บางครั้งโลกแห่งความจริงไม่สวยงาม...เฉกเช่นความฝัน แต่รู้สึกและจับต้องได้
Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
2 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
วิถีเซน(30)...บุรุษใจสิงห์








ยังมีหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่ง ชื่อ ซีนก่าย เป็นผู้สืบเชื้อสายของซามูไร แต่ไปได้กำเนิดอยู่ในถิ่นบ้านนอก พออายุรุ่นกระทงขึ้นมา ก็มีการปรารภที่เข้าไปหาความก้าวหน้าในกรุง ฉะนั้นพ่อแม่จึงส่งเข้าไปพำนักอาศัยอยู่กับท่านขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง ในกรุงเอโดะ (คือโตเกียวของญี่ปุ่นสมัยนี้) ในฐานะเป็นเด็กรับใช้อยู่ในเคหาสน์อันโอ่อ่า

ต่อมาเนื่องจากหนุ่มซีนก่ายเป็นเด็กหน้าตาหมดจด มีหน่วยก้านดี ทำงานอะไรก็ได้อย่างใจของเจ้านาย เพราะมีพื้นความเฉลียวฉลาดว่องไว จึงได้รับเลือกเข้ารับใช้ใกล้ชิดประจำตัวท่านขุนนางผู้นั้น อยู่มาไม่นาน คุณนายภรรยาของขุนนางคนนั้น จิตใจไม่ดี คิดวกลงต่ำจึงใช้เด็กผู้ใกล้ชิดคนนี้ให้บำบัดความต้องการ เด็กหนุ่มของเราก็เลยได้กระทำความผิดพลาดในชีวิตเสียตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียวโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ได้ลอบกระทำชู้ร่วมกันมา

จนคืนหนึ่งท่านขุนนางผู้นั้นจับได้ ท่านขุนนางได้กระชากดาบซามูไรที่แขวนไขว้อยู่ที่ฝา หมายจะสังหารเด็กซีนก่ายทันที แต่ด้วยอารามที่ท่านโกรธจัด ย่อมทำไปด้วยอาการสุดแรงเกิด เหวี่ยงซ้ายป่ายขวา เด็กซีนก่ายเห็นจวนตัว ก็เอาเก้าอี้ เอาทุกสิ่งที่ใกล้ ป้องปัด รับดาบไว้พลาง ถอยรอบๆ ห้องไปพลาง ใกล้ๆจะหมดหนทางอยู่แล้ว ก็พอดี คุณนายผู้เป็นตัวการนั่นเองได้คิดตัดสินใจ ว่าไหนๆ เขาก็จับการเล่นชู้ได้ เราก็ไม่อาจจะครองความเป็นใหญ่อยู่ต่อไปอีกได้ จึงคิดเลือกเอาข้างผัวหนุ่มไว้ก่อนค่อยไปตายเอาดาบหน้า จึงรีบไปชักดาบที่แขวนข้างฝาอีกเล่มหนึ่งมาแทงขุนนาง ทันเวลาช่วยชีวิตให้หนุ่มหน้ามน ได้อยู่ฟันฝ่าชีวิตต่อไปอีก เมื่อเห็นท่านขุนนางตายแล้ว คุณนายก็ออกคำสั่งให้เด็กซีนก่าย รีบรุดหนีออกจากบ้านไปพร้อมกันในตอนดึกคืนนั้นเอง

หลังจากผ่านฉากชีวิตที่น่าหวาดเสียว เหมือนดั่งฝัน เพราะอะไรๆ มันช่างเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มซีนก่ายซึ่งก่อนหน้านี้หมายมั่นจะมาสร้างความเจริญก้าวหน้า แต่บัดนี้ได้มาอยู่ในฐานะสามีของคุณนายเสียทันที แต่ก็ต้องอยู่กันอย่างแอบแฝงหลบลี้หนีหน้าในแหล่งที่ไม่มีใครจะตามพบ ทีแรกๆ ก็พอจะมีอะไรๆ แลกเปลี่ยนซื้ออาหารการกินบ้าง แต่ในที่สุดก็ไม่มีอะไรจะจับจ่าย จะไปทำงานทำการก็ไม่สามารถแสดงตัวต่อสังคมได้ ต้องจำใจเลือกเอาข้างลักขโมยเขากิน แม้แต่ตัดช่องย่องเบาเอาทั้งนั้น ตอนต้นก็นึกว่าพอทนทำไปได้ เพราะเห็นแก่ความสุขในการได้เป็นผัวเป็นเมียกันใหม่ๆ ทีนี้อยู่ๆ กันไป หนุ่มซีนก่ายถึงคราวจะหมดเวรหมดกรรม ได้เกิดมีความคิดขึ้นอย่างหนึ่งว่า คนเราคนหนึ่งๆ นี้ช่างเป็นไป เปลี่ยนไปเพราะผลของความคิดนี้เอง และความคิดนี้ มันก็ช่างขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นๆ เสียเหลือเกิน จนไม่อาจจะกระดิกกระเดี้ยขอผัดผ่อน ไม่ให้เป็นไปตามนั้นไม่ได้ คนทุกคน จะดีจะชั่ว มันก็อยู่ตรงนี้เอง

