(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ //www.atimes.com)
       
       Cultural genocide behind self-immolation
       By Emily-Anne Owen
       25/06/2012
       
       ขณะที่ชาวทิเบตอีกคนหนึ่งจุดไฟเผาตัวเองในประเทศจีน โดยนับเป็นคนที่ 38 แล้วตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา องค์ทะไลลามะ ก็ได้ทรงขอร้องปักกิ่งอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนนี้ ให้ยอมรับความหลากหลายในทางศาสนา, วัฒนธรรม, และภาษา

ทั้งนี้การที่รัฐบาลบังคับควบคุมวัดวาอารามต่างๆ อย่างเข้มงวดกวดขัน ตลอดจนใช้การปฏิบัติการอื่นๆ ที่มุ่งบั่นทอนกัดกร่อนวัฒนธรรมทิเบต กำลังแสดงให้เห็นผลลบของมันออกมาอย่างชัดเจนแล้ว กระนั้นก็ตาม ปักกิ่งยังคงประกาศว่า การเผาตัวตายคือ “การก่อการร้ายในรูปแบบแอบแฝง”
       
       ปักกิ่ง – รัฐบาลจีนจะต้องไม่ “กำจัดกวาดล้างลัทธิปัจเจกชนนิยม (individualism)” แท้ที่จริงรัฐบาลจีนควรต้องส่งเสริมสนับสนุนความหลากหลายของศาสนา, วัฒนธรรม, และภาษา

องค์ทะไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต ตรัสเน้นย้ำอีกครั้ง ภายหลังชาวทิเบตอีกผู้หนึ่งเผาตัวตายในวันที่ 15 มิถุนายน ณ เขตมณฑลชิงไห่ของจีน ระหว่างที่พระองค์เสด็จไปตรัสปราศรัยที่มหาวิทยาลัยเวสต์มินสเตอร์ (University of Westminster) ในกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน

คราวนี้ ทะไลลามะยังได้ทรงกระตุ้นเรียกร้อง ให้รัฐบาลจีนเรียนรู้จากความสำเร็จของลัทธิพหุนิยม (pluralism) ในอินเดีย ซึ่งพระองค์ได้ทรงอาศัยพักพิงเป็นที่ลี้ภัย นับตั้งแต่ที่ทรงหลบหนีออกมาจากมาตุภูมิเมื่อปี 1959
       
       ขณะที่พระองค์ทรงยอมรับว่า “การเป็นเอกราชอย่างสมบูรณ์ (ของทิเบต) นั้น ... เป็นเรื่องที่ไม่พึงที่จะหยิบยกขึ้นมาพิจารณา” แต่ทะไลลามะก็ทรงโอดครวญถึงระบบอัน “ล้าสมัย” ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เป็นผู้ปกครองประเทศอยู่ในเวลานี้

และได้ถูกกลุ่มสนับสนุนการเรียกร้องสิทธิของชาวทิเบต กลุ่มต่างๆ กล่าวหาว่า กำลังกระทำการที่เป็นการบดขยี้ทำลายล้างวัฒนธรรมทิเบต
       
       องค์ทะไลลามะทรงกล่าวคำปราศรัยคราวนี้ ภายหลังการเผาตัวตายของ ทัมดิน ธาร์ (Tamdin Thar) ชาวเลี้ยงสัตว์ชนชาติทิเบตผู้หนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตในวันที่ 15 มิถุนายน ที่จังหวัดปกครองตนเองชนชาติทิเบตแห่งหวงหนาน (Huangnan Tibetan Autonomous Prefecture) ของมณฑลชิงไห่ ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน

ชาวเลี้ยงสัตว์ผู้นี้กลายเป็นชาวทิเบตอย่างน้อยก็คนที่ 38 แล้วซึ่งได้จุดไฟเผาตัวเองนับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา และก็เป็นคนที่ 29 ซึ่งเสียชีวิต เมื่อเดือนพฤษภาคม การเผาตัวตายยังได้แพร่ระบาดไปถึงนครลาซา เมืองหลวงของทิเบตเป็นครั้งแรก โดยที่มีชาย 2 คนจุดเพลิงเผาตนเองที่บริเวณนอกวัดแห่งหนึ่ง
       
