Bloggang.com : weblog for you and your gang
อย่าปล่อยให้การเรียนรู้ของคุณ จบอยู่แค่ในโรงเรียน
Group Blog
เดินทางไปกับกล้อง
สุขภาพและความงาม
กระแสการบ้าน การเมือง และสังคม
การศึกษาและวิทยาศาสตร์
สิงหาคม 2550
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
13 สิงหาคม 2550
โลกร้อน-ในโลกของอัตตาและทุนนิยม
All Blogs
มาเฝ้าดูการเกิดแผ่นดินไหวทั่วโลกกันดีกว่า
GMOs มันก็แค่เครื่องมือในการหาเงินของนักวิทย์
คับติ้ว.....ติ้ว.....ติ้ว.....ติ้ว...
โลกร้อน-ในโลกของอัตตาและทุนนิยม
Leptin-ฝันที่เป็นจริงของคนอ้วนที่อยากผอม
รสชาดของ T. REX
เปลี่ยนหมู่เลือดให้เป็น O ให้หมด
วิจัยเมกัน เตือน DVD เพื่อการศึกษาทำให้เด็ก 0-2 ปี เรียนรู้ได้ช้าลง
ถอดรหัสภาษาเด็กแรกเกิด
วิจัยเกณฑ์เลือกคู่-หน้าตาหรือหุ่นกันแน่ สำคัญสุด
มหัศจรรย์อัณฑะ
สร้างเด็กจากเซลล์ไขกระดูก
โลกร้อน-ในโลกของอัตตาและทุนนิยม
ตราบใดที่โลกยังหมุนรอบตัวเอง ฟิ้วๆ ก็ย่อมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่สม่ำเสมอ อย่างที่เราๆ ท่านๆ เห็นกันอยู่ เพียงแต่ถ้าไม่มีมนุษย์การเปลี่ยนแปลงก็อาจจะเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือเกิดแบบมีมหันตภัยร้ายจากอุกาบาต อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบจากหลักฐานทางธรณีวิทยา ในยุคที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปนั่นเอง ซึ่งสาเหตุจากมหันตภัยนี่เอง ที่ทำให้โลกเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างฉับพลัน
ตอนนี้ถ้าจะกล่าวว่าโลกกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงแบบกราฟเอ็กโพแนนเชี่ยลในขั้นปลายๆ โดยมีมนุษย์เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด ก็น่าจะพูดได้ ยุคนี้เป็นยุคที่เรียกว่ายุคแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์ได้สะสมเอาไว้ดูจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าความรู้มันจอมปลอม แต่เพราะมนุษย์ยังไม่อยากจะนำความรู้นั้นมาใช้สักเท่าไหร่ เนื่องด้วยอำนาจของอัตตา และทุนนิยม มันมีล้นพ้นเกินกว่ามนุษย์จะหยุดมันได้
มนุษย์ยิ่งรู้จักสิ่งใหม่ๆ ผ่านสื่อโฆษณาที่ชวนให้เชื่อว่าต้องซื้อ ซึ่งในที่นี้หมายถึงสิ่งใช้เทคโนโลยีผลิตออกมาใช้ในจำนวนมากๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและความพึงพอใจของมนุษย์ (ซึ่งคืออัตตา) เอาแค่เรื่องง่ายๆ และใกล้ตัวมนุษย์ก่อน คอมพิวเตอร์ที่นั่งใช้ นั่งพิมพ์กันยิกๆ นี่ก็สิ่งที่เรียกว่าสร้างมาเพื่อให้พึงพอใจ แล้วก็หยุดพัฒนาไม่ได้ เพราะถ้าหยุดพัฒนา มันหมายถึงมีคนบางกลุ่มสูญเสียประโยชน์ พอพัฒนาก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง มีการนำของใหม่มาใช้ แล้วของเก่าก็ตกรุ่น ไม่ใช่ไม่อยากใช้ แต่มันใช้ไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันพัฒนาหนีไปหมด ทำให้ต้องซื้อใหม่ ทั้งๆ ที่ของเก่าก็ยังไม่พัง แต่มันต้องกลายเป็นขยะที่ยังหาทางกำจัดโดยปลอดภัยไม่ได้สักที เนื่องจากผู้ผลิตไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อการทิ้งหลังการขายไปแล้ว ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะหมดภาระกับผู้บริโภคแล้ว ตั้งแต่วันที่ได้ตัง
มนุษย์เรียนรู้ว่าพลาสติกมันสะดวกดี ใช้ดี ใช้ทน แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าไอ้พลาสติกครั้งแรกที่พบเนี่ย มนุษย์คนนั้นคิดมาเพื่อใช้ทำอะไร ที่ค้นเจอก็คือ มันถูกจิสิทธิบัตรในอเมริกาตั้งแต่ปี 1909 ก็เกือบจะร้อยปีแล้ว (รายละเอียดดูได้ที่
Patent for First Synthetic Plastic Issued December 7, 1909
) ดีไม่ดีทุกวันนี้ไอ้เจ้าพลาสติกชิ้นแรกที่ถูกนำมาใช้ก็อาจจะยังไม่สลายตัวไปจากโลกใบนี้
