bloggang.com mainmenu search




ช่อมะลิลา
ผู้เขียน : แก้วเก้า
สนพ.ทรีบีส์ (พิมพ์ครั้งที่ ๒/มี.ค. ๒๕๕๕)
๖๐๐ หน้า ราคา ๔๘๐ บาท


จากเว็บสำนักพิมพ์ :


ความรักสามเส้าของ เจ้าคุณ ปิ่นเมือง และคุณหลวง
ความรักของคนที่เคยรักกัน แต่ก็รู้ว่าไม่อาจจะรักกันได้อีกแล้ว
และไม่อาจลืมกันได้ ทำให้หญิงหนึ่งชายสอง
ต้องตกอยู่ในห้วงทุกข์ไปจนเกือบตลอดทั้งชีวิต





จากบทนำ :


ร่มพฤกษากว้างใหญ่ของตระกูลเก่าแก่ ย่อมแตกกิ่งก้านจำนวนลูกหลานมากมาย
สามารถผลิดอกออกใบงามตาสืบทอดกันมาหลายชั่วคน
มีความเป็นไปได้มาก ว่าความงามน่าชื่นชมเหล่านี้ กิ่งใดกิ่งหนึ่งมักจะมี ‘โครงกระดูก’ ซุกซ่อนอยู่

โครงกระดูกที่ว่า คือเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นกับคนใดคนหนึ่ง รู้กันทั่วในครอบครัว
แต่คนอื่นๆ ไม่อยากพูด ไม่อยากให้คนนอกรู้ ด้วยความอับอายว่าจะถูกติฉินนินทา
หรือด้วยความแค้นเคืองผู้เป็นต้นเหตุ เกินกว่าจะให้อภัย
โครงกระดูกหลายโครงจึงถูกซุกซ่อนอยู่ในเงามืด รอการเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา

ไม่มีใครคิดแตะต้อง หรือแม้แต่จะแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า เรื่องที่ถูกตัดสินว่าผิด
หลายๆ เรื่อง บางทีก็เป็นแค่ค่านิยมในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง
เมื่อล่วงผ่านพ้นสมัยมาแล้ว ก็อาจเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจจะเกิดกับใครก็ได้

หรือแม้แต่ว่า ถ้ามองจากมุมอีกมุมหนึ่ง ก็อาจจะมองเห็นบางแง่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ควรแก่ความเห็นใจ มากกว่าตำหนิประณาม





เรื่องย่อ : (ย่อเองแบบสั้น ๆ )

เรื่องเล่าผ่าน ดร.ภูมิไท เลขาธิการหนุ่มใหญ่ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการบูรณะตึกโบราณหลังหนึ่ง
เขาแปลกใจที่พบว่าประวัติของเจ้าของตึกค่อนข้างสั้นและห้วน ไม่มีรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับชีวิตครอบครัวเลย
เขาจึงพยายามสืบค้น และเมื่อได้รายละเอียดเพิ่มเติมมาเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะชื่อและภาพถ่ายของท่านผู้หญิงของท่านเจ้าพระยา
เขาจึงคิดจะนำไปพิมพ์ลงในหนังสือประวัติของท่าน...

นั่นจึงเป็นที่มาของเรื่องราวอันเหลือเชื่อ...เมื่อวิญญาณของท่านผู้หญิงปิ่นเมือง เสมามนตรี
มาปรากฏกายต่อหน้าเขาและขอร้องไม่ให้เขานำชื่อและภาพของเธอพิมพ์ลงในหนังสือประวัติท่านเจ้าคุณ...
เธอให้เหตุผลเพียงว่า...นั่นจะเป็นการทำให้เกียรติยศของท่านเจ้าคุณมัวหมอง

ภูมิไทไม่ได้รู้สึกกลัววิญญาณท่านผู้หญิงสักนิด
เขากลับพยายามรั้งให้เธออยู่เพื่อเล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้เขาฟัง
แม้เขาจะรับปากกับเธอว่าเขาจะไม่เผยแพร่เรื่องราวของเธอ แต่เป็นความสนใจใคร่รู้ส่วนตัว

จะด้วยเหตุใดก็ตาม...ท่านผู้หญิงปิ่นเมืองก็ยินยอมมาพบ
และบอกเล่าเรื่องราวความรักสามเส้าอันแสนเศร้าระหว่างเธอกับเจ้าพระยาเสมามนตรีผู้เป็นสามี
กับหลวงพิรัชช์เมธีผู้เป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กของเธอ ซ้ำยังมีศักดิ์เป็นหลานชายท่านเจ้าคุณอีกด้วย...