       เมื่อปีที่แล้ว ทะไลลามะได้ทรงกล่าวหาปักกิ่งว่า กระทำการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม” (cultural genocide) ในทิเบต ระหว่างการประชุมแถลงข่าวที่กรุงโตเกียว และทรงระบุสาเหตุที่เกิดกระแสการเผาตัวตายอย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ว่า เนื่องมาจากการที่รัฐบาลเพิ่มทวีการปราบปราม ทำลายวัฒนธรรมและศาสนาของชาวทิเบต
       
       **วัฒนธรรมทิเบตถูกโจมตี**
       
       ตั้งแต่เกิดเหตุจลาจลในทิเบตเมื่อปี 2008 เป็นต้นมา จีนก็ได้เพิ่มการปราบปรามอย่างดุดันยิ่งขึ้น ตามพื้นที่ซึ่งเป็นที่พำนักอาศัยของชาวทิเบตในประเทศจีน ทั้งนี้นโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลนำมาใช้กับวัดวาอารามต่างๆ

คือส่วนซึ่งเป็นที่รู้สึกกันอย่างหนักหนาสาหัสที่สุด กล่าวคือ มีทั้งตำรวจคอยตรวจตราสอดแนมกันตลอดเวลา, มีการตัดลดปริมาณอาหารและน้ำที่อนุญาตให้นำเข้าอาราม, และมีการบังคับให้พระสงฆ์ต้องเข้ารับการศึกษาเพื่อให้เกิดความรักชาติ ซึ่งกลายเป็นการสุมเชื้อเพลิงให้เกิดความโกรธกริ้วและความสิ้นหวัง
       
       ในปีนี้ ปักกิ่งได้แจกจ่ายภาพ 4 ผู้นำคอมมิวนิสต์คนสำคัญที่สุดของจีนตลอดจนธงชาติจีนเป็นจำนวนกว่า 1 ล้านภาพ ไปให้แก่วัดวาอาราม, บ้านพักอาศัย, ตลอดจนโรงเรียนต่างๆ ในทิเบต

ขณะที่ภาพของทะไลลามะ ซึ่งทรงเป็นบุคคลสำคัญที่สุดทางด้านจิตวิญญาณในทิเบต ถูกห้ามปรามไม่ให้นำเอามาประดับประดา แต่การปราบปรามควบคุมของรัฐบาล มิได้จำกัดเพียงแค่ตามวัดวาอารามต่างๆ เท่านั้น

พวกเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจยังสั่งปิดโรงเรียนของชาวทิเบต ที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากท้องถิ่น และเปิดสอนชั้นเรียนภาษาและวัฒนธรรมทิเบตอีกด้วย ทั้งนี้ตามรายงานของศูนย์ชาวทิเบตเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย (Tibetan Centre for Human Rights and Democracy) ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในอินเดีย
       
       ศูนย์ชาวทิเบตเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยระบุว่า โรงเรียน คัดโรก จัมต์เซ โรคเตน (Khadrok Jamtse Rokten School) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1989 ถูกบังคับให้ปิดตัวลงในวันที่ 2 เมษายน โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ในอำเภอกานจื้อ (Ganzi)

ซึ่งรู้จักกันในภาษาทิเบตว่า คัร์ดเซ (Kardze) ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน ที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน อันเป็นอาณาบริเวณที่ได้เกิดกรณีการเผาตัวตายบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ นอกจากโรงเรียนถูกปิดแล้ว ยังมีครู 2 คนที่ถูกจับกุม
       
       เซริง วูเซอร์ (Tsering Woeser) กวีและนักเขียนชาวทิเบต ผู้มีบทบาทสำคัญ ในการป่าวร้องตอกย้ำถึงกรณีการเผาตัวตาย บนบล็อกทรงอิทธิพลแห่งหนึ่ง เชื่อว่าการปฏิบัติการต่างๆ เหล่านี้เป็นไปตามแผนการที่จะค่อยๆ กัดกร่อนบั่นทอนวัฒนธรรมทิเบต
       
