bloggang.com mainmenu search







รูปพระ ถ่ายจาก วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เอื้อเฟื้อโดย คุณพี่สิน yyswim (4/19/11)



ทักขิณาวิภังคสูตร




สาธุชนคนทั้งหลายมักจะมีปัญหาให้ขบคิดกันอยู่เสมอ ๆเรื่องของการทำบุญ ทำทาน การบริจาคสิ่งของต่าง ๆให้คน ให้สัตว์ ฯลฯ ว่าอะไรจะมีอานิสงค์มาก ได้บุญมากเป็นต้น


ตัวของผมเองนั้นไม่ค่อยวิตกเรื่องเหล่านี้เท่าไรนัก เพื่อนบางคนก็ทักทายว่ากล่าวว่าทำบุญทำทานทั้งทีต้องให้ได้ประโยชน์สูงสุด ต้องทำกับพระอริยบ้าง (แล้วจะรู้ได้อย่างไรรูปไหนอริยหรือไม่ วันวันก็หาเงินงก งกหัวกระดกแทบตกพื้นอยู่แล้ว) พอเราให้เหตุผลเขาว่าไม่เป็นไรหรอกเหมือนกันแหละอย่าคิดมาก ที่โกรธก็มีอีกแน่ะ หาว่าดื้อพูดไม่รู้เรื่อง (๕๕๕ขอหัวเราะแก้ดื้อหน่อยครับ) ไอ้ที่บอกเหมือนกันก็คือสำหรับเราไม่คิดมากทำไปเรื่อย ๆเดี๋ยวบุญมันก็นำเราไปเจอบุญใหญ่เองแหละ (นี่ ต้องคิดแบบบวกเข้าไว้จะได้ไม่เรื่องมากครับ)



ที่จริงผมอยากจะบอกว่าสมัยก่อนอาจจะเคยคิดแบบนั้น หรืออาจจะหลงยึดติดบ้างบางครั้งในปัจจุบัน (ใช้คำว่าอาจจะนะครับ เพราะไม่ยิดติด แค่ความคิดมันเกิดยึดแว๊บ ๆเข้ามาตามสัญญาของความเป็นมนุษย์) ปกติผมจะเป็นคนมีเมตตาจิตอยู่แล้ว จะติดที่แก้ไม่หายก็คือโมโหง่ายหายเร็ว และตอนโมโหนี่เจ้าตัวเมตตาก็จะตกใจหนีหายไปแป๊บนึง ก็เป็นพายุพระเพลิงมาเลยแหละ แต่จะเป็นแค่เดี๋ยวเดียวท่านตัวเมตตาจิตก็จะตั้งสติได้วิ่งแจ้นกลับมาเตือนว่าพอแล้ว พอแล้ว (นินทาตัวเองมานาน บาป๕๕๕)



การทำบุญทำทานท๋าด้วยจิตเมตตาโดยอัตโนมัติดีที่สุดครับ (ความคิดของผมเองนะ) เพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไร และนั่นก็หมายถึงความดีอื่น ๆที่จะมีตามมาโดยเราเป็นผู้กระทำก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเช่นกัน ก็มีเมตตาจิตก็ต้องคิดแต่เรื่องดี ๆให้คนอื่นได้รับแต่สิ่งดี ดีนี่นะ ในที่สุดก็จะต้องทำแต่เรื่องดี ดีอยู่นั่นเอง (ซตพ.)



