วันที่ 2 นอนโบโลญญ่า แล้วแว่บมาหาบรูเนลเลสกี้ที่ฟลอเรนซ์

18 มีนาคม 2568

ตอนแรกสองจิตสองใจ ว่าวันนี้จะเลือกวันเดย์ทริปไปที่ราเวนน่า เมืองที่ยังไม่เคยไป เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันตะวันตกในช่วงเวลาหนึ่ง หรือจะไปฟลอเรนซ์ เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตที่เคยมาแล้วดี สุดท้ายก็เลือกเมืองคุ้นเคยที่ฟลอเรนซ์ก็แล้วกัน



เริ่มจากมิลาน เราเดินจากโฮสเทลแค่ 5 นาที ก็มาถึงสถานี Milano Centrale
เช้าตรู่ฟ้ายังไม่สว่างดี สถานีก็โล่งๆเดินสบาย ที่มิลานทุกอย่างดูใหญ่โต บึกบึนไปหมด แค่สถานีรถไฟก็ยังขนาดนี้ โอ่อ่าอลังการ สมกับเป็นหัวเมืองใหญ่ของประเทศ



ประโยชน์ของการเจ็ตแล็ก คือการตื่นแต่เช้ามืด อย่างวันนี้ ตื่นมาตั้งแต่ตีสอง มานั่งกินไก่ทอดที่เหลือจากมื้อเย็นเมื่อวาน เติมพลังก่อนออกเดินทางเรียบร้อย 



คิดถึงลูกๆที่บ้าน ส่องดูแอคเซสซอรี่น้องหมา ราคาแรงกว่าเสื้อผ้าคนอี๊ก สายจูงราคาเป็นพัน ลูกๆใส่ของช้อปปี้จีนไปก่อนนะคะ แม่ไม่มีเงินซื้อเมดอินอีตาลีให้



เที่ยวรถไฟรอบเช้า หกโมงกว่าๆ คนโล่ง เดินทางไปโบโลญญ่ากันเล้ยย



คืนนี้นอนที่โบโลญญ่า แวะเอากระเป๋ามาฝากที่โรงแรมก่อน
พักที่ Albergo Centrale Bologna



มีเวลา 3 ชั่วโมง ก่อนจะถึงรอบรถไฟที่จองไปฟลอเรนซ์ เลยเดินเที่ยวโบโลญญ่าก่อนหนึ่งกรุบ เริ่มจาก La Piccola Venezia เวนิสน้อย ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโรงแรม ถ้าไม่ตั้งใจดูคือจะเดินผ่าน หาไม่เจอได้ง่ายๆเลยนะ เป็นช่องหน้าต่างเล็กๆข้างถนนที่มองออกไปจะเจอคลองส่งน้ำโบราณของเมือง



ตอนนี้คลองน้ำแห้งอีกตะหาก เป็นจุดท่องเที่ยวแบบห้าบาทสิบบาท ไม่มาก็ไม่ถือว่าพลาดอะไรนะ



กินมื้อเช้ารอบสองกัน เข้าบาร์กาแฟ Terzi เป็นหนึ่งในร้านดังของเมือง
บรรยากาศโอลด์สกูล บาริสต้าใส่เชิ้ตผูกผ้ากันเปื้อน แต่งตัวเนี้ยบ 
ราคาน่ารักด้วย หมดนี้ 3.80 ยูโรเอง คาปูชิโน่และครัวซอง



สัญลักษณ์นึงของโบโลญญ่า คือ เป็นเมืองแห่งหอคอย เมื่อก่อนมีเยอะมาก ด้วยความนิยมที่คนรวยๆมีเงินก็จะสร้างหอคอยประจำตระกูล เหมือนคนไทยสร้างวัดอ่ะ ส่วนตอนนี้ถล่มลงเกือบหมดแล้ว แล้วก็เป็นเมืองแห่งการศึกษา เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโบโลญญ่าซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของยุโรป ดังนั้นบรรยากาศเมืองก็จะสดใสวัยรุ่น มีวัยรุ่นจับกลุ่มนั่งคุย ทำกิจกรรมตามมุมต่างๆ