       “ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใดก็ตามที ภาษาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ตามพื้นที่ต่างๆ ของชาวทิเบตเวลานี้ รัฐบาลจีนกำลังดำเนินการปฏิรูปต่างๆ ทางด้านการศึกษาซึ่งมุ่งกำจัดการศึกษาเรียนรู้ในเรื่องภาษาทิเบต” วูเซอร์ บอกกับสำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส (ไอพีเอส)

“ในโรงเรียนต่างๆ ของชาวทิเบต ซึ่งชั้นเรียนต่างๆ ควรที่จะต้องสอนกันเป็นภาษาทิเบต ปรากฏว่าเวลานี้กลับสอนกันเป็นภาษาจีนกลาง แม้กระทั่งพวกแบบเรียนตำราเรียนก็เป็นภาษาจีนกลาง ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นเสียอีกก็คือ พวกโรงเรียนที่ดำเนินการโดยพลเรือนทั้งหลาย กำลังถูกปิดตัวลงไปเรื่อยๆ”
       
       “เวลาเดียวกันนั้นเอง เหล่าปัญญาชนสมัยใหม่ รวมทั้งพวกนักเขียน, เจ้าหน้าที่ของกลุ่มเอ็นจีโอ, ตลอดจนนักร้อง ต่างถูกจับกุมถูกคุมขัง” วูเซอร์ กล่าวต่อ “ผมมีความวิตกมากว่าสักวันหนึ่งวัฒนธรรมทิเบตก็คงจะตายสูญไป”
       
       **เผาตัวตายด้วยความสิ้นหวัง**
       
       “นั่นคือเหตุผลที่ทำไมพวกท่าน จึงได้เห็นเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดเหล่านี้เกิดขึ้นมา สืบเนื่องจากสถานการณ์ที่รู้สึกสิ้นหวังอย่างนี้นี่เอง” องค์ทะไลลามะตรัสเช่นนี้ในระหว่างการประชุมแถลงข่าวเมื่อปี 2011

“แม้กระทั่งชาวจีนจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ไปเยือนทิเบตก็ยังบังเกิดความรู้สึกกันว่าสิ่งต่างๆ กำลังย่ำแย่ เวลานี้กำลังเกิดการล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรมในบางรูปแบบ”
       
       อย่างไรก็ดี ปักกิ่งกล่าวหาโจมตีองค์ทะเลลามะว่า เป็นผู้โหมกระพือความปั่นป่วนไม่สงบ อีกทั้งประกาศว่าการเผาตัวตายคือ “การก่อการร้ายในรูปแบบแอบแฝง”

บทความชิ้นหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ในหน้าทัศนะความเห็น ของหนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่ ของทางการจีนในฉบับวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน บอกปัดปฏิเสธว่า ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่า “ประเด็นปัญหาเรื่องทิเบต” โดยกล่าวว่ามันเป็นนิยายที่ “แต่งขึ้นโดยอังกฤษ”

ทว่านอกจากทะไลลามะแล้ว กลุ่มเรียกร้องสิทธิให้ชาวทิเบต อย่าง กลุ่มรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อทิเบต (International Campaign for Tibet หรือ ICT) ออกมาร่วมกล่าวหาจีนเช่นกันว่า กำลังทำ “การล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม”
       
       ในรายงานที่ใช้ชื่อว่า “60 ปีแห่งการปกครองอันเลวร้ายของจีน: โต้แย้งคัดค้านการล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรมในทิเบต” (60 Years of Chinese Misrule: Arguing Cultural Genocide in Tibet) ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา อันถูกกำหนดให้เป็นเดือนแห่งการป้องกันไม่ให้เกิดการล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide Prevention Month) ประจำปี