แม้จะตั้งปรารถนาดิบดีมาตั้งแต่บ้าน ว่าจะเข้ากรุงเพื่อหาความเจริญก้าวหน้าให้แก่ชีวิต และพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างดีมาแล้ว แม้คนอื่นที่เขาอยากเจริญก้าวหน้า ต่างก็ปรารภและทำอย่างเดียวกัน แต่เหตุไฉนบางคนจึงสามารถไต่เต้าทำไปได้จนถึงที่หมาย แต่บางคนไปไม่ถึงที่หมาย ข้อนี้มันก็เพราะมนุษย์เราทนต่อสิ่งมายั่วเฉพาะหน้านี้ไม่ได้ นั่นเอง ความคิดจึงเปลี่ยนรูป วิถีชีวิตก็จำต้องแปรผันไปตาม

เมื่อได้คิดอย่างนั้นแล้ว หนุ่มซีนก่ายก็หวนมาดูภรรยาตนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคุณนายผู้สูงศักดิ์ แต่เพราะเธอไม่มีความรู้เรื่องความคิด เธอจึงถูกความคิดหลอกเอา และตัวเราเอง ก็เพราะเจอเอาสิ่งที่มาพบเห็นเข้า แล้วทนไม่ได้ ความคิดมันก็เปลี่ยนไปปุบปับ ชนิดที่เจ้าตัวเองไม่มีวันจะควบคุม หรือชักบังเหียนให้คืนหลังได้มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ช่างตกอยู่ในอำนาจของกิเลส และสิ่งแวดล้อมอย่างนี้เสียจริงๆ สุดที่จะแหวกหนีไม่ให้เป็นอย่างนั้นไปได้ จะมีทางเดียวก็แต่จัดให้ตัวเองไปได้พบกับสิ่งแวดล้อมที่ช่วยมิให้เป็นอย่างนั้นเท่านั้น ซึ่งบางทีก็ยังพอควบคุมทำกับตัวของตัวได้บ้าง แล้วสายแห่งความคิดที่ไหลมาให้คิดให้รู้อยู่นี้ มันก็จะเบนวิถีไปทางที่ปลอดภัย

หนุ่มซีนก่าย คิดเรื่องนี้ทบทวนอย่างหนัก ทำอย่างไรหนอคนเรานี้จะควบคุมให้ความคิดเป็นไปอย่างถูกต้อง และคงเส้นคงวาอยู่ในแนวที่ถูกต้อง ถ้าปล่อยให้สิ่งแวดล้อม รูปเสียง กลิ่น รส เข้ามาจ่อถึงตัวอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีวันจะควบคุมสายความคิดนี้ได้ จะต้องยักย้ายให้ตัวเองได้ที่แวดล้อมชนิดทำให้ตั้งตัวได้เสียก่อน ฉะนั้นหนุ่มซีนก่าย จึงคิดบริจาคคุณนายผู้ภรรยาของตัว โดยตัวเองกลับเป็นฝ่ายหนีไปเสียให้ห่าง คิดดังนั้นก็หลบหนีทิ้งภรรยา เดินทางจากไปเสียให้สุดหล้าฟ้าเขียว สู่อำเภอบ้านนอกแห่งหนึ่ง จังหวัดบูเส็น หัวเมืองทางฝ่ายใต้ ณ ที่นั้น หนุ่มซีนก่ายได้เข้าอาศัยวัดแห่งหนึ่ง อยู่เป็นลูกศิษย์พระ ไม่นานก็ขอบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ซึ่งในศาสนาที่เขาสนใจใหม่นี้เอง หนุ่มซีนก่ายได้พบว่า คำสอนพุทธศาสนา มีแต่ว่าด้วยเรื่องที่เขากำลังฉงนสนเท่ห์อยู่ทีเดียว คือในปัญหาข้อที่ว่า “ทำอย่างไร คนเราจะอยู่อย่างชนะภัยอันเกิดจากรูป เสียง กลิ่น รส ได้ และควบคุมจิตใจไม่ให้เป็นไปตามความต้องการฝ่ายต่ำ ที่มีประจำอยู่เองแล้วในใจ”

