| ตำรวจพร้อมถังดับเพลิง ขณะลาดตระเวนบนถนนในกรุงลาซา โดยภาพนี้มิได้ระบุวันที่บันทึกและกลุ่มรณรงค์สากลเพื่อทิเบต (ICT) นำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2555 รอยเตอร์ | | | นอกจากนั้น ล่าสุดศาลสูงสุด และหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐยังได้ประกาศคำสั่งให้มีการตั้งข้อหาฟ้องร้องดำเนินคดีอาญา ซึ่งรวมทั้งข้อกล่าวหาเจตนาฆาตกรรมแก่ผู้จุดไฟเผาตัวเอง และใครก็ตาม ที่ จัดการ , วางแผน, บีบคั้น, ล่อลวง, ยุยงส่งเสริม หรือช่วย ให้มีการประท้วงในลักษณะเช่นนี้ สำนักข่าวของทางการรายงานเมื่อวันอาทิตย์ (9 ธ.ค.) ว่า ตำรวจมณฑลเสฉวนได้จับกุมลามะรูปหนึ่งพร้อมกับหลานชายในข้อหา ยุยง ประชาชน 8 คนให้จุดไฟเผาตัวเอง ตั้งแต่เมื่อปี 2552 การประท้วงด้วยวิธีการอันน่าสยดสยองนี้ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรจากประชาคมนานาชาติ กระทั่งนายกรัฐมนตรี ล็อบซัง ซันเกย์ (Lobsang Sangay) แห่งรัฐบาลพลัดถิ่นทิเบต ในเมืองธรรมศาลาของอินเดีย ต้องเรียกร้องให้นานาชาติควรออกมาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะชาวทิเบตกำลังล้มตายลงอย่างไร้ประโยชน์ กระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลกรุงวอชิงตันจึงออกมากระทุ้งจีน โดยมาเรีย โอเตโร่ ผู้ประสานงานพิเศษด้านทิเบตของสหรัฐฯ ระบุว่า นโยบายที่แข็งกร้าวของจีนทำให้สถานการณ์ตึงเครียดในทิเบต รวมการจุดไฟเผาตัวตายเลวร้ายลง แต่ถูกกระทรวงการต่างประเทศแดนมังกรสวนกลับว่า เป็นความคิดเห็น ที่น่าสะอิดสะเอียน ซึ่งจีนได้ยื่นประท้วงสหรัฐฯ ไปแล้ว ที่ผ่านมาสหรัฐฯ และอีกหลายชาติยังเรียกร้องให้จีนเปิดการเจรจากับองค์ทะไลลามะ และยุตินโยบายกดขี่ปราบปราม แต่นิโคลาส บีเกอลิน นักวิจัยของกลุ่มสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรต์ส ว็อตช์ ชี้ว่า ประชาคมนานาชาติล้มเหลว เนื่องจากไม่มีการผนึกกำลังกดดันจีนจากหลายฝ่าย ไม่มีใครคิดจะตัดความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน แต่การนิ่งเฉยไม่ทำอะไรอยู่นานหลายสิบปีเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหาย เขาระบุ การเผาตัวตายของลามะวัย 20 ปีนามว่า พันต์ซ็อค (Phuntsog) ที่วัดกีร์ติ (Kirti monastery) ในถิ่นอาศัยของชาวทิเบตในมณฑลเสฉวนเมื่อเดือนมี.ค 2554 จุดอารมณ์ต่อต้านแผ่ไปทั่วหมู่บ้านในภาคตะวันออกของที่ราบสูงทิเบตในมณฑลเสฉวน มณฑลชิงไห่ และกานซู จากนั้น ชาวทิเบตทั้งลามะทั้งฆราวาสและแม่ชีก็ทยอยเผาตัวตาย เพื่อต่อต้านการปกครองของจีนและเรียกร้องการเสด็จกลับคืนสู่ทิเบตขององค์ทะไลลามะ อย่างไรก็ตาม ร็อบบี้ บาร์เน็ตต์ นักทิเบตศึกษาของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนครนิวยอร์กมองว่า ชาวทิเบต และรัฐบาลพลัดถิ่นในอินเดียกำลังเล่นการเมืองโดยใช้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเป็นเครื่องมือ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกในหมู่ชุมชนชาวทิเบตได้ แต่ใช้ไม่ได้ผลในการเปลี่ยนแปลงนโยบาย อีกทั้งการเผาตัวตายเดี่ยวดูจะไม่สร้างผลกระทบสำหรับนานาชาติอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยทำได้ และดูเหมือนว่าในปัจจุบันการปลิดชีพวิธีนี้จะเป็นเครื่องมือทรงประสิทธิภาพทางการเมืองก็ต่อเมื่อมีการทำพร้อมกันเป็นกลุ่มเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางกระแสการประท้วงเผาตัวตายที่เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟของชาวทิเบตนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังมีความหวังว่า สถานการณ์ในทิเบตอาจดีขึ้น เมื่อรองประธานาธิบดีสี ซึ่งบิดามีความสนิทสนมกับองค์ทะไลลามะ ผู้นำจิตวิญญาณของทิเบต ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีแดนมังกรในเดือนมี.ค. ปีหน้าและเขาอาจนำวิธีการปฏิรูปมาใช้ในการปกครองทิเบตมากขึ้นก็ได้ กระนั้นก็ดี มีน้อยคน ที่จะรู้ว่านายสีมีความคิดอย่างไรกับทิเบต หรือกับองค์ทะไลลามะ แต่ความคิดของผู้บิดา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้จิตใจกว้างขวางย่อมมีอิทธิพลต่อผู้เป็นบุตรอย่างแน่นอน ขณะที่องค์ทะไลลามะเองก็มิเคยได้พบกับนายสีมาก่อนเลย แต่ความรักใคร่ชอบพอ ที่ท่านมีต่อบิดาของนายสีนั้น ทำให้บางคนมองว่า อาจเป็นนิมิตหมายว่า ผู้นำจีนคนใหม่อาจดำเนินนโยบาย ที่แตกต่างจากผู้นำคนก่อน ซึ่งรวมทั้งการมีใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของชาวมุสลิมอุยกูร์ในภูมิภาคซินเจียง ตลอดจนไต้หวัน ซึ่งจีนถือเป็นจังหวัดหนึ่งของตนและเคยลั่นวาจาใช้กำลังทหารเข้ายึด หากจำเป็นอีกด้วย |