bloggang.com mainmenu search
7 พฤษภาคม 2554 : ทริปเที่ยวยุโรป [part 1]

วันนี้ (7 พ.ค. 54) ได้เดินทางกลับมาสู่เชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ช่วงเช้า 9.30 น. หลังจาก load รูปภาพที่ถ่ายภาพมาเข้าสู่ hard disk เป็นที่เรียบร้อยทั้งหมดแล้ว และก็ copy มาไว้ที่ห้องทำงาน 1 ชุด
จากนั้นก็หลับไป 1 ตื่น เพราะเพลียๆ จากช่วงเดินทางกลับจากประเทศอิตาลี สู่ประเทศไทย ที่ขากลับเกือบ 10 ชั่วโมง อาจจะงีบหลับไปได้แค่ไม่ถึงชั่วโมง เรียกว่าผิดเวลากันไปนิดหน่อย

ทริปไปเที่ยวยุโรปครั้งนี้ ได้ไปประเทศเยอรมัน ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศอิตาลี
จากที่ได้เกริ่นหรือเล่าให้กับเพื่อนๆ บางคนได้ทราบกันไปนิดหน่อย กันไปเที่ยวยุโรปครั้งนี้ ยังไปกับกลุ่มท่องเที่ยวเดิมๆ ที่คุ้นเคยกัน เป็นการไปเที่ยวแบบที่ไม่ใช้ทัวร์พาท่องเที่ยว ไปกันเอง อาศัยว่ามีคนช่วยกันนำ ช่วยกันพาไปเดินเที่ยวกันในแต่ละจุด ซึ่งอาจจะไม่ได้เที่ยวอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก เหมือนจะได้แค่ไปให้ถึงจุดสถานที่ท่องเที่ยว ใครใคร่ถ่ายภาพ ใครใคร่เดินชม ก็แยกย้ายกันไปเดินเป็นกลุ่มๆ กันไป เรื่องเวลาการรอคอยเลยเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน เพราะกว่าจะกลับมารวมตัวกันได้ในแต่ละกลุ่ม ก็ลุ้นๆ กันไป รอกันไปจะกลับมาครบกันได้เวลาไหน เขียนเล่ากันแบบนี้ไว้ก่อนว่า เผื่อว่าเพื่อนๆ จะรอชมภาพถ่ายหรือเรื่องราวกันแบบละเอียด

.....ภาพบางส่วนตรงนี้หายไป เนื่องจากเป็น link ภาพจาก facebook
ไม่รู้ว่าจะไปตามภาพส่วนนี้จากตรงไหน เลยขอลบ link รูปภาพไปด้วยเลยครับ.....

มาถึงเรื่องเฉียดๆ ลุ้นๆ แบบที่อยากเขียนบอกเล่าเรื่องไว้เป็นประสบการณ์ให้อ่านกันครับ กับการไปท่องเที่ยวยุโรป

ช่วงวันก่อนกลับมาเมืองไทยยังเป็นการท่องเที่ยวที่ประเทศอิตาลี ซึ่งก่อนเข้าเมืองและก่อนมายุโรปครั้งนี้ ก็ได้รับการตักเตือนเรื่องการล้วงกระเป๋า คว้ากระเป๋า หรือของมีค่า ทั้งลับหลัง และต่อหน้าต่อตาให้ทราบกันมาก่อนแล้ว ตอนที่อยู่เวนิส จากที่ได้เฝ้าระวังการอย่างตื่นตัว แต่ก็ผ่อนคลายจนลืมๆ เฝ้าระวังกันไป แต่ก็ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

จนมาเข้าเมือง Pisa เพื่อชมหอเอนแห่งเมือง Pisa พอก้าวแรกลงจากรถก็เจอะเจอพวกผิวดำที่จะคอยห้อมล้อม ล้อมหน้าล้อมตาขายของ ซึ่งดูทีท่าแต่ละคนแล้วก็ดูหน้าตาให้เกรงกลัวกันไปด้วย เรียกว่าก็ยอมถอยห่างไม่เข้าใกล้กันเลย......ที่เมือง Pisa ก็ดูว่าปลอดภัยกันดี เพราะยังเฝ้าระวังกันดี แต่ช่วงท้ายๆ ของการเดินเที่ยวก็ดูผ่อนคลาย เดินเที่ยวถ่ายรูปกันอย่างสบายๆ แบบลืมตัวไปเหมือนกัน