จัตุรัสกลางเมือง Piazza Maggiore



น้ำพุเทพเนปจูน ช่วงที่ไปเค้าปิดปรับปรุง น้ำพุไม่เปิด 



เมืองไม่ใหญ่มาก นี่แค่เดินรอเวลาขึ้นรถไฟ เก็บที่เที่ยวจะครบแล้ว ที่เหลือไว้เที่ยวโบโลญญ่าต่อพรุ่งนี้
 
ย้อนกลับไปตอนที่กำลังนั่งรอเครื่องออกจากเชียงใหม่ไปกทม. นั่งเล่นมือถือ แล้วเห็นโพสต์ว่ารถไฟอิตาลีมีสไตรก์หยุดวิ่งช่วงเรามาเที่ยวพอดี เลยแวะมาเจรจาเรื่องตั๋วที่ออฟฟิศอิตาโล่ที่โบโลญญ่า ชอบตรงที่พนักงานใจเย็นมาก สื่อสารดี เค้าแจงทางเลือกให้ สุดท้ายก็แก้ไขได้ ด้วยการยกเลิกตั๋ววันที่มีสไตรก์ เปลี่ยนเป็นเราจองรถบัสแทน แล้วเอาเครดิตที่ได้เปลี่ยนเป็นตั๋วใหม่ไปอีกเมืองในอีกวัน



นั่งรถไฟจากโบโลญญ่าแค่ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงฟลอเรนซ์

รอบนี้ แค่ชะแว่บมาเดินเที่ยวเล่น ชมเมือง ไม่เข้ามิวเซียมใดๆ ตั้งใจกลับมาสวัสดีคุณพ่อบรูเนลเลสกี้ ที่เป็นเหมือนไอดอลในใจเราเสมอมา 

ด้านหน้าโบสถ์ประจำเมือง Santa Maria del Fiore



มื้อเที่ยงอยากกิน Florentine steak มาก แต่มาคนเดียว แล้วอิสเต็กนี้ขนาดขั้นต่ำหนึ่งเสิร์ฟใช้เนื้อหนัก 1 กก. ขึ้นไป เป็นอาหารที่ต้องอาศัยทีมเวิร์คในการกิน ก็ไม่รู้ชาตินี้จะมีวาสนาได้กินมั้ย นี่ก็เลยสั่งเนื้อตุ๋นมาถูไถก่อน อย่างน้อยก็ได้กินเนื้อแหละนะ ขนาดจานแค่นี้ยังกินไม่หมดเล้ยยย



หลังคาโบสถ์โดมแดง สัญลักษณ์ของเมืองฟลอเรนซ์
ดีใจที่ได้กลับมาเจอกันอีกนะ



มาสวัสดีคุณพ่อบรูเนลเลสกี้ สถาปนิกผู้สร้างมาสเตอร์พีซ บรูเนลเลสกี้โดม
คุณพ่อนั่งมองโดมอยู่ตรงหน้าออฟฟิศขายตั๋ว




ไม่ได้แพลนอะไรจริงๆ เลยเดินไป Piazzale Michelangelo ดีกว่า เดิมๆ



ข้ามแม่น้ำอาร์โน
เมื่อ 2-3 วันก่อนหน้า เพิ่งมีน้ำป่าไหลหลากที่ฟลอเรนซ์ แต่วันนี้ทุกอย่างปกติแล้ว



เดินขึ้นดอย ค่อยๆไต่ไป



เป็นวันที่อากาศหนาวมาก บ่ายต้นๆแดดแรงขนาดนี้ แต่อากาศ 8 องศา ลมแรงอีกตะหาก ดูทรงผมดิชั้นได้