เมื่อมาได้ความเป็นตัวของตัวได้ ในบวรพุทธศาสนาแล้วก็ทำให้หวนไปถึงเมื่อครั้งที่ตนยังซัดเซในสงสารสาครแต่อดีต ภิกษุหนุ่มซีนก่ายจึงปรารภจะชดใช้ความกระดำ-กระด่าง ในชีวิตอดีต ด้วยสำนึกบาป ไถ่ถอนด้วยกรรมดี กรรมที่มีประโยชน์ จวบเท่าชีวิตนี้จะหาไม่ ในถิ่นที่ท่านบวชอยู่นั้นชาวบ้านชาวช่องยากจนข้นแค้น เป็นอำเภอเล็กๆ ไปมาติดต่อกับตัวจังหวัดเพียงทางเท้าเล็กๆ ที่ต้องค่อยเดินเรียงหนึ่ง เลียบหินผาของภูเขาสูง ซึ่งกางกั้นอำเภอกับตัวจังหวัด ถ้าวันไหนฝนตก ฟ้าร้อง หิมะตก หรือลมแรง ก็ไปมาไม่ได้ และท่านยังได้ทราบว่าแต่ละปีมีเสมอที่คนข้ามเขาได้พลัดลื่น หล่นจากชะง่อนผาสูงลงไปตายเสียมากต่อมาก สุดที่จะมีใครคิดแก้ไขประการใด หากใครอยู่ทางกิ่งอำเภอหลังเขานี้แล้ว ก็เป็นอันแน่ว่าจะต้องอดอยาก ลำเค็ญ แม้จะมีเงินก็ไม่มีค่า ชาวบ้านโดยมากยากจนไม่อาจเพาะปลูกอะไร เพื่อเอามาแลกเปลี่ยนซื้อขายในเมืองได้ เพราะนำไปนำมาไม่ได้มาก แม้มีใครเจ็บป่วยลง ไม่พอที่จะตายก็ต้องปล่อยให้ตายไป เพราะไม่สามารถจะพากันหามคนไข้คนเจ็บไต่ไหล่หินข้ามมายังตัวจังหวัดได้

ภิกษุหนุ่ม มานั่งคำนึงถึงทุกข์ยากของคนหมู่มาก เห็นความเป็นไปของมนุษย์ด้วยกัน ที่แม้แต่จะอยู่ไม่ห่างกันนักแค่เขากั้นเท่านั้น ก็ยังแตกต่างยากไร้กว่ากันมากเห็นปานนี้ ท่านเห็นว่า จะปล่อยให้ไม่มีทางแก้เช่นนี้อยู่เรื่อยไป ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่เอง มีทางเดียว คือเจาะอุโมงค์ลอดภูเขาใหญ่เอาดื้อๆ เพราะไม่มีทางอื่นใดอีกแล้ว ครั้นจะพูดเรื่องนี้กับใครก็คงไม่มีใครเขาเห็นด้วย ความคิดอย่างนี้ มันคิดได้ แต่ใครจะทำ ฉะนั้นภิกษุหนุ่มของเราจึงตัดสินใจเริ่มสกัดหิน เริ่มงานมันคนเดียวโดยไม่คำนึงว่าภูเขาที่เขาไปนั่งสกัดทีละสะเก็ดๆ อยู่นั้น มันตระหง่านสูงค้ำฟ้าเพียงไร

ท่านภิกษุซีนก่าย ใช้เวลาตอนเช้าออกบิณฑบาตเวลานอกนั้น อุทิศให้แก่หินที่ภูเขานั้นทั้งหมด เมื่อมันเหนื่อยก็พักเสีย มีเรี่ยวแรงคืนมาก็ทำต่อ เป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะค่ำจะมืด นานๆ จะมีคนผ่านมาทางนั้น คนพวกนั้นก็ได้แต่หัวเราะ ถามว่าท่านจะสร้างถ้ำหรือจะสร้างวัด แล้วต่างก็มองตากันอย่างไม่ไว้ใจว่า ท่านองค์นี้ สติยังบริบูรณ์อยู่หรือ ดูไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าท่านทำ เพราะทำตามประสาที่ไม่มีอะไรจะทำนั่นเอง