คราวนี้มาถึงเมืองที่เกิดเหตุการณ์กับตัวเอง และคนในกลุ่ม ก็ตอนที่มาในเมืองหลวงกรุงโรม หลังจากได้ลองหัดกันขึ้นรถไฟใต้ดินเพื่อไปเที่ยวกรุงวาติกัน คนในกลุ่มก็พอจะเริ่มคุ้นเคยกับการใช้รถไฟใต้ดิน Metro กันแล้ว
จากนี้ไปเริ่มดูผ่อนคลาย การเฝ้าระวังก็ดูละเลยกันไปจนเกิดเหตุการณ์ล้วงกระเป๋า และสิ่งของกันขึ้น หลังจากได้ชมน้ำพุเทรวีก็นเสร็จแล้ว ในกลุ่มก็ชวนกันไปต่อที่โคลอซเซี่ยม ซึ่งก็จะเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Spagna และจะต้องมาเปลี่ยนสายรถไฟอีกหนึ่งสายที่ Termini

ที่สถานีรถไฟ Spagna คนเยอะมาก คับคั่งสุดๆ
ตัวผมเองก็ถูกให้เฝ้าระวังในกลุ่มคนชุดหลังสุด (เพราะในกลุ่มมีผู้ชายแค่ 2 คน คนหนึ่งคุมกลุ่มคนด้านหน้า) ตัวเองเลยคุมกลุ่มหลังสุดที่เหลือกันอยู่ 3 คน
พอรถไฟมาจอดก็ทะยอยรีบๆ ขึ้นรถไฟที่แน่นเต็มคันรถ
ช่วงจังหวะก้าวขึ้นรถ ก็ก้าวขึ้นรถไปปกติ แต่ก็รีบๆ ดันกันขึ้นรถ
รู้สึกตัวเลยว่ามีกลุ่มคนชุดหลังที่เป็นต่างชาติ รีบเดินและดันตามขึ้นมา
แว๊บนึงก็รู้สึกว่ามีคนล้วงมือเข้ามาที่กระเป๋ากางเกงด้านหน้า (ล้วงมาจากด้านหลัง)
ได้ใช้มือซ้ายตบมือไปที่กระเป๋าทันที (มือขวายังถือกล้องที่คล้องคอไว้อย่างแน่นหนา)

รีบหันกลับไปดูคนที่ขึ้นตามมาทันที เห็นเป็นสาววัยรุ่นต่างชาติผิวขาว (อายุไม่น่าจะเกิน 25 ในกลุ่มนี้มี 3 คน)
ช่วงนี้เองเชื่อว่าคนหนึ่งใน 3 คนแบ่งหน้าที่กัน
คนหนึ่งจะยืนดันประตูรถไฟไว้ไม่ให้ปิด และอาจจะรอรับของ
หลังจากที่หันไปเจอะเจอว่าเป็นผู้หญิงวัยรุ่นทั้ง 3 คน ได้บอกกับเพื่อนในกลุ่มว่า 3 คนนี้เป็นคนล้วงกระเป๋าตัวเอง จับมือไว้ไม่ทัน
แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว เพราะทั้ง 3 คน รีบเดินถอยออกจากประตูรถไฟ ที่ถูกดันไม่ให้ปิด และประตูก็ส่งเสียงสัญญาณว่าปิดไม่ได้
จากนั้นทั้ง 3 สาวก็รีบเดินหนีออกไป ในขณะที่รถไฟก็ปิดประตูได้ตามปกติ

ช่วงเวลาที่เกิดแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ การสัมผัสค่อนข้างเบ่ามาก แต่เนื่องจากเป็นช่วงการเดินเพื่อก้าวเข้าไปในตัวรถด้านในต่อ ทำให้มือที่ล้วงเข้ามาไปสัมผัสส่วนที่เป็นขาอ่อนด้านบนแล้ว เลยรู้ว่าถุกล้วงมือเข้ามาที่กระเป๋าแล้ว

เชื่อว่าการล้วงกระเป๋าเป็นขบวนการจริงๆ มีการเล็งเป้าหมายไว้ล่วงหน้า
ทั้ง 3 สาว 3 คนล้วนแต่สะพายกระเป๋า และมีเสื้อกันหนาวคลุมที่กระเป๋ากับมือไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครสังเกตเห็น

แต่เชื่อว่ายังมีจุดที่น่าสังเกตอีก 1 คนที่เป็นผู้ชาย ที่ดูว่าน่าจะเป็นหนึ่งในขบวนการด้วย เพราะเป็นคนที่ยืนหันหน้าออกมาทางประตู แต่ลักษณะการยืน และการจับราวรถไฟ หนุ่มคนนี้จะใช้มือมาจับเสาไว้ (ไม่ได้จับราวด้านบนรถไฟ เหมือนคนทั่วๆ ไป)
ลักษณะการจับเสาขวางไว้แบบนี้ เพื่อไม่ให้เดินผ่านเข้าไปได้ทันที และให้มีช่วงเวลาที่กักคนไว้อยู่ที่หน้าประตูนี้ ก่อนที่รถไฟจะปิดประตู

สรุปว่า สำหรับตัวเอง แค่โดนมือสาวล้วงผ่านเข้ามาที่กระเป๋า
ยังไม่สามารถจะหยิบอะไรได้จากในกระเป๋ากางเกง
(ภายในกระเป๋ากางเกงมีกระเป๋ากล้องคอมแพค กับแบตเตอรี่ 3A และ 2A เท่านั้น) ส่วนของมีค่าอื่นๆ เช่น เงิน และ passport อยู่ในกระเป๋าเสื้อด้านบน ที่ยังมีเสื้อกันหนาวคลุมทับไว้อยู่

ช่วงที่อยู่บนรถไฟ ยังเชื่อว่าน่าจะมีอีก 1 หรือ 2 คน นอกจากหนุ่มคนที่ใช้มือจับเสากันคนไม่ให้เดินเข้าไปด้านในได้

ตัวเองก็ได้แต่พูดคุยกับเพื่อนในกลุ่มว่า โดน 3 สาวล้วงกระเป๋าเข้าซะแล้ว แต่ไม่ได้อะไรไป เพื่อนในกลุ่มก็ยังแอบแซวกลับมากันว่าจะโดนทีเด็ดของ 3 สาวเอาซะแล้ว

พอลงจากรถไฟเป็นที่เรียบร้อยที่สถานีรถไฟ Termini
ก่อนจะเดินทางกันต่อก็รวมกลุ่มกัน และให้ทุกคนสำรวจสิ่งของต่างๆ
ก่อนที่จะเดินไปเที่ยวกันต่อ

แล้วในกลุ่มที่เป็นสาวคนสุดท้ายที่อยู่ในกลุ่มหลัง ก็แจ้งมาว่า กระเป๋าเป้ โดนรูดซิป และเอากระเป๋าที่ใส่ passport ไป

คราวนี้เป็นเรื่องเลย เริ่มที่จะเดินเที่ยวกันต่อไม่สนุกแล้ว
บางคนในกลุ่มก็เริ่มเหน็ดเหนื่อย และไม่อยากจะไปเสี่ยงกันต่อกับการขึ้นรถไฟ Metro ที่คนแน่นๆ กันอีกแล้ว เลยมีบางส่วนกลับไปโรงแรม บางส่วนไปเที่ยวต่อ
แต่ตัวเองก็ได้มากับคนที่โดนล้วงนำ passport ไป