ในที่สุดก็มีคนเสนอตัวถ่ายรูปให้ เย้ๆ มีรูปที่หน้าไม่ใหญ่เต็มจอแล้ว



Piazzale Michelangelo มีรูปปั้นเดวิดจำลองอยู่เป็นสัญลักษณ์
เออ จะว่าไป ทำไมเราไม่นึกอยากจะเข้ามิวเซียม Accademia ไปดูเดวิดของจริงนะ อาจจะเพราะของจำลองมีให้ดูในเมืองตั้งหลายที่มั้ง หน้า Palazzo Vecchio ก็มี



เดินกลับผ่านสวนกุหลาบเหมือนเคย Giardino delle Rose ไม่เข้าใจว่าที่นี่ทำไมไม่ฮิตในหมู่นักท่องเที่ยว
เป็นสวนสาธารณะที่เข้าฟรี เห็นวิวฟลอเรนซ์ แล้วตอนที่ไปมีดอกหญ้าดอกเล็กดอกน้อยบานเต็มไปหมด มีคนนอนเล่น อ่านหนังสือ เดินชมสวน บรรยากาศดีสุดอ่ะ



ข้ามสะพานเวคคิโอ สะพานเก่าแก่คู่เมือง เป็นสะพานที่รอดพ้นจากระเบิดช่วงสงครามโลก สองฝั่งบนสะพานมีร้านขายเครื่องประดับอยู่ ชั้นบนเป็นทางเดิน Vasari corridor ทางเดินลับที่ไม่ลับแล้ว 55 ใครอ่าน Inferno นิยายแดน บราวน์ น่าจะรู้จักดี



จุดคนเยอะๆ จะเห็นตำรวจคอยดูแลอยู่
เราว่าอิตาลีเค้าก็ให้ความสำคัญกับปัญหาโจรลักเล็กขโมยน้อยในเมืองอยู่นะ



Vasari corridor เชื่อมระหว่าง Palazzo Pitti กับ Palazzo Vecchio 
จากสะพาน จะเห็นแนวทางเดินทะลุผ่านเข้า Uffizi ไปแล้ว



เหมือนจะเที่ยวเบาๆ แต่เดินไม่เบานะ 25000 ก้าว แถมเดินขึ้นเขาอีก
จะเดินกลับไปสถานีรถไฟแล้ว ขอถ่ายสะพานเวคคิโอ อีกรูปซิ



มาถึงโบโลญญ่าตอนเย็น ห้องนอนของเราวันนี้อบอุ่นดีมาก อากาศข้างนอก -1 องศา แต่ในห้องใส่เสื้อยืดนอนได้ชิลๆ แถมขอเล่าว่าตอนจ่ายตังค่าที่พัก เราขอเค้าจ่ายเป็นเงินสด เพราะตั้งแต่มาจ่ายผ่านบัตรทุกอย่างเลยอยากระบายเงินสดบ้าง แต่พอจะจ่ายเงินที่ติดตัวไม่พอ เราบอกว่าขอไปจกเงินที่ซอนไว้ออกมาให้เพิ่ม คุณลุงเจ้าของบอกไม่ต้องๆ เอาแค่นี้ก็ได้ ลดราคาเฉยเลย ชอบคนอิตาลีตรงนี้ จริตคนไทย คุยง่าย ใจดี



ส่วนมื้อเย็นวันนี้ กินบะหมี่ถ้วยที่พกไปจากไทย เข้าห้องนอนอุ่นๆไม่อยากออกไปไหนแล้วค่า




 

Create Date : 21 มิถุนายน 2568    
Last Update : 21 มิถุนายน 2568 21:10:51 น.
Counter : 180 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

วันแรก เริ่มทริปที่มิลาน

ห่างหายไปจากการเดินทางนานมาก ไม่ได้ออกนอกประเทศมาเกือบ 2 ปี เป็นช่วงอยู่แต่บ้าน ขนาดทริปเที่ยวต่างจังหวัดก็ยังไม่มี 55 ทริปนี้ก็เลยขอไปไกลๆหน่อย เป็นทริปที่ไปเที่ยวคนเดียวอีกเช่นเคย คราวนี้ไป 2 ประเทศ อิตาลีและฝรั่งเศส