วันเวลาได้ผ่านไปนานถึง 30 ปี ภิกษุองค์หนึ่งเคยนั่งสกัดหินมาตั้งแต่ยังหนุ่ม บัดนี้ก็ยังคงนั่งสกัดเอา –สกัดเอา ไม่ลดละ แม้ท่านจะมีอายุห้าสิบแล้ว ร่างกายของท่านก็ยังรับใช้จิตใจที่บึกบึนแข็งกว่าหินได้เป็นอย่างดี ไม่มีใครทราบหรอกว่าท่านเอาน้ำอดน้ำทนมาจากไหน เอาเรี่ยวแรง เอากำลังใจมาจากไหน นอกจากตัวท่านเอง เหตุการณ์เป็นไปเช่นนี้จึงทำให้จังหวัดบูเส็น ที่ท่านเลือกเอาเป็นถิ่นปฏิบัติธรรมของท่านได้มีอุโมงค์เจาะลอดภูเขาใหญ่เชื่อการคมนาคมติดต่อระหว่างกิ่งอำเภอ ที่ครั้งหนึ่งแสนจะทุรกันดารให้เปิดมาสู่ความเจริญในเมืองได้ ในปัจจุบันนี้ แม้ใครไปญี่ปุ่น ไปเมืองบูเส็น ก็ยังพบอุโมงค์อันมีประวัติ ที่เจาะด้วยแรงคน และเป็นแรงคนที่เกิดจากพลังธรรมะในพุทธศาสนา อุโมงค์นี้สมัยแรก มีแนวคดไม่เกลี้ยงเกลาอยู่บ้าง บัดนี้เป็นอุโมงค์ที่มีขนาด กว้าง 30 ฟุต สูง 20 ฟุต ทะลุภูเขายาว 2,280 ฟุต (ค่อนๆ ไปเกือบ 1 กิโลเมตร หรือครึ่งๆ ถ้ำขุนตาลของไทยเรา)

เรื่องมีเล่าต่อออกไปอีกหน่อยว่า ก่อนที่อุโมงค์จะสำเร็จใช้เดินถึงกันได้ สัก 2 ปีนั้นได้มีชายคนหนึ่ง ซอกซอนมาจากเมืองกรุง ปรากฏภายหลังว่าเป็นบุตรชายของท่านขุนนางเจ้านายเก่าที่ตายไป ชายหนุ่มคนนี้ขณะบิดาถูกฆ่าเขายังเล็กๆ อยู่ พอโตขึ้นก็ผูกใจเจ็บ เที่ยวถามติดตามมาหลายปี พร้อมกับหัดเป็นนักดาบมาอย่างช่ำชอง พอแน่แล้ว ก็จะเข้าเอาชีวิตเพื่อล้างแค้น แต่ยังมีติดขัดอยู่ว่า มาเห็นคนฆ่าพ่อของเขา บัดนี้อยู่ในแบบฟอร์มของพระภิกษุแล้ว เพื่อไม่เป็นการฆ่าผิดตัว จึงถามเอาตรงๆ พอท่านซีนก่ายถูกถามเช่นนั้น ก็รับว่าเป็นนายซีนก่ายที่เขาต้องการพบและต้องการฆ่า ท่านไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างไร แต่พูดจาชี้แจงให้ชายหนุ่มคนนั้นฟังว่า ท่านกำลังทำงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อมหาชนมากหลาย และจะสำเร็จอยู่แล้ว ขอผ่อนผันให้ท่านได้สกัดหินต่อไป เท่าที่ชายหนุ่มนั้นก็เห็นอยู่แล้วว่าเหลือเพียงเล็กน้อย เมื่อเสร็จในวันใด ท่านยอมใช้กรรม ให้ตัดศีรษะในวันนั้นทีเดียว ชายหนุ่มคนนั้นก็ตกลง เพราะมองเห็นจริงๆ ว่าถ้าท่านไม่ทำต่อ งานชิ้นสำคัญต่อสังคมส่วนใหญ่นี้ จะเป็นอันยกเลิกไปเสีย