สิ่งแรกที่คิดได้คือการติดต่อกงศุลไทยที่กรุงโรม และการแจ้งความ

เริ่มกลับไปตั้งต้นที่โรงแรมกันก่อน เพราะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟที่ลงมาด้วย
พนักงานสาวของโรงแรมพอให้ข้อมูลได้อยู่พอสมควร (เพราะคงเคยเจอะเจอกันมาบ่อยครั้ง)
แต่พนักงานสาวก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้มากถึงที่สุด แค่บอกเส้นทางไปสถานีตำรวจ ส่วนการติดต่อไปกงศุลไทยที่กรุงโรม ดูเหมือนจะเป็นปัญหากับเวลาการทำงานของระบบราชการที่นี่ (ไม่มั่นใจนักว่าได้ข้อมูลมาถูกหรือเปล่า ว่าสถานที่ราชการจะเปิดทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง บ่ายโมง และหยุดไปจนถึงบ่าย 4 โมงเย็น จากนั้นเปิดต่ออีกครั้งช่วง 6 โมงเย็น)

การติดต่อทางโทรศัพท์ไปยังกงศุลในช่วงเวลาบ่าย 3 โมง ในวันนั้นเลยกลายเป็นเบอร์ที่ไม่มีใครรับสายเลย

และก็เช่นเดียวกันกับสถานีตำรวจ ที่พนักงานสาวของโรงแรมชี้วงไว้ในแผนที่ ซึ่งก็เดินมาไม่ไกลจากโรงแรม
ที่สถานีตำรวจเจอตำรวจสาวเพียงคนเดียวที่พูดได้แต่ภาษาอิตาลี แต่ก็สรุปได้ความว่า จะแจ้งความได้หลังจาก 6 โมงเย็น ตอนนี้เป็นเวลาพัก

แต่ก็พอได้ความมาว่าให้ไปแจ้งความที่สถานีรถไฟ Termini ที่จะมีการทำงานตลอดเวลา
พวกเราจึงเดินไปหาสถานีตำรวจที่สถานีรถไฟ Termini กันต่อ
หลังจากเดินหากันพักใหญ่ ก็เจอะเจอสถานีตำรวจ

ที่สถานีตำรวจ ต้องบอกได้เลยว่า มีแต่คนมาแจ้งความว่าโดนล้วงกระเป๋า โดนขโมยกระเป๋าหรือสิ่งของมีค่าต่างๆ ไป เรียกว่าช่วงที่มารอแจ้งความและดำเนินการซึ่งใช้เวลานานมากๆ ตลอดเวลา 3 ชั่วโมงมีรวมๆ กันได้เกือบ 10 case
ได้นั่งฟังการซักถามของตำรวจหนุ่มสูงวัย ที่พูดได้หลายภาษา ซึ่งมีอยู่คนเดียว นอกนั้นดูเหมือนจะพูดแต่ภาษาอิตาลีเท่านั้น

จากการนั่งฟังการซักถามในแต่ละ case พอสรุปได้ใจความกับ case ที่พอจำได้มีดังนี้
ที่เวนิส สาวเกาหลี ไปท่องเที่ยวคนเดียว สาวเกาหลีคนนี้พูดได้หลายภาษา คงเป็นนักท่องเที่ยวแบบแบกเป้ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ
case ของสาวเกาหลี เล่าให้กับตำรวจฟังว่า มีหนุ่มคนหนึ่งมายืนอยู่ที่สี่แยกริมทางเดิน และทำทีว่าไปไหนไม่ถูก พอมาเจอกับตนก็หยุดถามทาง ชี้ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ด้านหน้าด้านหลังบ้างๆ จนทำให้เธอต้องหยุดคุย และบอกทางกับหนุ่มคนนี้ เผลอแป๊บเดียวมีหนุ่มอีกคน มาคว้ากระเป๋าท่องเที่ยวของเธอไปต่อหน้าต่อตา และก็รวมถึงหนุ่มคนที่มาถามทางนี้ด้วย เรียกว่าเธอสูญเสียกระเป๋าเสื้อผ้าและสิ่งของอื่นๆ ไป 2 กระเป๋า แต่ของมีค่าที่เธอได้ซ่อนไว้ภายในเสื้อ เช่นเงิน และ passport ยังอยู่ดีและปลอดภัย
เธอเล่าว่าเธอต้องการมาทำใบแจ้งความเพื่อไปเรียกร้องกับการที่เธอได้ทำประกันสิ่งของสูญหายไว้ และเธอก็ตอบท้ายกับตำรวจสูงวัยว่า I จะไม่กลับมาที่อีตาลีอีกแล้ว