กลุ่ม ไอซีที ได้เน้นย้ำว่า ทางการผู้มีอำนาจของจีน กำลังใช้ความพยายามอย่างเป็นระบบ และอย่างมีการวางแผนการประสานงานกัน เพื่อลบล้างบั่นทอนวัฒนธรรม อันมีชีวิตชีวาของชาวทิเบต แล้วแทนที่ด้วยวัฒนธรรมในเวอร์ชั่นที่ผ่านการรับรองจากรัฐ และที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ต่างๆ ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำหนดเอาไว้
       
       “สถานการณ์ในทิเบต ไม่ใช่เป็นกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของงชาวทิเบต แบบเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรือแบบเป็นแต่ละกรณีไม่เกี่ยวข้องกัน ความจริงก็คือวัฒนธรรมของทิเบตกำลังตกเป็นเป้าหมายที่จะถูกทำลายล้างตั้งแต่ตอนเริ่มต้น [การเข้าครอบครองทิเบตของพรรคคอมมิวนิสต์จีน] แล้ว” แมรี เบธ มาร์คีย์ (Mary Beth Markey) ประธานกลุ่มไอซีที บอกกับสำนักข่าวไอพีเอส
       
       “การกดขี่ทางวัฒนธรรมกระทำกัน อย่างชนิดเป็นสถาบัน ด้วยการดำเนินการตามแผนการรณรงค์, ระเบียบกฎเกณฑ์, และกฎหมายต่างๆ หลายหลาก เมื่อใดที่การแสดงออกทางวัฒนธรรมอยู่ภายในขอบเขตที่กำหนดเอาไว้โดยรัฐจีน

มันก็จะได้รับการยอมรับและกระทั่งส่งเสริมเผยแพร่ด้วยซ้ำ แต่เมื่อใดที่ไม่ใช่แล้ว วัฒนธรรมก็จะถูกเซนเซอร์หรือถูกทำให้กลายเป็นเรื่องไร้ความสำคัญ โดยอาศัยกระบวนการผสมกลืมกลืนแบบบังคับขืนใจ”
       
       กลุ่มไอซีทีเผยแพร่รายงานฉบับนี้ในวันที่ 25 เมษายน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของ เกตุน โชกี นีมา (Gedhun Choekyi Nyima) ผู้เป็น ปันเชนลามะองค์ปัจจุบันของทิเบต ปันเชนลามะนั้นเป็นบุคคลสำคัญที่สุดเป็นลำดับสองของพุทธศาสนานิกายทิเบต ถัดจากทะไลลามะ

แต่ เกตุน โชกี นีมา นั้นทราบกันว่าได้ถูกทางการจีนกักกันคุมขังไว้ตั้งแต่เมื่อปี 1995 โดยที่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทราบข่าวคราวอะไรกันอีกเลย
       
       นับแต่นั้นมา ปักกิ่งก็ได้แต่งตั้ง ปันเชนลามะ ของตนเองขึ้น ซึ่งคือ เกียนเซน นอร์บู (Gyaincain Norbu) ที่ปัจจุบันมีอายุ 22 ปี และเพิ่งปรากฏตัวออกมาพูด ในที่สาธารณะภายนอกจีนแผ่นดินใหญ่เป็นครั้งแรกในปีนี้เอง

การพูดต่อหน้าสาธารณชนในฮ่องกงของ ปันเชนลามะผู้ได้รับการแต่งตั้งจากจีนคราวนี้ ได้รับการจับตามองอย่างกว้างขวาง ในฐานะเป็นความพยายามของแดนมังกร ที่จะหาความสนับสนุนยอมรับระหว่างประเทศต่อปันเชนลามะผู้นี้ ทว่าทางด้านองค์ทะไลลามะตลอดจนรัฐบาลทิเบตลี้ภัยนั้นไม่เคยรับรองบุคคลผู้นี้เลย
       
       (สำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส)

ขอบคุณ
ผู้จัดการออนไลน์
คุณEmily-Anne Owen
สำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส      

สิริสวัสดิ์จันทรวารค่ะ

Create Date : 09 กรกฎาคม 2555
Last Update : 9 กรกฎาคม 2555 10:49:35 น.		0 comments
Counter : 938 Pageviews.
Share Tweet