มิถุนายน 2560

 
 
 
 
1
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
มิลินทปัญหา - บทที่ ๓ ตั้งต้นของกาล (ข้อ ๑.-ข้อ ๖.)








มิลินทปัญหา - บทที่ ๓ ตั้งต้นของกาล (ข้อ ๑.-ข้อ ๖.)

     ๑. "พระคุณเจ้านาคเสน ธรรมใดเป็นมูลของสิ่งที่มีกาลในอดีต ปัจจุบันและอนาคต"
         "อวิชชา เพราะอวิชชา เป็นปัจจัยจึงมีสังขาร สังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยจึงมีอายตนะ๖ เพราะอายตนะ๖ เป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส"(แต่ที่สุดเบื้องต้นแห่งรูปและนามจะเป็นเช่นไร ไม่ปรากฎ)
     ๒. "พระคุณเจ้ากล่าวว่าที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฎ อาราธนาพระคุณเจ้าแสดงตัวอย่างประกอบ"
         "พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า 'เพราะอาศัยอายตนะภายในและอายตนะภายนอก ผัสสะจึงมี เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีกรรม กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะรอบใหม่สืบต่อไป' ดังนี้จะมีที่สุดหรือ"
        "ไม่มี"
        "ขอถวายพระพร ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่อาจสืบไปถึงได้ ดังนี้"
     ๓. "ที่สุดเบื้องต้นของทุกอย่างหรือที่ไม่รู้ได้"
         "บางอย่างรู้ได้ บางอย่างไม่รู้ได้"
        "ที่สุดแบบใดรู้ได้ ที่สุดแบบใดไม่รู้ได้"
       "สภาวะใดที่มาก่อนวงจรการเกิดนี้ ที่ดูเหมือนว่าไม่เคยมีมาก่อน นั่นเป็นสิ่งที่ดที่สุด เบื้องต้นไม่รู้ได้ ส่วนสิ่งใดที่ไม่มีมาก่อน กลับเกิดมีขึ้น และเมื่อเกิดแล้วก็หายลับดับไป นั่นเป็นสิ่งที่ที่สุดเบื้องต้นรู้ได้
     ๔. "มีสังขารที่มีการก่อเกิดขึ้นมาหรือไม่"
         "มี ขอถวายพระพร เมื่อมีจักขุและมีรูป จึงมีจักขุวิญญาณ เมื่อมีจักขุวิญญาณจึงมีจักขุผัสสะ เมื่อมีจักขุผัสสะจึงมีเวทนา เมื่อมีเวทนาจึงมีตัณหา เมื่อมีตัณหาจึงมีอุปาทาน เมื่อมีอุปาทานจึงมีภพ เมื่อมีภพจึงมีชาติ ชรา มรณะ โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ทว่า เมื่อไม่มีจักขุและไม่มีรูป ก็ย่อมไม่มีจักขุวิญญาณ ไม่มีจักขุผัสสะ ไม่มีเวทนา ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทาน ไม่มีภพ ไม่มีชาติ ชรา มรณะ โศก ประเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส"
     ๕. "มีสังขารที่ไม่มีการก่อเกิดขึ้นมาหรือไม่"
         "ไม่มี ขอถวายพระพร เพราะว่าเป็นลำดับขั้นตอนที่ีเกิดขึ้น จึงมีการก่อเกิด"
        "อาราธนาพระคุณเจ้าแสดงตัวอย่าง"
        "พระราชวังที่ปพระองค์ประทับอยู่นี้ มาจากกระบวนการเกิดหรือเปล่า"
        "ไม่มีอะไรที่ไม่มีอะไรมาก่อน ไม้กระดานนี้อยู่ในป่ามาก่อน ดินเหนียวนี้มีอยู่แล้วในผืนดิน พระราชวังหลังนี้มีขึ้นมาได้ ก็ด้วยการออกแรงสร้างของผู้คนทั้งหญิงและชาย"
        "ฉันใดก็ฉันนั้น ขอถวายพระพร ไม่มีสังขารใดที่ไม่มีการก่อเกิด"
      ๖."พระคุณเจ้านาคเสน สิ่งที่เรียกว่า 'เวทคู' มีหรือไม่"
         "คือตัวชีวะภายในที่เห็น ได้ยิน รู้รส รับกลิ่น รู้สึกทางกาย  และรู้ทางใจ เปรียบเหมือนกับที่เรานั่งอยู่ตรงนี้อาจจะมองออกไปนอกหน้าต่างไหนก็ได้ตามปรารถนา"
         "ขอถวายพระพร ถ้าตัวชีวะภายในนี้อาจจะเห็น ได้ยิน รับรส รับกลิ่น และรู้สึกได้ดังที่พระองค์รับสั่ง ตัวชีวะนี้ไม่เห็นรูปทางหูด้วยหรือ
         "ไม่ได้หรอก พระคุณเจ้า"
         "ดังนั้นตัวชีวะภายในก็ไม่อาจจะใช้อายตนะใด ๆ ตามต้องการได้ เป็นเพราะมีตากับมีรูป จึงเกิดการเห็น และธรรมอื่น ๆก็เกิดร่วมกัน(มโนวิญญาณ) คือผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ และมนสิการ ธรรมแต่ละอย่างล้วนมีเหตุในการเกิดตามี่กล่าวมานี้ 'เวทคู' หามีอยู่ไม่"


ที่มา: หนังสือมิลินทปัญหา - กษัตริย์กรีกถาม พระเถระตอบ โดย นวพร เรืองสกุลถอดความเป็นภาษาไทย



Create Date : 15 มิถุนายน 2560
Last Update : 15 มิถุนายน 2560 10:53:40 น.
Counter : 536 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ineverdie
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments