bloggang.com mainmenu search
โดย merveillesxx




IN SPY FAT FILM #4
Date: 7 June 2006
Venue: SFX Cinemacity Central Ladprao


และแล้วงานประกวดหนังสั้น “เอาเพลงมาทำเป็นหนัง” อย่าง FAT FILM ก็วนเวียนมาอีกครั้งในปีนี้ และก็เป็นครั้งที่ 4 แล้ว

แรกทีเดียวเราก็คิดจะกดขอบัตรทางโทรศัพท์ด้วยตัวเอง จึงซุ่มรอจนถึงช่วงตี 4 ...เพื่อจะพบว่า...แม่งกดไม่ติด (คาดว่าเหล่ารปภ. และสาวโรงงานกะดึกคงนึกคึกอยากไปดู Fat Film กับเค้าบ้าง)

เมื่อมันกดติดยากเย็นนัก เราก็เลยคิดว่า เออ ช่างมัน กูไม่ดูก็ได้วะ...แต่แล้วสุดท้ายก็ต้องไปพึ่งใบบุญจาก “รุ่นน้องนักวิจารณ์และผู้กำกับหนังสั้นที่น่าจับตามองที่สุดของประเทศไทย” อย่างน้องก่อจนได้

เรื่องของเรื่องก็คือ น้องก่อส่งหนังเข้าประกวด Fat Film ในครั้งนี้ด้วย จึงได้รับโควตาบัตร 2 ใบ และด้วยว่าหนังของมันไม่ได้เข้ารอบ 10 เรื่องสุดท้าย มันจึงมิอาจหน้าด้านลากใครมาดู ...บัตรที่เหลืออยู่ 1 ใบจึงตกเป็นของเราโดยปริยาย โฮะ โฮะ โฮะ

น้องก่อส่งหนังไป 2 เรื่อง ...เรื่องแรกคือ “ไม่ไปรังสิต” เกี่ยวกับการย้ายที่เรียนจากท่าพระจันทร์ไปรังสิตของ ม.ธรรมศาสตร์ ...เรื่องนี้เราก็มีส่วนร่วมด้วย เป็นถึง “ที่ปรึกษา” เชียวนะ...และหนังก็ลงเอยด้วยการ...เอ่อ...ตกรอบแรก

ส่วนอีกเรื่องคือ “หายไป” ที่เข้าไปถึงรอบ 25 เรื่อง แต่ก็หลุดไปจาก 10 เรื่องสุดท้ายไปอย่างน่าเสียดาย ...เอาน่ะ น้องก่อ สู้ต่อไป พี่ว่า Fat Radio มันคงไม่เจ๊งภายในปีสองปีนี้หรอก!




7 มิถุนายน 2549

Fat Film ปีนี้ไปจัดที่ SFX เซ็นทรัลลาดพร้าว ซึ่งดีมากเพราะมันใกล้บ้านเรา และห้างนี้ก็ถือเป็น “ห้างประจำชาติ” ของเราอีกด้วย

เรานัดน้องก่อไว้ประมาณ 4-5 โมง ก็เลยกะว่าจะไปดู “ก้านกล้วย” รอบ 14.30 ก่อน (โคตรเชยเลย มาดูเอาป่านนี้) โดยกะว่ารอบนี้ต้องคนน้อยแน่นอน เพราะเด็กมันก็เปิดเทอมกันหมดแล้วด้วย ...อ้อ ก้านกล้วยที่นี่ยังฉายในระบบ Digital ด้วยนะ (บัตรตั้ง 150 บาทแน่ะ)

และความซวยก็ถาโถมตั้งแต่ออกจากบ้าน เนื่องจากเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกพอประมาณ ก็เลยคิดประหยัดนั่งรถเมล์ แต่รอ ปอ.545 อยู่ตั้งนาน มันก็ไม่มาสักที ก็เลยจะเดินไปเรียกแท็กซี่ แล้วก็เหลือบไปเห็นสาย 134 ก. มาพอที (อันนี้ก็ไปได้เหมือนกัน แต่ต้องเดินหน่อย) ก็วิ่งขึ้นรถไป ...และจังหวะที่จ่ายตังค์อยู่นั่นเอง ก็เห็นสาย 545 สวนไปทางซ้ายอย่างจะจะลูกกะตา ...อืม เยี่ยมจริงๆ