ทีแรกหนุ่มชาวกรุงก็ยังไม่วางใจนัก ว่าคนที่เคยฆ่าพ่อของตนจะไม่เป็นคนลอบทำร้ายตนก่อน ต้องเหน็บดาบและมีดระแวดระวังตัวแจอยู่ และคอยเวียนไปที่อุโมงค์นั้นเสมอๆ เพื่อจะรู้ว่าท่านชิงหนีไปเสียที่ไหน หรือท่านจะคอยถ่วงเวลา สกัดช้าๆ ให้เวลาเนิ่นนานไป เมื่อมีการไปพบหลายหนหลายครั้ง และเคยยืนดูท่านกำลังทำงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ลดละทั้งคืนทั้งวัน ก็ทำให้รู้สึกแปลกประหลาด นานเข้า ก็มีการปรารภชวนท่านคุย และถามนั่นถามนี่ เป็นอยู่อย่างนี้หลายเดือน หินของภูเขาก็ถูกสกัดกร่อนบางไปเรื่อยๆ หนุ่มลูกชายของท่านขุนนาง เมื่อยืนเฝ้าดู จนเมื่อยแล้วก็เริ่มนั่งคุย การได้สังสนทนากันจึงเป็นที่แน่ใจว่าท่านรู้สึก-นึกคิด เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ว่าอย่างไร เมื่อยู่เฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไร ก็ลองสกัดหินช่วยท่านซีนก่ายไปพลาง เรื่องเลยกลายเป็นได้ร่วมงาน ร่วมกิน ร่วมนอนด้วยกัน ในอุโมงค์นั้นเอง ในที่สุดก็กลายเป็นผู้ช่วยที่รู้จักทำงานโดยตั้งจิตไว้ในธรรมปฏิบัติ ตามแบบที่ท่านซีนก่ายแนะให้ ทำไปทำไปโดยไม่หยุดยั้งเหมือนกัน จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปกว่าขวบปีอย่างไม่รู้สึกว่านาน ตลอดเวลา ชายหนุ่มได้เลียนลอกแบบเอาคุณธรรมที่ตนได้เห็น ได้ค้นพบ ที่เนื้อที่ตัวของท่านซีนก่ายนั้นเอง ว่าท่านองค์นี้ ช่างเต็มไปด้วยบุคลิกภาพพิเศษและความเป็นผู้มีใจสิงห์เหลือเกิน

ในที่สุด อุโมงค์ลอดภูเขาใหญ่ ก็สำเร็จลุล่วง ผู้คนพากันมาดู และได้ใช้เป็นหนทางติดต่อกับตัวเมือง ไม่ได้รับความยากลำบากที่จะต้องไต่ไปตามไหล่หินชันอีกต่อไป พอเสร็จในวันนั้น ท่านซีนก่ายก็เหลียวมายังชายหนุ่ม ที่ยืนอยู่ข้างหลังกำลังมองดูความสำเร็จที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วย ท่านได้พูดขึ้นว่า “เราตัดภูเขาแท่งทึบ เชื่อมให้คนติดต่อถึงกันได้แล้ว ทีนี้ก็ถึงตอนที่ คอที่ต่อศีรษะติดกับร่างของฉัน ได้เวลาขาดออกจากกันตามสัญญาแล้ว” พูดแล้วก็น้อมกายยื่นไปให้ชายหนุ่มลูกศิษย์เชลยศักดิ์ของท่านโดยดี

ชายหนุ่ม น้ำตานองหน้า ทรุดตัวลงคุกเข่า มือทั้งสองพนมไหว้ พลางกล่าวว่า “หลวงพ่อจะให้ผมตัดศีรษะของบุคคลที่เป็นอาจารย์ของผมได้อย่างไร?”

.....................

