ให้เอาชนะข้าศึก คือ กิเลสด้วยการภาวนาและพิจารณา
ชีวิตมนุษย์มีสุขเพียงเล็กน้อยในจำนวนน้อยแห่งสุขนั้นยังเจือด้วยทุกข์เสียอีกสุขบางอย่างเหมือนเหยื่อที่ปลายเบ็ด..มีความทุกข์ตามมามาก บุตรเศรษฐีหลายคนในเมืองสาวัตถีเลื่อมใสในธรรมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงออกบวชคืนหนึ่งในราตรีสงัด พวกเธอเกิดความกำหนัด มีจิตน้อมไปในกามารมณ์ที่สละแล้วพระศาสดาทรงทราบวาระจิตด้วยประทีป คือ สัพพัญญุตญาณของพระองค์ตามธรรมดา พระศาสดาย่อมทรงถนอมสาวกของพระองค์ประดุจมารดาถนอมบุตร หรือเหมือนบุคคลผู้มีนัยน์ตาข้างเดียวย่อมถนอมนัยน์ตาของตนดังนั้นไม่ว่าสมัยใด เมื่อพระสาวกดำริไปในทางกิเลสก็ทรงข่มและให้ละกิเลสนั้นเสียการณ์นี้ พระศาสดาทรงเสด็จออกจากพระคันธกุฏีตรัสเรียกพระอานนท์ผู้เป็นขุนคลังแห่งธรรม (ธรรมภัณฑาคาริก)มาเฝ้าแล้วรับสั่งให้ไปประกาศ ให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกันถามว่า เหตุไรจึงไม่รับสั่งให้ประชุมเฉพาะภิกษูสงฆ์หมู่นั้น?ตอบว่า ถ้าทรงทำเช่นนั้น ทรงเกรงว่า พวกเธอเหล่านั้นจะสลดใจละอายว่า พระศาสดาทรงทราบกองกิเลสอันเกิดในใจตนเมื่อเป็นดังนี้พวกเธอเหล่านั้นจักไม่ตั้งใจฟังธรรมเทศนาจักเสื่อมจากมรรคผลอันพึงได้ ดังนั้นพระศาสดาจึงทรงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ทั้งหมดพร้อมกันเมื่อภิกษุสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้วพากันถวายบัีงคมพระบรมศาสดาดวยจิตเปี่ยมคารวะมั่นคงพระศาสดาทรงเปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะและประกอบด้วยเมตตาปรานีประทานธรรมเทศนาดังนี้"ภิกษุทั้งหลาย , ธรรมดาภิกษุไม่ควรตรึกในกาม ในพยาบาท ในวิหิงสา กิเลสทั้งหลายเป็นเช่นข้าศึก อย่าดูหมิ่นข้าศึกว่าเล็กน้อยเพราะเมื่อได้โอกาสย่อมทำความพินาศให้ กิเลสทำนองเดียวกัน เมื่อเกิดขึ้นภายในแล้ว แม้น้อยก็มีโอกาสพอกพูนขึ้นและนำความพินาศใหญ่หลวงมาสู่ผู้นั้นเองภิกษุทั้งหลาย ,กิเลสนี้เหมือนยาพิษที่ร้ายแรง เหมือนหัวฝีที่ผิวหนังปอกเปิกไปแล้วเหมือนอสรพิษและเหมือนไฟจากสายฟ้าไม่ควรที่พวกเธอจะไยดีกับกิเลสนั้นแม้เพียงเล็กน้อยควรกีดกันด้วยกำลังภาวนา กำลังการพิจารณาไม่ให้หลงเหลือในหทัยแม้เพียงน้อยหนึ่งทำให้เหมือนน้ำกลิ้งตกไปจากใบบัว" คัดลอกเนื้อหาจาก นิตยสารศุภมิตรปีที่ ๕๒ ฉบับที่ ๕๖๔ กรกฎาคม - สิงหาคม ๒๕๕๐.หน้า ๕๔- ๕๕
ดูกระทู้ที่ธรรมจักร //www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=40581