แต่ในที่สุดก็มาถึงโรงหนังได้อย่างเฉียดฉิวและวิ่งไปต่อแถวซื้อตั๋วทันที...จึงได้พบว่าทั้งแถวมีกูอยู่คนเดียวที่มาคนเดียว นอกนั้นเค้ามากับแฟนกันหมดเลย (ไม่เข้าใจ ทำไมพวกมันไม่รู้จักหากิจกรรมอย่างอื่นทำบ้าง) ยังดีว่าคนขายตัว เอ๊ย! ขายตั๋วหล่อดี (และแน่นอน...เป็นเกย์) ก็พอจะทำให้สงบสติอารมณ์ได้บ้าง

และที่เราคาดไว้มาคนมันจะน้อยก็ผิดคาด เพราะคนดูตั้งเกือบครึ่งโรง นอกจากอีพวกมาเป็นคู่ที่ทิ่มแทงจิตใจเราเป็นยิ่งนักแล้ว โรงหนังยังแถมแพ็คเกจ “เด็กเปรต” และ “ผีถีบเบาะ” ให้เราอีก ...ครบรสชาติจริงๆ พับผ่า

พูดถึงหนัง ก้านกล้วย เราก็ชอบนะ น่าดีใจที่คนไทยทำอนิเมชั่นได้ถึงขนาดนี้แล้ว แต่จุดที่เราตะหงิดๆ อยู่หน่อย ก็คงเป็นเรื่อง “ภาพลักษณ์” ของพม่านั่นแหละ ดูอย่างช้างของฝั่งพม่าสิ เด็ก 3 ขวบ มันดูก็รู้แล้วว่าไอ้นี่เป็น “ตัวร้าย” แน่นอน มันก็ไม่ต่างจากตอนเรียนวิชา สปช. สมัยประถมเลย ที่เราถูกปลูกฝังมาตลอดว่า “พม่าคือผู้ร้าย ส่วนสยามคือพระเอก” หรืออย่างตอนเรียน รด. เราก็จำได้แม่นเลย ทหารบางคนสอนว่า “ถ้าเจอไอ้พวกพม่าเมื่อไร จับมันกระทืบได้เลย ไอ้พวกนี้แหละที่ทำลายชาติบ้านเมืองเราในสมัยก่อน”

ถ้าว่าด้วยเรื่องของพม่าแล้ว ช่วงเดือนก่อนข่าวที่สะเทือนใจเรามากที่สุด ก็คือเรื่องที่รัฐบาลทหารของพม่ายืดเวลากักตัว อองซานซูจี ไปอีก 1 ปีนี่แหละ เพราะภาพที่เธอถูกกักตัวอยู่ในบ้านก็เป็นสิ่งที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่าทุกวันนี้มันก็ยังเป็นเหมือนเดิม ...เฮ้อ

อ๊ะ...พอก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไปไกลกว่านี้ กลับมาเรื่อง Fat Film ต่อเถอะนะ


พอดูก้านกล้วยจบ และเดินออกมาจากโรง เราก็เห็นเค้าเริ่มรับบัตรงาน Fat Film กันแล้ว แต่เนื่องจากอีก่อยังไม่มา และมันก็โทรมาบอกว่าเพิ่งจะออกจากบ้าน เราก็นั่งรอสถานเดียว