จากเรื่องราวที่เล่ามานี้ เป็นเรื่องของคนๆ หนึ่งที่มีตัวตนอยู่จริงๆ และได้ชนะภูเขามาแล้วจริงๆ โดยมีหลักฐาน พยานคืออุโมงค์ที่ใช้กันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในจังหวัดบูเส็น ถ้าจะให้ชื่ออุโมงค์นี้ ก็ต้องเรียกว่า ไม่ใช่คนทำ แต่ธรรมะในจิตใจของคนใจสิงห์นั้นเอง เป็นผู้ทำ คนเราจะจู่ๆ มาทำเป็นคนใจสิงห์เอาทันทีทันใดนั้น ไม่สำเร็จแน่ นอกจากคนๆ นั้น ได้แนวทางแห่งธรรม รู้ว่าชีวิตนี้จะทำกับมันอย่างไร เพื่อรอเวลาจนกว่าร่างนี้จะแตกดับ เราจะใช้วันเวลาไปอย่างไร หากใครรู้แจ้งถูกต้องในเรื่องนี้ แล้วลงมือทำ ทำอะไรก็ได้ ที่ตนถนัด หรือเท่าที่ตนเห็นว่าดีที่สุด ทำไป-ทำไป ทำไปโดยจิตใจที่รู้แจ่มแจ้ง เอาเรื่องงานที่ตนลงมือทำนั่นแหละ เป็นกัมมัฏฐาน (คือสิ่งที่ใช้เป็นฐานที่ตั้งแห่งการกระทำ) ทีแรกก็ปรารภถูกต้องขึ้นก่อนว่า อุโมงค์นี้ดีแน่เพราะถ้าเสร็จแล้วผู้คนเขาจะพลอยได้ใช้ไปตลอดกาลนาน พอตัดสินใจ ก็จับงานลงมือทำงาน ทำไปทำไปไม่ฟังเสียงอะไรทั้งสิ้น ทำด้วยจิตใจที่ไม่ย่อท้อ เพราะไม่มีการห่วงหน้าห่วงหลัง หรือคิดทวงว่าจะไปเสร็จเมื่อไร สกัดหินเข้าไปได้สะเก็ดเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ก็แปลว่าสำเร็จเพิ่มมากขึ้น-มากขึ้นแล้ว งานนี้ จะทำเพื่อใคร ในขณะนั้นก็ไม่ต้องนึกมีแต่ธรรมปีติ แช่มชื่นทุกคราวที่ค้อนตอกเหล็กสะกัดแล้วหินก็บิ่นไปทีละนิดๆ ไม่ต้องมีใครมารู้มาเห็น ตัวเองก็อาบย้อมอยู่กับความสำเร็จทุกๆ ระยะ ฉะนั้น ธรรมะนั้นแหละเป็นผู้ทำให้คนธรรมดา กลายเป็นคนใจสิงห์ ทำอะไรได้ทุกวันๆ ติดต่อกันถึง 30 ปี ทำได้เนนี้ จะไม่เรียกคนอย่างนี้ ว่าเขาลุถึงเซ็นแล้วได้อย่างไร? ความเป็นคนใจสิงห์ กับความเป็นคนจับจดจะอยู่ในหัวใจอันเดียวกันไม่ได้แน่นอน

ในเรื่องนี้ ออกจะชี้ชัดขึ้นมาหน่อยหนึ่งแล้วว่า หัวข้อธรรมะที่เราใช้สอนใช้ท่องกัน ว่าธรรมะข้อชื่อนั้นชื่อนี้ แล้วบอกเด็กว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ควรให้มีในจิตใจ เช่น เมตตาบ้าง กรุณาบ้าง อิทธิบาทสี่บ้าง ความอดกลั้นอดทนบ้าง เราเพียงแต่สอนให้ทุกคนทำให้มี อย่างนี้มันมิใช่เป็นการชี้ให้เห็นลู่ทางให้เกิดคุณธรรมชื่อนั้นจริงๆ เพียงบอกว่ามันเป็นของดี ให้หาเอาไว้ ไม่ได้บอกว่าให้ทำอย่างไรจึงจะหามาได้สำเร็จ ข้อยากมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก ฉะนั้นเราจึงเห็นว่า การเล่าเรียนพร่ำสอนธรรมชนิดให้เด็กรู้ชื่อ-จำชื่อไว้ก่อนนี้ มันจึงเข็นกันยากเหมือนกะเข็นครกขึ้นเขา ส่วนวิถีทางที่ธรรมะมันจะมีขึ้นจริง มันเดินมาอีกอย่างหนึ่ง คือต้องเข็นให้รู้จักตัวเอง รู้จักสิ่งทั้งหลาย ว่าที่แท้มันคืออะไรเสียก่อน ประมวลให้รู้เรื่องชีวิตนี้ โลกนี้ มวลมนุษย์นี้เสียก่อน จนให้รู้สึกขึ้นได้เองก่อน ว่าตัวเองคนหนึ่งๆ นี้ที่แท้มันจะแตกแยกไปเป็นตัวใครตัวมันไม่ได้ จะเห็นแต่ส่วนตัวจริงจังไม่ได้ เพราะอะไรทุกอย่างมันถึงกัน เนื่องกัน กระทบ-กระเทือน หรือได้รับผล เป็นเหมือนคนในสำเภาลำเดียวกัน เมื่อเห็นความเป็นอนัตตาอย่างอ่อนๆ แล้วค่อยลึกซึ้งมากขึ้นๆ ทีนั้นเอง จะเกิดคุณธรรม ไปทำอะไร อาการเช่นนั้นจะให้ชื่อว่าเมตตาก็ได้ อาการเช่นโน้นจะเรียกว่าอิทธิบาทสี่ก็ได้ จะเรียกว่าขันติก็ได้ และเรียกชื่อไปได้ร้อยแปด และสำคัญอยู่ที่ในเนื้อในตัวนั้นเอง มันเป็นธรรมอยู่ จะดูเหลี่ยมไหน ก็มีให้เรียกโชว์ให้ดูได้ทั้งนั้น เรื่องมันเลยกลายเป็นไปอย่างคล่อง เหมือนกลิ้งครกให้ตกลงมาเอง อย่างเช่นท่านพระภิกษุ ซีนก่าย ในเรื่องนี้

