|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
พระพุทธองค์สอนโดยมุ่งประโยชน์ผู้รับการสอนโดยแท้จริง
อปัณณกสูตร (ม.ม.๒๐/๒๒๓)
อปัณณกธรรม
[๑๐๔] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านศาลาผู้นั่งเรียบร้อยแล้ว ว่า ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย ศาสดาคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ชอบใจของท่านทั้งหลาย เป็นที่ให้ ท่านทั้งหลายได้ศรัทธาอันมีเหตุ มีอยู่หรือ?
พราหมณ์และคฤหบดีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ศาสดาคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ชอบใจของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นที่ให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ศรัทธาอันมีเหตุ หามีไม่.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายยังไม่ได้ศาสดาที่ชอบใจ พึงสมาทาน "อปัณณกธรรม" นี้แล้วประพฤติ ด้วยว่าอปัณณกธรรมที่ท่านทั้งหลายสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว จักเป็น ไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ท่านทั้งหลายสิ้นกาลนาน
คัดลอกข้อความจากพระสูตรฉบับเต็ม
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (อปัณณกสูตร) //www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=13&A=1833&Z=2382
ประเด็นสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในพระสูตรนี้ คือ ๑. พระพุทธพจน์ที่ว่า "แม้จะไม่นับถือใครเป็นศาสดา แต่ก็ควรมีอปัณกธรรมสำหรับเป็นหลักปฏิบัตของชีวิต เพื่อประโยชน์และความสุขของชีวิต" (ข้อ ๑๐๔) ได้แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่าำคัญของพระพุทธศาสนา ๒ ประการ คือ ๑.๑) หลักการในการสอน หรือการประกาศศาสนาของพระพุทธเจ้า กล่าว คือ ในการสอนของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์มิได้มุ่งที่จะสอนให้ใครมานับถือพระองค์เป็นศาสดา หรือว่าหันมานับถือพระพุทธศาสนา แต่ทรงมุ่งสอนให้เขาได้รู้ในสิ่งที่ควรรู้ และสอนสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับการสอน โดยทรงนำหลักการที่พวกเขาสามารถนำเอาไปปฏิบัติแล้วเกิดประโยชน์และความสุขแก่ชีวิตของพวกเขาได้จริง เป็นการสอนที่มุ่งประโยชน์แก่ผู้ฟังอย่างแท้จริง หลักการของพระพุทธศาสนาดังกล่าวนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ชัดเจนใน พรหมจริยาสูตร (อํ.จตุกฺก.๒๑/๒๕/๓๓) ความว่า "พรหมจรรย์นี้่ เรามิใช่ประพฤจิเพื่อหลอกลวงคน เพื่อเรียกร้องให้คนมานับถือ เพื่อลาภสักการะหรือคำสรรเสริญ เพื่อเป็นเจ้าลัทธิ เพื่อหักล้างลัทธิอื่น เพื่อให้คนเข้าใจว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ (คือ เป็นผู้วิเศษ) ที่แท้ พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อความสำรวม เพื่อละกิเลส เพื่อคลายความกำหนัดยินดี เพื่อดับทุกข์" และใน โคตมสูตร (อํ.ติก.๒๐/๕๖๕/๓๖๕) ความว่า"เราแสดงธรรมเพื่อความรู้ยิ่ง เราแสดงธรรมประกอบด้วยเหตุผลและแสดงธรรมอย่างมีปาฏิหาริย์ คือ สามารถนำไปปฏิบัติได้ผลจริง" ๑.๒) ความเป็นสากลของพุทธธรรม กล่าวคือ คำสอนของพระพุทธศาสนานั้น มีลักษณะเป็นสากล คือ เป็นหลักการหรือหลักปฏิบัติที่มนุษย์ทุกคน ทุกเชื้อชาติ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดๆก็สามารถนำไปปฏิบัติได้ และเมื่อปฏิบัติอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ก็ย่อมได้รับผลจริงเหมือนกันทั้งนั้น มิใช่เป็นหลักการคำสอนที่ใช้ได้สำหรับชาวพุทธเท่านั้น ทั้งนี้เพราะหลักคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น เป็นหลักความจริงตามธรรมชาติ และก็ให้ผลปฏิบัติตามธรรมชาติหรือตามกระบวนการของมันเอง เรียกว่า มีความเป็นวัตถุวิสัย / ภาววิสัย** ทั้งหลักการและกระบวนการให้ผล
------------
อ่านต่อในกระทู้ที่ธรรมจักร
Create Date : 10 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 10 ตุลาคม 2555 16:57:52 น. |
|
0 comments
|
Counter : 689 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|