bloggang.com mainmenu search
โดย merveillesxx





หมายเหตุ: บล็อกนี้เพ้อเจ้อ เวิ่นเว้อ และยืดยาวมากๆ


* วันเสาร์ที่ 24 พ.ย. 2550 เป็นวันลอยกระทง สำหรับผมมันก็แค่วันธรรมดาๆ อีกหนึ่งวัน เกิดมาทั้งชีวิตผมไม่เคยอินกับเทศกาลลอยกระทง ไม่คิดจะไปลอยกระทง และส่วนใหญ่ผมนอนอยู่บ้าน เปิดเพลงดังๆ กลบเสียงพลุ

* ตื่นเช้ามา ผมตัดสินใจออกจากบ้าน ผมไม่อยากอยู่บ้าน ผมเบื่อเสียงพลุ เสียงหมาเห่า เบื่อที่จะต้องเผชิญหน้ากับคนในครอบครัว (ช่วง 3 เดือนหลังมา ผมหนีปัญหาด้วยวิธีนี้เสมอ)

* ผมเลือกไปงาน fuse camp 6 ของนิตยสารไบโอสโคป ที่จัด ณ TK PARK ธีมของวันนี้คือ “การหยุดความรุนแรงในผู้หญิง” ที่จริงผมก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไร เพราะกลัวเจอพวกเฟมินิสต์หลุดโลก

* ตลอดการเดินทางจากบ้านไปยัง TK PARK ไม่ว่าจะอยู่บนรถเมล์ รถไฟฟ้า หรือเดินบน sky walk สิ่งที่ผมทำคือ ส่ง sms หาทุกๆคนว่า “The Love of Siam is best thai film in year 2007. See it if u can.”

* ก่อนจะเข้าไปใน TK PARK ผมแวะ B2S ซื้อซาวด์แทร็ก “รักแห่งสยาม” ราคา 149 บาท

* บรรยากาศของ Fuse Camp สนุกกว่าที่คิด ถึงประเด็นจะหนักแต่ก็มีเรื่องสนุกๆ คุยกันมากมาย ตั้งแต่ หนัง AV, การทำแท้ง, ความอ้วน ไปจนถึง โฆษณาไวท์เทนนิ่ง (ถ้าจำไม่ผิดประโยคเด็ดของผมคือ “ผมรับไม่ได้เลยนะ ไอ้โฆษณาพอนด์อะไรสักอย่าง ที่ใช้แล้ว 7 วัน ทวงผัวคืนได้น่ะ ไม่ไหวจริงๆ ผมรับไม่ได้” )

* แต่ระหว่างนั้น เกิดเหตุไม่คาดฝันกับผม มันรุนแรง และกระทบใจผมมาก (ผมไม่สามารถบอกได้ตรงนี้ ผมไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเสียหาย แต่มันคือเรื่องรักๆใครๆ นั่นแหละ) แต่ ณ ตอนนั้น ผมเลือกจะไม่สนใจมัน และช่างมัน ผมคิดว่ามันไม่มีอะไรหรอก ผมคิดแบบนั้นจริงๆ

* จบงาน Fuse Camp ไปอย่างราบรื่น ผมไม่อยากกลับบ้าน แต่ผมก็ไม่มีที่ไป จะดู เจงกิสข่าน ก็ไม่อยากดูเท่าไร จะไปดู Lust, Caution ที่เฮ้าส์ก็ไกลไป จะดู “รักแห่งสยาม” รอบสองก็กลัวคนเยอะ สุดท้าย พี่แอน ไบโอ ก็ชวนผมไปกินข้าว

* ผมกับกองไบโอสโคปรวม 5 ชีวิต (ผม, พี่แอน, อ้วน, น้องแอ็ค, น้องไอซ์) เดินทางไปกิน MK ด้วยกัน ผมสนุกและมีความสุขมาก ปกติผมมักกินข้าวคนเดียวเสมอ ผมไม่เคยกินข้าวกับคนเยอะๆ แล้วมีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว ทั้งที่บางคน อย่าง อ้วน หรือ น้องไอซ์ (น้องฝึกงาน เป็นผู้ชายนะ) ผมไม่เคยคุยด้วยเลย แต่ผมก็พบว่า อ้วน นี่ฮามาก (ถึงแม้จะหน้าตาโหดประหนึ่งนักมวยปล้ำเฮฟวี่เวท) ส่วนน้องไอซ์ก็คุยดีนี่นา