อีก Case หนึ่งเป็นหนุ่มฮังการีหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่เป็น case ที่ตำรวจสูงวัยคนนี้ปวดหัว เพราะพูดภาษานั้นไม่ได้ แต่ก็ปิด case ได้ เพราะได้สาวเกาหลีคนนี้มาเป็นล่ามให้
case หนุ่มฮังการีนี้โดนฉกกระเป๋าเดินทางที่ Airport

อีก case หนึ่งเป็นสาวต่างชาติเหมือนกัน ขี่จักรยาน แต่นำสื่งของใส่ไว้ตะกร้าหน้ารถ ถูกเด็กๆ มาห้อมล้อมและคว้ากระเป๋าหน้ารถจักรยานไป

กลับมาที่ case ของคนในกลุ่ม หลังจากที่นั่งรอกันอยุ่ 3 ชั่วโมงถึงจะได้คิว ก็ไม่ง่ายนักทีเดียว เพราะตอนแรกยังคิดว่าจะต้องแยกกันไปที่กงศุลไทย แต่ตำรวจบอกว่าไม่ต้อง ใช้ใบแจ้งความนี้ได้เลย
พอต้องรอกันนานๆ จนเหนื่อยล้า ก็เลยไม่คิดที่จะไปกงศุลไทยเหมือนกัน

และการไม่ไปที่กงศุลไทย ก็เป็นเรื่อง เมื่อเช้าอีกวัน ซึ่งเป็นวันเดินทางกลับ ในกลุ่มก็ตั้งใจจะมา check in กันตั้งแต่เช้า แต่กว่าเจ้าหน้าที่ check in ของการบินไทย จะมาทำการก็เป็นเวลา 10 โมงครึ่ง และ case ของเราก็ไม่ผ่านการ check in ของเจ้าหน้าที่การบินไทย
ต้องรีบแจ้นไปกงศุลไทยกันเช้านั้นทันทีเพราะเหลือเวลาแค่ 2 ชั่วโมง
กลุ่มหนึ่งก็ check in และรอกันอยู่ที่แอร์พอร์ท ส่วนกลุ่มหนึ่ง 3 คน รีบเช่า Taxi ไป (ทั้งไปและกลับ ยอมเสียเวลาช่วงรอดำเนินการ) และวันนั้นก็ดูเหมือนจะมีอุปสรรคเข้ามาอีกอย่างที่เจ้าหน้าที่รถไฟสไตรค์หยุดทำงาน ทำให้ผู้คนต้องมาใช้บริการบนเส้นทางถนนรถยนต์ติดขัดกันน่าดูทีเดียว

กลุ่มที่รออยู่ที่แอร์พอร์ท ก็เริ่มลองติดต่อไปยังที่กงศุลไทยที่กรุงโรม กว่าจะติดต่อกันได้ก็ใช้เวลานาน เพราะไม่คุ้นเคยกับการใช้โทรศัพท์สาธารณะ ต้องวานให้เด็กหนุ่มมาช่วยกันกด ช่วยกันต่อเบอร์โทรศัพท์ และได้บอกเล่าเรื่องราวล่วงหน้ากับเจ้าหน้าที่กงศุลไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่กงศุลก็บอกว่าหากมาทันจะรีบดำเนินการให้แล้วเสร็จทันเวลาก่อนเครื่องบินจะออกเดินทางแน่นอน
ในกลุ่มที่รอขึ้นเครื่อง ก็รอกันอยู่เป็นชุดสุดท้าย แต่ก็ได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สายการบินไทยไว้แล้ว ขอช่วยแจ้งไปยังด้านล่างเพื่ออำนวยความสะดวกให้ด้วยหากมีคนไทย 3 คนที่จะเดินทางมา check in และขอช่วยลดขั้นตอน หรือพาส่งด้วย เพราะหากให้เดินหาทางมากันเอง คงไม่ทันแน่ๆ
งานนี้ก็ลุ้นกันตัวโก่ง เพราะรอจนขึ้นเครื่องไปนั่งรอจนเหลือเวลาอีก 5 นาที จะถึงเวลาตามที่เครื่องจะออกจากเดินทาง
แอร์โฮสเตสก็มาแจ้งกับพวกเราว่า ตอนนี้ 3 คนได้มาอยู่ในเส้นทางนำส่งมายังที่เครื่องบินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพวกเราก็ได้เดินทางกลับมาพร้อมกันแบบลุ้นๆ ใจหายใจคว่ำกันทีเดียว