ความตั้งใจแรกคือจะไปแค่ปารีสเมืองเดียว แต่ด้วยความที่วีซ่าเชงเก้นฝรั่งเศสต้องไปขอที่กทม.เท่านั้น เลยเพิ่มอิตาลีไปด้วย จะได้ขอวีซ่าของอิตาลีที่เชียงใหม่ได้ เอาเงินที่ต้องเสียค่าเดินทางไปขอวีซ่าที่กทม.มาเพิ่มงบเที่ยวเราดีกว่า ไปๆมาๆเลยได้เที่ยวอิตาลีเยอะกว่าฝรั่งเศสไปซะงั้น



สัมภาระมีเท่านี้ กระเป๋าลาก 20 นิ้วคู่ใจ ใบนี้ใช้มาตลอดตั้งแต่อิตาลีรอบก่อน ญี่ปุ่นอีก ถึกทนมาก ยังใช้ได้ดีไม่มีสะมะกึ๊กสะมะกั๊ก แต่รอบนี้เพิ่มความท้าทายไปอีกขั้นเพราะเราไปตอนกลางมีนาอากาศยังหนาวอยู่ (ต่ำสุด -1
C) แม้จะเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ตาม ต้องยัดเสื้อกันหนาวไปด้วย แต่ก็นั่นแหละ พกไปแค่นี้ ขากลับมีกระเป๋าพับไว้ขยายเพิ่มพื้นที่อีกใบ มีทฤษฎีที่คิดเองว่า ถ้าไปเที่ยว ยิ่งเป็นผู้หญิงไปคนเดียว อย่าทำตัวน่าสงสารน่าช่วยเหลือ ถ้าเราคล่องตัว โอกาสที่มิจฉาชีพจะเข้าหาก็จะน้อยลงด้วย นอกจากนี้กระเป๋าใบขนาดนี้มันสามารถลากติดตัวไปได้ทุกที เรือ รถไฟ รถเมล์ จัดยัดใต้ที่นั่งได้หมด



เริ่มเดินทาง 16 มีนาคม 2568 บินจากเชียงใหม่ลงสุวรรณภูมืก่อน 1 ตุ๊บ เนื่องจากไม่ได้ซื้อตั๋วเป็น connecting flight แต่แรก เลยเผื่อเวลาเกิดดีเลย์ รอต่อเครื่องนานตั้ง 6 ชั่วโมง เรียกว่ารอจนเบื่อ แต่ข้อดีก็ไม่ต้องลุ้นอะไรมาก 



มารอที่อาคาร satellite ปีนี้ไม่ถ่ายแล้วค่ะ กวนเกษียรสมุทร
อัพเดต 2025 ถ่ายช้างชนช้าง ^^
รู้สึกว่าอาคารใหม่ มีร้านอาหารของฝากเยอะขึ้นกว่าเดิม ขนาดเกตไกลๆก็มีร้านอาหารมีของขาย



บินตรงกับการบินไทย คนเต็มลำ ไฟล์ทนี้คนไทยน้อยมากๆๆ 



หลังจากนั่งปวดหลังตาตื่นมา 11 ชั่วโมง ก็มาถึงสนามบิน Milan Malpensa 
ตม.อิตาลีที่มิลานก็อารมณ์เดียวกับโรม ไม่สนไม่แคร์ไม่ถามไถ่อะไร ปั๊มตราอย่างเดียว ใครกังวลว่าตม.จะถามเยอะ แนะนำให้บินมาลงอิตาลีจ้า

ขณะกำลังกดซื้อตั๋วรถไฟ Malpensa Express เข้าเมือง มิลานก็ต้อนรับเราด้วยการมีลุงคนนึง ส่งเสียงบรื้อวววใส่ เราก็แค่มองหัวจรดเท้ากลับไป แก่จนปูนนี้ละยังคิดไม่ได้เนาะ นี่ก็ทำเป็นเก่งแต่ในใจก็คิด ขนาดว่ายังไม่ก้าวขาออกสนามบินนะเนี่ย มิลานมันร้ายค่ะคุณ

