ 10 ดาวเบย กรี๊ด ๆ หุหุ
อย่างว่านะ ผู้ชายคนไหนโอเค เจ้ขอถ่ายหลายช็อตหน่อยนะ เป็นธรรมดา อุอุ
ชอบเจ๊ชุดชมพูคนนี้มาก เลยถ่ายเก็บซะหลายช็อต
ซูม ๆ เสื้อผ้า หน้าผมของเธอ ท่าทางชอบสีชมพูจริงจังนะเนี่ย
ถ่ายผู้ชายบนรถใต้ดินมาเยอะละ
เปลี่ยนมาถ่ายขุ่นแม่บ้างดีกว่า
กลับมาถึงห้อง โฮสสิงค์โปร์ทำข้าวปั้น ซุปและเค้กชาเขียวให้กินจ้า
ซึ้งใจมาก ๆ กลับมาแบบป่วย ๆ เหนื่อย ๆ หิว ๆ แล้วมีอาหารรอนี่ มันสุดยอดเลย
รีบกิน รีบคุย แล้วก็ตบท้ายด้วยยาแก้ไข้ แก้หวัด แก้ไอ แก้เจ็บคอ
ดูซิว่าเช้าวันต่อไปจะรอดมั้ย กึ๋ย ๆๆๆๆ
ปล. อัพช้าหน่อยนะ เพราะบล็อคญี่ปุ่นมันใช้เวลามากเหลือเกิน ทั้งเวลาในการพิมพ์ เวลาในการเลือกรูป ย่อรูป โหลดรูป ฯลฯ แต่จะพยายามให้เสร็จในเร็ววัน
เพราะเราจะได้ไปญี่ปุ่นอีกแล้ว ปลายเดือนนี้ แล้วไม่ใช่โตเกียวด้วยจ้า ไปหาหิมะที่ญี่ปุ่นจ้า
เลยอยากรีบอัพโตเกียวให้เสร็จ เพื่อทริปญี่ปุ่นถัดไป เป็นใบไม้ผลิ แต่ไม่รู้ได้เห็นซากุระรึเปล่านะ เพราะขึ้นเขาไปหาหิมะแทน ตอนนี้ news feed บน facebook มีแต่คนไปญี่ปุ่น ตั้งแต่เหนือ จรด ใต้ เห็นซากุระจนเบื่อ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่เคยเห็นของจริง เพราะเพิ่งเคยไปครั้งแรกก็หน้าร้อนที่ผ่านมานี่แหละ
ติดตามอ่านแต่ละตอนได้ตามลิงค์ด้านล่างนะคะ
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พัก
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบิน
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 3 เย็นวันแรกที่สถานีโตเกียว
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 4 นัดเจอและเข้าไปนอนบ้านคนไม่รู้จักฟรี ๆ คืนแรก
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 5 วัฒนธรรมภายในบ้านคนญี่ปุ่นที่เราไปค้างด้วย
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 6 ขึ้นรถไฟใต้ดินชั่วโมงเร่งด่วนเป็นครั้งแรก
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 7 ประทับใจกับจิตสำนึกของเด็กญี่ปุ่นที่เราไม่เคยถูกสอน
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 8 เทศกาลน่ารักที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 9 เจอหนุ่มในฝันบนรถใต้ดิน
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 10 พาไปเดินเล่นในสวนพร้อมพาช้อปย่าน KICHIJOJI
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 11 ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยวเข้าไปในยิมที่เด็กม.ปลายกำลังแข่ง
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 12 ไต้ฝุ่นเข้า เลยต้องเข้าดองกี้แทนตลาดนัดแบกะดิน
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 13 วันสุดท้ายในโตเกียว วัดเซ็นโซจิและสวนอุเอโนะ
Create Date : 05 เมษายน 2558
Last Update : 25 พฤษภาคม 2558 19:14:00 น.
1 comments
Counter : 2224 Pageviews.
Share
Tweet
เคยเจอ homeless แถวชินจูกุค่ะ แทบร้องไห้ เพราะสงสาร คือหนาวมาก เขาก็นอนข้างถนน ไม่มีผ้าห่มมีแต่กล่องที่ห่มแทน เศร้า
โดย:
mariabamboo
วันที่: 10 เมษายน 2558 เวลา:9:03:59 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [
?
]
ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.