แง่หนึ่ง ที่ไม่ค่อยจะมีใครเอ่ยถึง นั่นก็คือคนเรานี้มีทุกข์ที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างหนึ่ง แม้ตัวเองก็มักจะไม่ยอมรับว่านั่นมันเป็นทุกข์ ทุกข์อันนี้ ก็คือทุกข์เพราะไม่มีอะไรจะทำนั่นเอง มนุษย์ต้องบรรจุรายการอะไรต่อมิอะไรให้แก่ตัวเองได้ทำเรื่อย ไม่ให้ตัวเองได้ว่าง และบางครั้งถึงกับหวาดกลัวไว้ล่วงหน้า ว่าถ้าหากไปพักผ่อนที่นั่นที่โน่นแล้ว เราจะเหงา จะได้อาศัยทำอะไรเป็นการฆ่าเวลา หรือถ้าหากเราแก่เราเฒ่าแล้ว เราจะใช้ชีวิตไปวันหนึ่งๆ อย่างไรหนอ เรื่องนี้ถ้าหากไม่เข้ากับตัวเอง หรือใช้เหตุผลไม่ตรงต่อตัวเอง ก็จะมีข้อที่ทำให้แก้เกี้ยว ว่าตนไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ตนกำลังมีงานไม่มีเวลาพอเสียอีก แล้วจะมากลัวว่าไม่มีอะไรจะทำอย่างไรกัน แต่แล้วขอให้ดูให้ดีเถิด งานที่เรารีบบรรจุเรียงไว้ให้เราเพื่อไม่ต้องได้มีช่องว่างนั่นเองแหละ มันเป็นสิ่งชี้ชัดแล้ว ว่าเราไม่อยากให้ตัวเองพบกับการว่างอยู่เฉยๆ คนพวกนี้ยังต้องเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวในบางครั้งยามนั้น ก็ต้องหาอะไรมายักย้ายถ่ายเทให้ไม่เหงาต่อไป ดังนั้นในโลกนี้ มนุษย์จึงมีไพ่ มีหมากรุก มีวิธีที่จะสับเปลี่ยนทำเพื่อให้วันเวลาผ่านพ้นไปแก้รำคาญ เพราะถ้าแก้รำคาญไม่ได้นั่นมันเป็นพิษแก่ชีวิตถึงเสียจริต นี่จะว่ามนุษย์ไม่เป็นทุกข์ในเรื่องนี้อย่างไร? ถ้าใครยังมองไม่เห็น ลองหยุดทำอะไรหมดดูไม่กี่พักก็จะรู้ว่าคนที่ยังมีกิเลสทุกคน ต้องอยู่ว่างไม่ได้ แม้แต่เกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นที่ไม่ไปโรงเรียน มีเวลาว่าง นั่นก็เพียงแต่ว่างเรียน มันยังจะต้องเที่ยวคบเพื่อน ทำนั่น-ทำนี่ เพื่อฆ่าเวลาไปวันหนึ่งๆ อยู่นั่นเอง