* ประเด็นเม้าท์หลักก็คือ รักแห่งสยาม ว่าแล้วสงสารน้องไอซ์ เพราะเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้ดู แต่ก็ถูก spoil ไปหลายดอกเหมือนกัน (พี่ขอโทษ)

* สรุปแล้วกินถล่มกันไป 987 บาท เฉียดฉิวมาก เพราะงบกินข้าวไบโอ มีมาให้ 1000 บาท (นี่กูจะถูกพี่ธิดาด่าว่า ยักยอกเงินไบโอมั้ยวะเนี่ย)

* เวลาล่วงเลยมาถึง 18.30 พี่แอน อ้วน และน้องไอซ์ ต้องกลับไปปิดเล่มไบโอที่ออฟฟิศต่อ (ช่างน่าสงสาร) 3 คนนี้นั่งแท็กซี่กันไป จริงๆผมจะติดรถไปก็ได้ เพราะออฟฟิศไบโอ ห่างจากบ้านผมเพียง 3 ป้ายรถเมล์ แต่ผมก็ยังไม่อยากกลับบ้านอยู่ดี

* ส่วนน้องแอ็ค จะขึ้นรถไฟฟ้า ผมกับน้องแอ็ค เลยเดินจากเซ็นทรัลเวิลด์ ไปรถไฟฟ้าสยามด้วยกันสองคน ... (โปรดอย่าจินตนาการไปไกล ไม่มีอะไรจริงๆ 555)

* จริงๆ แล้ว ผมกับน้องแอ็คมีประเด็นคือ คือว่า มีน้องผู้หญิงคนหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ น้องมินท์) มาปิ๊งๆ กับแอ็ค ผมเคยให้เบอร์แอ็คกับน้องมินท์ไป (ผมรู้สึกว่า ญ ควรจะเป็นฝ่ายเลือกว่า โทร/ไม่โทร) แต่น้องมินท์ดันไม่ยอมโทร แอ็คเลยบอกว่า ให้น้องมินท์มาเจอเค้าที่ fuse camp วันนี้ ...แต่สรุปน้องมินท์ก็ไม่มา

* ผมแยกกับแอ็คที่รถไฟฟ้า เดินเข้าห้างสยามพารากอน คนเยอะมาก เยอะจนผมมึนหัว

* เมื่ออยู่คนเดียว ไม่รู้ด้วยเหตุวิปริตอันใด ผมย้อนกลับไปคิดถึง “เรื่องนั้น” อีกครั้ง ผมรู้สึกแย่ แย่มากๆ ผมไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนี้มาในรอบสามปีที่ผ่านมา แต่ผมก็พยายามไม่ใส่ใจ พยายามจะไม่สนใจเรื่องนั้น

* ผมเดินเข้าร้านหนังสือ Kinokuniya แต่ก็พบว่า ผมเดินดูหนังสืออย่างเลื่อนลอย เหมือนคนไร้วิญญาณ

* ผมเดินออกจากร้าน ไปเกาะราวบันได มองดูไปรอบห้างๆ ผมพบว่า ผมเป็นคนเดียวในห้างที่อยู่ตัวคนเดียว ทุกๆคนดูมีความสุข ทุกคนหัวเราะ ทุกคนหน้าตาสดใส ผมเศร้า เศร้ามาก จนอยากจะโดลงไป แต่ผมก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นอะไร

* ผมยืนพิงเสา โทรหาเพื่อนทุกคนที่น่าจะเป็นเพื่อนคุยได้ แต่ทุกคนล้วนอยู่ข้างนอก บางคนอยู่จุฬา บางคนอยู่ภูเขาทอง พวกเขากำลังมีความสุข แล้วผมจะเลวทรามขนาดเอาความทุกข์ของตัวเองไปถล่มใส่พวกเขาได้อย่างไร ผมตัดสินใจวางโทรศัพท์แต่ละสายอย่างรวดเร็ว