มาถึงตอนท้ายนี้ก็เลยอยากเขียนสรุปๆ ให้อ่านกันสำหรับการเตรียมตัวไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศ
เริ่มจากการเก็บรักษา passport ไว้เป็นอย่างดี จะนำติดตัวไปหรือเก็บรักษาที่โรงแรม ต้องทำกันอย่างปลอดภัย และระมัดระวังขั้นสูงสุด
การทำสำเนา passport หรือใบวีซ่า ก็ควรทำเก็บรักษาแยกกันไว้อย่างปลอดภัยด้วย
รูปถ่ายของแต่ละคน ก็ควรมีการติดสำรองไปด้วย เพราะการไปทำที่กงศุลไทยในกรุงโรมครั้งนี้ ต้องมีการไปถ่ายรูปกันใหม่ด้วย ยังต้องเสียเวลาไปถ่ายรูปกันใหม่อีกพักใหญ่ (รวมถึงการไปหาร้านถ่ายรูปด้วย)

การแต่งกายท่องเที่ยว ในกลุ่มพยายามใช้วิธีการใส่เสื้อ 2 ตัว เสื้อตัวด้านในใช้ใส่สิ่งของมีค่าต่างๆ เช่น เงิน หรือ passport
ส่วนกางเกงหากมีกระเป๋า ก็อยากแนะนำให้หากางเกงที่มีซิปหรือมีกระดุมกันไว้สักหน่อยก็ดี

การแบกเป้สะพาย หากสะพายไว้ด้านหลัง ควรเป็นเป้แบบที่สามารถใส่กุญแจคล้อง lock ซิปไว้ ไม่ให้สามารถรูดเปิดได้ง่ายๆ แต่เมื่อสะพายแล้วก็น่าจะนำมาคล้องไว้ด้านหน้า แต่อาจจะทำให้เดินไม่สะดวก

การเดินท่องเที่ยวจะเป็นกลุ่มใหญ่ กลุ่มเล็ก คงยังต้องระมัดระวัง ช่วยกันมองหน้ามองหลังกันด้วย (แต่การไปครั้งนี้ กลุ่มหน้าเดินกันลิ่วๆ ไม่ได้เหลียวหลังกลับมามองกลุ่มหลังๆ กันเลย)

การขึ้นรถไฟที่เป็นช่วง rush hour หรือมีคนหนาแน่นตลอดเวลา ต้องวางแผนการขึ้นการลง การยืนบนรถไฟอย่างมาก ใครช่วยดูใครระแวดระวังกัน
(ครั้งที่เกิดเรื่องนี้ เป็นเพราะความที่ชะล่าใจกัน และต่างก็แยกย้ายกันขึ้น เอาตัวรอดขอให้ขึ้นรถไฟได้ก่อน เพราะกลัวโดนทิ้ง กลัวจะไปสถานีรถไฟต่อไปไม่ถูก)

สิ่งต่างๆ ที่เขียนเล่ามานี้ กับการท่องเที่ยวที่เป็นบริษัททัวร์พาเที่ยว เชื่อว่ามีระบบอะไรที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิด หรือหากเกิดเรื่องราวต่างๆ ก็อาจจะสามารถแก้ไขได้เป็นอย่างดี
ส่วนการท่องเที่ยวกันเองจะแบกเป้ท่องเที่ยวจะกลุ่ม 2-3 คน หรือยิ่งเป็นคนเดียวยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังกันตลอดเวลาทีเดียว เพราะเชื่อว่ายิ่งเป็นชาวต่างชาติแล้ว เชื่อว่าจะถูกล็อคเป็นเป้าหมาย เป้าสายตาของพวกมิจฉาชีพพวกนี้อยู่แล้วครับ