มนุษย์รู้ว่าพลาสติกมีคุณและโทษในเวลาเดียวกัน แต่เราเลือกที่จะมองข้ามมันไป เพราะเอาสะดวกเข้าไว้ก่อน จนถึงปัจจุบันนี้ มันหลีกเลี่ยงยากจริงๆ เพราะพลาสติกมันพบเห็นได้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ทั้งที่มีคุณและโทษ แต่เรามักจะเห็นแต่ด้านดีๆ ของพลาสติกเท่านั้น เห็นความมักง่ายของมนุษย์ที่กินแล้วทิ้งขยะพลาสติกลงข้างทาง ในป่า ในอุทยานแห่งชาติ ในทะเล แทบจะทุกที่ที่มนุษย์ไปถึงก็สามารถพูดได้ เห็นจินตนาการต่อไปว่า สักวันพื้นโลกจะปกคลุมด้วยพลาสติก การใช้ถุงพลาสติกดูจะเป็นปัญหามากที่สุด เพราะใช้กันพร่ำเพรื่อทุกวัน ใช้แล้วก็ทิ้งทุกวันอีกเช่นกัน
กระแสต่อมา กระแสกล่องโฟม ดูจะเป็นเรื่องเดียวกับพลาสติก และสามารถเอาเข้าไปอยู่ในพวกเดียวกันได้ ที่ใช้แล้วไม่มีวันสลายตัวไปจากโลกนี้ แต่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อตอบสนองและใช้ในสังคมบริโภคนิยมเท่านั้น
แอร์คอนดิชั่น สังคมเมืองดูจะถูกเพ่งมองในเรื่องนี้มากที่สุด ก็มันช่วยไม่ได้ เพราะในเมืองมีแต่พื้นคอนกรีต ตึก ซึ่งยิ่งทำให้ร้อนหูดับตับไหม้ ยิ่งเปิดแอร์อากาศโดยรวมก็ยิ่งร้อน ก็ต้องทนๆ กันไป เพราะเราหลีกเลี่ยงและทนต่อความต้องการสบายของตัวเองได้จำกัด
ยังไม่รวมปัญหาการทำลายทรัพยากร ดิน น้ำ ป่าไม้ และอื่นๆ
ทั้งหมดทั้งปวงก็เพื่อสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า 'เพื่อพัฒนาเศรษกิจ และพัฒนาประเทศ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ' แต่ทุกคนลืมนึกถึงเกณฑ์ที่เอามาใช้กับคำว่าพัฒนาไป มันคือการพัฒนาทางวัตถุ ที่สังคมตะวันตก กำลังเห็นถึงผลร้ายของมัน และสังคมตะวันตก กำลังวิ่งหาสิ่งทดแทน ซึ่งคือธรรมชาติ จากประเทศในเขตร้อน
แต่ประเทศในเขตร้อน อย่างประเทศไทย กลับมองไม่เห็นคุณค่าของการพัฒนาที่ยั่งยืน คือ การพัฒนาธรรมชาติ และคุณค่าทางจิตใจ ซึ่งเป็นจุดขายในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
เราจะยอมให้อัตตา และกระแสทุนนิยมมาทำลายโลกใบนี้เชียวหรือ พูดแล้วก็ฉุกคิดไปว่า คงหมดหนทาง ที่จะต้านกระแสนี้แล้ว สุดท้าย โลกร้อนก็คงหมดทางเยียวยา เหลือแต่เพียงคำว่า
ปรับตัว
เพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่เท่านั้น ที่ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของมนุษยชาติ ใครทนได้ก็รอด ใครทนไม่ได้ก็ตายก่อน เท่านั้นเอง
Create Date : 13 สิงหาคม 2550
Last Update : 25 สิงหาคม 2550 15:20:55 น.
2 comments
Counter : 673 Pageviews.
Share
Tweet
ใช่ครับ เราไม่สามารถทำให้โลกหยุดร้อนหรือร้อนน้อยกว่านี้ได้แล้ว เราคงต้องปรับตัวและเรียนรู้การเปลี่ยนแปลง
มนุษย์+สร้าง = ทำลาย
โดย:
yibby
วันที่: 18 สิงหาคม 2550 เวลา:21:55:27 น.
เมื่อมีข้อดี...ก็มีข้อเสีย
อยู่ที่เราเลือกค่ะ
ถ้าเลือกที่มีข้อดีพอประมาณ...ข้อเสียน้อยหน่อย
ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมก็อยู่กับเรานาน
แต่หากคิดแต่จะพัฒนา จนลืมคำนึงถึงวิถีที่เคยเป็น
ไม่ช้าไม่นาน...ก็หมดทางเยียวยาค่ะ
โดย:
Big Spender
วันที่: 23 สิงหาคม 2550 เวลา:6:49:22 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
Tahno
Location :
ดาวโลก Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
'Nobody will lose because of more science education' (Osborne,1998)
Free Counter
The following text will not be seen after you upload your website, please keep it in order to retain your counter functionality
blackjack
♥
♥
♥
♥
♥
♥
♥
♥
♥
♥
Friends' blogs
น้องต๋าว
dokmalila
Due_n
ป้ามด
เพลงเสือโคร่ง
ฟ้าดิน
สะเทื้อน
mitrapap
โทโมกะ
เดียวจัง
ถ่านหินจำศีล
หอมกร
ส่องสร้างสังคม
mambococonut
NaCl
nature-delight
ชมจันทร์
aston27
Webmaster - BlogGang
[Add Tahno's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
มนุษย์+สร้าง = ทำลาย