* ผมโทรหา เต๋อ คลีโอ ความหวังสุดท้ายของผม ผมเชื่อว่าคนอินดี้อย่างไอ้เต๋อต้องอยู่บ้านแน่ๆ มันนี่แหละที่จะเป็นผู้รับฟังของผม แต่พอมันรับโทรศัพท์ เห็นได้ชัดเลยว่ามันอยู่ข้างนอก แวบหนึ่งผมดีใจ เพราะคิดว่ามันไปลอยกระทงกับแฟน (ผมคาดว่าเต๋อกับแฟนอาจมีปฏิสัมพันธ์กันครั้งสุดท้ายเมื่อ 3 ปีที่แล้ว) แต่ปรากฏว่ามันอยู่กับแม่ ผมโกรธ จนด่ามันไปว่า “ไอ้ห่า มึงจะกตัญญูหาหอกอะไรวันนี้ ทำไมมึงไม่ไปอยู่กับแฟนวะ!!!” ผมระบายกับเต๋อพอประมาณ แต่ก็ยังไม่ได้พูด “เรื่องนั้น” ออกไป

* ผมลองโทรหาน้องมินท์ โทรไปแซวว่าทำไมวันนี้ไม่มา น้องมินท์บอกขอโทษผม แต่น้องมินท์บอกว่า เธอตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้จะโทรหาแอ็ค ผมบอกว่าน้องตัดสินใจถูกแล้ว น่าแปลกมากที่เสียงผมตอนที่พูดคุยน้องก็สดใสปกติดี แต่พอวางสาย ผมอาการหนักกว่าเดิม ผมควรจะดีใจกับน้องเค้า แต่ตอนนี้ผมแย่แล้ว แย่มากๆ ด้วย

* ผมไม่มีแรงยืน ตอนแรกผมจะเดินขึ้นไปดูร้านซีดี แต่ผมไม่มีความรู้สึกอยากทำอะไรแบบนั้นอีกต่อไป ผมเดินลงไปตัดสินใจหาที่นั่ง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนอายุ 60 ถึงตอนนี้ผมน้ำตาซึม ผมคิดว่าตัวเองเป็นบ้า ผมชอบด่าพวกเวิ่นเว้อ แต่ตอนนี้ผมกำลังเป็นแบบนั้นเอง ผมเกลียด เกลียดตัวเอง ผมไม่อยากเป็นแบบนี้ ผมอยากออกไปจากตรงนี้

* ผมโทรหาพี่แอน ไบโอ พี่แอนบอกว่า “เออ เป็นไงบ้าง เรากำลังจะโทรหาพอดี’” (พี่แอนเป็นคนหนึ่งที่รู้ “เรื่องนั้น”) ณ ตอนนี้ ผมทนไม่ไหวแล้ว หลังจากที่พยายามปฏิเสธ ฝืนทำตัวเข้มแข็งมาตลอด ในที่สุดผมก็พูดมันออกมา “แอน เราไม่อยากอยู่คนเดียว เราทนไม่ไหวแล้ว วันนี้เราอยู่คนเดียวไม่ได้”

* แอน ชวนผมไปออฟฟิศไบโอ ผมเกรงใจไม่กล้าไป เพราะวันนี้ปิดเล่ม ไม่อยากไปกวน แต่แอนยืนยันให้มา (ผมว่าแอนคงคิดว่า ยอมให้ผมไปกวนที่ออฟฟิศ ดีกว่าไปให้ผมไปโดดตึกตาย)

* ผมตัดสินใจไป แต่ที่ฮาคือ แอนบอกว่าให้ซื้อข้าวไปฝาก พี่เต้ กับ เบย์ (ฝ่ายอาร์ต) ด้วย ผมก็ถามว่าแล้วเค้าจะกินอะไรกัน แอนตอบว่าเอาอะไรก็ได้ง่ายๆ อย่างข้าวไข่เจียว ผมเลยตะโกนลั่นว่า “เธอจะบ้าเหรอ ชั้นอยู่ในสยามพารากอนนะ แล้วชั้นจะไปหาข้าวไข่เจียวที่ไหน!”

* ผมต่อโทรศัพท์หาเต๋อ คลีโอ อีกรอบ ด้วยคำถามว่า “เฮ้ย มึงกูขอปรึกษาหน่อย กูจะหาข้าวไข่เจียวในสยามพารากอนได้ที่ไหนวะ” เต๋อให้คำตอบไม่ได้ แต่หลังจากนั้น ผมก็ตัดสินใจเล่าเรื่องนั้นให้เต๋อฟัง เต๋อรับรู้ เข้าใจ และเห็นด้วยกับการตัดสินใจของผม (หรือเปล่าววะ?)