ตอนที่นั่งๆ อยู่ ก็มีผู้ชายคนนึงหน้าโจรๆ หน่อยมานั่งข้างๆ สักพักเค้าก็ทักเราว่า “เฮ้ย ใช่ คันฉัตร ป่าววะ” (ชื่อจริงเราเอง) เราก็อึ้งๆ ไปพักนึงว่าชีวิตนี้กูเคยรู้จักคนหน้าโหดขนาดนี้ด้วยเหรอวะ แต่พอถามไปถามมาก็นึกออกว่า นี่คือ ปรเมศ เพื่อนสมัยเรียนสาธิตจุฬานั่นเอง (แต่อยู่คนละห้องกัน)

ปรเมศก็ส่งหนังเข้าประกวดเหมือนกัน (เป็นตากล้อง ไม่ได้เป็นผู้กำกับ) แต่หนังตกรอบแรก เราสองคนก็พูดคุยกันไปเรื่อยอย่าง เรื่องเรียน, เรื่องเพื่อน แล้วเขาก็ถามเราว่า “ไม่คิดจะทำหนังสั้นบ้างเหรอ” พอเราบอกว่าก็มีคิดพล็อตเอาไว้เล่นๆ เหมือนกัน เขาก็บอกว่าถ้าจะให้ช่วยถ่ายให้ก็โทรไปหานะ ...จากนั้นน้องก่อก็มาพอดี เราก็เลยแยกจากปรเมศมา

น้องก่อชวนเราไปหาอะไรกิน แล้วก็ไปลงเอยที่ Oishi Ramen (ที่ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้มันคนไม่เยอะ) เราสั่งราเมนไข่เจียวปูอัด (อร่อยดีนะ) ส่วนมันสั่งราเมนแกงกะหรี่ ซึ่งส่อถึงรสนิยมต่ำๆ ของมันได้ดี ...กินๆ อยู่ไอ้ก่อก็บอกว่าเดี๋ยวจะมีเด็กมันตามมา (สมมติว่าชื่อ น้องแน็ตตี้ ละกัน) ซึ่งนัยยะซ่อนเร้นของมันคือ “วันนี้กรุณาไสหัวไปไกลๆ อย่าเสือกทำตัวเป็น กขค.” นั่นเอง

พอมันรู้ว่าน้องคนนั้นจะมา มันก็ทำท่าดีอกดีใจอย่างกับกะเทยที่พ่อยอมให้แปลงเพศ อะไรประมาณนั้น เห็นแล้วเราอยากถีบออกไปนอกร้านจริงๆ

หลังจากกินอิ่ม และตามหาน้องแน็ตตี้อยู่ตั้งนาน ประหนึ่งเล่นซ่อนแอบในหนังบอลลีวู้ด เราก็พบตัวเธอจนได้ ...ตอนแรกอีก่อมันทำเป็นพูดว่า “โห ถ้าพี่เห็นนะ พี่ต้องไม่ชอบแน่ๆ ไม่ค่อยสวยหรอก” …อีห่า อยากจะกระโดดถีบมันจริงๆ เพราะแบบว่า...น้องคนนั้น...เค้าสวยกว่าแฟนเก่าของกูทุกคนเลยง่ะ (นับเฉพาะผู้หญิงนะ) อีก่อเอ๊ย ถ้าได้ดีแล้วอย่าลืมแบ่งปันพี่คนนี้บ้างนะ (เอ๊ะ ยังไง ?!)

พอเรากลับไปชั้นโรงหนัง เขาก็เริ่มให้เข้าไปในโรงแล้ว ซึ่งวันนี้เราได้บัตร “นั่งพื้น” เนื่องจากอีก่อมันมาเอาบัตรสาย (แต่ว่าสุดท้ายมันก็มีเบาะว่างให้เราสามคนนั่งจนได้)

และหนังทั้ง 10 เรื่องก็เริ่มฉาย...