ท้ายนี้ก็ไม่อยากบอกว่าความคิดของตัวเองจะเหมือนกับสาวเกาหลี ที่บอกว่าจะไม่มาประเทศอิตาลีอีกแล้ว

ตั้งใจมาเขียนไว้เป็นประสบการณ์เล่าเรื่องการไปท่องเที่ยวยังต่างแดนของตัวเอง เผื่อว่าจะได้มีโอกาสไปอีกครั้งจะได้มีการเตรียมตัวที่ดีกว่านี้ไว้ด้วยครับ




คราวนี้มาชมรูปในทริปกันครับ














โรงแรมที่ไปพักที่ Munchen ชื่อ Hotel Meier


Hotel Meier City Munchen ตั้งอยู่ใน มิวนิค ประเทศเยอรมัน

หลังจากที่รอผ่านการตรวจผ่านเมืองที่แอร์พอร์ทกันแล้ว ก็ได้รถรับส่งมาส่งต่อที่โรงแรมนี้
มาถึงกันในช่วงเวลา 3 ทุ่ม
ยังต้องมีภารกิจในการไปรับคนเพิ่ม 2 คนที่มารอกันก่อนหน้าที่สถานีรถไฟ Karlsplatz ซึ่งพอจะเดินด้วยเท้าจากโรงแรมไปถึงได้ในเวลา 5-10 นาที


แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญกับภารกิจแรกนี้ เพราะ 2 คนที่มารอที่สถานีรถไฟ Karlsplatz เดินทางมาถึงตั้งแต่ 5 โมงเย็นแล้ว แต่ก็ยังไม่มา check in ที่โรงแรม เลยจำเป็นต้องไปเดินหาตัวกันที่สถานีรถไฟ







ชมภาพบรรยากาศในช่วงเวลาดึกๆ ภายในสถานีรถไฟ Karlsplatz กันครับ






ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ 3 ทุ่มกว่าๆ ร้านค้าเริ่มบางตา หลายร้านค้าก็ปิดกันไปบ้างแล้วครับ


เช็คราคาน้ำกันก่อนเลย เพราะว่าจะต้องหาซื้อกันดื่มไปอีกหลายวัน
เห็นราคาแล้วทำใจ แต่ก็พอทราบมาก่อนแล้วว่าราคาจะอยู่ในประมาณนี้ 1.5 - 2.5 euro
เป็นเงินไทยก็หลักร้อยละครับ งานนี้ต่อน้ำดื่ม 1 ขวด


ผลไม้ก็เลือกซื้อกันได้ทุกๆ วัน
แต่ส่วนใหญ่แล้วมีแอ๊ปเปิ้ลจากโรงแรมทุกวัน
แล้วก็สตรอเบอร๊่ และองุ่น ที่หาซื้อชิมกันได้ทุกวันเช่นกัน











ภารกิจการตามหาคนในกรุ๊ป 2 คน ก็ประสบความสำเร็จไปด้วยดี ไปเจอะเจอกันในร้าน Mcdonald

ขากลับมาโรงแรมก็เจอะเจอรถมินิ ที่เห็นวิ่งกันบ่อยๆ ตั้งแต่ครั้งที่มาประเทศเยอรมันในครั้งก่อนหน้านี้แล้ว และครั้งนี้ก็ได้พบเห็นกันในหลายๆ ประเทศทีเดียว






และจักรยานไฟฟ้าในรูปแบบนี้เพิ่งจะเห็นหน้าตากันในครั้งนี้


จบกันไว้กับภาพนี้ก่อนครับ เดี๋ยวทำรูปได้เพิ่มเติมแล้วจะมาเพิ่มให้ชมกันต่อครับ
และขอขอบคุณกันไว้ก่อนเลยครับ กับเพื่อนๆ ที่แวะมาชมภาพถ่ายที่ blog ครับ

Create Date :07 พฤษภาคม 2554 Last Update :18 มิถุนายน 2557 22:11:42 น. Counter : Pageviews. Comments :18