bloggang.com mainmenu search
27 มิถุนายน 2554 : ทริปเที่ยวยุโรป [part 19]

blog เที่ยวยุโรป part ที่ 19 นี้จะเป็นการเดินทางจากเวนิส มายังปลายทางที่กรุงโรมครับ
แต่เส้นทางจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่ง คือ หอเอนปิซ่า
แต่ก่อนจะไปถึงหอเอนปิซ่า ก็ยังมีภาพช่วงการเดินทางอีกนิดหน่อยครับ

แต่ก่อนอื่นมาอำลาเมืองเวนิสพิศวาสกันก่อนละกัน


ตอนเช้าๆ วันที่จะเดินทางออกจากเวนิส
ถ่ายภาพจากหน้าต่างของโรงแรมลงมาครับ



เดินทางไปขึ้นยังท่าเรือ Roma ซึ่งเป็นสถานีรถโดยสาร เพื่อรอรถโค้ชของเราที่จะมารับพวกเราที่นี่


ขึ้นรถกันแล้ว ก็อำลาเมืองเวนิส กับภาพนี้ครับ



ตัดๆ ข้ามๆ ระหว่างทางมานะครับ เพราะดูเหมือนว่า ระหว่างเส้นทางที่วิ่งมา
ดูเหมือนวิวสองข้างทาง จะเหมือนเมืองไทยเลย ถ่ายภาพไปตรงไหนก็เหมือนบ้านเมืองของเราเลย



มาจอดรถกันตรงท่าจอดรถที่มาซื้อตั๋ว และเพื่อต่อรถโดยสารไปยังหอเอนปิซ่า





เมื่อลงจากรถโดยสาร ก็ยังไม่ถึงหอเอนปิซ่า นะครับ
ยังต้องเดินกันต่อไปอีกสักช่วงหนึ่ง
แต่ก็ยังได้ชมร้านค้าสองข้างทาง



ร้านค้าสองข้างทางนี้ คนขับรถของเรา กำชับนักกำชับหนาว่า
ห้ามซื้อของกันโดยเด็ดขาด
แต่โดยในความหมายแล้ว คงประมาณว่า ห้ามซื้อกับพวกคนขายของที่หิ้วของเร่ขายไปมาซะมากกว่า


มาถิ่นหอเอน ขวดน้ำแถวนี้ก็เอนตามหอเอนกันไปด้วย







มาเล่ากันก่อนไว้เลยว่า ร้านค้าเหล่านี้ทำให้พวกเราผิดหวัง เสียดายกันไปตามๆ กัน
เพราะว่าสินค้าของที่ระลึกที่เหมือนๆ กัน ร้านค้าด้านในที่พวกเราได้ซื้อๆ กันมา
ร้านค้าแถวนี้ได้ขายสินค้าที่ระลึก ในราคาที่ถูกกว่าอยู่พอสมควรทีเดียวครับ
แต่ก็เอาเป็นว่าซื้อๆ กันมาแล้ว ก็ยอมๆ ทำใจไปก็แล้วกัน 555


เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาแล้วก็ได้เจอะเจอภาพประทับใจที่เฝ้ารอชมกัน
ในเขตกำแพงที่ล้อมรอบสถาปัตยกรรมอลังการแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า กัมโป เดย์ มีราโกลี (Campo dei Miracoli) หรือ ที่ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในชื่อ จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซา คือบริเวณที่ล้อมรอบด้วยกำแพง ใจกลางเมืองปิซา แคว้นทัสเคนี ประเทศอิตาลี ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างหลัก 4 อย่าง ได้แก่
หอศีลจุ่ม (Baptistery)
มหาวิหารปิซา (Duomo)
หอเอน (Torre)
และ สุสาน (Camposanto)

มาอ่านประวัติที่คัดลอกมาจาก wikipedia กันก่อนละกัน

หอเอนเมืองปิซา (อิตาลี: Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa, อังกฤษ: Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร


การก่อสร้าง เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี
หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา


ประวัติ : กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้
ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ยิงปืนใหญ่ใส่หอเอนเมืองปิซา
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาลอิตาลี พยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น วิศวกร นักคณิตศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา
ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1990 หอเอนเมืองปิซาถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยว เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังขุดดินของอีกด้านหนึ่งออก เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น และในวันที่ 15 ธันวาคม 2001 หอเอนเมืองปิซาถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง และถูกประกาศว่าสมดุลแล้วใน 300 ปีต่อมาหลังจากเริ่มทำการปรับปรุง
ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย
นอกจากนี้หอเอนเมืองปิซานี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองความจริง เรื่องน้ำหนักของของที่ตกเป็นผลสำเร็จอีกด้วย



หอศีลจุ่ม (Baptistery)