ความรู้สึกต่อหนังบางเรื่อง

(**โปรดระวัง มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องของหนังนะจ๊ะ**)

ถ้าพูดโดยรวมแล้ว เราก็รู้สึกว่าคุณภาพของหนัง Fat Film ปีนี้ก็อยู่ในระดับที่ดี พอกับครั้งที่แล้ว โดยจุดเด่นของ Fat Film อย่าง “หนังขำขำ” ก็ยังมีอยู่มิเสื่อมคลาย

เรื่องแรกที่ฮามากๆ ก็คือ เรื่อง “รึเปล่า” เป็นหนังล้อขนบของตระกูล “บ้านผีบอป” (ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีมุกหนีผีลงตุ่ม) สิ่งที่เราชอบมากในหนังก็คือ นักแสดงที่เล่นเป็นหมอผี (ที่ดันทาลิปสติก??) หรือมุกไร้ที่มาที่ไปอย่างตอนที่ตัวละครหนึ่งวิ่งหนีบอปอยู่แล้วดันตะโกนว่า “อยากกินไดโดมอน” (??!!)

แต่ที่ฮาที่สุดก็คือ ฉากที่ชาวบ้านตะโกนไล่บอปกันว่า “ออกไป! ออกไป!” แล้วจู่ๆ ทุกคนก็โพกผ้าเหลืองกันหมด (แอบแรงนะยะ)


เรื่องที่สองที่แอบฮา คือ Happiness is เรื่องนี้มีไอเดียที่น่าสนใจมาก โดยผู้กำกับจะเอาเสียงและซับไตเติ้ลจากหนังหลายๆ เรื่องมาใส่กับภาพที่ผู้กำกับถ่ายเอง ซึ่งเสียงกับภาพเหล่านั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกันสักเท่าไร (แต่มันก็ดูไปกันได้ดีนะ) แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีภาพข่าวตอนท่านนายกประกาศเว้นวรรคขึ้นมาแทรกซะงั้น (??) แล้วหลังจากนั้นก็เป็นการตัดต่อที่ฮาแตกสุดๆ

ถึงตรงนี้แล้ว ก็มีข้อสังเกตหนึ่งว่าหนัง Fat Film ในคราวนี้มีหนังหลายเรื่องที่มีประเด็นทางการเมืองอยู่ในหนังด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นการล้อเลียนท่านผู้นำหรอกนะ


นอกจากตระกูลหนังฮาแล้ว Fat Film เกือบทุกครั้งจะต้องมีหนังผี หรือหนังหลอนๆ ด้วย โดยครั้งนี้เรื่อง (ผี) ที่เดิม ก็เป็นตัวแทนหนึ่งเดียวของหนังผีที่เข้ามาในรอบ 10 เรื่องสุดท้าย

ซึ่งส่วนตัวแล้วในความเป็นหนังผีของเรื่องนี้เราก็เฉยๆ นะ เพราะหนังใช้เอฟเฟกต์โฉ่งฉ่างไปหน่อย แต่ที่ชอบก็คือความพยายามหลายๆ อย่างในหนัง ที่บางทีก็กลายเป็นความฮาไปเลย เช่น ฉากเปิดเรื่องที่ถ่ายด้วยกล้องสั่นๆ เหมือน Blair Witch Project เป็นภาพใครก็ไม่รู้ อยู่ในห้องมืดๆ แล้วก็พยายามกดโทรศัพท์ แต่กดเท่าไรก็ไม่ติดสักที ซึ่งฮามากที่ห้องมันมีโทรศัพท์ประมาณ 8 เครื่อง ทั้งโทรศัพท์บ้าน, PCT, Nokia N-Gage ไปจนถึง Nokia 3310 (นี่บ้านมันขายโทรศัพท์หรือยังไง?)