ก่อนขึ้นรถไฟอย่าลืม validate ตั๋ว บนรถมีเจ้าหน้าที่ตรวจด้วย เราขึ้นสถานีต้นทางยังมีที่นั่ง แต่พอผ่านไป 3-4 สถานี ที่นั่งเต็ม ตรงทางเดินคนก็ยืนเบียดมากๆ อาจจะเป็นเพราะเป็นช่วงเช้า คนคงเข้าเมืองมาทำงานกัน ลงสุดสายที่สถานีรถไฟกลาง Milano Centrale ที่คนก็แน่นสุดๆเหมือนกัน



เราจองโฮสเทล Ostello Bello Grande อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ ห่างแค่ 100 เมตร ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน แต่สามารถฝากกระเป๋าไว้ก่อนได้ ขอเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตานิดนึงแล้วก็เที่ยวต่อแบบเบลอๆอึนๆ เพราะจนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้นอนมา 30 ชม.แล้ว 

นั่งรถไฟใต้ดินที่นี่ง่ายมาก สามารถใช้บัตรเครดิตแปะเครื่องอ่านได้เลยแบบMRTที่ไทย เห็นเจ้าหน้าที่รถไฟ เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนตรวจตราให้นักท่องเที่ยวหน้าใหม่อุ่นใจอยู่ บนรถไฟก็ไม่น่ากลัวอย่างที่จินตนาการไว้ ตอนเราขึ้นคนโล่งๆ ดูไม่มีใครน่าสงสัย บรรยากาศเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเราแหละ มีเสียงประกาศเตือน pickpocket เป็นระยะ

พอออกจากสถานี Duomo มาที่ระดับพื้นดิน โผล่มาก็เจอ Milano Duนmo เลยค่ะ เราถ่ายดูโอโม่มา 3 เวลา ตอนเช้าจะย้อนแสงแบบนี้



 หันซ้ายไป เจอย่านช้อปปิ้งที่เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเมือง 
Galleria Vittorio Emmanuele Secondo



ของจริงสวยกว่าภาพที่เคยเห็น ด้านในแสงสวยมากมาย ตรงกลางมีช็อปแบรนด์หรูประชันกันอยู่ แต่ทุกแบรนด์ป้ายร้านต้องคุมโทน พื้นดำตัวหนังสือสีทองเท่านั้น



ถ้ามีคนมาด้วย จะไปยืนหมุนไข่วัวตรงนั้น มีความเชื่อว่าใครไปยืนหมุนตรงไข่วัวที่พื้นครบ 3 รอบด้วยส้นเท้า จะมีโชคสมหวัง



ถึงจะไม่ใช่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ก็เดินดูดิสเพลย์เพลินๆได้อยู่นะ



มาหาขนมปังกินง่ายๆ ราคาไม่แพงที่ร้าน Panzerotti Luini เป็นร้านยอดนิยมของนักท่องเที่ยว กินง่ายและราคาไม่แพง หน้าร้านมีป้ายิปซียืนขอเงินแบบไม่เซ้าซี้อยู่ด้วย เราซื้อขนมปังทอดไส้แฮมชีสมายืนกินที่หน้าร้าน อร่อยแบบเบสิก ไม่หวือหวา กินได้ 2-3 คำ มิลานก็แจกความเซอไพรส์ที่สองมาให้



ตรงที่เรายืนเป็นจุดที่ร้านจัดไว้ให้คนยืนกินอยู่แล้ว ตรงนั้นก็จะมีถังขยะตั้งอยู่ด้วย กินอยู่ดีๆมีคนจรเดินยิ้มมาแต่ไกล แล้วเข้ามาคุ้ยขยะ หยิบขนมหยิบขวดน้ำจากในถังขยะขึ้นมากินเป็นเพื่อนเราค่าา ดิชั้นก็เดินหนีสิคะ ไม่เคยพบเคยเจอ คอนเท้นต์วิ่งเข้าหามากมิลานเนี่ย