มีตัวอย่างเรื่องหนึ่งเกิดปีที่แล้ว มีผู้หญิงแก่คนหนึ่งอุ้มลูกหมาเล็ก ๆมาวางตรงหน้าลูกสาวแล้วเดินไปลับไม่แลกลับมา ลูกสาวก็เลยอุ้มขึ้นรถขับกลับมาเลี้ยงได้สองสามวันไม่ไหวเพราะบ้านเราเป็นตึกแถวก็เลยเอาไปให้พีภรรยาเลี้ยงในทาวน์เฮ้าส์เพราะปกติเขาก็รักสัตว์อยู่แล้ว



เมื่อเร็ว ๆนี้พี่ภรรยาคนหนึ่งเป็นอัมพฤกษ์ อีกคนทีเป็นคนดูแลก็เป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะสี่ เราก็เลยรับเขามาอยู่ดูแลที่บ้านเราเอง ก็เลยต้องเอาเจ้าหมาที่อายุขวบกว่าสองขวบเนี่ยแต่โตเต็มที่แล้วมาเลี้ยงเอง โดยเอามาไว้ที่อู่



ปกติตอนที่ยังไม่ย้ายมานั้นเวลาที่ผมไปบ้านพี่ภรรยาก็จะไปจูงเขาเดินเล่นประมาณสิบนาทีทุกอาทิตย์ เพราะเขาจะอยู่แต่ในบ้านทั้งวันไม่มีใครจูงออกมา ก็เลยทำให้เรารู้จักกันดี แต่ตอนมาอู่นี่เขาจะเห่าทั้งวันเพราะไม่คุ้นกับคน ลูกค้าก็กระเจิดกระเจิงกระจัดกระจายบางส่วน เราก็ประสาทเสีย ลูกน้องก็ทำงานไม่มีความสุขเพราะิต้องผูกหมาไว้และมันก็เห่าทั้งวัน พอปล่อยก็ขี่้เยี่ยวมั่วเลยทั้งล้อรถ เสาฮ้อยส์ยกรถ โอยเป็นลม ตีก็สู้จะกัดเราอีก



ที่สุดเลยลองปล่อยไม่ผูกและคอยระวังลูกค้ากับลูกจ้าง ก็ดีขึ้นคือดุน้อยลงแต่เห่าไม่เลิก และทำเลอะเทอะไปหมดจนทนไม่ได้ตีเขาและโดนเขากัดมาหนึ่งรูที่มือ เห็นเส้นเอ็นเลย (ถอนหายใจ)ก็เลยปรึกษากับลูกว่าจะเอาไปให้ กทม. ที่อ่อนนุช วันรุ่งขึ้นลูกสาวก็เลยโทรไปเช็คจนแน่ใจแล้วว่าอยู่ที่ไหนมีระเบียบการนำไปส่งอย่างไร แต่บังเอิญวันนั้นเป็นวันศุกร์แล้วเสาร์อาทิตย์เขาไม่รับสุนัข



เดชะบุญหรือบาปก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ บังเอิญคืนนั้นดูโทรทัศน์มีรายการฉายให้เห็นที่ กทม.ดูแลสุนัขอยู่ มีสองพันกว่าตัว คนเลี้ยงหนึ่งคนต่อสุนัขร้อยตัว เลี้ยงด้วยอาหารเม็ด กรงเล็ก ๆประมาณสามคูณสามเมตร หมาประมาณห้าตัว (ขี้เรื้อนด้วย) ตัวไหนดีสอนได้ก็เอาไปไว้ที่โล่งหน่อยมีน้ำลึกล้อมรอบกันหนี รอคนมาเอาไปเลี้ยงอีกที ปัญหาคือมีโรคประจำของสุนัขระบาดเสมอ ตายแทบทุกวันและต้องถูกตอนทุกตัว



เหมือนเค้ามีบุญหรือกรรมมันผูกพันกันเราสงสารก็เลยทนเลี้ยงต่อเพราะอาหารเม็ดมันกินไม่เป็นไม่ยอมแตะเลย และเวลามันไม่ดื้อมันก็ชอบนอนมองหน้าเราตาใส ๆ ชอบมาเลียมือไม้ (เสียวโดนกัดด้วยละ) ที่จริงก่อนหน้านี้ก็โดนกัดไปสองทีตอนเผลอ ขณะเช็ดตัวให้เขาหลังอาบน้ำแต่กัดไม่เข้า เราก็นึกว่าเออเก็บเขาไว้เป็นอาจาร์ยสอนเราให้ไม่โมโหง่ายและทนต่อเขาให้ได้เนอะ