อย่าว่าแต่มนุษย์ทั่วๆ ไปเลย พระอริยเจ้าท่านก็ต้องมีงานไว้สำหรับทำในชีวิต เรื่องมันจึงมีความสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะบรรจุงานอะไรให้แก่ตัวเอง งานนั้นเป็นงานที่จะเกิดประโยชน์ตนและผู้อื่นหรือเปล่า และปริมาณประโยชน์นั้นจะมากน้อยสูงต่ำอย่างไร เช่นการเล่นไพ่ เล่นหมากรุก ฆ่าเวลานี้ ไม่ให้โทษต่อใครมากก็ตาม แต่มันเป็นเรื่องที่ทำให้ใช้ชีวิตไปทุกๆ วินาที ระหว่างนั้น เพิ่มพูนความมีตัวตน ความเห็นแก่ตัวจัดมากขึ้นๆ ดังเราจะเห็นว่า พ่อแม่หลายคน ปล่อยให้พวกลูกๆ ฆ่าเวลาภายในบ้านด้วยการเล่นไพ่ เอาสตางค์กันเพียงนิดหน่อย จะสังเกตชัดเลยว่าบุตรหลานในบ้านจะไม่ยอมเสียเปรียบกันในเรื่องอื่นๆ ต่อไปอีก จะมีตัวใครตัวมันมากขึ้น ผลก็คือไม่ปรองดองกันได้สนิท ทั้งเมื่อยามพ่อแม่ยังอยู่ และยามพ่อแม่หาไม่แล้ว

ฉะนั้นงานอดิเรกหรืองานที่บรรจุมิให้ตัวเองอยู่เฉยๆ นั่นเอง คนเราก็ต้องแยกประเภทให้ดี อย่างในนิทานเรื่องนี้ ภิกษุซีนก่ายเลือกเอาแท่นหินเป็นงาน บางทีอาจจะถูกจริตของท่านที่เคยถูกหลอนด้วย รูป รส กลิ่น เสียง ที่มีอยู่ที่ตัวหญิงเป็นๆ เคลื่อนไหวได้ ท่านเลยเปลี่ยนมาใช้หิน ซึ่งของไม่เคลื่อนไหว ไม่มีชีวิตแล้วอยู่กับมัน 30 ปี งานชิ้นนี้เป็นเรื่องไถ่ถอนตัวตนไปในตัวด้วยเสร็จ แล้วก็ได้ชื่อว่าเป็นเรื่องสังคมสงเคราะห์ด้วย แต่สงเคราะห์แค่ทำให้คนมีถนนหนทางเดินไม่สูงขึ้นไปถึงกับโปรดสัตว์ให้มีดวงตาสว่าง เพราะฉะนั้น ในที่นี้จึงมีหลักอยู่อย่างเดียวว่า

“จะรู้ว่างานอันใดสูงหรือควรทำกว่างานอันใด ก็ให้ดูที่ว่ามันจะเพิ่มพูนความหลุดรอดการไม่เห็นแก่ตัวได้หรือเปล่าเท่านั้น”

ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย ทั้งหมดนี้เป็นเพียงลีลาของชีวิตๆ หนึ่งเท่านั้น ที่กระตือรือร้นว่าจะไปสร้างอนาคตเอาที่ในกรุงจุดมุ่งที่จะสูงไปได้ ก็เพียงหมายให้สูงไปทางโลก แต่หนุ่มซีนก่ายก็ถูกอะไรๆ ทำให้แผนเปลี่ยนไปๆ จนในที่สุดก็พบกับจุดสูงสุดในชีวิตได้อีกทางหนึ่งคือทางโลกุตตระ ฉะนั้น จึงอย่าไปโทษว่าอะไรดี อะไรไม่ดีเลย ชีวิตนี้ หากพลัดตกมาอยู่ในวัฏฏสงสารแล้ว เหตุปัจจัยทุกอย่าง ทุกตอน มันจะสอนให้ทุกเมื่อ มันอยู่ที่สัตว์นั้นจะมีดวงตาหรือไม่เท่านั้น แต่ดวงตา อันนี้ขอรับรองว่าไม่ใช่ ดวงดี-ดวงไม่ดี ตามภาษาของคนที่เชื่อหมอดู โดยแน่นอน!


จากหนังสือ เล่านิทานเซ็น เล่าเรื่องโดย อ.อภิปัญโญ เผยแพร่โดย ธรรมสภา จากคุณ : ความรักครั้งสุดท้าย dharma-gateway.com

เสียงประกอบ //www.palungjit.com/




Create Date : 02 มกราคม 2554
Last Update : 3 มกราคม 2554 16:42:00 น. 0 comments
Counter : 441 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

atruthoflife10
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




กลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยสุขภาพที่ดีกว่า

ไตรลักษณ์
เกิดขึ้น 26 พ.ย.2553

ดับไป....???

Friends' blogs
[Add atruthoflife10's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.