สนามหญ้าในส่วนด้านหน้าที่เห็นกันนี้
ดูๆ ไปน่าจัดเป็นสถานที่นั่งเล่นกันแบบนี้เหมือนกัน
แต่เอาเข้าจริงดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ (ตำรวจ) จะสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปนั่งเล่น เดินเล่นในสนามหญ้านี้อยู่เหมือนกันครับ
เพราะพอเริ่มคิดจะเดินเข้าไปบ้าง เสียงนกหวีดก็ถูกเป่าดัง พร้อมกับมีสัญญาณเตือนไม่ให้เข้าไปในสนามหญ้านี้กันด้วย


การมาถ่ายภาพ action กับ หอเอนปิซ่า จากที่หลังๆ มานี้ มี action แบบเท่ๆ สะดุดตาในหลากหลายลีลา
แต่มาเจอลีลานี้ ต้องยอมรับว่าเด็ดจริงๆ
หรือจะเป็นด้วยลีลานี้หรือเปล่าที่ตำรวจเห็นเข้าเลยเป่านกหวีดและไม่ให้เข้าไปเดินในสนามหญ้ากันอีก


หอเอน (Torre)






มหาวิหารปิซา (Duomo)






พอเข้าไปด้านในสนามหญ้าไม่ได้
คราวนี้ลีลา post ท่าก็ต้องสรรหากันใหม่
แต่ก็ไม่เกินความสามารถของนักท่องเที่ยว ที่คิดค้นท่า post ในหลายๆ ลีลา

ถ่ายภาพมาเยอะอยู่พอสมควร แต่ก็ด้วยมุมซ้ำๆ กันครับ ไม่ได้เดินไปไกลจากจุดที่ถ่ายภาพมากนัก









แว๊บเดียวที่เดินถ่ายภาพกันอยู่ในบริเวณนี้
ผู้คนกลับเข้าไปนั่งเล่นในสนามหญ้ากันอีกแล้ว


ส่วนภาพนี้เห็นมีเครื่องบิน กำลังจะบินผ่านมา เลยกดชัตเตอร์ถ่ายมาให้ชมกันอีก 1 ภาพ




ดูๆ ไปแล้ว ก็เป็นบรรยากาศดีๆ อยู่นะครับ
ถึงแม้ว่าอยากจะถ่ายภาพแบบสบายๆ ไม่มีผู้คนมาเป็นจุดที่รบกวนสายตาในบางภาพ
แต่ได้เห็นกันแบบนี้ก็ดูอบอุ่นดีเหมือนกันครับ



มายืนรออยู่ตรงนี้นานพอสมควร
อยากได้ภาพที่ไม่มีคนเดินเข้าเดินออกประตูนี้
แต่ก็ไม่สามารถรอได้ เพราะมีการเดินเข้าเดินออกกันตลอดเวลาเลย

โซนหน้าประตูนี้ คนที่มาขายของแบบเร่ขายของก็มายืนเฝ้ากันอยู่หน้าประตูนี้เหมือนกันครับ
แต่ดูว่าคงเข้าไปด้านในไม่ได้
ด้านนอกที่จริงก็ไม่สามารถที่จะขายของได้นะครับ
เพราะสักพักก็มีตำรวจมาคอยไล่จับเหมือนกัน (เหมือนบ้านเราเลย 555)


มาปิดท้ายอำลากับหอเอนปิซ่า ด้วยภาพนี้ละกัน


จากหอเอนปิซ่า จะเป็นการเดินทางเข้าสู่กรุงโรมครับ
เลยมีภาพในส่วนช่วงเดินทางให้ชมกันอีกนิดหน่อยครับ


ช่วงเดินทางจากเวนิส มาถึงยังตัวเมืองกรุงโรม ก็เย็นย่ำค่ำคืนแล้วครับ



ภาพส่วนนี้ยังเป็นการถ่ายภาพจากบนรถโค้ชอยู่ครับ
















มาถึงโรงแรมที่จะเข้าพักกันคืนนี้แล้วครับ Hotel Morgana




ช่วงรอเช็คอิน เดินถ่ายภาพภายในโรงแรมให้ชมกันนิดหน่อยครับ










จบท้ายกันไว้ภาพเตียงนอนโทนสีคลาสสิคขาวดำ ภาพนี้ครับ
แล้ว blog หน้าไปเดินเที่ยวในกรุงโรม พร้อมกับเรื่องเล่า ที่โดนสาวๆ (ต่างชาติ) มาล้วงกระเป๋ากันด้วยครับ

และขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่แวะมาชมภาพถ่าย set นี้ด้วยครับ
Create Date :27 มิถุนายน 2554 Last Update :27 มิถุนายน 2554 19:10:10 น. Counter : Pageviews. Comments :22