ทุกวันนี้ก็ทะเลาะกันน้อยลงครับ จนกระทั่งวันนี้ก็ยังมาขี้ในอู่อีกทั้ง ๆที่ปล่อยให้เดินเล่นตามสบาย พอโดนตีก็จะกัดอีก พายุพระเพลิงก็เลยส่งไม้ไปพร้อมเตะอีกหนึ่งที เจ้าหมาไวกว่างับเท้ามาได้หนึ่งแผลเล็ก ๆ ก็ว่าจะไม่เอามันแล้วละ ที่สุดเดี๋ยวมันก็มาอิ๋ง ๆอีก แหมกว่าอาจาร์ยหมาจะสอนให้เราหายโมโหง่ายได้เนี่ย ท่านคงโดนอีกหลายป๊าบ และลูกศิษย์ก็คงโดนงับอีกหลายแผลละครับ ก็งานนี้ไม่รู้หมากับผมใครจะมีบุญมีกรรมละ



ทักขิณาวิภังคสูตร




พระผู้มีพระภาคประทับ ณ นิโครธาราม ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ. พระนางมหาปชาบดีโคตมี นำคู่ผ้าใหม่ซึ่งทรงกรอด้ายเองไปถวายพระผู้มีพระภาค ขอให้ทรงรับเป็นเป็นการอนุเคราะห์. พระผู้มีพระภาคตรัสแนะให้ถวายในสงฆ์ อันจะชื่อว่าบูชาทั้งพระองค์และพระสงฆ์ . พระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงยืนยันขอถวายพระผู้มีพระภาคตามเดินเป็นครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาคก็ทรงแนะนำตามเดิมแม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓.

๒. พระอานนท์จึงกราบทูลขอให้พระองค์ทรงรับ โดยอ้างอุปการคุณ ซึ่งพระนางมหาปชาบดีโคตมี เคยมีต่อพระผู้มีพระภาคในการที่ทรงเลี้ยงดู ทรงให้ดื่มถัญญ์ ( น้ำนม ) ภายหลังที่พระพุทธมารดาสวรรคต และอ้างอุปการคุณที่พระผู้มีพระภาคทรงมีต่อพระนางมหาปชาบดี โคตมี เป็นเหตุให้พระนางถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ, ทรงเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปด ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย, ทรงประกอบด้วยความเลื้อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์. ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่ , ทรงหมดความสงสัยในอริยสัจจ์ ๔ ประการ. พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า บุคคลอาศัยผู้ใด แล้วตั้งอยู่ในคุณธรรมตามที่พระอานนท์กล่าวมานั้น พระองค์ไม่ตรัสการที่บุคคลนั้นกราบไว้ ลุกขึ้นต้อนรับ ทำอัญชลีกรรม ( พนมมือไหว้ ) สามีจิกรรม ( การแสดงอัธยาศัยไมตรีให้เหมาะสมแก่ฐานะ ) และการให้ปัจจัย ๔ มีผ้านุ่งห่ม เป็นต้น ว่าเป็นการตอบแทนอันดีต่อผู้ที่ตนอาศัยนั้น.

๓. แล้วทรงแสดงทักษิณา ( ของให้หรือของถวาย ) ที่เจาะจงบุคคล ๑๔ ประเภทเป็นข้อ ๆ ไป คือ การที่บุคคลถวายทานหรือให้ทาน ๑. ในพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒. ในพระปัจเจกพุทธเจ้า ๓. ในพระอรหันตสาวกของพระตถาคต ๔. ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล ๕. ในพระอนาคามี ๖. ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ๗. ในพระสกทาคามี ๘. ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ๙. ในพระโสดาบัน ๑๐. ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ๑๑. ในท่านผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม ภายนอก ( พระพุทธศาสนา ) ๑๒. ในบุถุชน ( คนยังหนาด้วยกิเลส ) ผู้มีศีล ๑๓. ในบุถุชนผู้ทุศีล ๑๔. ในสัตว์ดิรัจฉาน.