* สรุปแล้ว ผมเดินลงไปซื้อ ข้าวมันไก่ + ข้าวมันไก่ทอด ที่ฟู้ดคอร์ทข้างล่าง แล้วก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า

* จริงๆ แล้วตอนที่โทรหาคนมากมาย ผมโทรหาคุณแยม (หนึ่งในคนอ่านบล็อกนี้) ด้วย คุณแยมอยู่ที่มาบุญครอง และรอเพื่อนอยู่ ด้วยความที่ไม่อยากอยู่คนเดียว ผมเลยถามว่า ให้เราไปรอเป็นเพื่อนมั้ย แยมบอกว่าขอกินข้าวก่อน ผมเลยเข้าใจว่าแยมคงไม่อยากเจอผม (เราสองคนเคยเจอกันครั้งเดียวที่งานรับปริญญา) หลังจากนั้นแยมโทรมาอีกประมาณ 5 รอบ ผมเลยไม่มีอารมณ์รับ แต่ครั้งที่ 6 ผมรับ สิ่งที่ผมรู้ก็คือ คุณแยมรีบกินข้าวอย่างรวดเร็ว และเดินมาหาผมที่พารากอนแล้วเรียบร้อย ผมรู้สึกผิด ผิดมาก จนอยากจะกระโดดให้รถชนตาย รู้สึกว่าตัวเองเลวและเห็นแก่ตัวมาก ผมขอขอโทษคุณแยมไว้ ณ ตรงนี้

* นั่งรถไฟฟ้าจากสยามมาอโศก เปลี่ยนไปต่อรถใต้ดิน

* ในความคิดตอนนั้นของผมคือ ผมเคยมีอาการแบบนี้เมื่อสมัย 3 ปีก่อน มันหายไปนานมาก ผมนึกว่ามันจะหายไปตลอดกาล ผมเคยชินแล้วกับการอยู่คนเดียว ดูหนังคนเดียว กินข้าวคนเดียว ดูคอนเสิร์ตคนเดียว ไปผับคนเดียว แต่ ณ วันนี้ ถึงมันจะงี่เง่า และดูเป็นความพ่ายแพ้ แต่ผมต้องยอมรับกับตัวเองว่า ผมไม่สามารถอยู่คนเดียวได้อีกต่อไปแล้ว ผมไม่ได้ต้องการแฟน คนรัก แต่วันนี้ผมต้องการใครสักคน ใครก็ได้ที่จะช่วยทำให้ผมหลุดพ้นจากสภาพนี้

* อาจจะเพราะรถใต้ดินเงียบกว่ารถไฟฟ้า ผมเลยน้ำตาซึมอีกครั้ง

* ในที่สุดผมเดินทางถึง ออฟฟิศนิตยสารไบโอสโคป เวลา 20.30 เนื่องจากทุกคน (แอน เอ เบย์ พี่เต้ อ้วน น้องไอซ์) กำลังเร่งปิดเล่ม บรรยากาศจึงจริงจังมาก ห้องเงียบสงบ ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง พี่แอน เอาต้นฉบับมาให้ผมตรวจคำผิด แต่ที่ชิบหายมากคือ มันเป็นสกู๊ปเกี่ยวกับ “เพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนัง”

* เข้าใจว่าทุกคนในกองไบโอคงงงๆว่าผมมานั่งเจ๋ออะไร

* ต้องสารภาพว่าผมอ่านต้นฉบับไม่ค่อยรู้เรื่อง และอ่านช้ามาก

* อยู่ดีๆ แอน ส่ง sms มาหาผม ไอ้ผมก็งงว่า อยู่ห่างกันแค่สามโต๊ะ จะส่ง sms ทำบ้าอะไรวะ แต่เปิดมาแล้วซึ้งมาก แอนส่งมาว่า “This is very quiet, are you OK?” ผมซึ้งจนน้ำตาแทบไหล (พูดจริง ไม่ได้เว่อร์) เลยตอบไปทันทีว่า OK จริงๆ แล้วมันก็อึดอัดนิดหน่อย แต่ผมยอมอยู่ในนี้ ดีกว่ากลับบ้านครับ ถ้ากลับบ้านผมต้องตายแน่ๆ

* ระหว่างตรวจต้นฉบับไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกได้ว่า เอ๊ะ ทำไมเสียงคุยมันชักดังขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศก็ผ่อนคลายลง เงี่ยหูฟังจึงได้รู้ว่า วันนี้ปิดเล่มไม่ทันแล้วแน่นอน (55555555555555)