อีกฉากที่ชอบมากก็คือ ตอนที่พระเอกกางร่มในห้องนอน แล้วพอหุบร่มก็เจอผีทันที ...ซึ่งนำความสงสัยมาต่อผู้ชมเกือบทั้งโรงว่า ปกติใครเค้ามากางร่มเล่นๆ กันในห้องฟะ?? แต่ก็ถือว่าเป็นไอเดีย “การปรากฏตัวของผี” ที่เลิศมาก


อีกเรื่องที่อดพูดถึงไม่ได้ก็คือ “หายไป” (คนละเรื่องกับของน้องก่อนะ) ที่ได้รับตำแหน่ง “หนังโอท็อป” ไปโดยปริยาย ด้วยการใช้ซาวด์แทร็กประกอบเป็นเพลงลูกทุ่งเกือบทั้งเรื่อง แถมการเล่าเรื่องก็ยังน่าสนใจมากด้วย เพราะหนังเรื่องนี้เล่าถึงคน 3 คน กับไก่ 3 ตัว และการหายไปของไก่ด้วยการตัดต่อแบบ “จิ๊กซอว์” คาดว่าหนังอาจจะได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง 21 Grams เป็นได้ (ฮา)


ส่วนหนังที่เราชอบที่สุดในงานนี้ก็คือเรือง SEE โดยช่วงแรกของหนังเรื่องนี้ทำให้ทุกคนในโรงงงกันเป็นแถบ เพราะมันเป็นภาพของผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่งยืนผัดข้าวผัด แล้วก็ยกจานข้าวไปนั่งกินที่โต๊ะในห้องมืดๆ แล้วกล้องก็ถ่ายแช่ตอนที่ลุงคนนั้นกินข้าวประมาณ 5 นาทีเห็นจะได้

จากนั้นอยู่ดีๆ ก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งพูดว่า “คัท!” แล้วก็เดินออกมาหาลุงคนนั้น แล้วบทสนทนาเหล่านี้ก็เกิดขึ้น (จำได้คร่าวๆ นะ อาจจะผิดไปบ้าง)

เด็กหนุ่ม : “พ่อ พ่อต้องกินช้ากว่านี้นะ ...เอาให้เหมือนแบบคนอายุ 70 น่ะ”

ชายแก่ : “…เอาให้ช้ากว่านี้?”

เด็กหนุ่ม : “ครับ”

ชายแก่ : “แล้วเมื่อกี้ที่ถ่ายไปใช้ไม่ได้เหรอ”

เด็กหนุ่ม : “ก็ต้องถ่ายใหม่น่ะ”

ชายแก่ : “อืม...เฮ้อ...ปวดฟัน”

เด็กหนุ่ม : “อ้าว แล้วพ่อไปหาหมอรึยัง”

ชายแก่ : “ก็ว่าจะไปวันพุธ”

เด็กหนุ่ม : “โอเค โอเค เริ่มถ่ายใหม่ได้”

แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นก็เดินออกจากฉากไป ...ส่วนชายแก่ก็เริ่มกินข้าวต่อในจังหวะที่ช้ากว่าเดิม

ถึงตรงนี้แม้ผู้ชมจะรู้แล้วว่าสิ่งที่เขาดูอยู่คือ กองถ่ายหนังอะไรสักอย่าง แต่พวกเขาก็ยังงงอยู่ดีว่า “นี่มันอะไรกันวะ??”

หลังจากกล้องแช่ภาพลุงคนนั้นกินข้าวต่อ สักพักก็มีข้อความขึ้นมากลางจอว่า

“ภาพที่เห็นอยู่นี้ เป็นภาพที่ผมเห็นอยู่ทุกวัน พ่อของผมมักกินข้าวคนเดียวในห้องนี้เสมอ ...วันหนึ่งตอนที่ผมกำลังกินน้ำอยู่ที่อีกห้อง ผมมองเห็นภาพของพ่อกำลังกินข้าวอยู่ในมุมมืดๆ ...มันทำให้ผมรู้ว่าเราแทบจะไม่ได้คุยกันเลย ...และถ้าหากยังปล่อยไว้แบบนี้ ...เราก็คงจะยิ่งห่างเหินกันมากขึ้นเรื่อยๆ”

จากนั้นหนังก็จบ...ขึ้นเอนด์เครดิต...พร้อมกับเสียงปรบมือสนั่นโรง

ต้องสารภาพเลยว่าตั้งแต่ปี 2006 มาที่เราดูหนังไปร่วม 70 กว่าเรื่อง หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ทำให้เราร้องไห้ได้อย่างรุนแรงที่สุด ...มันน่าอัศจรรย์ใจมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนังที่ความยาวเพียงแค่ 9 นาที จะเปี่ยมด้วยความรู้สึกและกระทบใจเราได้มากขนาดนี้