๔. แล้วทรงแสดงว่า ทักษิณา มีคุณอันพึงหวังได้ คือทานที่ให้ในสัตว์ดิรัจฉาน มีคุณถึงร้อย , ในบุถุชนผู้ทุศีล มีคุณถึงพัน , ในบุถุชนผู้มีศีล มีคุณถึงแสน , ในท่านผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม ภายนอก ( พระพุทธศาสนา ) มีคุณถึงแสนโกฏิ , ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล มีคุณเป็นอสงไขย ( นับไม่ได้ ) อัปไมย ( ประมาณไม่ได้ ) จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงทานที่ถวายในบุคคลที่สูงขึ้นไปกว่านี้.

๕. แล้วทรงแสดงทักษิณา ( ของถวาย ) ที่เป็นไปในสงฆ์ ๗ ประเภท คือ ๑. ในสงฆ์สองฝ่าย (ภิกษุสงฆ์ , ภิกษุณีสงฆ์ ) มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๒. ในสงฆ์สองฝ่าย เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ๓. ในภิกษุสงฆ์ ๔. ในภิกษุณีสงฆ์ ๕. ทักษิณาที่เจาะจงภิกษุ หรือภิกษุณีจำนวนเท่านั้นเท่านี้จากสงฆ์ ๖. ทักษิณาที่เจาะจงภิกษุเท่านั้นเท่านี้จากสงฆ์ ๗. ทักษิณาที่เจาะจงภิกษุณีเท่านั้นเท่านี้จากสงฆ์.

๖. ตรัสว่า ในอนาคตกาลนานไกล จักมีโคตรภู (สงฆ์ ) ผู้มีผ้ากาสาวะที่คอ เป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรมบุคคลจักถวายทานอุทิศสงฆ์ในโคตรภู (สงฆ์ ) ผู้ทุศีลเหล่านั้น แม้ทักษิณาที่เป็นไปในสงฆ์นั้น เราก็กล่าวว่านับไม่ได้ประมาณไม่ได้. เราไม่กล่าวว่า ทานที่เจาะจงบุคคลมีผลมากกว่าทักษิณาที่เป็นไปในสงฆ์โดยปริยายไร ๆ เลย.

๗. ตรัสแสดงความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา ๔ อย่าง คือทักษิณาที่ ๑. บิริสุทธิ์ฝ่ายทายก ( ผู้ให้ ) ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ( ผู้รับ ) ๒. บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก ๓. ไม่บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ๔. บริสุทธ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก. พร้อมทั้งทรงแสดงรายละเอียดกำหนดความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ ด้วยการที่บุคคลมีศีล มีกัลยาณธรรม และทุศีล มีบาปธรรม.


ดูกรอานนท์ นี้แล ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา ๔ อย่าง ฯ
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้วตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ต่อไปอีกว่า

(๑) ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดีเชื่อกรรมและผลแห่กรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนทุศีล ทักษิณาของผู้นั้น ชื่อว่าบรสุทธิ์ฝ่ายทายก ฯ

(๒) ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใสไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนมีศีล ทักษิณาของผู้นั้นชื่อว่า บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ฯ

(๓) ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนทุศีล เราไม่กล่าวทานของผู้นั้นว่า มีผลไพบูลย์ฯ

(๔) ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรม และผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนมีศีล เรากล่าวทานของผู้นั้นแลว่า มีผลไพบูลย์ ฯ

(๕) ผู้ใดปราศจากราคะแล้ว ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในผู้ปราศจากราคะ ทานของผู้นั้นนั่นแล เลิศกว่าอามิสทานทั้งหลาย ฯ
Create Date :24 กันยายน 2554 Last Update :8 กันยายน 2556 16:41:54 น. Counter : Pageviews. Comments :4