* เพราะงั้น ไหนๆ ก็ปิดเล่มไม่ทันแล้ว ทุกคนมาเฮฮากันดีกว่า ...ว่าแล้วทุกคนก็เริ่มเม้าท์กันสนั่นลั่นห้อง (ให้ตายสิ ผมชอบออฟฟิศนี้จริงๆครับ)

* เต๋อ คลีโอ โทรมาเช็คว่าเราเป็นไงบ้าง ผมก็บอกว่าดีขึ้นเยอะแล้ว ไม่มีอะไรจะพูดว่ะ แค่อยากจะบอกว่า ขอบคุณ และขอโทษที่กูงี่เง่า (แต่รับรองว่าตราบใดที่ยังทนคบกันอยู่ มึงคงจะเจอความงี่เง่าของกูในอีกหลากหลายรูปแบบ)

* พี่นพ (แฟนพี่แอน) เดินทางกลับมายังออฟฟิศประมาณ 23.30 พร้อมกันขนมสังขยา จากนั้นอีแร้งก็ลง งานการหยุดเดินทันที ได้เวลาปาร์ตี้แล้ว (ลืมบอกไป วันนี้พี่ดากับพี่หมู (เจ้านาย) ไม่อยู่ครับ 5555)

* ทุกคนล้อมวงมานั่งเม้าท์กัน ประเด็นหลักที่หนึ่ง คือการนินทาคน (พิสูจน์แล้วว่าการนินทาคนเป็นการผูกมิตรภาพชั้นเลิศ) ส่วนประเด็นที่สองก็คือ หนังเรื่อง “รักแห่งสยาม” (สงสารน้องไอซ์มาก ถูก spoil ที่ร้าน MK แล้ว กลับมาออฟฟิศก็ยังโดนอีก นี่น้องเค้าต้องเกลียดขี้หน้ากูแน่ๆ)

* ว่าแล้ว เราก็เลยหยิบแผ่น OST รักแห่งสยาม ที่ซื้อเมื่อเช้าเปิดฟัง พี่นพก็จัดแจงแปลงไฟล์ลงเครื่อง...คาดว่าคงระบาดไปทั่วทั้งออฟฟิศภายใน 2 วันนี้ (โทษทีนะ มะเดี่ยว 5555)

* นั่งเม้าท์กันเป็นชั่วโมง เปิดเพลง OST รักแห่งสยาม วนไปมาประมาณ 10 รอบ

* มุก โต้งกับมิว ร่อนกระจาย (ส่วนผมจะเป็นโต้งหรือมิว เชิญเดาเอาเอง)

* ทุกคนช็อคมากเมื่อรู้ว่า มาริโอ้ เรียน ม.ราม (ลุคน้องเค้าแอแบ็คมากๆ)

* ผมมีความสุข มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกคิดถูกที่มาที่นี่ ในวันนี้ ผมมาออฟฟิศไบโอบ่อยๆ ก็จริง แต่ไม่เคยอยู่นานๆ หรือได้ใกล้ชิดพี่ๆทีมงานขนาดนี้มาก่อน (ปกติผมส่งงานทาง email) วันนี้ผมรู้สึกว่าได้เห็นอะไรของพวกเขามากขึ้น

* น้องมินท์โทรมารายงานว่า โทรไปหาแอ็คแล้ว สรุปเค้าคุยกันไปสองชั่วโมง คราวนี้ผมรู้สึกดีใจ แบบดีใจกับน้องเค้าจริงๆนะ (ไม่เหมือนตอนที่ยังอยู่พารากอน)

* น้องไอซ์ ควรได้รางวัลพนักงานดีเด่นแห่งปี ผมมาถึงออฟฟิศตั้งแต่ สองทุ่มครึ่ง นั่งจนถึงตีสอง น้องเค้าก็ยังตั้งใจทำงานต่อไป (ถึงแม้จะพิมพ์ได้แค่ 3 ย่อหน้าก็ตาม 555555)