นอกจากนั้นมันยังแสดงให้เห็นว่า เรื่องที่เราจะหยิบยกมาเล่าในหนังนั้น มันไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ไกลตัวเลย แต่เพียงสิ่งที่เราพบเห็นอยู่ทุกวัน มันก็เป็นหนังเรื่องหนึ่งได้

หนังเรื่องนี้มันตรงกับชีวิตเรามาก เพราะเราเองก็แทบจะไม่ได้คุยกับพ่อมาเกือบ 6 ปีแล้ว พ่อเราทำงานต่างจังหวัด กลับบ้านมาก็เฉพาะเสาร์-อาทิตย์ ...ในสัปดาห์หนึ่งเราพูดกันแทบจะนับคำได้ หรือบางทีก็ไม่ได้พูดกันเลย ...และหลายครั้งที่เราเลี่ยงจะกินข้าวกับพ่อ จนทำให้เขาต้องกินข้าวคนเดียว

ดูหนังเรื่องจบแล้ว เราอยากเข้าไปกอดผู้กำกับ (ไม่ใช่เพราะเขาหล่อนะ...ถึงแม้อันนั้นจะเป็นเหตุผลหนึ่งก็ตาม) อยากขอบคุณที่เขาทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา หรืออย่างน้อยก็ในฐานะ “คนที่ไม่ค่อยได้พูดกับพ่อ” เหมือนกัน

และด้วยเหตุนี้เอง เราจึงโหวตรางวัล popular vote ให้กับหนังเรื่อง SEE อย่างหมดใจ และ SEE ก็ได้รับรางวัลนั้นไปอย่างสมศักดิ์ศรี




ช่วงประกาศผลรางวัล

ก็ฉายหนังจบทั้ง 10 เรื่อง เขาก็มีการมอบรางวัลกัน ซึ่งตรงนี้ก็มีอะไรฮาๆ เยอะเหมือนกัน

อย่างแรกก็คือ งาน Fat Film นี้จะเป็นงานที่มีผู้รับรางวัลใส่กางเกงสั้นและแตะคีบขึ้นไปรับรางวัลเยอะที่สุดในประเทศไทย ประมาณว่าคนดูแต่งตัวดีกว่าคนรับรางวัลอีก ว่างั้นเหอะ

คนที่พูดตอนรับรางวัลได้น่าประทับใจมากก็คือ คุณนวพล (ผกก. เรื่อง SEE) พูดสั้นๆ แค่ว่า “หนังเรื่องนี้ทำให้ป๊าครับ ป๊ายังไม่ได้ดูหนัง ผมจะเอาไปให้ป๊าดูคืนนี้ครับ” แต่ก็สงสารคุณนวพลเหมือน ที่ได้รางวัลเป็น SPY ตั้ง 12 ลัง ไม่รู้ว่าแกจะแบกกลับบ้านยังไง (แต่พิธีกรแซวว่า ให้เอา SPY ไปนั่งกินเชื่อมความสัมพันธ์กับพ่อ)

ที่รุนแรงที่สุดก็คือ คุณลิขิต (ผกก. เรื่องหายไป - ที่ได้รางวัลชนะเลิศ) ที่ขึ้นมารับรางวัลด้วยชุดประมาณ ไอ้คล้าว ในเรื่องมนต์รักลูกทุ่ง (เสื้อลายสก็อตแดง-ดำเฉิ่มๆ หน่อย) แถมยังแบกพัดลมเก่าๆ กับกล่องลังขึ้นมาด้วย เพื่อให้สมกับหนังสไตล์โอทอปของตัวเอง นอกจากนั้นยังเปลี่ยนกางเกงกลางเวที และประกาศอย่างไม่เกรงกลัวใครว่า “ผมอยากทำหนังใหญ่คร้าบบบบ” ...สุดยอดจริงๆ ผกก.คนนี้