สิ่งที่อยู่ใน wishlist คือ มาดูดอกแมกโนเลียที่กำลังบานอยู่ด้านหลังดูโอโม่
ก่อนมาลุ้นมาก กลัวมาแล้วดอกร่วงหมดต้นไปแล้ว



เป็นมุมที่น่ารักของมิลาน มีสาวน้อยสาวใหญ่มาดูดอกไม้ ทุกคนยิ้มแย้มอารมณ์ดี มีฝรั่งมาถามเราด้วยว่า นี่ใช่เชอรี่บลอสสั่มมั้ย ยังงงว่านางนึกยังไง มาถามคนเอเชียอย่างชั้นเนี่ย แต่ก็ตอบเค้าไปถูกนะ ว่าไม่ใช่ค่ะนี่คือดอกแมกโนเลีย 55



วนมาดูโอโม่รอบสอง ช่วงใกล้ๆเที่ยง เริ่มย้อนแสงน้อยลง



พบจุดเหมาะที่จะนั่งพักแทะขนมปังของเราต่อแล้ว วิวดีซะด้วย



ไม่ได้พกน้ำมา คอเริ่มแห้ง ขอเข้า Starbucks Reserve Milan ซะหน่อย
เค้าเอาที่ทำการไปรษณีย์เก่ามาทำร้าน



สรุปไม่ได้อะไรกลับมา เพราะคนเยอะมาก ไม่มีที่นั่ง คิวซื้อเครื่องดื่มก็ยาว 
แถมต้องรีบทำเวลานิดนึง เพราะจองรอบขึ้นหลังคาดูโอโม่ตอนบ่าย



แมกโนเลียต้นนี้ดอกตู้มกว่าต้นหลังโบสถ์อี้กกก เค้าจะบานช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ
เป็นคนชอบดูดอกไม้ เวลาจะไปเที่ยวไหน ก็ชอบสำรวจก่อนว่าช่วงนั้นมีดอกอะไรโผล่มาบ้างนะ



เดินมาจนถึงลานหน้า Sforzesco Castle แล้วก็เดินกลับไปดูโอโม่ทางเดิม
ชักเริ่มรู้สึกวิ๊งๆ เหมือนจะวูบ อาจจะไม่ได้นอน อาจจะขาดน้ำ หรืออาจจะแก่ (อุ๊ยยย) ตั้งแต่ลงเครื่องมายังไม่ได้กินน้ำเลย ก็เลยแว่บเข้าแมคโดนัลด์ จุดประสงค์หลักเพื่อซื้อน้ำ เลยติดเบอร์เกอร์มาด้วยแม้ว่าจะยังอิ่มอยู่ กะว่าเก็บไว้กินมื้อเย็นก็ได้



พอได้ดื่มน้ำเข้าไปก็รู้สึกดีขึ้น มาต่อคิวรอขึ้นลิฟต์ขึ้นไปบนหลังคาดูโอโม่ ถ้าใครมีแรงเหลือจะเดินขึ้นบันไดก็ได้ ราคาตั๋วก็จะถูกลง แต่ป้าขอใช้เงินซื้อความสะดวกสบายเถอะ

นี่คือคิวของคนจองเวลามาแล้วนะ ถ้าใครไม่ได้จองหรือเวลาไม่ตรง จนทให้ออกนอกแถวเลย แถวจะเขยิบช้าๆ เพราะลิฟต์ขึ้นได้ทีละ 8-9 คนเอง



พอใกล้ถึงคิวก็ได้พบกับเซอไพร้ส์อีกครั้ง เค้าไม่ให้เอาอาหารเครื่องดื่มขึ้นไป แล้วเปิดตรวจกระเป๋าทุกซอกทุกมุม สุดท้ายเบอร์เกอร์แมคที่เพิ่งซื้อมาตะกี้ ก็ต้องลงถังขยะไป เสียดายมาก ฮืออออ