* พี่แอน, พี่นพ, อ้วน กลับบ้าน ส่วน เอ กับ น้องไอซ์ ตัดสินใจค้างออฟฟิศ ผมเลยบอกว่าจะอยู่ต่ออีกสักหน่อย เผื่อน้องไอซ์มันคิดทำมิดีมิร้ายเอ (อ้อ ลืมบอก เอ นี่เป็น ญ นะ แล้วก็คนละคนกับ ป้าเอ ในงาน Fat Festival) แต่ทุกคนกลับพูดตรงกันว่า กลัวผมไปทำอะไรน้องไอซ์มากกว่า

* ผมอยู่คุยกับเอ (โดยมากเป็นการล้วงความลับบริษัท 555) จนถึง ตีสามครึ่ง ก่อนออกมาก็ไปช่วยตรวจงานให้น้องไอซ์ แล้วก็นั่งแท็กซี่กลับบ้าน

* ถึงบ้านเวลา 3.40 ผมรู้สึกเหนื่อย อยากนอน เพราะวันนี้มันแสนยาวนานเหลือเกิน แต่ก็รู้สึกดีที่รอดชีวิตจากมันมาได้

* และเป็นอีกหนึ่งวันที่เรียนรู้อะไรมากมายเหลือเกิน





ข้อคิดที่ได้จากวันนี้

1. วันๆหนึ่ง ในโลกมนุษย์นี้ เกิดเหตุการณ์มากมายหลายอย่างเหลือเกิน มีทั้งคนที่มีความสุขที่สุดและคนที่เศร้าที่สุด มีทั้งความรักที่ล่มสลายและความรักที่เริ่มก่อกำเนิด ที่สำคัญคือ สิ่งที่เหล่านี้เกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน

2. เรื่องราววันนี้ทำให้ยิ่งคิดถึงประโยคที่มิวพูดกับโต้งใน “รักแห่งสยาม” ที่ประมาณว่า “เราเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียคนที่รักไป แต่เราจะอยู่โดยไม่มีใครได้จริงๆหรือ” (นี่เป็นหนึ่งในฉากที่ผมร้องไห้)

3. ตอนจะกลับบ้านพี่แอนพูดกับเราเบาๆ เรียบๆ ว่า “ต่อ เชื่อพี่เถอะ สักวัน จะมีคนอยู่กับต่อไปนานๆเอง” พอกลับบ้านก็คิดถึงในหนังที่มันบอกว่า “ถ้ามีความรักก็ยังมีความหวัง” คือตอนแรกไม่อินประโยคนี้เลยนะ คือไม่เชื่อมากๆ เกลียดเลยก็ว่าได้ แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว มันจำเป็นจริงๆ คิดได้เลยว่าของบางอย่างมันต้องมีประสบการณ์ก่อนนะ ถึงจะเข้าใจหรืออินกับมันได้

4. ชาคร ไชยปรีชา เคยตั้งชื่อ MSN ประมาณ The Love of Siam Saved My Life สารภาพเลยว่าตอนแรกผมหมั่นไส้ชื่อนี้มาก เพราะมันดูดัดจริต แต่วันนี้ผมขอถอนคำพูด และผมเห็นด้วยกับชาคร วันนี้หนังเรื่องนี่ช่วยชีวิตผมจริงๆ ไม่ว่าจะคำพูดหลายๆอย่างจากหนัง, เพลงจากหนัง และที่สำคัญคือ การพูดคุยต่อยอดประเด็นหนังเรื่องนี้กับเพื่อนๆพี่ๆ ไบโอสโคป ถึงแม้มันไม่ใช่ประเด็นจริงจังหรือวิชาการอะไรเลย แต่มันแสดงเห็นว่า หนังเรื่องนี้มันจะไม่ตายไปจากคนดูง่ายๆ นี่คือ หนังที่มีชีวิต

5. สุดท้าย มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล พูดประโยคนี้ไว้ในบทสัมภาษณ์ในนิตยสารไบโอสโคป วันนี้ผมได้รู้ซึ้งแล้วครับ

มะเดี่ยวพูดว่า

“วันนึงเราจะรู้ว่า เราเปราะบางเกินกว่าจะอยู่คนเดียวได้”



ป.ล. ขอบคุณหนังเรื่อง “รักแห่งสยาม” / เต๋อ / พี่แอน และทีมงานไบโอสโคปทุกคน







ไปดูรอบสองแน่นอน!
Create Date :25 พฤศจิกายน 2550 Last Update :25 พฤศจิกายน 2550 6:27:58 น. Counter : Pageviews. Comments :58