และเวลา สามทุ่มเกือบครึ่งโดยประมาณงานก็จบลง ผู้คนก็ทยอยออกจากโรง พร้อมเผชิญกับสายตาอาฆาตของคนที่มารอดู X-MEN 3 ต่อที่โรงนี้ (แหะ แหะ)


พอออกมาแล้ว น้องก่อก็กะจะเดินไปเอาโปสการ์ดรูปหนังของตัวเองที่ห้อยๆ ในบริเวณงาน แต่ปรากฏว่าโปสการ์ดหนังเรื่อง “หายไป” ของมัน (คนละเรื่องกับ “หายไป” ชนะเลิศ) ดันหายไป (โอ๊ย! อ่านแล้วงง) คาดว่าคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นหนังเรื่องที่ชนะเลิศ ก็เลยฉกไปซะงั้น

เนื่องจากน้องก่อเป็นยอดผู้กำกับดัง ก็เลยมีผู้คนมากมายเข้ามาทักทายมัน เราเองซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ จึงได้แต่ยืนกุมไข่แอบอยู่ข้างหลังมัน ประหนึ่งเด็กวัดตามหลังพระอาจารย์อะไรประมาณนั้น

แต่แล้วน้องก่อก็แนะนำให้เรารู้จักกับคุณกิ่ง ผกก.สาวสวยจากเรื่อง “หนังสือรุ่น” ที่ฉายใน Fat Film 3 ซึ่งเราเคยเขียนถึงในบล็อก และเธอก็เข้ามาตอบด้วย โชคดีว่าเราไม่ได้ด่าหนังเธอ เราจึงคุยกันอย่างสันติ (ฮา) ซึ่งเธอก็ถามเราเหมือนกับหลายๆ คนว่า “ไม่ทำหนังบ้างเหรอคะ”

พอเราคุยกับคุณกิ่งจบแล้ว จู่ๆ ก็มีมือลึกลับมาจับที่บ่าเรา หันไปก็เจอผู้ชายคนนึง ผอมๆ ใส่แว่น ตาตี่ๆ หัวเกรียนๆ ยืนอยู่ตรงหน้า

บุรุษลึกลับ : “เอ่อ...ใช่คุณ เมอ-เวล-เลส-เอ็กซ์-เอ็กซ์ ใช่มั้ยครับ?”

เรา : “อ่า...ใช่ครับ”

บุรุษลึกลับ : “คือชอบอ่านบล็อกของคุณมากเลยอ่ะครับ”

(กรี๊ดสุดชีวิต แต่ต้องตีหน้าขรึมไว้หน่อย)

เรา : “ขอบคุณมากครับ เอ่อ แล้วปกติอ่านตรงไหนเหรอครับ อ่านที่เขียนเกี่ยวกับหนังอ่ะเหรอ”

บุรุษลึกลับ : “อ๋อ ก็อ่านแม่งหมดทุกอย่างแหละครับ”

อื้ม...เป็นคำตอบที่ได้ใจมาก

พอคุยไปคุยมา ก็เลยรู้ว่าเค้าชื่อ เอี่ยว โดยเอี่ยวรู้ว่าเราเป็นเราได้ (เอ ประโยคนี้แปลกๆ แฮะ) ก็เพราะเห็นหน้าเราจากหนังสือ ESQUIRE (ซึ่งถ่ายออกมาแล้วดูเป็นคนดีกว่าตัวจริงเยอะ) เอี่ยวเล่าเราให้ฟังว่าช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาเค้าไปฝึกงานที่ a day และก็พยายามจะสัมภาษณ์เราด้วย

เราถามเอี่ยวว่า ชอบหนังเรื่องอะไรมากที่สุด เค้าก็ตอบว่าเรื่อง SEE (เหมือนกันเลย) จากนั้นก็คุยก็อีกนิดหน่อย แลกเบอร์กันไว้ แล้วก็บ๊ายบายกันไป ...หวังว่าคงได้เจอกันอีกนะ