สถาปัตยกรรมแบบโกธิก คือจะมียอดแหลมพุ่งๆสู่ท้องฟ้า
มีเสาค้ำพาดวางอยู่ด้านนอกแบบนี้เรียก flying buttress



บนหลังคาโบสถ์เหมือนเป็นที่แฮงเอ้าท์หนุ่มสาวอยู่เบาๆนะ เม้าท์ฉ่ำ นอนอาบแดดฉ่ำ



ตั๋วที่ซื้อมาเป็นแบบคอมโบ คือขึ้นลิฟต์มาrooftop เข้าโบสถ์ และเข้ามิวเซียม ซึ่งมิวเซียมก็ตั้งอยู่ด้านล่างตรงนั้นแหละ 



ส่วนขาลงเดินลงมาเอง เป็นบันไดวนแคบๆ หลายร้อยขั้นอยู่ ยังดีที่ไม่เหนื่อย
ลงมาโผล่ด้านในดูโอโม่เลย ว้าวมากกกก เป็นอีกจุดที่ประทับใจ แฟน LOTR อย่างเรานี่ว่าเหมือนเมืองมอเรีย โอ่โถงอลังการ มีความขรึมความขลัง



อีกเช็คพอยต์ อยากมาดูประติมากรรม St Bartholomew
นักบุญที่ถูก deskinned เพราะเชื่อในพระเจ้า ที่พันรอบๆตัวคือผิวหนังของตัวเองนะนั่น (ขอใช้ภาษาอังกฤษเพราะภาษาไทยโดนแบน แก้หลายรอบมากกว่าจะโพสต์ได้)



ในมหาวิหาร ยังมีตกแต่งกระจกสีแบบเบิ้มๆอีกหลายจุด




จังหวะดีๆ แสงก็ตกกระทบกับเสา 



พอได้กินน้ำไปขวดนึง ตอนก่อนขึ้นหลังคาโบสถ์ ตอนนี้เริ่มอยากเข้าห้องน้ำแล้วสิ มันจะอะไรนักหนา เลยเข้ามิวเซียมต่อ กะว่ามีห้องน้ำให้เข้าแน่นอน 



ซึ่งก็มีจริงๆ แต่ว่ามีจุดเดียวตรงทางออก แล้วต้องเดินแบบวันเวย์คือต้องเดินผ่านแต่ละห้องไปเรื่อยๆ จำได้เลยว่าอยู่ห้องที่ 19 สารภาพว่าไม่ได้ดูอะไรในมิวเซียมเลย ยังดีได้ถ่ายรูปโมเดลดูโอโม่มา 1 รูปถ้วน เพราะรีบจ้ำไปห้องน้ำอย่างเดียว

ก่อนกลับไปนอน ถ่ายรูปดูโอโม่ตอนเย็นอีกที
คราวนี้แดดเข้าเต็มๆ สวยเลย



ก่อนเข้าห้อง แวะซื้อ KFC เป็นมื้อเย็นแทนเบอร์เกอร์แมคที่ต้องทิ้งไปเมื่อบ่าย จะบอกว่ารสชาติเหมือนไก่ทอดที่ไทยเลย ซื้อแบบสไปซี่ ไม่ต้องกลัวคิดถึงอาหารไทย แถมมันบดอร่อยด้วยล่ะ

ที่พักมิลานราคาแพงอยู่นะ 95 ยูโร แพงสุดสำหรับ 5 คืนที่อยู่อิตาลี สำหรับห้องเดี่ยวธรรมดาๆ ในโฮสเทล ห้องหนาวด้วยเป็นระบบทำความร้อนส่วนกลาง ปรับเองไม่ได้ แต่ทำเลเค้าดีแหละ ใกล้สถานีรถไฟเดินทางสะดวก เราอยู่มิลานแค่คืนเดียว พรุ่งนี้เช้าย้ายเมืองต่อแล้วจ้า


 




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2568    
Last Update : 21 มิถุนายน 2568 20:55:05 น.
Counter : 49 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 


khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.