พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าบุคคลไม่พึงให้ตน ไม่พึงสละตนพึงปล่อยวาจาที่ดี ไม่พึงปล่อยวาจาที่ชั่ว(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๕ ข้อ ๒๑๓ - ๒๑๔ ) โปรดศึกษาเรื่อง วจีสุจริต โดยละเอียดได้จากกระทู้วจีสุจริต (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) viewtopic.php?f=1&t=18799 เนื้อหากระทู้นี้ต่อเนื่องกันกับกระทู้บุคคลไม่ควรสละตนเป็นทาสสิ่งใดเพราะอิสรภาพทั้งปวงเป็นสุขviewtopic.php?f=7&t=40042 วาจาชั่วนั้น โดยใจความสำคัญก็อยู่ในขอบเขตวจีทุจริต ๔ คือ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อส่วนวาจาสุจริต ๔ คือเว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการพูดส่อเสียด เว้นคำหยาบ และเว้นคำเพ้อเจ้อพูดแต่วาจาจริง ประสานสามัคคี อ่อนหวานและมีประโยชน์การที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องฝึก ที่สำคัญ คือ ฝึกใจฝึกใจให้อดทนต่อคำว่าเสียดสี ไม่สนใจต่อคำเพ้อเจ้อของผู้อื่นมีเรื่องเล่าว่า พระเถระรูปหนึ่ง ชื่อ อภัยคืนหนึ่งกล่าวธรรมกถาว่าด้วยเรื่อง อริยวงศ์ ๔ ได้แก่สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และการพอใจยินดีในการภาวนาชาวบ้านพากันเลื่อมใสศรัทธาธรรมเทศนาของท่านพากันบูชาท่านเป็นหมู่ใหญ่พระเถระอีกรูปหนึ่งริษยาท่าน จึงด่าว่า"พระอภัย..ทำให้โกลาหลวุ่นวายทั้งคืนโดยอ้างเลศว่ากล่าวอริยวงศ์"เมื่อเสร็จกิจแล้ว พระเถระทั้งสองเดินกลับยังที่อยู่ของตนไปทางเดียวกัน พระเถระผู้ริษยาก็ว่าพระอภัยไปตลอดทางพระอภัยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวเมื่อถึงทางแยกจะเข้าที่อยู่ของตนพระอภัยไหว้พระเถระผู้ริษยาองค์นั้นแล้วแยกกันแต่พระเถระรูปนั้นทำเป็นเหมือนไม่เห็นไม่ได้ยินแล้วหลีกไปเมื่อพระอภัยถึงที่อยู่ ลูกศิษย์ถามท่านว่า เมื่อถูกด่าอยู่เหตุใดจึงไม่โต้ตอบเลยพระเถระตอบว่า"ความอดทนเป็นภาระของเราความไม่อดทนหาใช่ภาระไม่จิตของเรามิได้พรากจากกรรมฐานเลยแม้ชั่วระยะเวลายกเท้าก้าวเดิน"ความอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นเป็นความอดทนอันประเสริฐเรื่องความอดทนมีปรากฏในสรภังคชาดกอีกด้วยว่า"บุคคลฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมไม่เศร้าโศกทุกเมื่อฤาษีทั้งหลายสรรเสริญการละความลบหลู่คุณของผู้อื่นบุคคลควรอดทนต่อคำหยาบที่คนอื่นกล่าวแล้วสัตบุรุษ (คนดี) ทั้งหลายกล่าวความอดทนนั้นว่าสูงสุด"ท่านสรภังคดาบสกล่าวต่อไปว่า"บางทีคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าได้เพราะความกลัว จำเป็นต้องอดทนผู้อดทนต่อคำของผู้เสมอกันได้เพราะเกรงกำลังของกันส่วนผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ต่ำต้อยกว่าตนได้สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวความอดทนของผู้นั้นว่าสูงสุด"และในอีกคราวหนึ่ง พระศาสดาถูกพราหมณ์ ๔ พี่น้องด่าว่าแต่พระองค์ทรงเอาชนะด้วยความอดทน พราหมณ์เหล่านั้นได้ออกบวชและบรรลุอรหัตตผลทุกท่านพระศาสดาทรงตรัสถึงการณ์นี้ว่า"ภิกษุทั้งหลาย, เพราะประกอบด้วยขันติเราจึงไม่ประทุษร้ายในบุคคลที่ประทุษร้ายเราจึงเป็นที่พึ่งพิงของมหาชน"และตรัสต่อว่า "ผู้ใดไม่ประทุษร้ายซึ่งบุคคลผู้ด่า ผู้ประหารและจองจำเขาอดกลั้นไว้ได้ เราเรียกผู้เช่นนั้นซึ่งมีขันติเป็นกำลัง เป็นพวกพ้องว่า เป็นพรามหณ์"พุทธบริษัทต้องดำเนินตามคำสอนและปฏิปทาของพระสาวกผู้บัณฑิตคือ มีความอดทนต่อคำล่วงเกินหยาบช้าของผู้อื่นเมื่อเห็นว่า คำล่วงเกินหยาบช้าเป็นความไม่ดี ทำไมเล่า...เราจะต้องทำสิ่งไม่ดีด้วยเราควรมีความอดทน เสงี่ยม สุภาพ อ่อนโยน นุ่มนวลเพื่อเป็นตัวอย่างว่า ที่ดีนั้น..เป็นอย่างไรคำส่อเสียด เป็นคำยุยงให้คนแตกแยกคนที่เสื่อมจากคุณความดีเป็นคนแรก คือ ตัวเราเอง จึงควรเว้นเสียคำเพ้อเจ้อ คือ วาจาไร้สาระ เสียเวลา เสียประโยชน์ทั้งของตนและคนฟังจึงควรเว้น พูดแต่วาจาดีที่เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตคำเท็จ คือ คำหลอกลวงและทำให้เดือดร้อนมีโทษมากจึงควรเว้นเสียและความจริงที่ไม่มีประโยชน์บางประการก็พึงเว้นเสีย ให้พูดแต่วาจาที่ดี มีประโยชน์ เป็นไปเพื่อคลายทุกข์ คลายความยึดมั่นถือมั่นลง เป็นต้น เรียบเรียง จากนิตยสารศุภมิตร ปีที่ ๕๒ ฉบับที่ ๕๖๔ เดือน ก.ค - ส.ค ๒๕๕๐. หน้า ๒๖ - ๒๙
ดูกระทู้ที่ธรรมจักร
//www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=40050