ตอนขากลับ ด้วยความที่เราไม่อยากเป็น กขค. ระหว่างน้องก่อกับน้องแน็ตตี้ เราจึงแยกตัวออกมา (ทั้งที่ความจริง ทั้งสามคนนี้ก็เป็น “สมาคมคนลาดพร้าว” กันหมดเลย) ...คือจริงๆ แล้วก็กลัวว่า ถ้าเราอยู่กับน้องเค้าไปนานๆ แล้วเค้าจะหันมาสนใจเรามากกว่าอีก่ออ่ะนะ ...อืม เราก็เป็นคนดีเหมือนกันนะเนี่ย

ประมาณสี่ทุ่มครึ่งก็ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ

แล้วพบกันใหม่ปีหน้าครับ

ปล. คืนนั้น ตอนประมาณห้าทุ่มครึ่ง มีหญิงสาวลึกลับใช้ PCT โทรมาหาเรา โดยไม่ยอมบอกว่าตัวเองคือใคร แล้วสายก็หลุดไปเสียก่อน (จะโทรกลับก็ไม่ได้ เพราะมันไม่โชว์เบอร์) ...คือจนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่รู้นะว่าเธอคือใคร แต่หากเธอมั่นใจในความน่ารักของตัวเอง ก็ขอให้โทรมาใหม่นะจ๊ะ แล้วเค้าจะรอนะ...




ความชอบที่มีต่อหนัง (เรียงจากมากไปน้อย)

01. SEE (2006, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, A+++++++)

02. รึเปล่า (2006, สุทัศน์ ภาวิไลรัตน์, A)

03. Happiness is (2006, ธเนศ มรรดาสกุล, A)

04. หายไป (2006, ลิขิต สิทธิพันธุ์, A-)

05. รุ้ง (2006, เด่นชัย คีรีรักษ์ + ศุภวิชญ์ มีเปรมวัฒนา, A-)

06. Ghost @ gfb, (ผี) ที่เดิม (2006, สมชาย วชิระจงกล, B+)

07. จอมยุทธ์ (2006, ยศพล ชุติปัญญะบุตร, B+)

08. องศาที่ต่างกัน (2006, มนต์ชัย ฉัตรบำรุงสุข, B+)

09. บ้านหลังน้อย (2006, คมกฤช มานนท์, B+)

10. ทรมาน (2006, วีรชาติ งามศิลป์, B)




ผลรางวัล

รางวัลชนะเลิศ
หายไป (ผู้กำกับ: ลิขิต สิทธิพันธุ์)

รางวัลรองชนะเลิศ
SEE (ผู้กำกับ: นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์)
รึเปล่า (ผู้กำกับ: สุทัศน์ ภาวิไลรัตน์)

ป็อบปูล่าโหวต
SEE (ผู้กำกับ: นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์)

รางวัลโดดเด้ง - กำกับคิวบู๊ยอดเยี่ยม
จอมยุทธ์ (ผู้กำกับ: อายุวัฒน์ เสริมศรี)

รางวัลโดดเด้ง - หนังขนหัวลุก
Ghort @ gfb , ( ผี ) ที่เดิม (ผู้กำกับ: สมชาย วชิระจงกล)

รางวัลโดดเด้ง - น้องกล้าทำ พี่ก็กล้าให้
รถไฟ (ผู้กำกับ: โกวิท โซวสุวรรณ)




ลิงค์ที่น่าสนใจ

บรรยากาศงาน Fat Film 4
//www.thaishortfilm.com/Fatfilm4.html

ข้อมูลของ นวพล (ผกก. เรื่อง SEE)
//www.thaiindie.com/filmmakersold/nawapol.htm

Fat Film 3
Create Date :09 มิถุนายน 2549 Last Update :9 มิถุนายน 2549 23:24:15 น. Counter : Pageviews. Comments :22