หลังอ่าน...
เป็นนิยายพีเรียดแนวพารานอร์มอลนิด ๆ ที่สนุกเร้าใจให้อ่านอย่างจดจ่อ วางไม่ลงเลยทีเดียว
ชอบวิธีดำเนินเรื่องแบบนี้มาก...
เป็นการตัดสลับกันไปมาระหว่างยุคปัจจุบันกับเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทำให้ผู้อ่านค่อย ๆ ทำความรู้จักกับตัวละครแต่ละตัวแล้วนึกภาพตาม...
ทั้งได้ทำความเข้าใจถึงภูมิหลัง ทัศนคติและมุมมองต่อชีวิตและความรักของพวกเขา...
มากพอที่จะเข้าใจถึงการกระทำและการตัดสินใจของแต่ละคน...

ส่วนตัวพบว่า...อ่านตอนแรก ๆ รู้สึกขัดเคืองใจนางเอกนิด ๆ (จะพิรี้พิไรเขียนจดหมายไปหาพิรัชทำไม?...)
และรู้สึกไม่พอใจพิรัชที่ทำเหมือนเห็นแก่ตัว ไม่ได้คิดถึงความลำบากใจของผู้หญิงคนที่ตัวเองบอกว่ารักเลย...
ซ้ำตอนหลังยังไปดึงเอาผู้หญิงอีกคนหนึ่งให้เข้ามาพัวพันในปมชีวิตยุ่ง ๆ ที่ตัวเองยังไม่สามารถคลี่คลายได้อีก...

แต่เมื่อมาอ่านทบทวนอีกที...ความรู้สึกก็กลับแปรเปลี่ยน กลับกลายเป็นความเห็นใจ เข้าใจ...
รู้ซึ้งถึงพุทธพจน์ที่ว่า...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม...

อ่านแล้วอินแบบนี้จริง ๆ ...
เชื่อสนิทว่าคนอย่างท่านเจ้าคุณเสมามนตรี ท่านผู้หญิงปิ่นเมือง และหลวงพิรัชช์เมธี
มีตัวตนอยู่จริงในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง

เรื่องเล่าของเธอเป็นตำนานชีวิต ตำนานแห่งความรักที่อาจจะเกิดขึ้นได้จริงกับใครก็ได้ทั้งนั้น...
เพราะมนุษย์ย่อมมีแกนหลักของชีวิตที่เหมือน ๆ กัน...
นั่นคือมีรัก โลภ โกรธ หลง...เป็นองค์ประกอบสำคัญ...ไม่แตกต่าง

อาจจะแตกต่างก็เพียงวิธีตั้งรับและแก้ไขไม่ให้ผิดทำนองคลองธรรม...
ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับบริบททางวัฒนธรรมและสังคมของแต่ละบุคคล ๆ ไป


อ้อ...ตอนท้าย ๆ มีสะดุดนิดหนึ่ง เกี่ยวกับเงื่อนเวลา (ตรงนี้อาจจะสปอยล์)...

ถึงแม้ผู้เขียนจะไม่ได้บอกตรง ๆ ว่า ผู้เล่า(ดร.ภูมิไท )อาจจะเป็นท่านเจ้าคุณเสมามนตรีในชาติก่อน
ถึงได้รู้สึกผูกพันและเป็นผู้ช่วยคลี่คลายปมในใจคุณหญิงปิ่นเมืองให้ล่วงรู้ถึงความคิดของท่านเจ้าคุณในที่สุดได้...
แต่จากคำพูดของคุณภูมิไททำให้เราคิดไปเช่นนั้น...
แต่ดูจากเงื่อนเวลาแล้วดูเหมือนจะไม่น่าเป็นไปได้...ดร.ภูมิไทปัจจุบันอายุห้าสิบเศษ ๆ ...
แต่คุณชฎาวรรณบอกว่าท่านเจ้าคุณเสียชีวิตหลังจากเธอเข้าทำงานใหม่ ๆ ...(ซึ่งตอนนั้นเธอน่าจะอายุยี่สิบต้น ๆ และปัจจุบันเธออายุเกือบ ๗๐ ปี)
นั่นก็หมายความว่า...ท่านเสียชีวิตเมื่อประมาณสี่สิบกว่าปีก่อนเท่านั้นเอง จึงไม่น่าจะกลายมาเป็นดร.ภูมิไทในชาตินี้ได้
เอ...หรืออิฉันเข้าใจผิดไปเอง...?

อย่างไรก็ดี...ท้ายที่สุดแล้วโศกนาฏกรรมแห่งรักของชายสองหญิงหนึ่งจะลงเอยอย่างไร...

ต้องชวนให้ไปอ่านกันเอาเองแล้วล่ะค่ะ...
ส่วนตัวยกให้เป็นนิยายในดวงใจแห่งปีไปเรียบร้อย...










Create Date :19 เมษายน 2555 Last Update :19 เมษายน 2555 23:00:06 น. Counter : Pageviews. Comments :10